คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 474 เรือนเฟิงเสวี่ย

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 474 เรือนเฟิงเสวี่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กระบวนท่าที่ฉินอวี้โม่ใช้เมื่อครู่เป็นสิ่งที่นางเพิ่งใช้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ศึกษามันมา

หลังจากปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้สำเร็จ นางก็จดจ่อกับการศึกษาทักษะและกลยุทธ์การต่อสู้ใหม่ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง หากต้องการเอาชนะจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในดินแดนเทพมายา นางจะต้องพึ่งพาการใช้กลยุทธ์เล่ห์เหลี่ยมที่คาดไม่ถึงเท่านั้น

นางบังเอิญได้รับแรงบันดาลใจจากสุภาษิตที่ว่า ‘คมในฝัก’ ซึ่งนางสามารถฉวยโอกาสจากการที่คู่ต่อสู้ตายใจและประมาทนางเกินไปเพื่อปลดปล่อยการโจมตีครั้งรุนแรงออกไป

* 绵里藏针 คมในฝัก ความหมายคือ ภายนอกดูนิ่งสงบเสงี่ยม แต่เมื่อพูดหรือกระทำสิ่งใดออกมา จึงรู้ว่ามีความรู้ความสามารถสูง

ด้วยกริชที่เกิดจากพลังวิญญาณซึ่งซ่อนอยู่ในลูกเพลิงทรงพลังเมื่อครู่ กอปรกับความโดดเด่นเหนือชั้นของพลังวิญญาณของนางในปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงทรงพลังเช่นนี้

เมื่อซวงเสวี่ยเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่และคิดว่านางเสียเปรียบ เขาจึงประมาทมากเกินไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตรับรู้ถึงความผันผวนของพลังรอบตัวและนั่นทำให้ฉินอวี้โม่ได้โอกาสเหมาะสมที่จะตัดสินการต่อสู้นี้ในทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ทรงพลังจริง ๆ ข้าซวงเสวี่ยเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองมาเสมอและไม่เคยชื่นชมนับถือผู้ใด ทว่าการที่ได้ต่อสู้กับท่านในวันนี้ทำให้ข้ายอมรับในพลังของท่านอย่างแท้จริง”

สีหน้าของซวงเสวี่ยหม่นลงครู่หนึ่งก่อนกลับเป็นเรียบเฉยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อรู้ว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว กิริยามารยาทที่เขาใช้กล่าวกับฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

ในฐานะจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งซึ่งมีพลังเข้าใกล้ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูง แม้แต่ยอดฝีมือของดินแดนทั้งหลายก็ยากที่จะทำให้เขารู้สึกชื่นชมนับถือได้

แม้ว่าภายนอกซวงเสวี่ยดูอ่อนโยนเป็นมิตร แท้จริงแล้วเขามีความยโสทะนงตนที่ฝังลึกเข้าไปในกระดูก หากแต่การต่อสู้กับฉินอวี้โม่ในวันนี้ทำให้เขายอมรับในความสามารถของนางอย่างแท้จริง

ด้วยอายุอ่อนเยาว์ ลักษณะนิสัยใจคอและวิธีการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ต่อให้เขาจะต้องการปฏิเสธความจริงแค่ไหน เขาก็มิอาจทำเช่นนั้นได้

ซวงเสวี่ยมั่นใจแล้วว่าในไม่ช้า ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนอย่างแน่นอน แม้แต่อวิ๋นซื่อเทียน—ยอดฝีมือผู้ที่ถูกมองเป็นอัจฉริยะของดินแดนเทพมายาเมื่อนับร้อยปีก่อนก็มิได้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นถึงเพียงนี้

“ผู้นำซวงเสวี่ยสุภาพเกินไปแล้ว หากมิใช่เพราะความประมาทของท่านที่ทำให้ข้าได้โอกาส ข้าก็คงเอาชนะท่านมิได้”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าซวงเสวี่ยผู้นี้ไม่ได้ซับซ้อนและเข้าถึงง่าย ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่ซวงเสวี่ยแสดงท่าทียโสโอหังก่อนหน้านี้นั้น เกรงว่าจะมีเรื่องราวบางอย่างซ่อนอยู่

“ฮ่า ๆ ๆ อย่างไรก็เถอะ แพ้ก็คือแพ้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์เหนือชั้นเช่นนี้ อีกไม่กี่ปีท่านก็จะจัดการข้าจนน่วมได้แน่ วันนี้…ด้วยนามของเทือกเขาหิมะ…ข้าขอปฏิญาณว่าจะติดตามท่านนับจากนี้เป็นต้นไป หวังว่าในชีวิตนี้ ด้วยการชี้นำของท่าน ข้าจะได้บรรลุหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่สามารถบรรลุได้ด้วยตนเอง”

