คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 473 การต่อสู้กับจอมยุทธ์พสุธาเซียน

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 473 การต่อสู้กับจอมยุทธ์พสุธาเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นว่าการเดิมพันของฉินอวี้โม่และซวงเสวี่ยบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว เหล่าสมาชิกเทือกเขาหิมะที่มากับเขาต่างก็งุนงงอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เอ่ยแสดงความคิดเห็นใด ๆ และเพียงแต่ถอยหลังออกไปโดยสัญชาตญาณขณะส่งเสียงโห่ร้องสร้างความฮึกเหิมให้กับซวงเสวี่ย

เหมาซานและกลุ่มของเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนัก ทว่าสิ่งที่พวกเขาฉงนสงสัยมิใช่เป็นการกระทำของฉินอวี้โม่ หากแต่เป็นเรื่องที่ฉินเฟิงมิใช่หัวหน้าที่คอยควบคุมและตัดสินใจทุกอย่าง ถึงอย่างไรพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของฉินเฟิงนั้นเหนือกว่าฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน แล้วเหตุใดบุรุษผู้เป็นน้องชายจึงทำตัวเหมือนกับเป็นช้างเท้าหน้าเช่นนี้ ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและสีหน้าเรียบเฉยของฉินเฟิง แม้ว่ายังคงมีคำถามอยู่ในใจ พวกเขาก็ไม่เอ่ยถามออกไป ในเมื่อพวกเขาทั้งแปดเลือกที่จะเป็นผู้ติดตามของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงแล้ว พวกเขาก็เชื่อมั่นและสนับสนุนคนทั้งสองอย่างเต็มที่

“สู้ ๆ ๆ ผู้นำฉินอวี้โม่ !”

ฮั่วอู่สตรีอารมณ์ร้อนริเริ่มการตะโกนกร้าวเพื่อส่งเสียงเชียร์ฉินอวี้โม่ เหมาซานและคนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงอย่างฮึกเหิมเพื่อให้กำลังใจผู้นำคนใหม่ของตนเช่นกัน

เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากและพุ่งไปปรากฏตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

“ผู้นำซวงเสวี่ย ขอความกรุณาด้วย”

นางผายมือส่งสัญญาณให้ซวงเสวี่ยเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน

ร่างของซวงเสวี่ยพุ่งออกไปปรากฏกายตรงข้ามจากฉินอวี้โม่ทันที ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มบางทว่าใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความระแวดระวัง แม้เขาจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้า เขาก็มั่นใจว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมือและแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่

การประจันหน้าเริ่มต้นด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายไม่เลือกใช้พลังมายา ทว่าพุ่งตรงเข้าหากันและโจมตีประชิดตัวโดยตรง

ตู้ม !

ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายปะทะกันก่อนร่างของทั้งสองจะแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว

“รวดเร็วดีนี่”

ซวงเสวี่ยมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าน้ำเสียงแสดงถึงความอัศจรรย์ใจอย่างเห็นได้ชัด

เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางแล้วและมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่มาก ทว่าความเร็วของนางเมื่อครู่นี้มิได้เชื่องช้าไปกว่าเขาและอาจเร็วมากกว่าด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคราที่ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวมักเกิดภาพติดตาจำนวนมากราวกับเป็นการแยกเงาซึ่งทำให้มองเห็นภาพของนางไม่ชัดเจนนัก ผลลัพธ์เช่นนี้ เกรงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจอมยุทธ์ผู้นั้นมีความเร็วที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าขอชมทักษะการต่อสู้ของผู้นำซวงเสวี่ยสักหน่อยเถอะ”

พร้อมรอยยิ้มบาง ร่างของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงไปปรากฏตัวข้างหลังซวงเสวี่ยอย่างรวดเร็ว มือเปล่าของนางกลายเป็นกรงเล็บและตะปบตรงไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายโดยตรง

“ไม่ง่ายนักหรอก”

ซวงเสวี่ยตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้มันก็สายเกินกว่าจะหลบหลีกออกไปแล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะหันกลับไปเผชิญหน้าและเหวี่ยงกำปั้นออกไปปะทะกับกรงเล็บของฉินอวี้โม่โดยตรง

มุมปากของฉินอวี้โม่ยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นกรงเล็บของนางก็เปลี่ยนกลายเป็นกำปั้นเพื่อปะทะเข้ากับกำปั้นของคู่ต่อสู้

กึก กึก กึก…

หลังจากถอยหลังออกไปสามก้าว ฉินอวี้โม่ก็ทรงตัวอย่างมั่นคงได้

ซวงเสวี่ยเองก็ทรงตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทว่าเขาต้องถอยหลังออกไปถึงสี่ก้าวก่อนที่จะยืนอย่างมั่นคงได้

“ช่างเป็นพลังที่แกร่งกล้ายิ่งนัก เจ้าฝึกพลังยุทธ์มาอย่างไรกัน ?”

