คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 193 บุรุษปริศนา

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 193 บุรุษปริศนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมังกรเหมันต์ และยิ่งเมื่อได้เห็นมันกำลังยื่นมือออกไปคว้าก้อนแสง ฉินอวี้โม่ก็อาการตื่นตระหนกปนขุ่นเคือง นางเบี่ยงหลบการโจมตีสุดท้ายของภูผาทมิฬ ก่อนที่ร่างบางจะหายวับไป

“เจ้ามาจากไหนกัน ?!”

ภูผาทมิฬไม่คิดจะไล่ติดตามฉินอวี้โม่อีก เมื่อเข้าใจการกระทำหน้าไม่อายของอสูรในร่างมนุษย์ผู้มาใหม่แล้ว มันก็รับหันคมอาวุธเข้าไปหาและพุ่งเข้าจู่โจมทันที

“ฮ่า ๆ ๆ สายไปแล้ว !”

มังกรเหมันต์หัวเราะเย้ยหยัน ขณะนี้มือของมันเกือบจะเอื้อมถึงก้อนแสงแล้ว

ทว่าในเวลานั้นเอง การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น

จู่ ๆ ก้อนแสงที่หมุนขว้างอยู่ก็หมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบ้าคลั่ง

— ตูม ! — 

ในที่สุดก้อนแสงก็ระเบิดออก เสียงดังสนั่นก้องสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ หากผู้ที่อยู่ภายในนี้มิใช่จอมยุทธ์หรืออสูรมายาก็เกรงว่าจะต้องสูญเสียการได้ยินไปเป็นแน่

ทว่าการระเบิดตัวเองอย่างกะทันหันของก้อนแสงนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่มองเห็นว่ามันแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ แล้วหายไปในอากาศราวกับไม่เคยมีอยู่

“บัดซบ !”

มังกรเหมันต์ที่อยู่ใกล้ก้อนแสงที่สุดผงะไป ขณะเดียวกันร่างกายของมันก็กระเด็นถอยหลังไปด้านหลังจากแรงระเบิด หากมิใช่เพราะร่างกายนี้แข็งแกร่งอย่างเหลือล้นและตัวมันปลดปล่อยพลังป้องกันออกมาได้ทันการณ์ มังกรจากแดนหิมะก็อาจจะกลายเป็นมังกรย่างหนังเกรียมไปแล้ว

สีหน้าของภูผาทมิฬบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด อสูรตระกูลหมีตะโกนใส่มังกรเหมันต์ด้วยความขุ่นเคือง “ไอ้ตัวบัดซบ เพราะเจ้าแท้ ๆ ทำบ้าอะไรห๊ะ ?! ก้อนแสงระเบิดหายไปไม่มีเหลือเลย !”

“เจ้าโง่ ตาบอดรึไง ? ข้ายังไม่ทันจะสัมผัสมันเลยด้วยซ้ำ ก้อนแสงนั่นมันระเบิดของมันเองต่างหากเล่า !”

มังกรเหมันต์ตะโกนตอบโต้ด้วยวาจาเผ็ดร้อนไม่ต่างกัน เดิมทีมันคิดว่าวันนี้คงจะได้ชุบมือเปิบชิงสมบัติล้ำค่ากลับไปโดยไม่ต้องเสียแรง ทว่าผู้ใดจะคาดคิด มือของมันยังไม่ทันจะสัมผัสกับสิ่งใด เจ้าก้อนแสงใจเสาะกลับระเบิดหายไปเสียก่อน

ในตอนนี้ แผนยืมมือผู้อื่นเอาสมบัติของมันล้มเหลวไม่เป็นท่า ที่สำคัญ ในขณะนี้ศัตรูทั้งสองกลุ่มที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ก็เปลี่ยนมาเป็นจับจ้องมันอย่างอาฆาต สำหรับมังกรเหมันต์ หากจะหนีตอนนี้ก็คงจะไม่ง่ายแล้ว

อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นถึงมังกรเฒ่าที่ผ่านโลกมามาก เรื่องเล็กเท่านี้ย่อมมีหนทางเอาตัวรอดเสมอ ขอเพียงแต่ต้องหาให้เจอเท่านั้น มังกรมากประสบการณ์เร่งรีบครุ่นคิด ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ

“อสูรหมี เจ้ามีเรื่องบาดหมางกับสตรีมนุษย์ผู้นั้นใช่หรือไม่ ? ตัวข้าผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีความแค้นกับนาง ในเมื่อมีศัตรูร่วมกันเช่นนี้ เหตุใดเราทั้งสองไม่ร่วมมือกันกำจัดนางก่อนเล่า ?”

มังกรเหมันต์กล่าวขณะหรี่ตามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่ชั่วร้าย

เมื่อได้ยินข้อเสนอของมังกรเหมันต์ ภูผาทมิฬก็หันไปมองฉินอวี้โม่อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ที่ว่าร่วมมือกันมันเป็นอย่างไร”

‘ศัตรูของศัตรูคือมิตรชั้นยอด’ คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้ทุกยุคสมัย ภูผาทมิฬเองก็เข้าใจดี ไม่ว่าจะดูอย่างไรมังกรเหมันต์ก็ไม่น่าใช่ผู้มีคุณธรรม อสูรตนนี้ไว้ใจไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่าถ้าหากเป็นแค่การร่วมมือชั่วคราวก็คงไม่มีปัญหา

“ง่ายมาก พวกเราก็ร่วมมือกันเด็ดหัวมนุษย์ผู้นั้นแล้วชิงสมบัติของนางมา แน่นอนว่าข้าจะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น สมบัติที่ชิงมาได้จะยกให้พวกเจ้าทั้งหมด”

มังกรเหมันต์กระหยิ่มยิ้มย่องพลางบอกเล่าแผนการอันชั่วช้า

ภูผาทมิฬพยักหน้า เป็นแผนที่ฟังดูน่าสนใจระดับหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผลประโยชน์ที่จะได้ก็ล่อตาล่อใจเหลือเกิน  “เช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า”

หมีดำในร่างบุรุษกวาดสายตาประเมินสถานการณ์โดยรอบชั่วขณะ ก่อนที่มันจะร้องบอกสหายเสียงดังลั่น “พวกเจ้าทั้งสามเข้าไปขัดขวาง เพลิง อาไป๋กับหงส์แดง ข้ากับเจ้านั่นจะเข้าไปจัดการมนุษย์ผู้นี้เอง !”