ซวงเสวี่ยมองเห็นถึงความหวังและอนาคตในตัวของฉินอวี้โม่ หากติดตามผู้มากความสามารถเช่นนี้ เขาสัมผัสได้ว่าคงไม่ยากที่จะได้เห็นความฝันของตนเองประสบความสำเร็จ

เมื่อทุกคนจากฝ่ายของเทือกเขาหิมะได้ยินวาจาของซวงเสวี่ย พวกเขาก็ตกใจอย่างสุดขีด ไม่คิดเลยว่าซวงเสวี่ยจะยอมตกปากรับคำกับข้อเสนอของฉินอวี้โม่อย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้นำอย่างซวงเสวี่ยจะพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย

“ข้าให้คำมั่นว่าสักวันข้าจะพาทุกคนขึ้นไปเหยียบบนยอดสุดของทั้งดินแดน ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใดหรือกลุ่มอิทธิพลใด พวกเราก็จะเหยียบขึ้นไปอยู่เหนือพวกมันให้ได้ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ความมั่นใจและทะนงตนของนางทำให้ทุกคนรู้สึกเชื่อมั่นและยอมจำนนตาม

หัวใจของซวงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความประหลาดบางอย่างจากฉินอวี้โม่ ราวกับว่า ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าเขาในเวลานี้คือเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่จุติลงมา

“ทุกคนคารวะผู้นำคนใหม่ของพวกเราเถอะ”

หลังจากกวาดสายตามองทุกคนจากฝ่ายเทือกเขาหิมะ ซวงเสวี่ยก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

ผู้ติดตามทุกคนของเขาปฏิบัติตามและคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน กลุ่มคนทั้งแปดของเหมาซานก็มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนคุกเข่าคำนับฉินอวี้โม่เช่นกัน

“คารวะท่านผู้นำ”

พวกเขาทั้งหมดกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและฮึกเหิม

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มและพยักศีรษะด้วยความพอใจ

“ท่านซวงเสวี่ย เรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ นี่คือศิษย์พี่ของข้านามว่าฉินเฟิง ข้าจะค่อย ๆ เล่าเรื่องของเราสองคนให้ท่านได้ทราบต่อไป ทว่าตอนนี้เราควรหารือเรื่องการจัดการต่อไปเสียก่อน”

หลังจากหยุดชั่วคราว นางก็กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หยกขาวพันปีก็สำคัญสำหรับข้ามาก ฉะนั้นข้าหวังว่าท่านจะบอกข้าเกี่ยวกับข้อมูลที่ท่านมีเกี่ยวกับมัน”

ซวงเสวี่ยพยักศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่

“สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้คนจากเทือกเขาหิมะแสดงตัวโอหังอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไรนั้นแท้จริงเป็นเพราะข้าไม่อยากให้ขุมกำลังระดับหนึ่งทั้งสามแห่งเล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา ไม่ว่าจะเป็นการยึดครองอำนาจของเราหรือการทาบทามไปร่วมด้วย ข้าก็ไม่อยากให้พวกเขาจดจ่อความสนใจมาที่เรา นั่นคือสาเหตุที่ข้าสั่งให้ทุกคนจากเทือกเขาหิมะแสร้งแสดงท่าทีโอหังต่อหน้าผู้อื่นเพียงเพื่อให้ชื่อเสียงของเราเสื่อมเสียในดินแดนทางเหนือ และเป็นเพราะชื่อเสียงที่ไม่ดีของเรา แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ต้องการทาบทามพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ยโสโอหังเกินไปเสียจนพวกเขาไม่ได้เห็นค่าความสำคัญของพวกเราและเกียจคร้านเกินกว่าจะจัดการกับพวกเรา”

ต้องกล่าวเลยว่าซวงเสวี่ยมีปัญญาเป็นเลิศจริง ๆ เขาไม่ต้องการเข้าร่วมหรือตกอยู่ในอำนาจของขุมกำลังอื่นจึงได้คิดค้นวิธีนี้ขึ้นมา

เทือกเขาหิมะมีชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ และหากสามขุมกำลังต้องการทาบทามเข้าไป มันก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกเขาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และหากว่าเทือกเขาหิมะพัฒนาอย่างรวดเร็วเกินไป มันก็จะดึงดูดความสนใจและทำให้ขุมกำลังเหล่านั้นพยายามควบคุมพวกเขาอย่างแน่นอน

เพราะเหตุนั้น ตราบใดที่คนจากเทือกเขาหิมะยโสโอหังและสร้างความรำคาญใจ ทั้งสามขุมกำลังใหญ่ก็จะมองพวกเขาว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่สนใจเทือกเขาหิมะอย่างแน่นอน

成气候 เป็นโล้เป็นพาย ความหมายคือ ใช้การได้ ได้เรื่องได้ราว ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง และมักใช้ในเชิงสบประมาทตามสำนวนไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ได้เรื่องได้ราว

ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงยิ้มให้กันก่อนนางกล่าว “นับจากวันนี้ไป สิ่งเหล่านั้นจะไม่จำเป็นอีกแล้ว เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวหรือปิดบังสิ่งใดในเทือกเขาหิมะ เราไม่ต้องเป็นขุมกำลังที่ทำให้ผู้อื่นชิงชัง และก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใด หากสามขุมกำลังใหญ่คิดที่จะจัดการกับเทือกเขาหิมะ เราจะแสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน !”