ซวงเสวี่ยหันมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแสดงถึงความตกใจ เขาสัมผัสได้ถึงระดับพลังของฉินอวี้โม่และทราบว่าอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พลังแท้จริงที่นางแสดงออกมาไม่เพียงแต่ทัดเทียมเขาได้เท่านั้น ทว่าอาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ เขาสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่านางฝึกฝนมาอย่างไรถึงได้มีพลังที่แกร่งกล้าเช่นนี้ ?

“ฮ่า ๆ ๆ หลังจากการต่อสู้ครานี้สิ้นสุดลง ข้าไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันวิชากับผู้นำซวงเสวี่ย”

ฉินอวี้โม่ตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนพุ่งตรงออกไปโจมตีซวงเสวี่ยอีกครั้ง

ซวงเสวี่ยไม่กล้าประมาทอีกต่อไปและจดจ่อกับพลังของตนเพื่อตั้งรับกระบวนท่าของฉินอวี้โม่

ภายในพริบตา ทั้งสองได้กระหน่ำโจมตีกว่าหลายสิบกระบวนท่าและไม่มีคราใดที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นรองเลย

“ฮ่า ๆ ๆ เยี่ยมจริง ๆ ข้าไม่ได้พบกับการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว”

หลังจากอีกกระบวนท่า ร่างของทั้งสองก็แยกออกจากกัน ซวงเสวี่ยหัวเราะเสียงดังลั่นและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาจริงจัง

ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ครั้งไหน ๆ ที่เขาเคยเผชิญก่อนหน้านี้ มันก็มีการปะทะถึงตัวเพียงน้อยครั้งเท่านั้น จอมยุทธ์มักใช้พลังมายาเพื่อต่อสู้กันและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวทางร่างกาย การต่อสู้ด้วยพละกำลังทางร่างกายเช่นนี้พบเห็นได้ยากยิ่ง

“เอาล่ะ ต่อจากนี้เจ้าจงระวังให้ดี ข้าจะไม่ออมมืออีกต่อไปแล้ว”

ขณะกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ หอกสีเงินที่ดูสวยงามเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของซวงเสวี่ย

“อาวุธระดับวิจิตรขั้นพิภพซึ่งสร้างขึ้นมาจากเหล็กหล่อพันปี เป็นอาวุธที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง”

เมื่อเห็นหอกเงินเล่มงามนี้ ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นถึงโครงสร้างของมันได้ในทันทีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ ๆ สายตาเฉียบแหลมดีนี่ เจ้าสามารถมองเห็นถึงวัสดุหลักที่ใช้ในการหลอมหอกของข้าและคุณสมบัติของมันตั้งแต่แวบแรกที่เห็น หรือว่านอกเหนือจากการเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจแล้ว เจ้าก็เป็นช่างหลอมที่มีฝีมือเช่นกัน ?”

ซวงเสวี่ยประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาไม่คาดคิดว่าคู่ต่อสู้จะรู้ถึงวัสดุและคุณสมบัติหลักของหอกของตนเองได้ตั้งแต่แวบแรก

“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้ท่านจะได้ทราบเองในอนาคต”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและกระบี่ยาวก็ปรากฏขึ้นในมือ

กระบี่ยาวเล่มนี้คือกระบี่ปีกจักจั่นเล่มเดิมที่นางพัฒนาปรับปรุงมันด้วยวัสดุใหม่และในปัจจุบันนี้มันเป็นอาวุธระดับวิจิตรขั้นพิภพ

ตอนนี้กระบี่ปีกจักจั่นเล่มนี้โดดเด่นในเรื่องความเบาและความรวดเร็ว แม้ว่ามันดูไม่ทรงพลังมากนัก ทว่ามันก็มีพลังทำลายล้างที่ไม่อาจมองข้ามได้

“โอ้ เป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

เมื่อเห็นกระบี่เล่มยาวในมือของฉินอวี้โม่ แม้แต่ซวงเสวี่ยก็เผยแสงประกายในแววตา ต้องยอมรับเลยว่าเขาเคยพบสมบัติสิ่งล้ำค่ามาแล้วมากมาย ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกระบี่ปีกจักจั่นที่ดูมีน้ำหนักเบาเช่นนี้

