คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 461 ช่วงเวลาแห่งวิกฤต

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 461 ช่วงเวลาแห่งวิกฤต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาถามให้มากความ นางจรดริมฝีปากแนบหน้าผากเพื่อบอกลาบุตรน้อยทั้งสองโดยบอกเพียงว่ากำลังยุ่งมากก่อนมุ่งหน้าออกจากมิติพิเศษพร้อมมารยาและหานอวี้

แม้ว่าเด็กแฝดทั้งสองจะไม่เข้าใจนัก แต่ทั้งสองก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีและมิได้ร้องไห้งอแงที่ต้องจากมารดาอีกครา เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ จะทำหน้าที่ดูแลพวกเขาซึ่งช่วยให้ฉินอวี้โม่วางใจได้

หลังออกจากมิติพิเศษ หนึ่งมนุษย์สองอสูรมายาก็ปรากฏกายขึ้นมาที่ชั้นหนึ่งของหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็ว

“นายหญิง ผลึกหัวใจมายาอยู่บนชั้นที่เจ็ดของหอคอยนี้ เราไปเก็บมันมาก่อนเถอะ จากนั้นเราก็จะทำลายหอคอยต้องห้ามนี้เสีย ตอนนี้สงครามนอกเมืองเพลิงมายาไม่สู้ดีนัก เราต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็ว มิฉะนั้นพวกเขาอาจต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย”

มารยาอธิบายกับฉินอวี้โม่อย่างรวบรัดขณะก้าวเดินไปด้วยกัน

ฉินอวี้โม่กังวลใจขึ้นมาเมื่อได้ทราบสถานการณ์นอกเมืองเพลิงมายาในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจดีว่าสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือสิ่งใดและเดินขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของหอคอยต้องห้ามแห่งนี้

เมื่อมาถึงจุดหมาย ทั้งสามก็พบว่าทั่วทั้งชั้นที่เจ็ดของหอคอยมีเพียงความว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งล้ำค่าหรือแม้แต่สิ่งประดับตกแต่งใด ๆ

“นายหญิง ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือนั่นมีข่ายอาคมลวงตาปิดบังอยู่ ไม่แปลกที่ท่านจะมองไม่เห็นมัน”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคม มารยาจึงค้นพบผลึกหัวใจมายาที่ตามหาทันทีและกล่าวบอกผู้เป็นนาย

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในคำพูดของมารยาและไม่มีข้อสงสัยใด นางรีบจ้ำอ้าวตรงไปที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือตามคำบอกทันที

ทว่าเพียงครู่เดียว สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ฉินอวี้โม่มองเห็นโต๊ะตัวหนึ่งปรากฏตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่มารยากล่าวไว้ บนโต๊ะตัวนั้นมีผลึกรูปทรงหัวใจวางอยู่ซึ่งน่าจะเป็นผลึกหัวใจมายาที่นางตามหานั่นเอง

ก่อนที่จะสำรวจหรือพินิจพิเคราะห์ใด ๆ นางรีบหยิบผลึกดังกล่าวเก็บลงในแหวนมิติอย่างไว รวมถึงกล่องใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งก็ถูกเก็บลงในแหวนมิติเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกนางก็กลับลงไปยังชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่จำได้ดีจากวาจาของบรรพชนเทพมายาว่าหากต้องการทำลายหอคอยต้องห้าม นางต้องไปที่ชั้นแรกของหอคอยและทำลายเสาหลักของมันเสีย

นางเริ่มจากการเปิดประตูหอคอยต้องห้ามและเหลือบมองเสาหลักขนาดใหญ่ในชั้นแรกของหอคอยก่อนที่ลูกไฟขนาดใหญ่จะปรากฏในมือ

นางไม่รอช้าและปล่อยลูกเพลิงร้อนแรงพุ่งตรงไปยังเสาหลักต้นนั้นทันที

ตู้ม !

ด้วยเสียงปะทะดังสนั่น เสาหลักของหอคอยต้องห้ามแห่งเมืองมายาก็พังทลายกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านปลิวว่อนและตัวอาคารหอคอยเริ่มสั่นคลอน

“ไปเร็ว !”

หนึ่งมนุษย์สองอสูรก็ไม่รอช้าวิ่งออกจากหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็วก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองเพลิงมายา

หลังจากทั้งสามก้าวพ้นออกไป มีเพียงเสียงพังทลายเท่านั้นที่ดังสนั่นอยู่เบื้องหลัง หอคอยต้องห้ามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลกมายามาช้านานในเวลานี้กลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผงปลิวว่อนกลางอากาศ

“สวรรค์ ! หอคอยต้องห้ามถล่มลงมาแล้ว เห็นทีว่านี่คงจะเป็นผลจากความโกรธเกรี้ยวของเทพมายาเมื่อได้เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันของเรา !”