ในเมื่อตัดสินใจที่จะกุมอำนาจดินแดนทางเหนือและทำให้ที่นี่เป็นฐานทัพของนาง ฉินอวี้โม่ย่อมมีแผนการเตรียมไว้แล้ว สามขุมกำลังเหล่านั้นทรงพลังที่สุดในดินแดนทางเหนือ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยึดอำนาจของพวกเขาได้ ดินแดนทางเหนือก็จะตกอยู่ในกำมือของนางอย่างแน่นอน

ในอดีต เทือกเขาหิมะจำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์แย่ ๆ ให้กับตนเองเพราะพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสามขุมกำลังใหญ่ ทว่าบัดนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเข้าร่วม ต่อให้ทั้งสามขุมกำลังนั่นผนึกกำลังร่วมกันโจมตี พวกเขาก็จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

ยิ่งไปกว่านั้น หากสามขุมกำลังใหญ่ไม่ต้องการสร้างปัญหาความขัดแย้ง พวกเขาก็สามารถหาทางผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือโดยที่ไม่ต้องต่อสู้กัน ไม่มีฝ่ายใดที่จะต้องเผชิญกับความสูญเสีย

แม้ว่ายังไม่เข้าใจแผนการของฉินอวี้โม่เท่าใดนัก ซวงเสวี่ยก็ยิ้มอย่างวางใจเมื่อเห็นแววตามั่นใจของนางและฉินเฟิง เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ

กลุ่มผู้คนทั้งแปดของเหมาซานก็ยิ้มกว้าง ตอนนี้พวกเขาก็จัดการเป็นระบบระเบียบแล้วเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่าด้วยการชี้นำของฉินอวี้โม่และฉินเฟิง พวกเขาจะไปถึงความฝันอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนชั่วร้ายอีกต่อไป”

ใครคนหนึ่งในฝ่ายเทือกเขาหิมะกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

“ท่านผู้นำ สหายเหมาซาน ฮั่วอู่ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มิใช่ความตั้งใจของพวกเรา เราเพียงพยายามทำให้ชื่อเสียงของขุมกำลังเราเสื่อมเสียลงจึงได้แสดงท่าทีโอหังออกไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”

ผู้ที่กล่าวออกมาคือผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ เหมาซานและคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เขากล่าวขอโทษขอโพยสำหรับเรื่องก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้พวกเขามิได้คิดที่จะพาตัวฮั่วอู่กลับไปด้วยจริง และไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับกลุ่มของเหมาซานมากมาย

ต่อให้ฮั่วอู่และเหมาซานจะยืนหยัดไม่ยอมท้อถอยจริง ๆ พวกเขาก็จะคิดหาทางอื่นมาเพื่อจัดการต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้พวกเราก็เป็นสหายกันแล้ว หากมีผู้ใดคิดจะรังแกหรือหาเรื่องเจ้าในอนาคต จงมาบอกข้าและข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

ฮั่วอู่ตบบ่าคนผู้นั้นอย่างแรงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเห็นสีหน้าแววตากล้าหาญของฮั่วอู่ ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ ความรู้สึกที่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของตนเองและไม่ต้องซ่อนมันอีกต่อไปถือเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างยิ่ง

“ทุกคนนั่งลงเพื่อหารือกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเบา ๆ พร้อมผายมือส่งสัญญาณเชิญเหมาซานและซวงเสวี่ยเข้ามาหารือร่วมกัน

เหมาซานและซวงเสวี่ยเดินเข้ามาใกล้ก่อนนั่งลงข้างฉินอวี้โม่และฉินเฟิง

ฉินเฟิงสะบัดนิ้วมือเบา ๆ ก่อนที่ม่านป้องกันจะปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาทุกคนเพื่อปกป้องไว้ภายในและแยกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

“ท่านผู้นำ ท่านสามารถบอกพวกเรามาได้เลยว่าจะจัดการต่อไปอย่างไร เราจะทุ่มเทอย่างเต็มที่และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

เหมาซานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เวลานี้เขาจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างแท้จริงแล้ว

“ถูกต้อง ท่านผู้นำ พวกเราทุกคนจะดำเนินตามคำสั่งของท่าน”