มังกรเหมันต์แสยะยิ้มพึงพอใจ ทั้งมันและภูผาทมิฬค่อย ๆ สาวเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ

“เอ๊ะ !”

เมื่อเห็นอสูรสวรรค์ระดับสูงทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น ในตอนที่นางคิดจะเรียกกองทัพอสูรมายาของตนออกมา พริบตานั้นนางก็ได้ยินเสียงอุทานของมารยาดังมาจากจุดที่ไม่ห่างจากนางมากนัก

อสูรสาวกำลังเพ่งมองไปยังทิศทางหนึ่ง สายตาของมันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ปนตกตะลึง

“นั่นมันอะไรน่ะ ?!”

ในเวลาเดียวกัน วิฬารหางสั้นเองก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ มันจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกับมารยา ใบหน้ามีแต่ความฉงน

ภูผาทมิฬและมังกรเหมันต์หยุดฝีเท้าของตัวเองในทันใด เสียงตื่นตกใจของพวกพ้องทำให้มันต้องหันไปมองสิ่งปริศนานั้น

ณ จุดศูนย์กลางของโถงถ้ำที่ซึ่งมีบัลลังก์สีทองตั้งอยู่กำลังเกิดเรื่องประหลาด บัดนี้บัลลังก์ที่เคยเป็นสีทองอร่ามเรืองรองกลับเปล่งแสงสีดำสนิทน่าหวาดหวั่น นอกเหนือจากแสงนั้นแล้วยังมีหมอกสีดำลอยออกมาจากจุดที่อยู่ใต้ฐานของบัลลังก์นั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักทั่วทั้งห้องก็ถูกหมอกสีดำเข้าปกคลุมจนมิด มันแทรกซึมผ่านผิวหนังผ่านเข้าไปสู่ร่างกายภายในจนรู้สึกได้

“แปลกมาก ! เป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดจริง ๆ!”

ทันทีที่หมอกสีทะมึนไหลผ่านเข้ามาในร่างกาย ฉินอวี้โม่ก็พบว่าสภาวะพลังภายในร่างกายเกิดความผันผวนอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามด้วยความพิเศษของกายเทพมายาก็ทำให้นางสามารถขจัดหมอกอันตรายที่รุกล้ำเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังคอยกีดกันหมอกบางส่วนที่พยายามเข้าสู่ร่างนี้ได้ด้วย

“อะไรกัน ! ทำไมพลังของข้าถึงได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ?!”

ชะนีแขนยาวอุทานแตกตื่น แววตาของมันเต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตระหนก อสูรเผ่าวานรรู้สึกว่าพลังมายาภายในร่างกายกำลังเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งที่เคยมีก็ลดทอนลงไปจนน่าหวาดหวั่น

ภูผาทมิฬและพวกพ้องขมวดคิ้ว อาไป๋ หงส์แดงและเพลิงเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน

หมอกสีดำที่กระจายอยู่ในอากาศทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้แต่อสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิอย่างพวกมันก็ยังไม่สามารถต้านทานได้

หมอกพิษบุกรุกเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วอึดใจพลังของพวกมันก็ลดระดับลงจนน่าวิตก

“ช่วยกันทำลายบัลลังก์เร็วเข้า !”

ภูผาทมิฬกล่าวออกมาอย่างร้อนรน อสูรเผ่าพันธุ์หมีรุดเข้าไปด้านข้างบัลลังก์โดยไม่รอช้าก่อนจะซัดกำปั้นเข้าใส่บัลลังก์อย่างแรง

— ปัง ! —

กำปั้นของภูผาทมิฬปะทะบัลลังก์สีทองที่กำลังปลดปล่อยหมอกสีดำออกมาเกิดเป็นเสียงดังสนั่น

อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่เกิดผลใด ๆ ต่อบัลลังก์นั้นเลยสักนิด ดูเหมือนว่าการโจมตีของภูผาทมิฬจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่บัลลังก์ทองได้

นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์แต่ภูผาทมิฬคือหมีดำที่มีพละกำลังมหาศาล เพียงพละกำลังของมันนั้นกล่าวได้เต็มปากว่าเหนือกว่าอสูรมายาทุกตัวที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ทว่าเวลานี้กำปั้นของมันกลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย นี่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บัลลังก์ทองที่กำลังเปล่งแสงสีดำน่าหวาดหวั่นอยู่กลางห้องมีความแข็งแกร่งมหาศาล

“รีบมาช่วยข้าสิ !”

ภูผาทมิฬหันไปตวาดสหายอีกสามตนเสียงดังลั่น มันตั้งใจระดมกำลังทำลายบัลลังก์สีทอง

มังกรเหมันต์นั้นได้แต่ยืนนิ่งค้าง มันยังลังเลกับเหตุการณ์ตรงหน้า ‘…เจ้าพวกโง่นั่นคิดสิ่งใดอยู่ หากมัวแต่ทำลายบัลลังก์นั่นแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ? เหตุใดไม่รีบใช้โอกาสนี้ชิงสมบัติมาแล้วเผ่นหนีออกไปให้พ้นจากที่นี่เสียเล่า ?’

ทางด้านหงส์แดง เมื่อเห็นว่าภูผาทมิฬจะทำลายต้นตอที่ปล่อยหมอกพิษก็เตรียมจะเข้าไปช่วย ถ้าหากยังปล่อยให้มีหมอกพิษในอากาศเพิ่มปริมาณขึ้นมากกว่านี้ เกรงว่าพลังมายาในร่างกายของพวกมันจะสลายหายไปจนหมดสิ้นและคงไม่พ้นต้องจบชีวิตอยู่ในถ้ำแห่งนี้ก่อนจะคลายคำสาปของดินแดนต้องห้ามได้สำเร็จเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม อสูรสาวกลับถูกฉินอวี้โม่ที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน

“หงส์แดง ยังไม่ต้องเข้าไป”

เมื่อได้วาจาของผู้เป็นนาย หงส์แดงก็หยุดการกระทำของตัวเอง แม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้านายสาวถึงไม่ให้มันเข้าไปช่วย ทว่ามันก็ยังต้องเชื่อฟังนายหญิงของตน

