คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 452 รอเวลา

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 452 รอเวลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังออกจากซากปรักหักพัง ทุกคนก็กลับสู่ถิ่นฐานเดิมของตนเองตามการดำเนินการของฉินอวี้โม่

พวกเขาทุกคนมิได้แสดงให้ผู้ใดเห็นถึงความผิดปกติใด ๆ และพวกเขายังดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุขเหมือนก่อน เพียงแต่ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างเมืองใหญ่ทั้งหลายลดน้อยลงกว่าเดิมมาก แม้ว่าจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มันก็เป็นเพียงการจงใจแสดงตบตาเท่านั้น

หลังจากฉินหวยและคนอื่น ๆ กลับไปยังเมืองของตนเองตามคำสั่งของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ได้รายงานต่อฉินเหยียนว่าพวกเขาได้ปะทะกับกองทหารหงเฟิงและทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังเผชิญกับความสูญเสียที่ร้ายแรง นอกจากนี้พวกเขาก็ยังนำสมบัติจำนวนมากจากซากปรักหักพังไปมอบให้กับฉินเหยียนเพื่อความแนบเนียน อย่างไรก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นเพียงสมบัติธรรมดาทั่วไปและแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงมิได้ถูกมอบให้กับฉินเหยียน

แม้ฉินเหยียนจะรู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ค้นพบสิ่งใดที่ผิดปกติเลย นางจึงคิดว่าตนเองคงจะคิดมากเกินไป ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยที่ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับเทพมายาในการสำรวจซากปรักหักพังครานี้ ทว่านางก็ยังส่งคนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่ต่อไป

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้เผยพิรุธใด ๆ นางกลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามและอาศัยอยู่ที่นั่นโดยใช้ชีวิตประจำวันเหมือนก่อน

ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว และบุตรตัวน้อยทั้งสองของนางก็ใกล้ที่จะมีอายุครบหนึ่งปี

ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลบุตรทั้งสอง

คู่แฝดชายหญิงเติบโตขึ้นมาก เสี่ยวอ้ายฉือสามารถทรงตัวยืนได้เองและก้าวเดินได้เล็กน้อยอย่างเซไปเซมา ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่เปล่งวาจาได้บางคำและเอ่ยเรียกนางว่า ‘แม่’ ได้แล้ว

เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงเรียกเป็นครั้งแรกจากเสี่ยวอ้ายโม่ นางก็แทบจะบ่อน้ำตาแตกด้วยความตื้นตันและตื่นเต้น ไม่คิดเลยว่าการเป็นแม่คนจะทำให้นางมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นถึงเพียงนี้

“อวี้โม่ อีกสามวันเจ้าหนูน้อยทั้งสองก็จะมีอายุครบหนึ่งปีแล้ว เราจะต้องจัดงานเลี้ยงฉลองกัน”

ป้าหลานกำลังเย้าแหย่เสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งกำลังหัดเดินอย่างทุลักทุเลด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา นางก็ให้การดูแลเจ้าหนูน้อยทั้งสองอย่างเต็มที่จนแทบไม่ได้สนใจการฝึกยุทธ์ของตนเองเลย

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ซาบซึ้งใจกับการกระทำของป้าหลานอย่างที่สุด หากไม่มีป้าหลานคอยช่วยดูแล ด้วยการที่นางไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด การดูแลทารกทั้งสองคนก็คงจะน่าปวดหัวไม่น้อยเลย

“เมื่ออายุครบหนึ่งขวบก็จะต้องมีการทำพิธีจวาโจวสินะ”

* พิธีครบขวบ จวาโจว (抓周) จัดเมื่อเด็กอายุครบขวบโดยมื้อกลางวันมีการรับประทานหมี่อายุมั่นขวัญยืน จากนั้นผู้ใหญ่ในบ้านจะวางข้าวของที่ใช้ในการเสี่ยงทายไว้บนเตียงนอนหรือบนถาดน้ำชา หากเป็นเด็กผู้ชายก็จะวางคัมภีร์ต่าง ๆ ของจีน พุทธคัมภีร์ กระดาษ พู่กัน ตราประทับ จานฝนหมึก ลูกคิด สมุดบัญชี ของเล่นหรืออาหาร หากเป็นเด็กผู้หญิงก็จะวางช้อน ส้อม กรรไกร ไม้บรรทัด และเครื่องมือเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ ไว้ ผู้ใหญ่จะอุ้มเด็กและให้เด็กเลือกหยิบของที่ตนเองถูกใจ แล้วทำการทำนายอนาคตเด็กจากของสิ่งนั้น  การเสี่ยงทายเช่นนี้อาจมีไว้เพื่อสร้างความรื่นเริงให้แก่ครอบครัวที่มีเด็กเกิดใหม่ เมื่อเสร็จพิธีครบขวบก็เป็นอันสิ้นสุดพิธีเกี่ยวกับการเกิด