ซวงเสวี่ยพยักศีรษะเบา ๆ ขณะสายตาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่เพื่อรอฟังการจัดการต่อไป

“ศิษย์พี่ ท่านคิดอย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่มองไปที่ฉินเฟิงและเอ่ยถามความคิดเห็นของเขา

ในฐานะหัวหน้ากองทหารหงเฟิง แผนการกลยุทธ์ของฉินเฟิงไม่ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่คุ้นชินกับความอิสระและยังมีบุตรน้อยทั้งสองรอการฟูมฟักดูแลจากนาง แน่นอนว่านางต้องการให้ฉินเฟิงจัดการดูแลกิจการต่าง ๆ ในดินแดนทางเหนือ

“เราควรเริ่มจากการตั้งชื่อขุมกำลังใหม่ของเรา”

ฉินเฟิงยิ้มบาง ๆ โดยไม่ปฏิเสธสิ่งใด

ซวงเสวี่ยและเหมาซานก็มองหน้ากันก่อนพยักศีรษะ

“ตั้งชื่อว่าเรือนเฟิงเสวี่ยจะดีรึไม่ ?”

*风 เฟิง แปลว่า ลม , 雪 เสวี่ย แปลว่าหิมะ

ฉินเฟิงกล่าวต่อก่อนที่คนอื่นจะกล่าวสิ่งใดออกมา

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’ ซวงเสวี่ยและเหมาซานก็มองหน้ากันด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง

“การที่มีชื่อของศิษย์พี่และสภาพแวดล้อมของที่นี่ด้วย มันถือเป็นชื่อที่ดีจริงๆ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและยอมรับชื่อดังกล่าว ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’ ไม่ต่างจากชื่อของ ‘คฤหาสน์เฟิงหัว’ ของนางเท่าใดนัก ถือว่าเป็นชื่อที่ดีอย่างแท้จริง

“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้พวกเราก็ตั้งชื่อได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหาทางว่าจะยึดอำนาจของทั้งสามขุมกำลังใหญ่อย่างไร ทว่าก่อนที่จะถึงเรื่องนั้น เราต้องทราบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาเสียก่อน”

ฉินเฟิงกล่าวต่อ เขาจะช่วยฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่เพื่อที่พวกเขาจะได้มีพลังแกร่งกล้าและสามารถรับมือกับขุมกำลังเหล่านั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ทราบถึงความแข็งแกร่งของชนเผ่ามายาดีที่สุด หากต้องการประจันหน้ากับคนเหล่านั้นโดยที่ไม่มีขุมกำลังที่ทรงพลังสนับสนุนอยู่นั้น มันก็คงเป็นเรื่องที่ยากเกินไป

ซวงเสวี่ยพยักศีรษะและกำลังจะกล่าวบอกฉินเฟิงในสิ่งที่พวกเขาทราบเกี่ยวกับขุมกำลังใหญ่ทั้งสามของดินแดนทางเหนือ

ในฐานะขุมกำลังที่เกือบเทียบเท่ากับขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดน แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจข้อมูลของขุมกำลังทั้งสามมากพอสมควร นอกเหนือจากความจริงที่ว่าผู้นำของขุมกำลังเหล่านั้นล้วนเป็นยอดฝีมือในขอบเขตพสุธาเซียน พวกเขาก็ยังมีข้อมูลยิบ ๆ ย่อย ๆ ของขุมกำลังทั้งสามเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์พี่ สิ่งเหล่านี้รอให้ท่านซวงเสวี่ยเล่าให้ท่านฟังทีหลังเถอะ การผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือมิใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาเพียงสั้น ๆ ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดคือข้อมูลของหยกขาวพันปี”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนขณะกล่าวขัดจังหวะบทสนทนาของฉินเฟิงและซวงเสวี่ย เวลานี้ในเมื่อมาถึงที่ทุ่งหิมะทางเหนือแล้ว แน่นอนว่าเป้าหมายของนางคือหยกขาวพันปี สำหรับการผนึกกำลังของขุมกำลังทางเหนือนั้นจะต้องใช้เวลาพิจารณาในระยะยาว

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด 474 เรือนเฟิงเสวี่ย

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter 474 เรือนเฟิงเสวี่ย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กระบวนท่าที่ฉินอวี้โม่ใช้เมื่อครู่เป็นสิ่งที่นางเพิ่งใช้เป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ศึกษามันมา

หลังจากปลดผนึกที่สองของกายเทพมายาได้สำเร็จ นางก็จดจ่อกับการศึกษาทักษะและกลยุทธ์การต่อสู้ใหม่ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง หากต้องการเอาชนะจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งในดินแดนเทพมายา นางจะต้องพึ่งพาการใช้กลยุทธ์เล่ห์เหลี่ยมที่คาดไม่ถึงเท่านั้น