“พุ่งทะลวงไป”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกระบี่ปีกจักจั่นหลุดลอยออกจากมือของนางไปกลางอากาศก่อนอันตรธานหายจากตรงหน้าไปในทันที

เมื่อเห็นกระบี่ที่หายวับไปอย่างกะทันหัน ซวงเสวี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพลังวิญญาณของเขาก็แผ่ออกไปค้นหาโดยรอบอย่างรวดเร็ว เขาไม่คาดคิดว่ากระบี่เล่มนี้นอกจากจะน้ำหนักเบาแล้วยังล่องหนได้อีก

เคร๊ง !

พร้อมด้วยเสียงโลหะกระทบกัน กระบี่ปีกจักจั่นที่พุ่งตรงมาที่ช่วงเอวของซวงเสวี่ยก็ถูกเขาค้นพบได้อย่างทันท่วงทีและขัดขวางมันไว้ด้วยหอกเงินในมือ

จากนั้นร่างของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงออกไปและคว้ากระบี่ของตนกลางอากาศ กระบี่เล่มยาวสะบัดเล็กน้อยและแทงตรงไปที่ใต้รักแร้ของฝ่ายตรงข้าม

ทั้งสองเริ่มกระหน่ำโจมตีนับสิบกระบวนท่าอีกครั้งโดยมีเสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เคร๊ง !

หลังจากเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ร่างของทั้งสองก็แยกออกจากกัน

ครานี้ฉินอวี้โม่ต้องก้าวถอยหลังด้วยจำนวนก้าวที่เพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะทรงตัวได้  เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พลังของนางตกเป็นรองอีกฝ่ายแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนขั้นเก้า แม้ว่าเจ้าจะทรงพลัง ทว่าการสู้รบตบมือกับข้าเป็นระยะเวลานาน เจ้าก็จะค่อย ๆ สูญเสียข้อได้เปรียบและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าการต่อสู้ระหว่างเราคงไม่ต้องดำเนินต่อไปอีกแล้ว พวกเราสามารถประกาศผลการต่อสู้ออกมาได้โดยตรง”

ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ความเร็วของฉินอวี้โม่ไม่มากเท่าตนอีกต่อไปแล้วซึ่งน่าจะเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยและพลังงานที่เริ่มหมดไป

“ฮ่า ๆ ๆ อย่าเพิ่งมั่นใจไป”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและจู่ ๆ นางก็เก็บกระบี่ปีกจักจั่นกลับไป จากนั้นเปลวเพลิงลุกโชนก็ปรากฏขึ้นในมือของนางและกลายเป็นลูกบอลเพลิง

“ท่านจอมยุทธ์ซวงเสวี่ย ลองรับการโจมตีนี้ของข้าไป”

พร้อมรอยยิ้มอ่อน ๆ ลูกเพลิงในมือของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงเข้าหาซวงเสวี่ยทันทีและพลังมหาศาลภายในนั้นทำให้แม้แต่ผู้นำเทือกเขาหิมะก็ต้องตกตะลึงใจไม่น้อย

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ายอมรับว่าพลังของเจ้าไม่อ่อนแอเลยจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีทางเป็นฝ่ายได้เปรียบในการประจันหน้าด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลัง และหากเป็นการเผชิญหน้าด้วยพลังมายา เกรงว่าการได้เปรียบก็จะยากขึ้นไปอีก”

ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะโบกมือเบา ๆ ก่อนม่านป้องกันสีเหลืองจะปรากฏขึ้นและขวางกั้นลูกเพลิงตรงหน้าเขาไว้ทันที

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนขณะที่ลูกเพลิงถูกขวางกั้นไว้โดยม่านป้องกันและมิอาจพุ่งทะลวงต่อไปได้อีก

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มิได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นางเพียงยกยิ้มมุมปากเบา ๆ

ตู้ม !