ภายในเมืองมายามีคนทั่วไปหลายคนที่ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นหอคอยต้องห้ามพังทลายลง สีหน้าของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงและความหวาดกลัว

หอคอยต้องห้ามคือสัญลักษณ์ของโลกมายาและบัดนี้เมื่อมันถล่มลงมาอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้พวกเขายอมรับไม่ได้ไปชั่วขณะ

“จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เดิมทีโลกมายาของเราถูกสร้างขึ้นโดยเทพมายา ทว่าพวกเราทั้งหมดกลับจำนนต่อผู้ทรยศและทำหลายสิ่งหลายอย่างให้คนผู้นั้น หากท่านเทพมายาไม่โกรธเกรี้ยวก็คงเป็นเรื่องแปลก ตอนนี้หอคอยต้องห้ามก็ถล่มลงมาแล้ว เกรงว่านี่คือสัญญาณเตือนจากท่านเทพมายา หากเรายังไม่สำนึกผิด ต่อไปสิ่งที่ต้องสลายหายไปก็คงจะเป็นโลกมายาของเรา”

อีกคนกล่าวด้วยความหวาดกลัว ทว่าเขาเชื่ออย่างที่กล่าวออกไปจริง ๆ

“อา… ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรต่อไป ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนกทันที

“เราควรปฏิญาณความจงรักภักดีต่อท่านเทพมายา มิฉะนั้นหากโลกมายาต้องล่มสลายจริง เราคงต้องสลายหายไปพร้อมกับมัน ข้ายังไม่อยากตายในตอนนี้”

อีกคนกล่าวความคิดของตนและเสนอให้ทุกคนปฏิญาณตนและยอมจำนนต่อเทพมายาโดยที่ไม่มีวันทรยศอีก เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาก็คล้อยตามในทันที พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะทรยศอีกต่อไป

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ล่วงรู้เลยว่าการถล่มทลายของหอคอยต้องห้ามจะก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อชาวเมืองมายาเช่นนี้ บัดนี้นางอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวขณะมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเพลิงมายาอย่างรวดเร็วพลางวิงวอนในหัวใจหวังมิให้ไปถึงที่นั่นสายเกินไป

ในขณะเดียวกัน ภายในคฤหาสน์หรูหรางดงามในดินแดนเทพมายา โฉมนารีงดงามผู้หนึ่งซึ่งกำลังหลับตานิ่งก็ลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“หอคอยต้องห้ามแหลกสลายแล้ว !”

นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเจือความเยือกเย็นดุจดั่งน้ำแข็ง

“เทพมายาคนใหม่… เจ้าปรากฏตัวขึ้นแล้วจริง ๆ !”

นางกล่าวต่ออีกประโยคก่อนที่ร่างของนางจะหายวับไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

…..

ณ นอกเมืองเพลิงมายา การต่อสู้ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งตลอดทั้งวันทั้งคืน

ต้องกล่าวเลยว่าฉินเหยียนและคนอื่น ๆ แข็งแกร่งยิ่งนัก แม้ว่าฝ่ายเมืองเพลิงมายาจะมีคนจำนวนมาก พวกเขาก็มิอาจครองชัยได้เลย

การต่อสู้ที่ยาวนานตลอดวันตลอดคืนไม่เพียงแต่จะไม่สามารถขับไล่ฉินเหยียนและพวกออกไปเท่านั้น ทว่ายังทำให้พวกเขาบาดเจ็บและเริ่มอ่อนแรงพอสมควร

ฉินขุยและฉินจินร่วมมือกันต่อสู้กับฉินเหว่ย และการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มต้นด้วยการต่อสู้อย่างเท่าเทียม ทว่าหลังจากการต่อสู้อันดุเดือดยาวนาน พวกเขาก็ค่อย ๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ฉินเหว่ยเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตพสุธาเซียน ไม่ว่าจะเป็นพลัง ความแข็งแกร่งทางร่างกายหรือพลังวิญญาณ เขาก็เหนือชั้นกว่าทั้งสองมาก

หากมิใช่เพราะอสูรมายาของพวกเขาที่มีส่วนช่วยได้มาก เกรงว่าพวกเขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย ฉินจิน อยากจะเห็นนักว่าพวกเจ้าจะทนสู้ได้นานแค่ไหน !”

แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ค่อย ๆ อ่อนแอลงของทั้งสอง ฉินเหว่ยก็ยิ้มอย่างผู้ชนะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

เขายังมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้ หากมันถูกนำมาใช้ ฉินขุยและฉินจินคงไม่มีโอกาสแสดงฝีมือได้อีก

“เหอะ !”