ฉินอวี้โม่จำได้จากตำราว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่อายุครบหนึ่งปี พวกเขาจะต้องทำพิธีจวาโจวเพื่อให้ครบพิธีการเกิด แม้ตัวนางเป็นคนสมัยใหม่และมองว่าพิธีครบขวบนี้มีไว้เพียงเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน ทว่าหากมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะดำเนินตามรอยเพื่อสร้างความสนุกสนานรื่นเริงเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ถูกต้อง อ้ายฉือและอ้ายโม่ทั้งเงียบและไม่ดื้อมากนัก ข้าสงสัยยิ่งนักว่าทั้งสองจะเลือกสิ่งใดในพิธีจวาโจว”

ป้าหลานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้มีอยู่จริง ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพราะกังวลว่าฉินอวี้โม่จะมองว่ามันยุ่งยาก ทว่าครานี้ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาก่อนเอง

“ถ้าเช่นนั้นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหนูทั้งสอง เราจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่สร้างความรื่นเริงให้กับผู้คนทั่วทั้งเมืองเพลิงมายา”

หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “เวลาก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะคืบหน้ากันไปถึงไหนแล้ว”

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าจะคืบหน้าหรือพัฒนาเพียงใดก็ไม่มากเท่าเจ้าหรอก”

ป้าหลานหัวเราะคิกคักและถอนหายใจเบา ๆ บัดนี้ฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นหกแล้ว อีกทั้งยังเข้าใกล้ขอบเขตเซียนขั้นเจ็ดเต็มที นางอดถอนหายใจให้กับพรสวรรค์อันน่าทึ่งนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางมองเห็นความพยายามและทุ่มเทของฉินอวี้โม่เช่นกัน นางจึงไม่แปลกใจกับความสำเร็จในปัจจุบันของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบโดยไม่เอ่ยวาจาใด ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางพัฒนาขึ้นมากจริง ๆ ภายในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา อสูรมายาของนางก็เผชิญกับทัณฑ์สายฟ้าไปตาม ๆ กัน และหลังจากที่ผ่านพ้นทัณฑ์สายฟ้า พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นอสูรเซียน

การทะลวงระดับพลังของอสูรมายาทั้งหลายเหล่านี้ก็ส่งผลประโยชน์ต่อนางเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากหานอวี้ข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าแปดขั้นไปได้ซึ่งทำให้นางทะลวงพลังก้าวกระโดดมาถึงระดับสูงสุดของขอบเขตเซียนขั้นหก นางต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการปรับสภาวะพลังให้คงที่และก็พึงพอใจอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน เวลานี้นางเพียงต้องรวมตัวกับคนอื่น ๆ เพื่อหารือเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปที่เมืองมายา

“เราควรเชิญฉินขุย ฉินจินและฉินเฟิงด้วยรึไม่ ?”

ป้าหลานยิ้มและกำลังจะออกไปเตรียมการ ทว่าก่อนออกไป นางเอ่ยถามความเห็นของฉินอวี้โม่

“อย่าเลย หากใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไป มันอาจทำให้ฉินเหยียนนึกสงสัยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ นางเชื่อว่าการเก็บตัวและไม่กระทำสิ่งใดโจ่งแจ้งคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้

ป้าหลานเห็นด้วยและออกไปเตรียมความพร้อมเพื่อส่งคนไปแจ้งเลี่ยหยาง จูเฟยชวี่และคนอื่น ๆ จากนั้นนางก็หารือกับซูวั่งชวนและสวี่ซิ่ว รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อม

ณ วันที่เจ้าหนูน้อยทั้งสองอายุครบหนึ่งขวบ จูเฟยชวี่ เลี่ยหยางและคนอื่น ๆ ก็เดินทางมายังชนเผ่าเมฆาครามตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมของขวัญที่พวกเขาเตรียมไว้แล้ว

ฉินอวี้โม่มีความสุขอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าพวกเขามาถึง นางอุ้มบุตรทั้งสองและออกไปต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่พบกันเสียนาน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของอวี้โม่จะพัฒนาขึ้นมาก”

เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็อดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังของอวี้โม่ในตอนนี้เหนือกว่าตนเองเสียอีก

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหนูทั้งสองก็ตัวโตขึ้นมาก”