นางบังเอิญได้รับแรงบันดาลใจจากสุภาษิตที่ว่า ‘คมในฝัก’ ซึ่งนางสามารถฉวยโอกาสจากการที่คู่ต่อสู้ตายใจและประมาทนางเกินไปเพื่อปลดปล่อยการโจมตีครั้งรุนแรงออกไป

* 绵里藏针 คมในฝัก ความหมายคือ ภายนอกดูนิ่งสงบเสงี่ยม แต่เมื่อพูดหรือกระทำสิ่งใดออกมา จึงรู้ว่ามีความรู้ความสามารถสูง

ด้วยกริชที่เกิดจากพลังวิญญาณซึ่งซ่อนอยู่ในลูกเพลิงทรงพลังเมื่อครู่ กอปรกับความโดดเด่นเหนือชั้นของพลังวิญญาณของนางในปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงทรงพลังเช่นนี้

เมื่อซวงเสวี่ยเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่และคิดว่านางเสียเปรียบ เขาจึงประมาทมากเกินไป ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตรับรู้ถึงความผันผวนของพลังรอบตัวและนั่นทำให้ฉินอวี้โม่ได้โอกาสเหมาะสมที่จะตัดสินการต่อสู้นี้ในทันที

“ฮ่า ๆ ๆ ทรงพลังจริง ๆ ข้าซวงเสวี่ยเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองมาเสมอและไม่เคยชื่นชมนับถือผู้ใด ทว่าการที่ได้ต่อสู้กับท่านในวันนี้ทำให้ข้ายอมรับในพลังของท่านอย่างแท้จริง”

สีหน้าของซวงเสวี่ยหม่นลงครู่หนึ่งก่อนกลับเป็นเรียบเฉยและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เมื่อรู้ว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว กิริยามารยาทที่เขาใช้กล่าวกับฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

ในฐานะจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งซึ่งมีพลังเข้าใกล้ขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูง แม้แต่ยอดฝีมือของดินแดนทั้งหลายก็ยากที่จะทำให้เขารู้สึกชื่นชมนับถือได้

แม้ว่าภายนอกซวงเสวี่ยดูอ่อนโยนเป็นมิตร แท้จริงแล้วเขามีความยโสทะนงตนที่ฝังลึกเข้าไปในกระดูก หากแต่การต่อสู้กับฉินอวี้โม่ในวันนี้ทำให้เขายอมรับในความสามารถของนางอย่างแท้จริง

ด้วยอายุอ่อนเยาว์ ลักษณะนิสัยใจคอและวิธีการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ต่อให้เขาจะต้องการปฏิเสธความจริงแค่ไหน เขาก็มิอาจทำเช่นนั้นได้

ซวงเสวี่ยมั่นใจแล้วว่าในไม่ช้า ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนอย่างแน่นอน แม้แต่อวิ๋นซื่อเทียน—ยอดฝีมือผู้ที่ถูกมองเป็นอัจฉริยะของดินแดนเทพมายาเมื่อนับร้อยปีก่อนก็มิได้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นถึงเพียงนี้

“ผู้นำซวงเสวี่ยสุภาพเกินไปแล้ว หากมิใช่เพราะความประมาทของท่านที่ทำให้ข้าได้โอกาส ข้าก็คงเอาชนะท่านมิได้”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าซวงเสวี่ยผู้นี้ไม่ได้ซับซ้อนและเข้าถึงง่าย ยิ่งไปกว่านั้น สาเหตุที่ซวงเสวี่ยแสดงท่าทียโสโอหังก่อนหน้านี้นั้น เกรงว่าจะมีเรื่องราวบางอย่างซ่อนอยู่

“ฮ่า ๆ ๆ อย่างไรก็เถอะ แพ้ก็คือแพ้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์เหนือชั้นเช่นนี้ อีกไม่กี่ปีท่านก็จะจัดการข้าจนน่วมได้แน่ วันนี้…ด้วยนามของเทือกเขาหิมะ…ข้าขอปฏิญาณว่าจะติดตามท่านนับจากนี้เป็นต้นไป หวังว่าในชีวิตนี้ ด้วยการชี้นำของท่าน ข้าจะได้บรรลุหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าไม่สามารถบรรลุได้ด้วยตนเอง”

ซวงเสวี่ยมองเห็นถึงความหวังและอนาคตในตัวของฉินอวี้โม่ หากติดตามผู้มากความสามารถเช่นนี้ เขาสัมผัสได้ว่าคงไม่ยากที่จะได้เห็นความฝันของตนเองประสบความสำเร็จ

เมื่อทุกคนจากฝ่ายของเทือกเขาหิมะได้ยินวาจาของซวงเสวี่ย พวกเขาก็ตกใจอย่างสุดขีด ไม่คิดเลยว่าซวงเสวี่ยจะยอมตกปากรับคำกับข้อเสนอของฉินอวี้โม่อย่างง่ายดายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้นำอย่างซวงเสวี่ยจะพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย

“ข้าให้คำมั่นว่าสักวันข้าจะพาทุกคนขึ้นไปเหยียบบนยอดสุดของทั้งดินแดน ไม่ว่าจะเป็นขุมกำลังใดหรือกลุ่มอิทธิพลใด พวกเราก็จะเหยียบขึ้นไปอยู่เหนือพวกมันให้ได้ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ ความมั่นใจและทะนงตนของนางทำให้ทุกคนรู้สึกเชื่อมั่นและยอมจำนนตาม

หัวใจของซวงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความประหลาดบางอย่างจากฉินอวี้โม่ ราวกับว่า ‘บุรุษหนุ่ม’ ตรงหน้าเขาในเวลานี้คือเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่จุติลงมา

“ทุกคนคารวะผู้นำคนใหม่ของพวกเราเถอะ”

หลังจากกวาดสายตามองทุกคนจากฝ่ายเทือกเขาหิมะ ซวงเสวี่ยก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มและคุกเข่าลงข้างหนึ่ง

ผู้ติดตามทุกคนของเขาปฏิบัติตามและคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียงกัน กลุ่มคนทั้งแปดของเหมาซานก็มองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนคุกเข่าคำนับฉินอวี้โม่เช่นกัน

“คารวะท่านผู้นำ”

พวกเขาทั้งหมดกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและฮึกเหิม

“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มและพยักศีรษะด้วยความพอใจ

“ท่านซวงเสวี่ย เรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ นี่คือศิษย์พี่ของข้านามว่าฉินเฟิง ข้าจะค่อย ๆ เล่าเรื่องของเราสองคนให้ท่านได้ทราบต่อไป ทว่าตอนนี้เราควรหารือเรื่องการจัดการต่อไปเสียก่อน”

หลังจากหยุดชั่วคราว นางก็กล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้น หยกขาวพันปีก็สำคัญสำหรับข้ามาก ฉะนั้นข้าหวังว่าท่านจะบอกข้าเกี่ยวกับข้อมูลที่ท่านมีเกี่ยวกับมัน”

ซวงเสวี่ยพยักศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่

“สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ข้าสั่งให้คนจากเทือกเขาหิมะแสดงตัวโอหังอยู่เสมอไม่ว่าจะทำอะไรนั้นแท้จริงเป็นเพราะข้าไม่อยากให้ขุมกำลังระดับหนึ่งทั้งสามแห่งเล็งเป้าหมายมาที่พวกเรา ไม่ว่าจะเป็นการยึดครองอำนาจของเราหรือการทาบทามไปร่วมด้วย ข้าก็ไม่อยากให้พวกเขาจดจ่อความสนใจมาที่เรา นั่นคือสาเหตุที่ข้าสั่งให้ทุกคนจากเทือกเขาหิมะแสร้งแสดงท่าทีโอหังต่อหน้าผู้อื่นเพียงเพื่อให้ชื่อเสียงของเราเสื่อมเสียในดินแดนทางเหนือ และเป็นเพราะชื่อเสียงที่ไม่ดีของเรา แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ต้องการทาบทามพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ยโสโอหังเกินไปเสียจนพวกเขาไม่ได้เห็นค่าความสำคัญของพวกเราและเกียจคร้านเกินกว่าจะจัดการกับพวกเรา”

ต้องกล่าวเลยว่าซวงเสวี่ยมีปัญญาเป็นเลิศจริง ๆ เขาไม่ต้องการเข้าร่วมหรือตกอยู่ในอำนาจของขุมกำลังอื่นจึงได้คิดค้นวิธีนี้ขึ้นมา

เทือกเขาหิมะมีชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ และหากสามขุมกำลังต้องการทาบทามเข้าไป มันก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกเขาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และหากว่าเทือกเขาหิมะพัฒนาอย่างรวดเร็วเกินไป มันก็จะดึงดูดความสนใจและทำให้ขุมกำลังเหล่านั้นพยายามควบคุมพวกเขาอย่างแน่นอน

เพราะเหตุนั้น ตราบใดที่คนจากเทือกเขาหิมะยโสโอหังและสร้างความรำคาญใจ ทั้งสามขุมกำลังใหญ่ก็จะมองพวกเขาว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะไม่สนใจเทือกเขาหิมะอย่างแน่นอน

成气候 เป็นโล้เป็นพาย ความหมายคือ ใช้การได้ ได้เรื่องได้ราว ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง และมักใช้ในเชิงสบประมาทตามสำนวนไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ได้เรื่องได้ราว

ฉินอวี้โม่และฉินเฟิงยิ้มให้กันก่อนนางกล่าว “นับจากวันนี้ไป สิ่งเหล่านั้นจะไม่จำเป็นอีกแล้ว เราไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนตัวหรือปิดบังสิ่งใดในเทือกเขาหิมะ เราไม่ต้องเป็นขุมกำลังที่ทำให้ผู้อื่นชิงชัง และก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใด หากสามขุมกำลังใหญ่คิดที่จะจัดการกับเทือกเขาหิมะ เราจะแสดงให้พวกเขาได้เห็นว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน !”