ฉินขุยและฉินจินเกียจคร้านเกินกว่าจะใส่ใจกับวาจาเยาะเย้ยของฉินเหว่ยและเพียงจู่โจมเขาต่อไปอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามถ่วงเวลาให้ได้นานยิ่งขึ้น

แท้ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดที่จะเอาชนะฉินเหว่ยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรแล้วความแข็งแกร่งของฉินเหว่ยก็เหนือกว่าพวกเขาทั้งสองและเป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียน พวกเขาเพียงคิดที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุดเท่านั้น

“เหอะ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นอสูรมายาของข้า”

เมื่อเริ่มหมดความอดทนกับอสูรมายาของฉินขุยและฉินจิน ฉินเหว่ยก็แค่นเสียงเย็นชาและตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมืออีก

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา อสูรมายาที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวก็ปรากฏตัวถัดจากเขา

แม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดยิ่งนัก ทว่ามันก็ทำให้สีหน้าของฉินขุยและฉินจินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

“เหอะ นี่คืออสูรโบราณที่ท่านป้ามอบให้ข้า—อัปลักษณ์ อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะรับมืออย่างไร !”

ฉินเหว่ยแค่นเสียงเย็นชา ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการต่อสู้ให้ยืดเยื้ออีกต่อไปแล้วและเชื่อว่าอสูรมายาของเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถเอาชนะฉินขุยและฉินจินได้

อัปลักษณ์… เพียงชื่อของมันก็บ่งบอกถึงความน่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว รูปร่างของมันเป็นสีดำสนิทและมีขนาดไม่ใหญ่นัก มันไม่มีจมูกที่เห็นได้ชัดด้วยซ้ำแต่ก็แผ่กลิ่นอายที่รุนแรงอย่างยิ่ง

“โฮกกก…”

เจ้าอัปลักษณ์อ้าปากคำรามอย่างน่าขนลุก

แรงดึงดูดทรงพลังที่แผ่ออกมาและอสูรมายาสองตัวของฉินขุยและฉินจินก็ถูกดูดเข้าไปในปากกว้างของมันโดยตรง

“เอิ๊กกก~”

มันส่งเสียงที่เหมือนกับเสียงเรอออกมาและหน้าตาน่าเกลียดของมันก็แสดงถึงความพึงพอใจอย่างยิ่ง

เมื่อสัมผัสได้ว่าขาดการเชื่อมต่อกับอสูรมายาของตนเองแล้ว ทั้งฉินขุยและฉินจินต่างก็ตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าเจ้าอัปลักษณ์ตัวนี้จะน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มันสามารถกลืนกินอสูรมายาของพวกเขาทั้งสองได้โดยตรง

“วะฮะฮ่า ! เป็นอย่างไร ? อสูรของข้าไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ?”

เมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฉินขุยและฉินจิน ฉินเหว่ยก็แสยะยิ้มและหัวเราะเสียงดังก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

“ไม่ต้องห่วง เมื่อมันย่อยสลายอสูรมายาทั้งสอง พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหารของมันในไม่ช้า”

ฉินเหว่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงยโสโอหัง

“ฉินขุย ฉินจิน ถอยไปก่อนเถอะ พวกท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา !”

แน่นอนว่าฉินเฟิงก็รับรู้สถานการณ์ของพวกเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและกล่าวเตือนเสียงดัง

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง ทั้งสองก็รีบถอยออกไปไกลทันที

ผลัวะ !

หลังละสายตาเพียงชั่วขณะ ฉินเฟิงก็ถูกฝ่ามือของฉินเหยียนฟาดเข้าใส่อย่างแรงจนกระเด็นออกไปและร่วงลงกระแทกพื้น

“พรวด !”

เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งและกระอักเลือดคำโต ใบหน้าของฉินเฟิงซีดเซียวลงเล็กน้อย

“พี่เฟิง !”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็ตะโกนด้วยความเป็นห่วงทันที นางตะโกนออกไปโดยที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด นางไม่ได้ต้องการทำร้ายฉินเฟิงเลย และในการต่อสู้เมื่อครู่นี้นางก็รู้สึกได้ว่าเขายังยั้งมืออยู่ เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางมิอาจคิดอะไรได้มากนัก

“ท่านลุงฉินเฟิง ท่านเป็นอะไรรึไม่ ?”

ซูน่าและอาอู่ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วและช่วยพยุงฉินเฟิงลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยความกังวล

“ข้าไม่เป็นไร”

ฉินเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ ขณะสายตาของเขาทอดมองไปที่ฉินเหยียนซึ่งอยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นความเป็นห่วงกังวลที่ฉายชัดในแววตาของนาง เขาก็ยิ้มบาง ๆ และไม่ได้เปิดฉากโจมตีอีกต่อไป

ตูม ! ผลัวะ !