เลี่ยหยางมองแฝดชายหญิงในอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข

“มาสิ นี่คือของขวัญวันเกิดที่ข้าเตรียมไว้ให้ ถึงแม้ข้าทราบดีว่าแม่ของพวกเจ้าไม่ขาดแคลนสิ่งใด สิ่งนี้ก็เป็นของขวัญจากใจของข้า”

เลี่ยหยางยื่นของที่เตรียมไว้ให้กับฉินอ้ายฉือและหานอ้ายโม่

ทั้งสองหัวเราะคิกคักและยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปรับของด้วยท่าทางมีความสุขอย่างที่สุด

จูเฟยชวี่ก็ยื่นแหวนมิติสองวงที่เตรียมไว้ให้กับเด็กทั้งสองเช่นกัน ภายในนั้นคือของขวัญที่เขาเตรียมไว้แล้ว

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธน้ำใจของพวกเขาเหล่านี้ แม้ว่าสำหรับนางแล้วของขวัญที่จูเฟยชวี่และเลี่ยหยางมอบให้นั้นจะไม่ได้มีค่ามากนัก อย่างไรก็ตาม นี่ก็มาจากความจริงใจของพวกเขาและนางไม่มีทางปฏิเสธ

“ขอบคุณท่านทั้งสองแทนลูกของข้าด้วยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและขอบคุณพวกเขาแทนเจ้าหนูน้อยทั้งสอง

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องสุภาพมากนักหรอก”

เลี่ยหยางอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขายื่นมือออกไปรับเสี่ยวอ้ายฉือมาอุ้มและหยอกเย้าด้วยความเอ็นดู

จูเฟยชวี่เองก็รับเสี่ยวอ้ายโม่มาอุ้มเช่นกัน สีหน้าของเขาในเวลานี้เปี่ยมด้วยความประคบประหงมเอาใจ พวกเขาทั้งสองแสดงความรักและเอ็นดูต่อเด็กแฝดทั้งสองอย่างยิ่ง

“ขอดูหน่อยเถอะว่าหลาน ๆ ของข้าน่ารักน่าชังแค่ไหนแล้ว”

แม้อยู่ในระยะที่ห่างออกไป เสียงของซูน่าก็ดังมาถึงฉินอวี้โม่ จากนั้นซูน่าในอาภรณ์สีแดงสดก็วิ่งโร่เข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มกว้าง

ตลอดช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นางและอาอู่ออกไปท่องโลกฝึกยุทธ์ด้วยกัน เมื่อนับวันเวลาและพบว่าใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิดของหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกนางจึงรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว

ซูน่าเดินตรงเข้าไปหาเลี่ยหยางและจูเฟยชวี่เพื่อรับเจ้าหนูน้อยทั้งสองมาอุ้มไว้และกอดด้วยความคิดถึงทีละคน

“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ พวกเจ้ายังจำน้าคนนี้ได้ไหม ?”

ซูน่าจรดริมฝีปากแนบแก้มจ้ำม่ำของตัวน้อยทั้งสองด้วยความรักและเอ็นดูอย่างที่สุด

“อี๋~ อี๋…”

*姨 อี๋ แปลว่าน้าสาว 

เมื่อเสียงเรียกคำว่า ‘น้า’ จากเสี่ยวอ้ายโม่ดังขึ้น ซูน่าก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีด

“อวี้โม่ เจ้าได้ยินรึไม่ ? เสี่ยวอ้ายโม่เรียกข้า”

ซูน่าไม่รอฟังคำตอบของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำขณะกล่าวกับเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือ “หอมแก้มน้าเร็วเข้า”

เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือหัวเราะคิกคักจนตาหยีและขยับริมฝีปากประทับแก้มของซูน่าอย่างเบา ๆ

“เอาล่ะ เจ้าเพิ่งกลับมา ไปล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวแขกน่าจะมาถึงกันแล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับซูน่าผู้ซึ่งมีสีหน้าแสดงถึงความสุขอย่างชัดเจนก่อนรับเด็กทั้งสองกลับมาในอ้อมแขน

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปรีบมา”

ซูน่ารีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางกระตือรือร้นอย่างที่สุด

“อาอู่ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็พัฒนาขึ้นมากและเจ้าก็โตขึ้นมากเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเมื่อมองไปยังอาอู่ผู้ซึ่งยืนนิ่งใจเย็นด้วยใบหน้าที่เผยเพียงรอยยิ้มบาง ๆ