ฝ่ายอาไป๋และเพลิงหันมามองหน้ากัน อสูรหนุ่มทั้งสองยังคงยืนอยู่กับที่โดยไม่คิดเข้าไปช่วยภูผาทมิฬ ทั้งคู่นับเป็นอสูรสวรรค์ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ความปราดเปรื่องของสองอสูรหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดในหมู่สหายจักรพรรดิอสูรสวรรค์ทั้งเจ็ด ตอนนี้พวกมันกำลังมองเห็นความไม่ชอบมาพากลบางประการของเรื่องนี้

— ปัง ! ปัง ! —

— ตูม ! ตูม ! ตูม ! —

การโจมตีมากมายหลายกระบวนท่าซัดกระหน่ำเข้าใส่บัลลังก์สีทองอย่างต่อเนื่องรัวเร็วไม่หยุดยั้ง กระทั่งในที่สุดรูปร่างของบัลลังก์ทองก็เริ่มบิดเบี้ยวแล้ว

— ปัง ! —

เมื่อการโจมตีครั้งที่เจ็ดของภูผาทมิฬกระแทกเข้าใส่ บัลลังก์ทองก็ไม่สามารถทนทานได้อีกต่อไป มันบุบบู้บี้และเปลี่ยนกลายเป็นเพียงก้อนโลหะไร้รูปร่างในที่สุด

ทันทีที่บัลลังก์ทองพังยับเยินไป หมอกสีดำจำนวนมหาศาลก็ทะลักทลายออกมาจากจุดที่บัลลังก์เคยตั้งอยู่ และความมหาศาลนั้นก็มากมายกว่าครั้งก่อนหน้านับสิบเท่า ขณะนี้หมอกพิษสีทะมึนคละคลุ้งไปทั่วทั้งโถงถ้ำจนแทบจะบดบังทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงเท่านั้นกระแสพลังแปลกประหลาดจากแสงสีดำก็ยังคงถูกส่งออกมาจากด้านล่างอย่างต่อเนื่อง

แท้จริงแล้วแสงสีดำนี้ออกมาพร้อมกับหมอกพิษ จากใต้ฐานบัลลังก์ทอง เมื่อไม่มีบัลลังก์เรืองรองบดบังมันก็คล้ายจะเข้มข้นขึ้นจนน่าหวาดหวั่น

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้ว จู่ ๆ นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างประหลาด เป็นลางสังหรณ์ที่น่ากลัวเหลือเกิน

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดข้าก็ได้ออกมาเสียที !”

เสียงแหบแห้งชวนขนหัวลุกเสียงหนึ่งก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้องโถง ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่เห็นว่าหมอกสีดำเกือบทั้งหมดหมุนวนก่อนจะหลอมรวมกันในชั่วพริบตาและปรากฏเป็นรูปร่างของคนผู้หนึ่ง บุคคลปริศนาผู้กำเนิดจากหมอกกำลังยืนอยู่ในจุดที่เคยเป็นที่ตั้งของบัลลังก์

“ทำได้ดีมาก” เสียงบุรุษเสียงเดิมดังอีกครั้ง

เนื่องจากบุรุษผู้นั้นยังคงถูกหมอกสีดำปกคลุมทำให้มองเห็นรูปลักษณ์ได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าสิ่งที่รับรู้ได้อย่างแจ่มแจ้งคือกลิ่นอายของเขาแปลกประหลาด อีกทั้งสภาวะพลังที่ทุกคนสัมผัสได้จากตัวคนผู้นี้ก็แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัว

ผู้ที่บุรุษปริศนากำลังชื่นชมก็คือ ภูผาทมิฬและพวกพ้อง

“ขอบคุณนายท่าน”

อสูรผู้เปลี่ยนไปทั้งสี่คุกเข่าลงไปกับพื้น ก่อนจะทำการคารวะบุรุษผู้กำเนิดจากหมอกด้วยความนอบน้อมสรรเสริญ

“หึ ! ภูผาทมิฬ ชะนี วิฬาร ลิ่น พวกเจ้าจงใจทำเช่นนี้สินะ !”

หงส์แดงตะโกนใส่อดีตสหายร่วมถิ่นด้วยความโกรธเคือง นางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

อาไป๋และเพลิงขมวดคิ้ว พวกเขามองอสูรทั้งสี่ด้วยสายตางุนงง ไม่ทราบเลยว่าเหตุใดสหายจึงต้องทำเช่นนั้น

“ฮ่า ๆ ๆ มองออกตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว !”

ภูผาทมิฬหัวเราะออกมา สีหน้าแววตาของมันในตอนนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มันไม่ใช่ภูผาทมิฬตนเดิมเป็นแน่ ทั้งท่าทางและวาจาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับถูกปีศาจโฉดชั่วครอบงำอย่างสมบูรณ์

“พวกเจ้าคงจะถูกพลังของคนผู้นั้นแทรกซึมเข้าไปในจิตใจมานานแล้วสินะ ถึงได้ตกเป็นทาส ยอมรับใช้และเชื่อฟังคำสั่งของเขาเช่นนี้ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่เห็นว่าภูผาทมิฬเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางเข้ามาในถ้ำแล้วก็ตาม ทว่าในตอนนั้น อดีตนักฆ่าสาวก็ยังไม่แน่ใจในจุดประสงค์ที่ชัดเจนของพวกมัน

ในตอนนี้เมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดมารวมกัน คุณหนูตระกูลฉินก็เข้าใจแล้ว อสูรทั้งสี่รวมถึงหัวหน้าของพวกมันคงกังวลว่าถ้านางเข้ามาจนถึงโถงแห่งนี้และทราบว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้ผนึกและกักขังบุคคลปริศนา ก็มีความเป็นไปได้ส่วนหนึ่งว่านางอาจจะกระทำบางอย่างเพื่อเพิ่มพลังให้กับผนึกให้แน่นหนาขึ้น ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นกรณีนั้นหัวหน้าของพวกมันก็อาจจะแทบไม่เหลือโอกาสได้ออกมาเลยเป็นแน่

“ฮ่า ๆ ๆ ฉลาดนี่สาวน้อย แต่เจ้ารู้แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ?”