ด้วยเสียงโจมตีสองครั้ง ซูวั่งชวนและเลี่ยหยางผู้ซึ่งต่อสู้กับไป๋จั่วก็ถูกฟาดกระเด็นออกมาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรงพร้อมกับกระอักเลือดออกมา

อสูรมายาของพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บโดยฝีมือของอสูรมายาสีขาวเกรียมของฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีพลังในระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและกลิ่นอายของพวกมันก็อ่อนกำลังลงเล็กน้อย

“ท่านปู่ ! ท่านลุงเลี่ยหยาง !”

เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของซูวั่งชวนและเลี่ยหยาง ซูน่าและอาอู่ก็วิ่งปรี่เข้ามาช่วยพยุงพวกเขาโดยเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ ถือว่าฆ่าเวลาได้ดี ทว่าพวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป”

ไป๋จั่วหัวเราะเสียงดังลั่น เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างสุขใจเช่นนี้มานานแล้ว

เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ปรี่เข้ามาตรงหน้าพวกเขาเช่นกัน

พวกเขารู้สึกได้ว่าเลี่ยหยางและซูวั่งชวนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วและประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่ดีเท่าที่เคย ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันในตอนนี้ก็มิอาจเทียบกับอีกฝ่ายได้

ตู้ม !

อีกฟากหนึ่งของการต่อสู้ เฉิงห่าวซวนและซูชิงก็ถูกโจมตีและพ่ายแพ้ให้กับผู้อาวุโสรองเช่นกัน เวลานี้พลังของพวกเขาอ่อนแอลงพอสมควร

“ทุกคนล่าถอยมาก่อนเถอะ !”

เมื่อเห็นว่าทุกคนบาดเจ็บแล้ว ฉินเฟิงก็กล่าวบอกให้ทุกคนล่าถอยออกมาก่อน

แน่นอนว่าเหล่าชาวเมืองเพลิงมายามิได้ลังเล หลังจากการต่อสู้ยาวนานตลอดวันตลอดคืน พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ลดน้อยลงอย่างมาก หากยังดึงดันสู้ต่อไปก็คงมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฝ่ายฉินเหยียนมิได้ไล่ตามพวกเขาทว่ารวมตัวกันข้างหลังนางและรอฟังคำสั่งชี้ขาดของนาง

ในฝ่ายของฉินเหยียน นาง ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรอง ฉินเหว่ยและผู้ที่ติดตามมากับเขาก็มิได้บาดเจ็บนักและพลังของพวกเขาก็ลดลงเพียงเล็กน้อย และสำหรับบรรดาคนที่นางพามาด้วย แม้ว่าได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับฝ่ายเมืองเพลิงมายา แต่อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรงนัก

สำหรับฝ่ายเมืองเพลิงมายา ซูวั่งชวน เลี่ยหยาง ฉินขุย ฉินจินและเฉิงห่าวซวนล้วนได้รับบาดเจ็บพอสมควรและพลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่มากเท่าเดิมอีกต่อไป ฉินเฟิงถูกฉินเหยียนฟาดฝ่ามือโจมตีอย่างแรง แม้ว่าเขายังไม่ได้บาดเจ็บนัก การรับมือกับอีกฝ่ายก็มิใช่เรื่องง่าย เวลานี้ฝ่ายเมืองเพลิงมายาเป็นฝ่ายเสียเปรียบและตกอยู่ในช่วงวิกฤตแล้ว

“ข้ากล่าวไว้แล้วว่าพวกเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา !”

ฉินเหยียนวางท่าและลั่นวาจาเสียงดัง

“แล้วอย่างไรเล่า !?”

ฉินเฟิงตอบกลับในทันที

ฉินเหยียนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าจู่ ๆ ใครบางคนก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นกระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูของนาง ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นคือเรื่องใด มันก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปทันที

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 461 ช่วงเวลาแห่งวิกฤต

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 461 ช่วงเวลาแห่งวิกฤต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาถามให้มากความ นางจรดริมฝีปากแนบหน้าผากเพื่อบอกลาบุตรน้อยทั้งสองโดยบอกเพียงว่ากำลังยุ่งมากก่อนมุ่งหน้าออกจากมิติพิเศษพร้อมมารยาและหานอวี้

แม้ว่าเด็กแฝดทั้งสองจะไม่เข้าใจนัก แต่ทั้งสองก็เชื่อฟังเป็นอย่างดีและมิได้ร้องไห้งอแงที่ต้องจากมารดาอีกครา เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ จะทำหน้าที่ดูแลพวกเขาซึ่งช่วยให้ฉินอวี้โม่วางใจได้