เมื่อได้ยินคำชมของพี่สาวอีกคน แน่นอนว่าอาอู่ย่อมมีความสุขอย่างยิ่ง เขามองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาลังเลเล็กน้อย

“มาสิ มาอุ้มเจ้าหนูน้อยทั้งสอง”

แววตาท่าทีลังเลของอาอู่ทำให้ฉินอวี้โม่คาดเดาความคิดของเขาได้ นางจึงกล่าวเชิญชวนให้เขาลองอุ้มบุตรทั้งสองในอ้อมแขน

“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ นี่คือน้าอาอู่”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับบุตรทั้งสองเบา ๆ เด็กน้อยดูจะมีความจำดีและนางเชื่อว่าทั้งสองจำอาอู่ได้อย่างแน่นอน

“จิ๊บ… จิ๊บ…”

ดูเหมือนว่าเสี่ยวอ้ายโม่พยายามส่งเสียงเรียก ‘น้า’ ทว่ามันกลับกลายเป็นเสียงร้องของวิหคจนทุกคนอดหัวเราะพรวดไม่ได้

*舅舅 จิ้วจิ่ว แปลว่าน้าชาย

“เราออกไปข้างนอกกันเถอะ หลายคนเริ่มมารอกันแล้ว”

จู่ ๆ ซูวั่งชวนก็เดินเข้ามา ชาวเมืองเพลิงมายาส่วนใหญ่มาถึงกันแล้วและกำลังรอพบกับฉินอวี้โม่

เมื่อทราบเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนก็เดินออกไปด้วยกัน

นางอุ้มเสี่ยวอ้ายฉือไว้ในอ้อมกอด ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่ดูจะชื่นชอบอาอู่เป็นพิเศษและยังคงหัวเราะคิกคักชอบใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา

ณ ทุ่งหญ้าข้างนอก นางและคนอื่น ๆ ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง พวกเขาก็ยืนขึ้นทันทีและยิ้มทักทาย

ฉินอวี้โม่ทักทายพวกเขาเหล่านั้นทีละคนก่อนหาที่นั่งของตนเอง

ชาวชนเผ่าเมฆาครามวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเที่ยงและพวกเขาต้องให้การต้อนรับแขกเป็นอย่างดี

หลังจากหายไปครู่ใหญ่ ซูน่าก็กลับมาอีกครั้ง นางรับเสี่ยวอ้ายฉือจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และไปอยู่ข้างอาอู่ผู้ซึ่งอุ้มเสี่ยวอ้ายโม่ไว้ ทั้งสองเล่นสนุกด้วยกันอย่างมีความสุข

“ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว ความแข็งแกร่งของทุกคนก็เพิ่มขึ้นมาก ข้าคิดว่าพวกเราใกล้ที่จะพร้อมกันแล้ว”

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงพลังของทุกคนโดยรวมและตระหนักว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทุกคนแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

“พวกเราต่างก็พร้อมกันแล้ว รอเพียงให้ท่านเทพมายาออกคำสั่ง และเราจะเริ่มดำเนินการทันที”

ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าของพวกเขาในเวลานี้แสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

พวกเขาพร้อมสำหรับ ‘ภารกิจสำคัญ’ แล้ว ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวากหนามยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นแววตามั่นใจของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ แม้ไม่ทราบว่าการเตรียมตัวของทุกคนเป็นอย่างไร นางก็เชื่อว่าพวกเขาคงจะเตรียมตัวกันเป็นอย่างดี

บัดนี้พวกเขารอเพียงเวลาเท่านั้น…เวลาที่เหมาะสม…เวลาที่จะประจันหน้ากับฉินเหยียน

“ฮ่า ๆ ๆ ครึกครื้นดีจริงเชียว เหตุใดถึงไม่เรียกพวกเรามาด้วยเล่า ?”

ในขณะที่สนทนาพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงหัวเราะของคนหลายคนก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นใบหน้าของหลายคนที่คุ้นเคยก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

.