ภูผาทมิฬยิ้มเย้ย ต่อให้ฉินอวี้โม่เข้าใจเรื่องราวในตอนนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ นั่นเพราะเจ้านายของพวกมันหลุดออกมาจากผนึกแล้ว ขอเพียงนายท่านเป็นอิสระ แค่พริบตาเดียวก็คงจัดการเอาชีวิตของนางและอสูรทั้งสามได้แล้ว

“ภูผาทมิฬ เจ้าทำได้ดีมาก ดูเหมือนข้าจะต้องตกรางวัลให้เจ้าเสียหน่อยแล้ว”

บุรุษปริศนาเอ่ย แม้วาจาจะชื่นชมแต่น้ำเสียงกลับฟังดูเย็นชาชวนขนลุก ทันใดนั้นกระแสพลังแปลกประหลาดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายที่ถูกกลุ่มหมอกปกคลุม กระแสพลังนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ร่างของภูผาทมิฬอย่างรวดเร็ว

ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ฉินอวี้โม่และอสูรตนอื่น ๆ ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

ใบหน้าแสนภาคภูมิใจของภูผาทมิฬนั้นซีดเผือดไปในทันที เพียงชั่วพริบตาร่างของอสูรเผ่าพันธุ์หมีก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหมอกสีดำล่องลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะถูกดูดเข้าไปรวมกับร่างกับบุรุษที่มันคารวะกราบไหว้

“ในเมื่อข้าได้เป็นอิสระแล้ว เจ้าก็หมดประโยชน์ ผู้ไร้ประโยชน์เพียงหายใจก็ทำให้แผ่นดินแปดเปื้อนได้ แต่ไหน ๆ ก็เกิดมาทั้งที ก็จงทำตนให้มีค่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการเป็นเครื่องสังเวยให้ข้าผู้นี้ฟื้นฟูพลังเสีย แค่นี้ก็ไม่เกิดมาเสียเปล่าแล้ว ฮ่า ๆ ๆ”

บุรุษปริศนาเอ่ยถ้อยคำชั่วช้าพลางหัวเราะเสียงดังลั่น ทั้งการกระทำและวาจาเลือดเย็นอำมหิตอย่างไร้ที่เปรียบ

วิฬารหางสั้นและสหายอีกสองตนหนาวสะท้านทันทีที่ได้เห็นความตายอย่างกะทันหันของภูผาทมิฬ  ใบหน้าของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นกลัวถึงขีดสุด

“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร ?!”

ชะนีแขนยาวตวาดใส่บุรุษปริศนาด้วยความโกรธ สีหน้าของมันเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่ต้องเห็นสหายตายไปต่อหน้า

“หึ เหตุใดต้องถาม ก็เห็นชัดว่า ข้ากำลังจะส่งพวกเจ้าไปปรโลก !”

บุรุษปริศนาไม่หยุดเพียงเท่านั้น หมอกสีดำพุ่งเข้าใส่ชะนีแขนยาวอย่างรวดเร็ว

ในพริบตาอสูรเผ่าวานรก็สลายกลายเป็นหมอกไปไม่ต่างจากภูผาทมิฬ ไม่มีเวลาให้มันได้ตั้งรับแม้แต่น้อย

“เจ้ามันปีศาจชัด ๆ!”

สีหน้าของวิฬารหางสิ้นบิดเบี้ยว มันกระโดดเข้าจู่โจมชายปริศนาโดยไม่ลังเล ผู้ใดจะยอมถูกสังหารไปได้โดยง่าย ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรมันก็ขอสู้ตาย

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าสัญญากับพวกเจ้าว่า หากพวกเจ้าปลดปล่อยข้าได้สำเร็จข้าก็จะช่วยทำให้พวกเจ้าเป็นอิสระเช่นกัน ก็นี่อย่างไรเล่า  ความตายก็นับเป็นหนทางหนึ่งที่พวกเจ้าจะเป็นอิสระได้มิใช่หรือ ?”

บุรุษปริศนากล่าววาจาไม่ทุกข์ร้อน ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวหลบการโจมตีของวิฬารหางสั้นได้ง่ายราวกับบิดขี้เกียจ

ยังไม่ทันสิ้นสุดการโจมตีอันล้มเหลว วิฬารหางสั้นก็ถูกหมอกสีดำปกคลุมและสลายกลายเป็นกลุ่มหมอกไปอีกหนึ่งตัว

เมื่อลิ่นพงไพรเห็นสภาพของสหายทั้งสามมันก็หวาดกลัวถึงสุดขีด แม้อยากจะหนีเพียงใด ทว่าด้วยความหวาดกลัวก็ทำให้มันขาก้าวไม่ออก

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่จำเป็นต้องหนีให้เหนื่อยหรอก !”

บุรุษปริศนายิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะเปลี่ยนลิ่นพงไพรให้กลายเป็นหมอกสีดำแล้วดูดกลืนเข้ามาเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ กว่าอสูรที่เหลือและฉินอวี้โม่จะเรียกสติกลับคืนมาได้รวมถึงรับรู้ในสิ่งเกิดขึ้นก็เป็นตอนที่อสูรทั้งสี่ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาลเสียแล้ว

มังกรเหมันต์นั้น เมื่อเห็นท่าไม่ดีมันก็รีบพุ่งตัวหลบหนีไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม บุรุษปริศนากลับไม่คิดจะไล่ล่ามัน เขาปล่อยให้มังกรน้ำแข็งในร่างมนุษย์หนีออกไปโดยไม่ใส่ใจ

“ฮ่า ๆ ๆ ออกมาได้ครู่เดียวก็ฟื้นพลังกลับมาได้มากมายขนาดนี้แล้ว เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

บุรุษผู้ชั่วร้ายระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง เวลานี้สภาวะพลังของเขาดูจะแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก โดยเฉพาะหมอกมืดมิดที่ล่องลอยออกมาจากร่างกายนั้นทำให้ทั้งฉินอวี้โม่และสหายอสูรของนางรู้สึกอึดอัดจนยากจะหายใจ

“ทีนี้ก็เหลือแค่พวกเจ้าแล้ว”

คนปริศนามองไปที่ฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้ายปนหฤหรรษ์ คนผู้นี้มิใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจที่ไล่เข่นฆ่าผู้อื่นอย่างสนุกสนาน

เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าปีศาจร้ายตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจแล้วว่ามันคงไม่ยินยอมให้พวกนางออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน !

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 193 บุรุษปริศนา

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 193 บุรุษปริศนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของมังกรเหมันต์ และยิ่งเมื่อได้เห็นมันกำลังยื่นมือออกไปคว้าก้อนแสง ฉินอวี้โม่ก็อาการตื่นตระหนกปนขุ่นเคือง นางเบี่ยงหลบการโจมตีสุดท้ายของภูผาทมิฬ ก่อนที่ร่างบางจะหายวับไป

“เจ้ามาจากไหนกัน ?!”