ทันใดนั้น ลูกเพลิงก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดเสียงดังสนั่นเมื่อมันระเบิดออก

พลังมหาศาลจากแรงระเบิดของลูกเพลิงทำให้ม่านป้องกันสีเหลืองระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ และสะเก็ดไฟจำนวนหนึ่งกระเด็นตกลงบนเสื้อผ้าของซวงเสวี่ยจนอาภรณ์ของเขาถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว

“ผู้นำซวงเสวี่ย ท่านแพ้แล้ว”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางน่าเวทนาของซวงเสวี่ย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มมุมปากและกล่าวอย่างสาแก่ใจ

“ฮ่า ๆ ๆ แค่นี้ไม่มากพอที่จะทำให้ข้าแพ้หรอก”

แม้ว่าซวงเสวี่ยจะรู้สึกขายหน้าไม่น้อย แต่แรงระเบิดเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บร้ายแรงแต่อย่างใด เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตนเองพ่ายแพ้

“แน่ใจรึ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนและยกนิ้วชี้ไปที่ลำคอของเขาพร้อมกล่าวขึ้นเบา ๆ “หากมิใช่เพราะข้ายั้งมือไว้ เกรงว่าผู้นำซวงเสวี่ยคงมิอาจอ้าปากพูดได้ด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซวงเสวี่ยก็ยกมือขึ้นแตะลำคอของตนเองโดยสัญชาตญาณและสัมผัสถึงเลือดอุ่นจากรอยแผลตื้น

“อีกอย่าง…ผู้นำซวงเสวี่ยไม่รู้สึกถึงความผันผวนในพลังรอบตัวงั้นรึ ?”

แปะ แปะ ~

หลังจากเสียงปรบมือเบา ๆ เป็นสัญญาณ กริชจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดจากพลังวิญญาณก็ปรากฏรอบตัวซวงเสวี่ย เพียงแค่นางออกคำสั่ง ร่างของเขาก็จะเต็มไปด้วยรูโหว่อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว สีหน้าของซวงเสวี่ยก็ชะงักนิ่งไปทันที เขาคิดไม่ออกเลยว่าทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงไม่สัมผัสถึงสิ่งใดเลย ? หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ยั้งมือ เกรงว่าหากเขาไม่ตาย อย่างน้อยเขาก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าแพ้แล้ว”

ซวงเสวี่ยยิ้มอย่างจนปัญญาและสบตาฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้

คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เหตุใด ‘เขา’ จึงมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ? แม้ว่ามีพลังเพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงก็ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด

ต้องกล่าวเลยว่ากลยุทธ์การโจมตีอย่างต่อเนื่องของฉินอวี้โม่ทำให้ซวงเสวี่ยไม่สบอารมณ์นัก ทว่าเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เขาเชื่อว่าตอนนี้ตนเองพ่ายแพ้ต่อคู่ต่อสู้แล้วและผู้แพ้ก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำพูดที่แสดงถึงการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างกะทันหันของซวงเสวี่ย ทุกคนก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า

พวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนนักและเห็นเพียงว่าฉินอวี้โม่ดูเฉยเมยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดการต่อสู้ ในขณะที่สีหน้าของซวงเสวี่ยเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนที่เขาจะยอมแพ้อย่างชัดเจน

“เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดท่านผู้นำจึงยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้?”

ศิษย์คนหนึ่งจากกลุ่มเทือกเขาหิมะกล่าวด้วยน้ำเสียงงุนงงและสับสน

“ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ ข้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย”

อีกคนส่ายศีรษะเบา ๆ และเอ่ยตอบว่าตนเองไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน

บรรดาผู้ติดตามของฝ่ายเทือกเขาหิมะต่างมีสีหน้าฉงนสนเท่ห์และไม่เข้าใจ เหมาซานและกลุ่มของเขาก็สับสนเช่นกัน พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและไม่ทราบเลยว่าฉินอวี้โม่เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผู้คนทั้งหมดนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและทราบว่าฉินอวี้โม่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร…คน ๆ นั้นก็คือฉินเฟิงนั่นเอง

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 473 การต่อสู้กับจอมยุทธ์พสุธาเซียน

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 473 การต่อสู้กับจอมยุทธ์พสุธาเซียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเห็นว่าการเดิมพันของฉินอวี้โม่และซวงเสวี่ยบรรลุข้อตกลงอย่างรวดเร็ว เหล่าสมาชิกเทือกเขาหิมะที่มากับเขาต่างก็งุนงงอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้เอ่ยแสดงความคิดเห็นใด ๆ และเพียงแต่ถอยหลังออกไปโดยสัญชาตญาณขณะส่งเสียงโห่ร้องสร้างความฮึกเหิมให้กับซวงเสวี่ย

เหมาซานและกลุ่มของเขาก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนัก ทว่าสิ่งที่พวกเขาฉงนสงสัยมิใช่เป็นการกระทำของฉินอวี้โม่ หากแต่เป็นเรื่องที่ฉินเฟิงมิใช่หัวหน้าที่คอยควบคุมและตัดสินใจทุกอย่าง ถึงอย่างไรพวกเขาก็สัมผัสได้ว่าพลังของฉินเฟิงนั้นเหนือกว่าฉินอวี้โม่อย่างแน่นอน แล้วเหตุใดบุรุษผู้เป็นน้องชายจึงทำตัวเหมือนกับเป็นช้างเท้าหน้าเช่นนี้ ?