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 452 รอเวลา

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 452 รอเวลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังออกจากซากปรักหักพัง ทุกคนก็กลับสู่ถิ่นฐานเดิมของตนเองตามการดำเนินการของฉินอวี้โม่

พวกเขาทุกคนมิได้แสดงให้ผู้ใดเห็นถึงความผิดปกติใด ๆ และพวกเขายังดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุขเหมือนก่อน เพียงแต่ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างเมืองใหญ่ทั้งหลายลดน้อยลงกว่าเดิมมาก แม้ว่าจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว มันก็เป็นเพียงการจงใจแสดงตบตาเท่านั้น

หลังจากฉินหวยและคนอื่น ๆ กลับไปยังเมืองของตนเองตามคำสั่งของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ได้รายงานต่อฉินเหยียนว่าพวกเขาได้ปะทะกับกองทหารหงเฟิงและทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังเผชิญกับความสูญเสียที่ร้ายแรง นอกจากนี้พวกเขาก็ยังนำสมบัติจำนวนมากจากซากปรักหักพังไปมอบให้กับฉินเหยียนเพื่อความแนบเนียน อย่างไรก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นเพียงสมบัติธรรมดาทั่วไปและแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงมิได้ถูกมอบให้กับฉินเหยียน

แม้ฉินเหยียนจะรู้สึกตงิดใจเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ค้นพบสิ่งใดที่ผิดปกติเลย นางจึงคิดว่าตนเองคงจะคิดมากเกินไป ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยที่ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับเทพมายาในการสำรวจซากปรักหักพังครานี้ ทว่านางก็ยังส่งคนออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับเทพมายาคนใหม่ต่อไป

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้เผยพิรุธใด ๆ นางกลับไปที่ชนเผ่าเมฆาครามและอาศัยอยู่ที่นั่นโดยใช้ชีวิตประจำวันเหมือนก่อน

ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว และบุตรตัวน้อยทั้งสองของนางก็ใกล้ที่จะมีอายุครบหนึ่งปี

ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากการฝึกยุทธ์ ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูแลบุตรทั้งสอง

คู่แฝดชายหญิงเติบโตขึ้นมาก เสี่ยวอ้ายฉือสามารถทรงตัวยืนได้เองและก้าวเดินได้เล็กน้อยอย่างเซไปเซมา ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่เปล่งวาจาได้บางคำและเอ่ยเรียกนางว่า ‘แม่’ ได้แล้ว

เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงเรียกเป็นครั้งแรกจากเสี่ยวอ้ายโม่ นางก็แทบจะบ่อน้ำตาแตกด้วยความตื้นตันและตื่นเต้น ไม่คิดเลยว่าการเป็นแม่คนจะทำให้นางมีความสุขอย่างเปี่ยมล้นถึงเพียงนี้

“อวี้โม่ อีกสามวันเจ้าหนูน้อยทั้งสองก็จะมีอายุครบหนึ่งปีแล้ว เราจะต้องจัดงานเลี้ยงฉลองกัน”

ป้าหลานกำลังเย้าแหย่เสี่ยวอ้ายฉือผู้ซึ่งกำลังหัดเดินอย่างทุลักทุเลด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา นางก็ให้การดูแลเจ้าหนูน้อยทั้งสองอย่างเต็มที่จนแทบไม่ได้สนใจการฝึกยุทธ์ของตนเองเลย

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ซาบซึ้งใจกับการกระทำของป้าหลานอย่างที่สุด หากไม่มีป้าหลานคอยช่วยดูแล ด้วยการที่นางไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด การดูแลทารกทั้งสองคนก็คงจะน่าปวดหัวไม่น้อยเลย

“เมื่ออายุครบหนึ่งขวบก็จะต้องมีการทำพิธีจวาโจวสินะ”

* พิธีครบขวบ จวาโจว (抓周) จัดเมื่อเด็กอายุครบขวบโดยมื้อกลางวันมีการรับประทานหมี่อายุมั่นขวัญยืน จากนั้นผู้ใหญ่ในบ้านจะวางข้าวของที่ใช้ในการเสี่ยงทายไว้บนเตียงนอนหรือบนถาดน้ำชา หากเป็นเด็กผู้ชายก็จะวางคัมภีร์ต่าง ๆ ของจีน พุทธคัมภีร์ กระดาษ พู่กัน ตราประทับ จานฝนหมึก ลูกคิด สมุดบัญชี ของเล่นหรืออาหาร หากเป็นเด็กผู้หญิงก็จะวางช้อน ส้อม กรรไกร ไม้บรรทัด และเครื่องมือเย็บปักถักร้อยต่าง ๆ ไว้ ผู้ใหญ่จะอุ้มเด็กและให้เด็กเลือกหยิบของที่ตนเองถูกใจ แล้วทำการทำนายอนาคตเด็กจากของสิ่งนั้น  การเสี่ยงทายเช่นนี้อาจมีไว้เพื่อสร้างความรื่นเริงให้แก่ครอบครัวที่มีเด็กเกิดใหม่ เมื่อเสร็จพิธีครบขวบก็เป็นอันสิ้นสุดพิธีเกี่ยวกับการเกิด