หลังออกจากมิติพิเศษ หนึ่งมนุษย์สองอสูรมายาก็ปรากฏกายขึ้นมาที่ชั้นหนึ่งของหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็ว

“นายหญิง ผลึกหัวใจมายาอยู่บนชั้นที่เจ็ดของหอคอยนี้ เราไปเก็บมันมาก่อนเถอะ จากนั้นเราก็จะทำลายหอคอยต้องห้ามนี้เสีย ตอนนี้สงครามนอกเมืองเพลิงมายาไม่สู้ดีนัก เราต้องรีบไปที่นั่นโดยเร็ว มิฉะนั้นพวกเขาอาจต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย”

มารยาอธิบายกับฉินอวี้โม่อย่างรวบรัดขณะก้าวเดินไปด้วยกัน

ฉินอวี้โม่กังวลใจขึ้นมาเมื่อได้ทราบสถานการณ์นอกเมืองเพลิงมายาในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม นางเข้าใจดีว่าสิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกคือสิ่งใดและเดินขึ้นไปยังชั้นที่เจ็ดซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของหอคอยต้องห้ามแห่งนี้

เมื่อมาถึงจุดหมาย ทั้งสามก็พบว่าทั่วทั้งชั้นที่เจ็ดของหอคอยมีเพียงความว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งล้ำค่าหรือแม้แต่สิ่งประดับตกแต่งใด ๆ

“นายหญิง ตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือนั่นมีข่ายอาคมลวงตาปิดบังอยู่ ไม่แปลกที่ท่านจะมองไม่เห็นมัน”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคม มารยาจึงค้นพบผลึกหัวใจมายาที่ตามหาทันทีและกล่าวบอกผู้เป็นนาย

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในคำพูดของมารยาและไม่มีข้อสงสัยใด นางรีบจ้ำอ้าวตรงไปที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือตามคำบอกทันที

ทว่าเพียงครู่เดียว สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ฉินอวี้โม่มองเห็นโต๊ะตัวหนึ่งปรากฏตรงมุมตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับที่มารยากล่าวไว้ บนโต๊ะตัวนั้นมีผลึกรูปทรงหัวใจวางอยู่ซึ่งน่าจะเป็นผลึกหัวใจมายาที่นางตามหานั่นเอง

ก่อนที่จะสำรวจหรือพินิจพิเคราะห์ใด ๆ นางรีบหยิบผลึกดังกล่าวเก็บลงในแหวนมิติอย่างไว รวมถึงกล่องใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งก็ถูกเก็บลงในแหวนมิติเช่นเดียวกัน จากนั้นพวกนางก็กลับลงไปยังชั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว

ฉินอวี้โม่จำได้ดีจากวาจาของบรรพชนเทพมายาว่าหากต้องการทำลายหอคอยต้องห้าม นางต้องไปที่ชั้นแรกของหอคอยและทำลายเสาหลักของมันเสีย

นางเริ่มจากการเปิดประตูหอคอยต้องห้ามและเหลือบมองเสาหลักขนาดใหญ่ในชั้นแรกของหอคอยก่อนที่ลูกไฟขนาดใหญ่จะปรากฏในมือ

นางไม่รอช้าและปล่อยลูกเพลิงร้อนแรงพุ่งตรงไปยังเสาหลักต้นนั้นทันที

ตู้ม !

ด้วยเสียงปะทะดังสนั่น เสาหลักของหอคอยต้องห้ามแห่งเมืองมายาก็พังทลายกลายเป็นเพียงเถ้าถ่านปลิวว่อนและตัวอาคารหอคอยเริ่มสั่นคลอน

“ไปเร็ว !”

หนึ่งมนุษย์สองอสูรก็ไม่รอช้าวิ่งออกจากหอคอยต้องห้ามอย่างรวดเร็วก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของเมืองเพลิงมายา

หลังจากทั้งสามก้าวพ้นออกไป มีเพียงเสียงพังทลายเท่านั้นที่ดังสนั่นอยู่เบื้องหลัง หอคอยต้องห้ามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลกมายามาช้านานในเวลานี้กลับกลายเป็นเพียงฝุ่นผงปลิวว่อนกลางอากาศ

“สวรรค์ ! หอคอยต้องห้ามถล่มลงมาแล้ว เห็นทีว่านี่คงจะเป็นผลจากความโกรธเกรี้ยวของเทพมายาเมื่อได้เห็นสถานการณ์ในปัจจุบันของเรา !”