ภูผาทมิฬไม่คิดจะไล่ติดตามฉินอวี้โม่อีก เมื่อเข้าใจการกระทำหน้าไม่อายของอสูรในร่างมนุษย์ผู้มาใหม่แล้ว มันก็รับหันคมอาวุธเข้าไปหาและพุ่งเข้าจู่โจมทันที

“ฮ่า ๆ ๆ สายไปแล้ว !”

มังกรเหมันต์หัวเราะเย้ยหยัน ขณะนี้มือของมันเกือบจะเอื้อมถึงก้อนแสงแล้ว

ทว่าในเวลานั้นเอง การเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น

จู่ ๆ ก้อนแสงที่หมุนขว้างอยู่ก็หมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ อย่างบ้าคลั่ง

— ตูม ! — 

ในที่สุดก้อนแสงก็ระเบิดออก เสียงดังสนั่นก้องสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ หากผู้ที่อยู่ภายในนี้มิใช่จอมยุทธ์หรืออสูรมายาก็เกรงว่าจะต้องสูญเสียการได้ยินไปเป็นแน่

ทว่าการระเบิดตัวเองอย่างกะทันหันของก้อนแสงนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่มองเห็นว่ามันแตกกระจายเป็นชิ้น ๆ แล้วหายไปในอากาศราวกับไม่เคยมีอยู่

“บัดซบ !”

มังกรเหมันต์ที่อยู่ใกล้ก้อนแสงที่สุดผงะไป ขณะเดียวกันร่างกายของมันก็กระเด็นถอยหลังไปด้านหลังจากแรงระเบิด หากมิใช่เพราะร่างกายนี้แข็งแกร่งอย่างเหลือล้นและตัวมันปลดปล่อยพลังป้องกันออกมาได้ทันการณ์ มังกรจากแดนหิมะก็อาจจะกลายเป็นมังกรย่างหนังเกรียมไปแล้ว

สีหน้าของภูผาทมิฬบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด อสูรตระกูลหมีตะโกนใส่มังกรเหมันต์ด้วยความขุ่นเคือง “ไอ้ตัวบัดซบ เพราะเจ้าแท้ ๆ ทำบ้าอะไรห๊ะ ?! ก้อนแสงระเบิดหายไปไม่มีเหลือเลย !”

“เจ้าโง่ ตาบอดรึไง ? ข้ายังไม่ทันจะสัมผัสมันเลยด้วยซ้ำ ก้อนแสงนั่นมันระเบิดของมันเองต่างหากเล่า !”

มังกรเหมันต์ตะโกนตอบโต้ด้วยวาจาเผ็ดร้อนไม่ต่างกัน เดิมทีมันคิดว่าวันนี้คงจะได้ชุบมือเปิบชิงสมบัติล้ำค่ากลับไปโดยไม่ต้องเสียแรง ทว่าผู้ใดจะคาดคิด มือของมันยังไม่ทันจะสัมผัสกับสิ่งใด เจ้าก้อนแสงใจเสาะกลับระเบิดหายไปเสียก่อน

ในตอนนี้ แผนยืมมือผู้อื่นเอาสมบัติของมันล้มเหลวไม่เป็นท่า ที่สำคัญ ในขณะนี้ศัตรูทั้งสองกลุ่มที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่ก็เปลี่ยนมาเป็นจับจ้องมันอย่างอาฆาต สำหรับมังกรเหมันต์ หากจะหนีตอนนี้ก็คงจะไม่ง่ายแล้ว

อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นถึงมังกรเฒ่าที่ผ่านโลกมามาก เรื่องเล็กเท่านี้ย่อมมีหนทางเอาตัวรอดเสมอ ขอเพียงแต่ต้องหาให้เจอเท่านั้น มังกรมากประสบการณ์เร่งรีบครุ่นคิด ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ

“อสูรหมี เจ้ามีเรื่องบาดหมางกับสตรีมนุษย์ผู้นั้นใช่หรือไม่ ? ตัวข้าผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีความแค้นกับนาง ในเมื่อมีศัตรูร่วมกันเช่นนี้ เหตุใดเราทั้งสองไม่ร่วมมือกันกำจัดนางก่อนเล่า ?”

มังกรเหมันต์กล่าวขณะหรี่ตามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่ชั่วร้าย

เมื่อได้ยินข้อเสนอของมังกรเหมันต์ ภูผาทมิฬก็หันไปมองฉินอวี้โม่อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ไหนเจ้าลองบอกมาซิ ที่ว่าร่วมมือกันมันเป็นอย่างไร”

‘ศัตรูของศัตรูคือมิตรชั้นยอด’ คำกล่าวนี้ยังคงใช้ได้ทุกยุคสมัย ภูผาทมิฬเองก็เข้าใจดี ไม่ว่าจะดูอย่างไรมังกรเหมันต์ก็ไม่น่าใช่ผู้มีคุณธรรม อสูรตนนี้ไว้ใจไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่าถ้าหากเป็นแค่การร่วมมือชั่วคราวก็คงไม่มีปัญหา

“ง่ายมาก พวกเราก็ร่วมมือกันเด็ดหัวมนุษย์ผู้นั้นแล้วชิงสมบัติของนางมา แน่นอนว่าข้าจะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น สมบัติที่ชิงมาได้จะยกให้พวกเจ้าทั้งหมด”

มังกรเหมันต์กระหยิ่มยิ้มย่องพลางบอกเล่าแผนการอันชั่วช้า

ภูผาทมิฬพยักหน้า เป็นแผนที่ฟังดูน่าสนใจระดับหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผลประโยชน์ที่จะได้ก็ล่อตาล่อใจเหลือเกิน  “เช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่า”

หมีดำในร่างบุรุษกวาดสายตาประเมินสถานการณ์โดยรอบชั่วขณะ ก่อนที่มันจะร้องบอกสหายเสียงดังลั่น “พวกเจ้าทั้งสามเข้าไปขัดขวาง เพลิง อาไป๋กับหงส์แดง ข้ากับเจ้านั่นจะเข้าไปจัดการมนุษย์ผู้นี้เอง !”

มังกรเหมันต์แสยะยิ้มพึงพอใจ ทั้งมันและภูผาทมิฬค่อย ๆ สาวเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ

“เอ๊ะ !”