ฉินอวี้โม่จำได้จากตำราว่าเมื่อเด็กเกิดใหม่อายุครบหนึ่งปี พวกเขาจะต้องทำพิธีจวาโจวเพื่อให้ครบพิธีการเกิด แม้ตัวนางเป็นคนสมัยใหม่และมองว่าพิธีครบขวบนี้มีไว้เพียงเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน ทว่าหากมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะดำเนินตามรอยเพื่อสร้างความสนุกสนานรื่นเริงเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ถูกต้อง อ้ายฉือและอ้ายโม่ทั้งเงียบและไม่ดื้อมากนัก ข้าสงสัยยิ่งนักว่าทั้งสองจะเลือกสิ่งใดในพิธีจวาโจว”

ป้าหลานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้มีอยู่จริง ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพราะกังวลว่าฉินอวี้โม่จะมองว่ามันยุ่งยาก ทว่าครานี้ฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาก่อนเอง

“ถ้าเช่นนั้นเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหนูทั้งสอง เราจะจัดงานเลี้ยงฉลองที่สร้างความรื่นเริงให้กับผู้คนทั่วทั้งเมืองเพลิงมายา”

หลังจากหยุดชั่วคราว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “เวลาก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะคืบหน้ากันไปถึงไหนแล้ว”

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ว่าจะคืบหน้าหรือพัฒนาเพียงใดก็ไม่มากเท่าเจ้าหรอก”

ป้าหลานหัวเราะคิกคักและถอนหายใจเบา ๆ บัดนี้ฉินอวี้โม่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นหกแล้ว อีกทั้งยังเข้าใกล้ขอบเขตเซียนขั้นเจ็ดเต็มที นางอดถอนหายใจให้กับพรสวรรค์อันน่าทึ่งนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางมองเห็นความพยายามและทุ่มเทของฉินอวี้โม่เช่นกัน นางจึงไม่แปลกใจกับความสำเร็จในปัจจุบันของฉินอวี้โม่

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบโดยไม่เอ่ยวาจาใด ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางพัฒนาขึ้นมากจริง ๆ ภายในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา อสูรมายาของนางก็เผชิญกับทัณฑ์สายฟ้าไปตาม ๆ กัน และหลังจากที่ผ่านพ้นทัณฑ์สายฟ้า พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นอสูรเซียน

การทะลวงระดับพลังของอสูรมายาทั้งหลายเหล่านี้ก็ส่งผลประโยชน์ต่อนางเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลังจากหานอวี้ข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าแปดขั้นไปได้ซึ่งทำให้นางทะลวงพลังก้าวกระโดดมาถึงระดับสูงสุดของขอบเขตเซียนขั้นหก นางต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการปรับสภาวะพลังให้คงที่และก็พึงพอใจอย่างยิ่งในเวลาเดียวกัน เวลานี้นางเพียงต้องรวมตัวกับคนอื่น ๆ เพื่อหารือเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางไปที่เมืองมายา

“เราควรเชิญฉินขุย ฉินจินและฉินเฟิงด้วยรึไม่ ?”

ป้าหลานยิ้มและกำลังจะออกไปเตรียมการ ทว่าก่อนออกไป นางเอ่ยถามความเห็นของฉินอวี้โม่

“อย่าเลย หากใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไป มันอาจทำให้ฉินเหยียนนึกสงสัยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ นางเชื่อว่าการเก็บตัวและไม่กระทำสิ่งใดโจ่งแจ้งคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้

ป้าหลานเห็นด้วยและออกไปเตรียมความพร้อมเพื่อส่งคนไปแจ้งเลี่ยหยาง จูเฟยชวี่และคนอื่น ๆ จากนั้นนางก็หารือกับซูวั่งชวนและสวี่ซิ่ว รวมถึงคนอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อม

ณ วันที่เจ้าหนูน้อยทั้งสองอายุครบหนึ่งขวบ จูเฟยชวี่ เลี่ยหยางและคนอื่น ๆ ก็เดินทางมายังชนเผ่าเมฆาครามตั้งแต่เช้าตรู่พร้อมของขวัญที่พวกเขาเตรียมไว้แล้ว

ฉินอวี้โม่มีความสุขอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าพวกเขามาถึง นางอุ้มบุตรทั้งสองและออกไปต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่พบกันเสียนาน ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของอวี้โม่จะพัฒนาขึ้นมาก”

เมื่อได้พบกับฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็อดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ เขาสัมผัสได้ว่าพลังของอวี้โม่ในตอนนี้เหนือกว่าตนเองเสียอีก

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหนูทั้งสองก็ตัวโตขึ้นมาก”