ในเมื่อตัดสินใจที่จะกุมอำนาจดินแดนทางเหนือและทำให้ที่นี่เป็นฐานทัพของนาง ฉินอวี้โม่ย่อมมีแผนการเตรียมไว้แล้ว สามขุมกำลังเหล่านั้นทรงพลังที่สุดในดินแดนทางเหนือ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยึดอำนาจของพวกเขาได้ ดินแดนทางเหนือก็จะตกอยู่ในกำมือของนางอย่างแน่นอน

ในอดีต เทือกเขาหิมะจำเป็นต้องสร้างภาพลักษณ์แย่ ๆ ให้กับตนเองเพราะพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสามขุมกำลังใหญ่ ทว่าบัดนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่และฉินเฟิงเข้าร่วม ต่อให้ทั้งสามขุมกำลังนั่นผนึกกำลังร่วมกันโจมตี พวกเขาก็จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

ยิ่งไปกว่านั้น หากสามขุมกำลังใหญ่ไม่ต้องการสร้างปัญหาความขัดแย้ง พวกเขาก็สามารถหาทางผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือโดยที่ไม่ต้องต่อสู้กัน ไม่มีฝ่ายใดที่จะต้องเผชิญกับความสูญเสีย

แม้ว่ายังไม่เข้าใจแผนการของฉินอวี้โม่เท่าใดนัก ซวงเสวี่ยก็ยิ้มอย่างวางใจเมื่อเห็นแววตามั่นใจของนางและฉินเฟิง เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดให้มากความ

กลุ่มผู้คนทั้งแปดของเหมาซานก็ยิ้มกว้าง ตอนนี้พวกเขาก็จัดการเป็นระบบระเบียบแล้วเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่าด้วยการชี้นำของฉินอวี้โม่และฉินเฟิง พวกเขาจะไปถึงความฝันอย่างแน่นอน

“ฮ่า ๆ ๆ ข้าไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนชั่วร้ายอีกต่อไป”

ใครคนหนึ่งในฝ่ายเทือกเขาหิมะกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

“ท่านผู้นำ สหายเหมาซาน ฮั่วอู่ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้มิใช่ความตั้งใจของพวกเรา เราเพียงพยายามทำให้ชื่อเสียงของขุมกำลังเราเสื่อมเสียลงจึงได้แสดงท่าทีโอหังออกไป ข้าต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”

ผู้ที่กล่าวออกมาคือผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ เหมาซานและคนอื่น ๆ ก่อนหน้านี้ เขากล่าวขอโทษขอโพยสำหรับเรื่องก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้พวกเขามิได้คิดที่จะพาตัวฮั่วอู่กลับไปด้วยจริง และไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับกลุ่มของเหมาซานมากมาย

ต่อให้ฮั่วอู่และเหมาซานจะยืนหยัดไม่ยอมท้อถอยจริง ๆ พวกเขาก็จะคิดหาทางอื่นมาเพื่อจัดการต่อไป

“ฮ่า ๆ ๆ นั่นเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ตอนนี้พวกเราก็เป็นสหายกันแล้ว หากมีผู้ใดคิดจะรังแกหรือหาเรื่องเจ้าในอนาคต จงมาบอกข้าและข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

ฮั่วอู่ตบบ่าคนผู้นั้นอย่างแรงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อเห็นสีหน้าแววตากล้าหาญของฮั่วอู่ ทุกคนก็อดหัวเราะไม่ได้ ความรู้สึกที่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของตนเองและไม่ต้องซ่อนมันอีกต่อไปถือเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างยิ่ง

“ทุกคนนั่งลงเพื่อหารือกันก่อนเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเบา ๆ พร้อมผายมือส่งสัญญาณเชิญเหมาซานและซวงเสวี่ยเข้ามาหารือร่วมกัน

เหมาซานและซวงเสวี่ยเดินเข้ามาใกล้ก่อนนั่งลงข้างฉินอวี้โม่และฉินเฟิง

ฉินเฟิงสะบัดนิ้วมือเบา ๆ ก่อนที่ม่านป้องกันจะปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขาทุกคนเพื่อปกป้องไว้ภายในและแยกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก

“ท่านผู้นำ ท่านสามารถบอกพวกเรามาได้เลยว่าจะจัดการต่อไปอย่างไร เราจะทุ่มเทอย่างเต็มที่และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

เหมาซานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เวลานี้เขาจำนนต่อฉินอวี้โม่อย่างแท้จริงแล้ว

“ถูกต้อง ท่านผู้นำ พวกเราทุกคนจะดำเนินตามคำสั่งของท่าน”

ซวงเสวี่ยพยักศีรษะเบา ๆ ขณะสายตาจับจ้องไปที่ฉินอวี้โม่เพื่อรอฟังการจัดการต่อไป

“ศิษย์พี่ ท่านคิดอย่างไร ?”