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นสีหน้าแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและสีหน้าเรียบเฉยของฉินเฟิง แม้ว่ายังคงมีคำถามอยู่ในใจ พวกเขาก็ไม่เอ่ยถามออกไป ในเมื่อพวกเขาทั้งแปดเลือกที่จะเป็นผู้ติดตามของฉินอวี้โม่และฉินเฟิงแล้ว พวกเขาก็เชื่อมั่นและสนับสนุนคนทั้งสองอย่างเต็มที่

“สู้ ๆ ๆ ผู้นำฉินอวี้โม่ !”

ฮั่วอู่สตรีอารมณ์ร้อนริเริ่มการตะโกนกร้าวเพื่อส่งเสียงเชียร์ฉินอวี้โม่ เหมาซานและคนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงอย่างฮึกเหิมเพื่อให้กำลังใจผู้นำคนใหม่ของตนเช่นกัน

เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องของทุกคน ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากและพุ่งไปปรากฏตัวกลางอากาศอย่างรวดเร็ว

“ผู้นำซวงเสวี่ย ขอความกรุณาด้วย”

นางผายมือส่งสัญญาณให้ซวงเสวี่ยเป็นฝ่ายเริ่มลงมือก่อน

ร่างของซวงเสวี่ยพุ่งออกไปปรากฏกายตรงข้ามจากฉินอวี้โม่ทันที ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มบางทว่าใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความระแวดระวัง แม้เขาจะไม่ทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้า เขาก็มั่นใจว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ยั้งมือและแสดงพลังออกมาอย่างเต็มที่

การประจันหน้าเริ่มต้นด้วยการที่ทั้งสองฝ่ายไม่เลือกใช้พลังมายา ทว่าพุ่งตรงเข้าหากันและโจมตีประชิดตัวโดยตรง

ตู้ม !

ฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายปะทะกันก่อนร่างของทั้งสองจะแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว

“รวดเร็วดีนี่”

ซวงเสวี่ยมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าน้ำเสียงแสดงถึงความอัศจรรย์ใจอย่างเห็นได้ชัด

เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางแล้วและมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าฉินอวี้โม่มาก ทว่าความเร็วของนางเมื่อครู่นี้มิได้เชื่องช้าไปกว่าเขาและอาจเร็วมากกว่าด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคราที่ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวมักเกิดภาพติดตาจำนวนมากราวกับเป็นการแยกเงาซึ่งทำให้มองเห็นภาพของนางไม่ชัดเจนนัก ผลลัพธ์เช่นนี้ เกรงว่ามันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อจอมยุทธ์ผู้นั้นมีความเร็วที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าขอชมทักษะการต่อสู้ของผู้นำซวงเสวี่ยสักหน่อยเถอะ”

พร้อมรอยยิ้มบาง ร่างของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงไปปรากฏตัวข้างหลังซวงเสวี่ยอย่างรวดเร็ว มือเปล่าของนางกลายเป็นกรงเล็บและตะปบตรงไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายโดยตรง

“ไม่ง่ายนักหรอก”

ซวงเสวี่ยตอบสนองอย่างรวดเร็ว ทว่าตอนนี้มันก็สายเกินกว่าจะหลบหลีกออกไปแล้ว เพราะเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะหันกลับไปเผชิญหน้าและเหวี่ยงกำปั้นออกไปปะทะกับกรงเล็บของฉินอวี้โม่โดยตรง

มุมปากของฉินอวี้โม่ยกเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นกรงเล็บของนางก็เปลี่ยนกลายเป็นกำปั้นเพื่อปะทะเข้ากับกำปั้นของคู่ต่อสู้

กึก กึก กึก…

หลังจากถอยหลังออกไปสามก้าว ฉินอวี้โม่ก็ทรงตัวอย่างมั่นคงได้

ซวงเสวี่ยเองก็ทรงตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทว่าเขาต้องถอยหลังออกไปถึงสี่ก้าวก่อนที่จะยืนอย่างมั่นคงได้

“ช่างเป็นพลังที่แกร่งกล้ายิ่งนัก เจ้าฝึกพลังยุทธ์มาอย่างไรกัน ?”