เลี่ยหยางมองแฝดชายหญิงในอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และคลี่ยิ้มอย่างมีความสุข

“มาสิ นี่คือของขวัญวันเกิดที่ข้าเตรียมไว้ให้ ถึงแม้ข้าทราบดีว่าแม่ของพวกเจ้าไม่ขาดแคลนสิ่งใด สิ่งนี้ก็เป็นของขวัญจากใจของข้า”

เลี่ยหยางยื่นของที่เตรียมไว้ให้กับฉินอ้ายฉือและหานอ้ายโม่

ทั้งสองหัวเราะคิกคักและยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปรับของด้วยท่าทางมีความสุขอย่างที่สุด

จูเฟยชวี่ก็ยื่นแหวนมิติสองวงที่เตรียมไว้ให้กับเด็กทั้งสองเช่นกัน ภายในนั้นคือของขวัญที่เขาเตรียมไว้แล้ว

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธน้ำใจของพวกเขาเหล่านี้ แม้ว่าสำหรับนางแล้วของขวัญที่จูเฟยชวี่และเลี่ยหยางมอบให้นั้นจะไม่ได้มีค่ามากนัก อย่างไรก็ตาม นี่ก็มาจากความจริงใจของพวกเขาและนางไม่มีทางปฏิเสธ

“ขอบคุณท่านทั้งสองแทนลูกของข้าด้วยเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและขอบคุณพวกเขาแทนเจ้าหนูน้อยทั้งสอง

“ฮ่า ๆ ๆ ไม่ต้องสุภาพมากนักหรอก”

เลี่ยหยางอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขายื่นมือออกไปรับเสี่ยวอ้ายฉือมาอุ้มและหยอกเย้าด้วยความเอ็นดู

จูเฟยชวี่เองก็รับเสี่ยวอ้ายโม่มาอุ้มเช่นกัน สีหน้าของเขาในเวลานี้เปี่ยมด้วยความประคบประหงมเอาใจ พวกเขาทั้งสองแสดงความรักและเอ็นดูต่อเด็กแฝดทั้งสองอย่างยิ่ง

“ขอดูหน่อยเถอะว่าหลาน ๆ ของข้าน่ารักน่าชังแค่ไหนแล้ว”

แม้อยู่ในระยะที่ห่างออกไป เสียงของซูน่าก็ดังมาถึงฉินอวี้โม่ จากนั้นซูน่าในอาภรณ์สีแดงสดก็วิ่งโร่เข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มกว้าง

ตลอดช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา นางและอาอู่ออกไปท่องโลกฝึกยุทธ์ด้วยกัน เมื่อนับวันเวลาและพบว่าใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิดของหลานตัวน้อยทั้งสอง พวกนางจึงรีบกลับมาอย่างรวดเร็ว

ซูน่าเดินตรงเข้าไปหาเลี่ยหยางและจูเฟยชวี่เพื่อรับเจ้าหนูน้อยทั้งสองมาอุ้มไว้และกอดด้วยความคิดถึงทีละคน

“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ พวกเจ้ายังจำน้าคนนี้ได้ไหม ?”

ซูน่าจรดริมฝีปากแนบแก้มจ้ำม่ำของตัวน้อยทั้งสองด้วยความรักและเอ็นดูอย่างที่สุด

“อี๋~ อี๋…”

*姨 อี๋ แปลว่าน้าสาว 

เมื่อเสียงเรียกคำว่า ‘น้า’ จากเสี่ยวอ้ายโม่ดังขึ้น ซูน่าก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจสุดขีด

“อวี้โม่ เจ้าได้ยินรึไม่ ? เสี่ยวอ้ายโม่เรียกข้า”

ซูน่าไม่รอฟังคำตอบของฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำขณะกล่าวกับเสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือ “หอมแก้มน้าเร็วเข้า”

เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือหัวเราะคิกคักจนตาหยีและขยับริมฝีปากประทับแก้มของซูน่าอย่างเบา ๆ

“เอาล่ะ เจ้าเพิ่งกลับมา ไปล้างตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวแขกน่าจะมาถึงกันแล้ว”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับซูน่าผู้ซึ่งมีสีหน้าแสดงถึงความสุขอย่างชัดเจนก่อนรับเด็กทั้งสองกลับมาในอ้อมแขน

“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไปรีบมา”