ฉินอวี้โม่มองไปที่ฉินเฟิงและเอ่ยถามความคิดเห็นของเขา

ในฐานะหัวหน้ากองทหารหงเฟิง แผนการกลยุทธ์ของฉินเฟิงไม่ด้อยไปกว่านางเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่คุ้นชินกับความอิสระและยังมีบุตรน้อยทั้งสองรอการฟูมฟักดูแลจากนาง แน่นอนว่านางต้องการให้ฉินเฟิงจัดการดูแลกิจการต่าง ๆ ในดินแดนทางเหนือ

“เราควรเริ่มจากการตั้งชื่อขุมกำลังใหม่ของเรา”

ฉินเฟิงยิ้มบาง ๆ โดยไม่ปฏิเสธสิ่งใด

ซวงเสวี่ยและเหมาซานก็มองหน้ากันก่อนพยักศีรษะ

“ตั้งชื่อว่าเรือนเฟิงเสวี่ยจะดีรึไม่ ?”

*风 เฟิง แปลว่า ลม , 雪 เสวี่ย แปลว่าหิมะ

ฉินเฟิงกล่าวต่อก่อนที่คนอื่นจะกล่าวสิ่งใดออกมา

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’ ซวงเสวี่ยและเหมาซานก็มองหน้ากันด้วยความพึงพอใจอย่างยิ่ง

“การที่มีชื่อของศิษย์พี่และสภาพแวดล้อมของที่นี่ด้วย มันถือเป็นชื่อที่ดีจริงๆ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและยอมรับชื่อดังกล่าว ‘เรือนเฟิงเสวี่ย’ ไม่ต่างจากชื่อของ ‘คฤหาสน์เฟิงหัว’ ของนางเท่าใดนัก ถือว่าเป็นชื่อที่ดีอย่างแท้จริง

“ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้พวกเราก็ตั้งชื่อได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือหาทางว่าจะยึดอำนาจของทั้งสามขุมกำลังใหญ่อย่างไร ทว่าก่อนที่จะถึงเรื่องนั้น เราต้องทราบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขาเสียก่อน”

ฉินเฟิงกล่าวต่อ เขาจะช่วยฉินอวี้โม่อย่างเต็มที่เพื่อที่พวกเขาจะได้มีพลังแกร่งกล้าและสามารถรับมือกับขุมกำลังเหล่านั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ทราบถึงความแข็งแกร่งของชนเผ่ามายาดีที่สุด หากต้องการประจันหน้ากับคนเหล่านั้นโดยที่ไม่มีขุมกำลังที่ทรงพลังสนับสนุนอยู่นั้น มันก็คงเป็นเรื่องที่ยากเกินไป

ซวงเสวี่ยพยักศีรษะและกำลังจะกล่าวบอกฉินเฟิงในสิ่งที่พวกเขาทราบเกี่ยวกับขุมกำลังใหญ่ทั้งสามของดินแดนทางเหนือ

ในฐานะขุมกำลังที่เกือบเทียบเท่ากับขุมกำลังระดับหนึ่งของดินแดน แน่นอนว่าพวกเขาเข้าใจข้อมูลของขุมกำลังทั้งสามมากพอสมควร นอกเหนือจากความจริงที่ว่าผู้นำของขุมกำลังเหล่านั้นล้วนเป็นยอดฝีมือในขอบเขตพสุธาเซียน พวกเขาก็ยังมีข้อมูลยิบ ๆ ย่อย ๆ ของขุมกำลังทั้งสามเช่นกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ศิษย์พี่ สิ่งเหล่านี้รอให้ท่านซวงเสวี่ยเล่าให้ท่านฟังทีหลังเถอะ การผนึกกำลังของดินแดนทางเหนือมิใช่สิ่งที่จะทำสำเร็จได้ในเวลาเพียงสั้น ๆ ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดคือข้อมูลของหยกขาวพันปี”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนขณะกล่าวขัดจังหวะบทสนทนาของฉินเฟิงและซวงเสวี่ย เวลานี้ในเมื่อมาถึงที่ทุ่งหิมะทางเหนือแล้ว แน่นอนว่าเป้าหมายของนางคือหยกขาวพันปี สำหรับการผนึกกำลังของขุมกำลังทางเหนือนั้นจะต้องใช้เวลาพิจารณาในระยะยาว

.

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+