เมื่อเห็นอสูรสวรรค์ระดับสูงทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น ในตอนที่นางคิดจะเรียกกองทัพอสูรมายาของตนออกมา พริบตานั้นนางก็ได้ยินเสียงอุทานของมารยาดังมาจากจุดที่ไม่ห่างจากนางมากนัก

อสูรสาวกำลังเพ่งมองไปยังทิศทางหนึ่ง สายตาของมันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ปนตกตะลึง

“นั่นมันอะไรน่ะ ?!”

ในเวลาเดียวกัน วิฬารหางสั้นเองก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ มันจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกับมารยา ใบหน้ามีแต่ความฉงน

ภูผาทมิฬและมังกรเหมันต์หยุดฝีเท้าของตัวเองในทันใด เสียงตื่นตกใจของพวกพ้องทำให้มันต้องหันไปมองสิ่งปริศนานั้น

ณ จุดศูนย์กลางของโถงถ้ำที่ซึ่งมีบัลลังก์สีทองตั้งอยู่กำลังเกิดเรื่องประหลาด บัดนี้บัลลังก์ที่เคยเป็นสีทองอร่ามเรืองรองกลับเปล่งแสงสีดำสนิทน่าหวาดหวั่น นอกเหนือจากแสงนั้นแล้วยังมีหมอกสีดำลอยออกมาจากจุดที่อยู่ใต้ฐานของบัลลังก์นั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักทั่วทั้งห้องก็ถูกหมอกสีดำเข้าปกคลุมจนมิด มันแทรกซึมผ่านผิวหนังผ่านเข้าไปสู่ร่างกายภายในจนรู้สึกได้

“แปลกมาก ! เป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดจริง ๆ!”

ทันทีที่หมอกสีทะมึนไหลผ่านเข้ามาในร่างกาย ฉินอวี้โม่ก็พบว่าสภาวะพลังภายในร่างกายเกิดความผันผวนอย่างบ้าคลั่ง อย่างไรก็ตามด้วยความพิเศษของกายเทพมายาก็ทำให้นางสามารถขจัดหมอกอันตรายที่รุกล้ำเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังคอยกีดกันหมอกบางส่วนที่พยายามเข้าสู่ร่างนี้ได้ด้วย

“อะไรกัน ! ทำไมพลังของข้าถึงได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ?!”

ชะนีแขนยาวอุทานแตกตื่น แววตาของมันเต็มไปด้วยความกลัวและตื่นตระหนก อสูรเผ่าวานรรู้สึกว่าพลังมายาภายในร่างกายกำลังเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งที่เคยมีก็ลดทอนลงไปจนน่าหวาดหวั่น

ภูผาทมิฬและพวกพ้องขมวดคิ้ว อาไป๋ หงส์แดงและเพลิงเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกัน

หมอกสีดำที่กระจายอยู่ในอากาศทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้แต่อสูรสวรรค์ระดับจักรพรรดิอย่างพวกมันก็ยังไม่สามารถต้านทานได้

หมอกพิษบุกรุกเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วอึดใจพลังของพวกมันก็ลดระดับลงจนน่าวิตก

“ช่วยกันทำลายบัลลังก์เร็วเข้า !”

ภูผาทมิฬกล่าวออกมาอย่างร้อนรน อสูรเผ่าพันธุ์หมีรุดเข้าไปด้านข้างบัลลังก์โดยไม่รอช้าก่อนจะซัดกำปั้นเข้าใส่บัลลังก์อย่างแรง

— ปัง ! —

กำปั้นของภูผาทมิฬปะทะบัลลังก์สีทองที่กำลังปลดปล่อยหมอกสีดำออกมาเกิดเป็นเสียงดังสนั่น

อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่เกิดผลใด ๆ ต่อบัลลังก์นั้นเลยสักนิด ดูเหมือนว่าการโจมตีของภูผาทมิฬจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่บัลลังก์ทองได้

นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์แต่ภูผาทมิฬคือหมีดำที่มีพละกำลังมหาศาล เพียงพละกำลังของมันนั้นกล่าวได้เต็มปากว่าเหนือกว่าอสูรมายาทุกตัวที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ทว่าเวลานี้กำปั้นของมันกลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย นี่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า บัลลังก์ทองที่กำลังเปล่งแสงสีดำน่าหวาดหวั่นอยู่กลางห้องมีความแข็งแกร่งมหาศาล

“รีบมาช่วยข้าสิ !”

ภูผาทมิฬหันไปตวาดสหายอีกสามตนเสียงดังลั่น มันตั้งใจระดมกำลังทำลายบัลลังก์สีทอง

มังกรเหมันต์นั้นได้แต่ยืนนิ่งค้าง มันยังลังเลกับเหตุการณ์ตรงหน้า ‘…เจ้าพวกโง่นั่นคิดสิ่งใดอยู่ หากมัวแต่ทำลายบัลลังก์นั่นแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ? เหตุใดไม่รีบใช้โอกาสนี้ชิงสมบัติมาแล้วเผ่นหนีออกไปให้พ้นจากที่นี่เสียเล่า ?’

ทางด้านหงส์แดง เมื่อเห็นว่าภูผาทมิฬจะทำลายต้นตอที่ปล่อยหมอกพิษก็เตรียมจะเข้าไปช่วย ถ้าหากยังปล่อยให้มีหมอกพิษในอากาศเพิ่มปริมาณขึ้นมากกว่านี้ เกรงว่าพลังมายาในร่างกายของพวกมันจะสลายหายไปจนหมดสิ้นและคงไม่พ้นต้องจบชีวิตอยู่ในถ้ำแห่งนี้ก่อนจะคลายคำสาปของดินแดนต้องห้ามได้สำเร็จเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม อสูรสาวกลับถูกฉินอวี้โม่ที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน

“หงส์แดง ยังไม่ต้องเข้าไป”

เมื่อได้วาจาของผู้เป็นนาย หงส์แดงก็หยุดการกระทำของตัวเอง แม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดเจ้านายสาวถึงไม่ให้มันเข้าไปช่วย ทว่ามันก็ยังต้องเชื่อฟังนายหญิงของตน

ฝ่ายอาไป๋และเพลิงหันมามองหน้ากัน อสูรหนุ่มทั้งสองยังคงยืนอยู่กับที่โดยไม่คิดเข้าไปช่วยภูผาทมิฬ ทั้งคู่นับเป็นอสูรสวรรค์ผู้มีปัญญาเป็นเลิศ ความปราดเปรื่องของสองอสูรหนุ่มเหนือกว่าผู้ใดในหมู่สหายจักรพรรดิอสูรสวรรค์ทั้งเจ็ด ตอนนี้พวกมันกำลังมองเห็นความไม่ชอบมาพากลบางประการของเรื่องนี้