ซูน่ารีบวิ่งออกไปด้วยท่าทางกระตือรือร้นอย่างที่สุด

“อาอู่ ความแข็งแกร่งของเจ้าก็พัฒนาขึ้นมากและเจ้าก็โตขึ้นมากเช่นกัน”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเมื่อมองไปยังอาอู่ผู้ซึ่งยืนนิ่งใจเย็นด้วยใบหน้าที่เผยเพียงรอยยิ้มบาง ๆ

เมื่อได้ยินคำชมของพี่สาวอีกคน แน่นอนว่าอาอู่ย่อมมีความสุขอย่างยิ่ง เขามองเด็กน้อยทั้งสองด้วยแววตาลังเลเล็กน้อย

“มาสิ มาอุ้มเจ้าหนูน้อยทั้งสอง”

แววตาท่าทีลังเลของอาอู่ทำให้ฉินอวี้โม่คาดเดาความคิดของเขาได้ นางจึงกล่าวเชิญชวนให้เขาลองอุ้มบุตรทั้งสองในอ้อมแขน

“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ นี่คือน้าอาอู่”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับบุตรทั้งสองเบา ๆ เด็กน้อยดูจะมีความจำดีและนางเชื่อว่าทั้งสองจำอาอู่ได้อย่างแน่นอน

“จิ๊บ… จิ๊บ…”

ดูเหมือนว่าเสี่ยวอ้ายโม่พยายามส่งเสียงเรียก ‘น้า’ ทว่ามันกลับกลายเป็นเสียงร้องของวิหคจนทุกคนอดหัวเราะพรวดไม่ได้

*舅舅 จิ้วจิ่ว แปลว่าน้าชาย

“เราออกไปข้างนอกกันเถอะ หลายคนเริ่มมารอกันแล้ว”

จู่ ๆ ซูวั่งชวนก็เดินเข้ามา ชาวเมืองเพลิงมายาส่วนใหญ่มาถึงกันแล้วและกำลังรอพบกับฉินอวี้โม่

เมื่อทราบเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และทุกคนก็เดินออกไปด้วยกัน

นางอุ้มเสี่ยวอ้ายฉือไว้ในอ้อมกอด ในขณะที่เสี่ยวอ้ายโม่ดูจะชื่นชอบอาอู่เป็นพิเศษและยังคงหัวเราะคิกคักชอบใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา

ณ ทุ่งหญ้าข้างนอก นางและคนอื่น ๆ ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มาถึง พวกเขาก็ยืนขึ้นทันทีและยิ้มทักทาย

ฉินอวี้โม่ทักทายพวกเขาเหล่านั้นทีละคนก่อนหาที่นั่งของตนเอง

ชาวชนเผ่าเมฆาครามวุ่นอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเที่ยงและพวกเขาต้องให้การต้อนรับแขกเป็นอย่างดี

หลังจากหายไปครู่ใหญ่ ซูน่าก็กลับมาอีกครั้ง นางรับเสี่ยวอ้ายฉือจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และไปอยู่ข้างอาอู่ผู้ซึ่งอุ้มเสี่ยวอ้ายโม่ไว้ ทั้งสองเล่นสนุกด้วยกันอย่างมีความสุข

“ผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว ความแข็งแกร่งของทุกคนก็เพิ่มขึ้นมาก ข้าคิดว่าพวกเราใกล้ที่จะพร้อมกันแล้ว”

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงพลังของทุกคนโดยรวมและตระหนักว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมา ทุกคนแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก

“พวกเราต่างก็พร้อมกันแล้ว รอเพียงให้ท่านเทพมายาออกคำสั่ง และเราจะเริ่มดำเนินการทันที”

ทุกคนพยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียง สีหน้าของพวกเขาในเวลานี้แสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม

พวกเขาพร้อมสำหรับ ‘ภารกิจสำคัญ’ แล้ว ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวากหนามยากลำบากเพียงใด พวกเขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นแววตามั่นใจของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะด้วยความพึงพอใจ แม้ไม่ทราบว่าการเตรียมตัวของทุกคนเป็นอย่างไร นางก็เชื่อว่าพวกเขาคงจะเตรียมตัวกันเป็นอย่างดี

บัดนี้พวกเขารอเพียงเวลาเท่านั้น…เวลาที่เหมาะสม…เวลาที่จะประจันหน้ากับฉินเหยียน

“ฮ่า ๆ ๆ ครึกครื้นดีจริงเชียว เหตุใดถึงไม่เรียกพวกเรามาด้วยเล่า ?”

ในขณะที่สนทนาพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงหัวเราะของคนหลายคนก็ดังขึ้นในหูของทุกคนอย่างชัดเจน จากนั้นใบหน้าของหลายคนที่คุ้นเคยก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้า

.

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+