ภายในเมืองมายามีคนทั่วไปหลายคนที่ยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่ที่นี่ เมื่อเห็นหอคอยต้องห้ามพังทลายลง สีหน้าของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึงและความหวาดกลัว

หอคอยต้องห้ามคือสัญลักษณ์ของโลกมายาและบัดนี้เมื่อมันถล่มลงมาอย่างกะทันหัน มันก็ทำให้พวกเขายอมรับไม่ได้ไปชั่วขณะ

“จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เดิมทีโลกมายาของเราถูกสร้างขึ้นโดยเทพมายา ทว่าพวกเราทั้งหมดกลับจำนนต่อผู้ทรยศและทำหลายสิ่งหลายอย่างให้คนผู้นั้น หากท่านเทพมายาไม่โกรธเกรี้ยวก็คงเป็นเรื่องแปลก ตอนนี้หอคอยต้องห้ามก็ถล่มลงมาแล้ว เกรงว่านี่คือสัญญาณเตือนจากท่านเทพมายา หากเรายังไม่สำนึกผิด ต่อไปสิ่งที่ต้องสลายหายไปก็คงจะเป็นโลกมายาของเรา”

อีกคนกล่าวด้วยความหวาดกลัว ทว่าเขาเชื่ออย่างที่กล่าวออกไปจริง ๆ

“อา… ถ้าเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรต่อไป ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนเอ่ยถามด้วยความตื่นตระหนกทันที

“เราควรปฏิญาณความจงรักภักดีต่อท่านเทพมายา มิฉะนั้นหากโลกมายาต้องล่มสลายจริง เราคงต้องสลายหายไปพร้อมกับมัน ข้ายังไม่อยากตายในตอนนี้”

อีกคนกล่าวความคิดของตนและเสนอให้ทุกคนปฏิญาณตนและยอมจำนนต่อเทพมายาโดยที่ไม่มีวันทรยศอีก เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาก็คล้อยตามในทันที พวกเขาไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะทรยศอีกต่อไป

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ล่วงรู้เลยว่าการถล่มทลายของหอคอยต้องห้ามจะก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่ต่อชาวเมืองมายาเช่นนี้ บัดนี้นางอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวขณะมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเพลิงมายาอย่างรวดเร็วพลางวิงวอนในหัวใจหวังมิให้ไปถึงที่นั่นสายเกินไป

ในขณะเดียวกัน ภายในคฤหาสน์หรูหรางดงามในดินแดนเทพมายา โฉมนารีงดงามผู้หนึ่งซึ่งกำลังหลับตานิ่งก็ลืมตาโพลงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“หอคอยต้องห้ามแหลกสลายแล้ว !”

นางกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเจือความเยือกเย็นดุจดั่งน้ำแข็ง

“เทพมายาคนใหม่… เจ้าปรากฏตัวขึ้นแล้วจริง ๆ !”

นางกล่าวต่ออีกประโยคก่อนที่ร่างของนางจะหายวับไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

…..

ณ นอกเมืองเพลิงมายา การต่อสู้ดำเนินไปอย่างไม่หยุดยั้งตลอดทั้งวันทั้งคืน

ต้องกล่าวเลยว่าฉินเหยียนและคนอื่น ๆ แข็งแกร่งยิ่งนัก แม้ว่าฝ่ายเมืองเพลิงมายาจะมีคนจำนวนมาก พวกเขาก็มิอาจครองชัยได้เลย

การต่อสู้ที่ยาวนานตลอดวันตลอดคืนไม่เพียงแต่จะไม่สามารถขับไล่ฉินเหยียนและพวกออกไปเท่านั้น ทว่ายังทำให้พวกเขาบาดเจ็บและเริ่มอ่อนแรงพอสมควร

ฉินขุยและฉินจินร่วมมือกันต่อสู้กับฉินเหว่ย และการต่อสู้ของพวกเขาเริ่มต้นด้วยการต่อสู้อย่างเท่าเทียม ทว่าหลังจากการต่อสู้อันดุเดือดยาวนาน พวกเขาก็ค่อย ๆ ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

ฉินเหว่ยเป็นจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตพสุธาเซียน ไม่ว่าจะเป็นพลัง ความแข็งแกร่งทางร่างกายหรือพลังวิญญาณ เขาก็เหนือชั้นกว่าทั้งสองมาก

หากมิใช่เพราะอสูรมายาของพวกเขาที่มีส่วนช่วยได้มาก เกรงว่าพวกเขาคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ ฉินขุย ฉินจิน อยากจะเห็นนักว่าพวกเจ้าจะทนสู้ได้นานแค่ไหน !”

แน่นอนว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ค่อย ๆ อ่อนแอลงของทั้งสอง ฉินเหว่ยก็ยิ้มอย่างผู้ชนะและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

เขายังมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้ หากมันถูกนำมาใช้ ฉินขุยและฉินจินคงไม่มีโอกาสแสดงฝีมือได้อีก

“เหอะ !”