ซวงเสวี่ยหันมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาแสดงถึงความตกใจ เขาสัมผัสได้ถึงระดับพลังของฉินอวี้โม่และทราบว่าอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเก้าเท่านั้น อย่างไรก็ตาม พลังแท้จริงที่นางแสดงออกมาไม่เพียงแต่ทัดเทียมเขาได้เท่านั้น ทว่าอาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ เขาสงสัยใคร่รู้ยิ่งนักว่านางฝึกฝนมาอย่างไรถึงได้มีพลังที่แกร่งกล้าเช่นนี้ ?

“ฮ่า ๆ ๆ หลังจากการต่อสู้ครานี้สิ้นสุดลง ข้าไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันวิชากับผู้นำซวงเสวี่ย”

ฉินอวี้โม่ตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนพุ่งตรงออกไปโจมตีซวงเสวี่ยอีกครั้ง

ซวงเสวี่ยไม่กล้าประมาทอีกต่อไปและจดจ่อกับพลังของตนเพื่อตั้งรับกระบวนท่าของฉินอวี้โม่

ภายในพริบตา ทั้งสองได้กระหน่ำโจมตีกว่าหลายสิบกระบวนท่าและไม่มีคราใดที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นรองเลย

“ฮ่า ๆ ๆ เยี่ยมจริง ๆ ข้าไม่ได้พบกับการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มานานแล้ว”

หลังจากอีกกระบวนท่า ร่างของทั้งสองก็แยกออกจากกัน ซวงเสวี่ยหัวเราะเสียงดังลั่นและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาจริงจัง

ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ครั้งไหน ๆ ที่เขาเคยเผชิญก่อนหน้านี้ มันก็มีการปะทะถึงตัวเพียงน้อยครั้งเท่านั้น จอมยุทธ์มักใช้พลังมายาเพื่อต่อสู้กันและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวทางร่างกาย การต่อสู้ด้วยพละกำลังทางร่างกายเช่นนี้พบเห็นได้ยากยิ่ง

“เอาล่ะ ต่อจากนี้เจ้าจงระวังให้ดี ข้าจะไม่ออมมืออีกต่อไปแล้ว”

ขณะกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ หอกสีเงินที่ดูสวยงามเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของซวงเสวี่ย

“อาวุธระดับวิจิตรขั้นพิภพซึ่งสร้างขึ้นมาจากเหล็กหล่อพันปี เป็นอาวุธที่เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้าง”

เมื่อเห็นหอกเงินเล่มงามนี้ ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นถึงโครงสร้างของมันได้ในทันทีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่า ๆ ๆ สายตาเฉียบแหลมดีนี่ เจ้าสามารถมองเห็นถึงวัสดุหลักที่ใช้ในการหลอมหอกของข้าและคุณสมบัติของมันตั้งแต่แวบแรกที่เห็น หรือว่านอกเหนือจากการเป็นจอมยุทธ์ที่เก่งกาจแล้ว เจ้าก็เป็นช่างหลอมที่มีฝีมือเช่นกัน ?”

ซวงเสวี่ยประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ เขาไม่คาดคิดว่าคู่ต่อสู้จะรู้ถึงวัสดุและคุณสมบัติหลักของหอกของตนเองได้ตั้งแต่แวบแรก

“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้ท่านจะได้ทราบเองในอนาคต”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและกระบี่ยาวก็ปรากฏขึ้นในมือ

กระบี่ยาวเล่มนี้คือกระบี่ปีกจักจั่นเล่มเดิมที่นางพัฒนาปรับปรุงมันด้วยวัสดุใหม่และในปัจจุบันนี้มันเป็นอาวุธระดับวิจิตรขั้นพิภพ

ตอนนี้กระบี่ปีกจักจั่นเล่มนี้โดดเด่นในเรื่องความเบาและความรวดเร็ว แม้ว่ามันดูไม่ทรงพลังมากนัก ทว่ามันก็มีพลังทำลายล้างที่ไม่อาจมองข้ามได้

“โอ้ เป็นกระบี่ที่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ”

เมื่อเห็นกระบี่เล่มยาวในมือของฉินอวี้โม่ แม้แต่ซวงเสวี่ยก็เผยแสงประกายในแววตา ต้องยอมรับเลยว่าเขาเคยพบสมบัติสิ่งล้ำค่ามาแล้วมากมาย ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นกระบี่ปีกจักจั่นที่ดูมีน้ำหนักเบาเช่นนี้