— ปัง ! ปัง ! —

— ตูม ! ตูม ! ตูม ! —

การโจมตีมากมายหลายกระบวนท่าซัดกระหน่ำเข้าใส่บัลลังก์สีทองอย่างต่อเนื่องรัวเร็วไม่หยุดยั้ง กระทั่งในที่สุดรูปร่างของบัลลังก์ทองก็เริ่มบิดเบี้ยวแล้ว

— ปัง ! —

เมื่อการโจมตีครั้งที่เจ็ดของภูผาทมิฬกระแทกเข้าใส่ บัลลังก์ทองก็ไม่สามารถทนทานได้อีกต่อไป มันบุบบู้บี้และเปลี่ยนกลายเป็นเพียงก้อนโลหะไร้รูปร่างในที่สุด

ทันทีที่บัลลังก์ทองพังยับเยินไป หมอกสีดำจำนวนมหาศาลก็ทะลักทลายออกมาจากจุดที่บัลลังก์เคยตั้งอยู่ และความมหาศาลนั้นก็มากมายกว่าครั้งก่อนหน้านับสิบเท่า ขณะนี้หมอกพิษสีทะมึนคละคลุ้งไปทั่วทั้งโถงถ้ำจนแทบจะบดบังทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงเท่านั้นกระแสพลังแปลกประหลาดจากแสงสีดำก็ยังคงถูกส่งออกมาจากด้านล่างอย่างต่อเนื่อง

แท้จริงแล้วแสงสีดำนี้ออกมาพร้อมกับหมอกพิษ จากใต้ฐานบัลลังก์ทอง เมื่อไม่มีบัลลังก์เรืองรองบดบังมันก็คล้ายจะเข้มข้นขึ้นจนน่าหวาดหวั่น

ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้ว จู่ ๆ นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างประหลาด เป็นลางสังหรณ์ที่น่ากลัวเหลือเกิน

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดข้าก็ได้ออกมาเสียที !”

เสียงแหบแห้งชวนขนหัวลุกเสียงหนึ่งก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้องโถง ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่เห็นว่าหมอกสีดำเกือบทั้งหมดหมุนวนก่อนจะหลอมรวมกันในชั่วพริบตาและปรากฏเป็นรูปร่างของคนผู้หนึ่ง บุคคลปริศนาผู้กำเนิดจากหมอกกำลังยืนอยู่ในจุดที่เคยเป็นที่ตั้งของบัลลังก์

“ทำได้ดีมาก” เสียงบุรุษเสียงเดิมดังอีกครั้ง

เนื่องจากบุรุษผู้นั้นยังคงถูกหมอกสีดำปกคลุมทำให้มองเห็นรูปลักษณ์ได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าสิ่งที่รับรู้ได้อย่างแจ่มแจ้งคือกลิ่นอายของเขาแปลกประหลาด อีกทั้งสภาวะพลังที่ทุกคนสัมผัสได้จากตัวคนผู้นี้ก็แข็งแกร่งอย่างน่าหวาดกลัว

ผู้ที่บุรุษปริศนากำลังชื่นชมก็คือ ภูผาทมิฬและพวกพ้อง

“ขอบคุณนายท่าน”

อสูรผู้เปลี่ยนไปทั้งสี่คุกเข่าลงไปกับพื้น ก่อนจะทำการคารวะบุรุษผู้กำเนิดจากหมอกด้วยความนอบน้อมสรรเสริญ

“หึ ! ภูผาทมิฬ ชะนี วิฬาร ลิ่น พวกเจ้าจงใจทำเช่นนี้สินะ !”

หงส์แดงตะโกนใส่อดีตสหายร่วมถิ่นด้วยความโกรธเคือง นางไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

อาไป๋และเพลิงขมวดคิ้ว พวกเขามองอสูรทั้งสี่ด้วยสายตางุนงง ไม่ทราบเลยว่าเหตุใดสหายจึงต้องทำเช่นนั้น

“ฮ่า ๆ ๆ มองออกตอนนี้มันก็สายเกินไปแล้ว !”

ภูผาทมิฬหัวเราะออกมา สีหน้าแววตาของมันในตอนนี้เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มันไม่ใช่ภูผาทมิฬตนเดิมเป็นแน่ ทั้งท่าทางและวาจาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับถูกปีศาจโฉดชั่วครอบงำอย่างสมบูรณ์

“พวกเจ้าคงจะถูกพลังของคนผู้นั้นแทรกซึมเข้าไปในจิตใจมานานแล้วสินะ ถึงได้ตกเป็นทาส ยอมรับใช้และเชื่อฟังคำสั่งของเขาเช่นนี้ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ตอนที่เห็นว่าภูผาทมิฬเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางเข้ามาในถ้ำแล้วก็ตาม ทว่าในตอนนั้น อดีตนักฆ่าสาวก็ยังไม่แน่ใจในจุดประสงค์ที่ชัดเจนของพวกมัน

ในตอนนี้เมื่อนำเรื่องราวทั้งหมดมารวมกัน คุณหนูตระกูลฉินก็เข้าใจแล้ว อสูรทั้งสี่รวมถึงหัวหน้าของพวกมันคงกังวลว่าถ้านางเข้ามาจนถึงโถงแห่งนี้และทราบว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ใช้ผนึกและกักขังบุคคลปริศนา ก็มีความเป็นไปได้ส่วนหนึ่งว่านางอาจจะกระทำบางอย่างเพื่อเพิ่มพลังให้กับผนึกให้แน่นหนาขึ้น ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นกรณีนั้นหัวหน้าของพวกมันก็อาจจะแทบไม่เหลือโอกาสได้ออกมาเลยเป็นแน่

“ฮ่า ๆ ๆ ฉลาดนี่สาวน้อย แต่เจ้ารู้แล้วเจ้าจะทำอะไรได้ ?”