ฉินขุยและฉินจินเกียจคร้านเกินกว่าจะใส่ใจกับวาจาเยาะเย้ยของฉินเหว่ยและเพียงจู่โจมเขาต่อไปอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามถ่วงเวลาให้ได้นานยิ่งขึ้น

แท้ที่จริงแล้วพวกเขามิได้คิดที่จะเอาชนะฉินเหว่ยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรแล้วความแข็งแกร่งของฉินเหว่ยก็เหนือกว่าพวกเขาทั้งสองและเป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตพสุธาเซียน พวกเขาเพียงคิดที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุดเท่านั้น

“เหอะ ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นอสูรมายาของข้า”

เมื่อเริ่มหมดความอดทนกับอสูรมายาของฉินขุยและฉินจิน ฉินเหว่ยก็แค่นเสียงเย็นชาและตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมืออีก

ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา อสูรมายาที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวก็ปรากฏตัวถัดจากเขา

แม้ว่าอสูรตัวนี้จะมีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดยิ่งนัก ทว่ามันก็ทำให้สีหน้าของฉินขุยและฉินจินเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

“เหอะ นี่คืออสูรโบราณที่ท่านป้ามอบให้ข้า—อัปลักษณ์ อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะรับมืออย่างไร !”

ฉินเหว่ยแค่นเสียงเย็นชา ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการต่อสู้ให้ยืดเยื้ออีกต่อไปแล้วและเชื่อว่าอสูรมายาของเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถเอาชนะฉินขุยและฉินจินได้

อัปลักษณ์… เพียงชื่อของมันก็บ่งบอกถึงความน่าเกลียดน่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว รูปร่างของมันเป็นสีดำสนิทและมีขนาดไม่ใหญ่นัก มันไม่มีจมูกที่เห็นได้ชัดด้วยซ้ำแต่ก็แผ่กลิ่นอายที่รุนแรงอย่างยิ่ง

“โฮกกก…”

เจ้าอัปลักษณ์อ้าปากคำรามอย่างน่าขนลุก

แรงดึงดูดทรงพลังที่แผ่ออกมาและอสูรมายาสองตัวของฉินขุยและฉินจินก็ถูกดูดเข้าไปในปากกว้างของมันโดยตรง

“เอิ๊กกก~”

มันส่งเสียงที่เหมือนกับเสียงเรอออกมาและหน้าตาน่าเกลียดของมันก็แสดงถึงความพึงพอใจอย่างยิ่ง

เมื่อสัมผัสได้ว่าขาดการเชื่อมต่อกับอสูรมายาของตนเองแล้ว ทั้งฉินขุยและฉินจินต่างก็ตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าเจ้าอัปลักษณ์ตัวนี้จะน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก มันสามารถกลืนกินอสูรมายาของพวกเขาทั้งสองได้โดยตรง

“วะฮะฮ่า ! เป็นอย่างไร ? อสูรของข้าไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ?”

เมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของฉินขุยและฉินจิน ฉินเหว่ยก็แสยะยิ้มและหัวเราะเสียงดังก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

“ไม่ต้องห่วง เมื่อมันย่อยสลายอสูรมายาทั้งสอง พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหารของมันในไม่ช้า”

ฉินเหว่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงยโสโอหัง

“ฉินขุย ฉินจิน ถอยไปก่อนเถอะ พวกท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา !”

แน่นอนว่าฉินเฟิงก็รับรู้สถานการณ์ของพวกเขา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและกล่าวเตือนเสียงดัง

เมื่อได้ยินวาจาของฉินเฟิง ทั้งสองก็รีบถอยออกไปไกลทันที

ผลัวะ !

หลังละสายตาเพียงชั่วขณะ ฉินเฟิงก็ถูกฝ่ามือของฉินเหยียนฟาดเข้าใส่อย่างแรงจนกระเด็นออกไปและร่วงลงกระแทกพื้น

“พรวด !”

เขาพยุงตัวลุกขึ้นนั่งและกระอักเลือดคำโต ใบหน้าของฉินเฟิงซีดเซียวลงเล็กน้อย

“พี่เฟิง !”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉินเฟิง ฉินเหยียนก็ตะโกนด้วยความเป็นห่วงทันที นางตะโกนออกไปโดยที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยและยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด นางไม่ได้ต้องการทำร้ายฉินเฟิงเลย และในการต่อสู้เมื่อครู่นี้นางก็รู้สึกได้ว่าเขายังยั้งมืออยู่ เพียงแต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางมิอาจคิดอะไรได้มากนัก

“ท่านลุงฉินเฟิง ท่านเป็นอะไรรึไม่ ?”