“พุ่งทะลวงไป”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกระบี่ปีกจักจั่นหลุดลอยออกจากมือของนางไปกลางอากาศก่อนอันตรธานหายจากตรงหน้าไปในทันที

เมื่อเห็นกระบี่ที่หายวับไปอย่างกะทันหัน ซวงเสวี่ยก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพลังวิญญาณของเขาก็แผ่ออกไปค้นหาโดยรอบอย่างรวดเร็ว เขาไม่คาดคิดว่ากระบี่เล่มนี้นอกจากจะน้ำหนักเบาแล้วยังล่องหนได้อีก

เคร๊ง !

พร้อมด้วยเสียงโลหะกระทบกัน กระบี่ปีกจักจั่นที่พุ่งตรงมาที่ช่วงเอวของซวงเสวี่ยก็ถูกเขาค้นพบได้อย่างทันท่วงทีและขัดขวางมันไว้ด้วยหอกเงินในมือ

จากนั้นร่างของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงออกไปและคว้ากระบี่ของตนกลางอากาศ กระบี่เล่มยาวสะบัดเล็กน้อยและแทงตรงไปที่ใต้รักแร้ของฝ่ายตรงข้าม

ทั้งสองเริ่มกระหน่ำโจมตีนับสิบกระบวนท่าอีกครั้งโดยมีเสียงอาวุธกระทบกันดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เคร๊ง !

หลังจากเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ร่างของทั้งสองก็แยกออกจากกัน

ครานี้ฉินอวี้โม่ต้องก้าวถอยหลังด้วยจำนวนก้าวที่เพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะทรงตัวได้  เห็นได้ชัดว่าตอนนี้พลังของนางตกเป็นรองอีกฝ่ายแล้ว

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนขั้นเก้า แม้ว่าเจ้าจะทรงพลัง ทว่าการสู้รบตบมือกับข้าเป็นระยะเวลานาน เจ้าก็จะค่อย ๆ สูญเสียข้อได้เปรียบและพ่ายแพ้ไปในที่สุด เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าการต่อสู้ระหว่างเราคงไม่ต้องดำเนินต่อไปอีกแล้ว พวกเราสามารถประกาศผลการต่อสู้ออกมาได้โดยตรง”

ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ความเร็วของฉินอวี้โม่ไม่มากเท่าตนอีกต่อไปแล้วซึ่งน่าจะเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยและพลังงานที่เริ่มหมดไป

“ฮ่า ๆ ๆ อย่าเพิ่งมั่นใจไป”

ฉินอวี้โม่ยิ้มกริ่มและจู่ ๆ นางก็เก็บกระบี่ปีกจักจั่นกลับไป จากนั้นเปลวเพลิงลุกโชนก็ปรากฏขึ้นในมือของนางและกลายเป็นลูกบอลเพลิง

“ท่านจอมยุทธ์ซวงเสวี่ย ลองรับการโจมตีนี้ของข้าไป”

พร้อมรอยยิ้มอ่อน ๆ ลูกเพลิงในมือของฉินอวี้โม่ก็พุ่งตรงเข้าหาซวงเสวี่ยทันทีและพลังมหาศาลภายในนั้นทำให้แม้แต่ผู้นำเทือกเขาหิมะก็ต้องตกตะลึงใจไม่น้อย

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ายอมรับว่าพลังของเจ้าไม่อ่อนแอเลยจริง ๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีทางเป็นฝ่ายได้เปรียบในการประจันหน้าด้วยกระบวนท่าที่ทรงพลัง และหากเป็นการเผชิญหน้าด้วยพลังมายา เกรงว่าการได้เปรียบก็จะยากขึ้นไปอีก”

ซวงเสวี่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะโบกมือเบา ๆ ก่อนม่านป้องกันสีเหลืองจะปรากฏขึ้นและขวางกั้นลูกเพลิงตรงหน้าเขาไว้ทันที

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของทุกคนขณะที่ลูกเพลิงถูกขวางกั้นไว้โดยม่านป้องกันและมิอาจพุ่งทะลวงต่อไปได้อีก

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มิได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นางเพียงยกยิ้มมุมปากเบา ๆ

ตู้ม !