ภูผาทมิฬยิ้มเย้ย ต่อให้ฉินอวี้โม่เข้าใจเรื่องราวในตอนนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้ นั่นเพราะเจ้านายของพวกมันหลุดออกมาจากผนึกแล้ว ขอเพียงนายท่านเป็นอิสระ แค่พริบตาเดียวก็คงจัดการเอาชีวิตของนางและอสูรทั้งสามได้แล้ว

“ภูผาทมิฬ เจ้าทำได้ดีมาก ดูเหมือนข้าจะต้องตกรางวัลให้เจ้าเสียหน่อยแล้ว”

บุรุษปริศนาเอ่ย แม้วาจาจะชื่นชมแต่น้ำเสียงกลับฟังดูเย็นชาชวนขนลุก ทันใดนั้นกระแสพลังแปลกประหลาดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายที่ถูกกลุ่มหมอกปกคลุม กระแสพลังนั้นพุ่งตรงเข้าสู่ร่างของภูผาทมิฬอย่างรวดเร็ว

ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ฉินอวี้โม่และอสูรตนอื่น ๆ ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

ใบหน้าแสนภาคภูมิใจของภูผาทมิฬนั้นซีดเผือดไปในทันที เพียงชั่วพริบตาร่างของอสูรเผ่าพันธุ์หมีก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหมอกสีดำล่องลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะถูกดูดเข้าไปรวมกับร่างกับบุรุษที่มันคารวะกราบไหว้

“ในเมื่อข้าได้เป็นอิสระแล้ว เจ้าก็หมดประโยชน์ ผู้ไร้ประโยชน์เพียงหายใจก็ทำให้แผ่นดินแปดเปื้อนได้ แต่ไหน ๆ ก็เกิดมาทั้งที ก็จงทำตนให้มีค่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการเป็นเครื่องสังเวยให้ข้าผู้นี้ฟื้นฟูพลังเสีย แค่นี้ก็ไม่เกิดมาเสียเปล่าแล้ว ฮ่า ๆ ๆ”

บุรุษปริศนาเอ่ยถ้อยคำชั่วช้าพลางหัวเราะเสียงดังลั่น ทั้งการกระทำและวาจาเลือดเย็นอำมหิตอย่างไร้ที่เปรียบ

วิฬารหางสั้นและสหายอีกสองตนหนาวสะท้านทันทีที่ได้เห็นความตายอย่างกะทันหันของภูผาทมิฬ  ใบหน้าของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นตื่นกลัวถึงขีดสุด

“นี่เจ้าคิดจะทำอะไร ?!”

ชะนีแขนยาวตวาดใส่บุรุษปริศนาด้วยความโกรธ สีหน้าของมันเจ็บปวดเป็นอย่างมากที่ต้องเห็นสหายตายไปต่อหน้า

“หึ เหตุใดต้องถาม ก็เห็นชัดว่า ข้ากำลังจะส่งพวกเจ้าไปปรโลก !”

บุรุษปริศนาไม่หยุดเพียงเท่านั้น หมอกสีดำพุ่งเข้าใส่ชะนีแขนยาวอย่างรวดเร็ว

ในพริบตาอสูรเผ่าวานรก็สลายกลายเป็นหมอกไปไม่ต่างจากภูผาทมิฬ ไม่มีเวลาให้มันได้ตั้งรับแม้แต่น้อย

“เจ้ามันปีศาจชัด ๆ!”

สีหน้าของวิฬารหางสิ้นบิดเบี้ยว มันกระโดดเข้าจู่โจมชายปริศนาโดยไม่ลังเล ผู้ใดจะยอมถูกสังหารไปได้โดยง่าย ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรมันก็ขอสู้ตาย

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าสัญญากับพวกเจ้าว่า หากพวกเจ้าปลดปล่อยข้าได้สำเร็จข้าก็จะช่วยทำให้พวกเจ้าเป็นอิสระเช่นกัน ก็นี่อย่างไรเล่า  ความตายก็นับเป็นหนทางหนึ่งที่พวกเจ้าจะเป็นอิสระได้มิใช่หรือ ?”

บุรุษปริศนากล่าววาจาไม่ทุกข์ร้อน ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวหลบการโจมตีของวิฬารหางสั้นได้ง่ายราวกับบิดขี้เกียจ

ยังไม่ทันสิ้นสุดการโจมตีอันล้มเหลว วิฬารหางสั้นก็ถูกหมอกสีดำปกคลุมและสลายกลายเป็นกลุ่มหมอกไปอีกหนึ่งตัว

เมื่อลิ่นพงไพรเห็นสภาพของสหายทั้งสามมันก็หวาดกลัวถึงสุดขีด แม้อยากจะหนีเพียงใด ทว่าด้วยความหวาดกลัวก็ทำให้มันขาก้าวไม่ออก

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่จำเป็นต้องหนีให้เหนื่อยหรอก !”

บุรุษปริศนายิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะเปลี่ยนลิ่นพงไพรให้กลายเป็นหมอกสีดำแล้วดูดกลืนเข้ามาเพื่อเพิ่มพลังของตัวเอง

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ กว่าอสูรที่เหลือและฉินอวี้โม่จะเรียกสติกลับคืนมาได้รวมถึงรับรู้ในสิ่งเกิดขึ้นก็เป็นตอนที่อสูรทั้งสี่ลาจากโลกนี้ไปตลอดกาลเสียแล้ว

มังกรเหมันต์นั้น เมื่อเห็นท่าไม่ดีมันก็รีบพุ่งตัวหลบหนีไปยังทางออกอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม บุรุษปริศนากลับไม่คิดจะไล่ล่ามัน เขาปล่อยให้มังกรน้ำแข็งในร่างมนุษย์หนีออกไปโดยไม่ใส่ใจ

“ฮ่า ๆ ๆ ออกมาได้ครู่เดียวก็ฟื้นพลังกลับมาได้มากมายขนาดนี้แล้ว เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

บุรุษผู้ชั่วร้ายระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้ง เวลานี้สภาวะพลังของเขาดูจะแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก โดยเฉพาะหมอกมืดมิดที่ล่องลอยออกมาจากร่างกายนั้นทำให้ทั้งฉินอวี้โม่และสหายอสูรของนางรู้สึกอึดอัดจนยากจะหายใจ

“ทีนี้ก็เหลือแค่พวกเจ้าแล้ว”

คนปริศนามองไปที่ฉินอวี้โม่และอสูรมายาทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้ายปนหฤหรรษ์ คนผู้นี้มิใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจที่ไล่เข่นฆ่าผู้อื่นอย่างสนุกสนาน

เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าปีศาจร้ายตรงหน้า ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจแล้วว่ามันคงไม่ยินยอมให้พวกนางออกไปจากที่แห่งนี้ได้อย่างแน่นอน !

.

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+