ซูน่าและอาอู่ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วและช่วยพยุงฉินเฟิงลุกขึ้นพร้อมกล่าวด้วยความกังวล

“ข้าไม่เป็นไร”

ฉินเฟิงส่ายศีรษะเบา ๆ ขณะสายตาของเขาทอดมองไปที่ฉินเหยียนซึ่งอยู่ห่างออกไป เมื่อเห็นความเป็นห่วงกังวลที่ฉายชัดในแววตาของนาง เขาก็ยิ้มบาง ๆ และไม่ได้เปิดฉากโจมตีอีกต่อไป

ตูม ! ผลัวะ !

ด้วยเสียงโจมตีสองครั้ง ซูวั่งชวนและเลี่ยหยางผู้ซึ่งต่อสู้กับไป๋จั่วก็ถูกฟาดกระเด็นออกมาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรงพร้อมกับกระอักเลือดออกมา

อสูรมายาของพวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บโดยฝีมือของอสูรมายาสีขาวเกรียมของฝ่ายตรงข้ามซึ่งมีพลังในระดับพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและกลิ่นอายของพวกมันก็อ่อนกำลังลงเล็กน้อย

“ท่านปู่ ! ท่านลุงเลี่ยหยาง !”

เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของซูวั่งชวนและเลี่ยหยาง ซูน่าและอาอู่ก็วิ่งปรี่เข้ามาช่วยพยุงพวกเขาโดยเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ ถือว่าฆ่าเวลาได้ดี ทว่าพวกเจ้ายังอ่อนแอเกินไป”

ไป๋จั่วหัวเราะเสียงดังลั่น เขาไม่ได้ต่อสู้อย่างสุขใจเช่นนี้มานานแล้ว

เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย ฉินหวยและคนอื่น ๆ ก็ปรี่เข้ามาตรงหน้าพวกเขาเช่นกัน

พวกเขารู้สึกได้ว่าเลี่ยหยางและซูวั่งชวนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วและประสิทธิภาพการต่อสู้ไม่ดีเท่าที่เคย ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันในตอนนี้ก็มิอาจเทียบกับอีกฝ่ายได้

ตู้ม !

อีกฟากหนึ่งของการต่อสู้ เฉิงห่าวซวนและซูชิงก็ถูกโจมตีและพ่ายแพ้ให้กับผู้อาวุโสรองเช่นกัน เวลานี้พลังของพวกเขาอ่อนแอลงพอสมควร

“ทุกคนล่าถอยมาก่อนเถอะ !”

เมื่อเห็นว่าทุกคนบาดเจ็บแล้ว ฉินเฟิงก็กล่าวบอกให้ทุกคนล่าถอยออกมาก่อน

แน่นอนว่าเหล่าชาวเมืองเพลิงมายามิได้ลังเล หลังจากการต่อสู้ยาวนานตลอดวันตลอดคืน พลังความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ลดน้อยลงอย่างมาก หากยังดึงดันสู้ต่อไปก็คงมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากขึ้นเรื่อย ๆ

ฝ่ายฉินเหยียนมิได้ไล่ตามพวกเขาทว่ารวมตัวกันข้างหลังนางและรอฟังคำสั่งชี้ขาดของนาง

ในฝ่ายของฉินเหยียน นาง ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสรอง ฉินเหว่ยและผู้ที่ติดตามมากับเขาก็มิได้บาดเจ็บนักและพลังของพวกเขาก็ลดลงเพียงเล็กน้อย และสำหรับบรรดาคนที่นางพามาด้วย แม้ว่าได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับฝ่ายเมืองเพลิงมายา แต่อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ไม่ได้รุนแรงนัก

สำหรับฝ่ายเมืองเพลิงมายา ซูวั่งชวน เลี่ยหยาง ฉินขุย ฉินจินและเฉิงห่าวซวนล้วนได้รับบาดเจ็บพอสมควรและพลังในการต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่มากเท่าเดิมอีกต่อไป ฉินเฟิงถูกฉินเหยียนฟาดฝ่ามือโจมตีอย่างแรง แม้ว่าเขายังไม่ได้บาดเจ็บนัก การรับมือกับอีกฝ่ายก็มิใช่เรื่องง่าย เวลานี้ฝ่ายเมืองเพลิงมายาเป็นฝ่ายเสียเปรียบและตกอยู่ในช่วงวิกฤตแล้ว

“ข้ากล่าวไว้แล้วว่าพวกเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา !”

ฉินเหยียนวางท่าและลั่นวาจาเสียงดัง

“แล้วอย่างไรเล่า !?”

ฉินเฟิงตอบกลับในทันที

ฉินเหยียนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าจู่ ๆ ใครบางคนก็ปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว คนผู้นั้นกระซิบกระซาบบางอย่างข้างหูของนาง ไม่ว่าคำพูดเหล่านั้นคือเรื่องใด มันก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนแปลงไปทันที

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+