ทันใดนั้น ลูกเพลิงก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดเสียงดังสนั่นเมื่อมันระเบิดออก

พลังมหาศาลจากแรงระเบิดของลูกเพลิงทำให้ม่านป้องกันสีเหลืองระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ และสะเก็ดไฟจำนวนหนึ่งกระเด็นตกลงบนเสื้อผ้าของซวงเสวี่ยจนอาภรณ์ของเขาถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว

“ผู้นำซวงเสวี่ย ท่านแพ้แล้ว”

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางน่าเวทนาของซวงเสวี่ย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มมุมปากและกล่าวอย่างสาแก่ใจ

“ฮ่า ๆ ๆ แค่นี้ไม่มากพอที่จะทำให้ข้าแพ้หรอก”

แม้ว่าซวงเสวี่ยจะรู้สึกขายหน้าไม่น้อย แต่แรงระเบิดเมื่อครู่ก็ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บร้ายแรงแต่อย่างใด เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่คิดว่าตนเองพ่ายแพ้

“แน่ใจรึ ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนและยกนิ้วชี้ไปที่ลำคอของเขาพร้อมกล่าวขึ้นเบา ๆ “หากมิใช่เพราะข้ายั้งมือไว้ เกรงว่าผู้นำซวงเสวี่ยคงมิอาจอ้าปากพูดได้ด้วยซ้ำ”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ซวงเสวี่ยก็ยกมือขึ้นแตะลำคอของตนเองโดยสัญชาตญาณและสัมผัสถึงเลือดอุ่นจากรอยแผลตื้น

“อีกอย่าง…ผู้นำซวงเสวี่ยไม่รู้สึกถึงความผันผวนในพลังรอบตัวงั้นรึ ?”

แปะ แปะ ~

หลังจากเสียงปรบมือเบา ๆ เป็นสัญญาณ กริชจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดจากพลังวิญญาณก็ปรากฏรอบตัวซวงเสวี่ย เพียงแค่นางออกคำสั่ง ร่างของเขาก็จะเต็มไปด้วยรูโหว่อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว สีหน้าของซวงเสวี่ยก็ชะงักนิ่งไปทันที เขาคิดไม่ออกเลยว่าทุกอย่างกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร การเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเช่นนี้ เหตุใดเขาจึงไม่สัมผัสถึงสิ่งใดเลย ? หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ยั้งมือ เกรงว่าหากเขาไม่ตาย อย่างน้อยเขาก็ต้องบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าแพ้แล้ว”

ซวงเสวี่ยยิ้มอย่างจนปัญญาและสบตาฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัยใคร่รู้

คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เหตุใด ‘เขา’ จึงมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ? แม้ว่ามีพลังเพียงขอบเขตเซียนขั้นเก้า ความแข็งแกร่งที่แท้จริงก็ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยสักนิด

ต้องกล่าวเลยว่ากลยุทธ์การโจมตีอย่างต่อเนื่องของฉินอวี้โม่ทำให้ซวงเสวี่ยไม่สบอารมณ์นัก ทว่าเขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี เขาเชื่อว่าตอนนี้ตนเองพ่ายแพ้ต่อคู่ต่อสู้แล้วและผู้แพ้ก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรเช่นกัน

เมื่อได้ยินคำพูดที่แสดงถึงการยอมรับความพ่ายแพ้อย่างกะทันหันของซวงเสวี่ย ทุกคนก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า

พวกเขาไม่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนนักและเห็นเพียงว่าฉินอวี้โม่ดูเฉยเมยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดการต่อสู้ ในขณะที่สีหน้าของซวงเสวี่ยเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนที่เขาจะยอมแพ้อย่างชัดเจน

“เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดท่านผู้นำจึงยอมแพ้ง่าย ๆ เช่นนี้?”

ศิษย์คนหนึ่งจากกลุ่มเทือกเขาหิมะกล่าวด้วยน้ำเสียงงุนงงและสับสน

“ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ ข้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้เลย”

อีกคนส่ายศีรษะเบา ๆ และเอ่ยตอบว่าตนเองไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน

บรรดาผู้ติดตามของฝ่ายเทือกเขาหิมะต่างมีสีหน้าฉงนสนเท่ห์และไม่เข้าใจ เหมาซานและกลุ่มของเขาก็สับสนเช่นกัน พวกเขาไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและไม่ทราบเลยว่าฉินอวี้โม่เอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางผู้คนทั้งหมดนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและทราบว่าฉินอวี้โม่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างไร…คน ๆ นั้นก็คือฉินเฟิงนั่นเอง

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+