คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหนือ​ลาน​ประลองยุทธ์​ ​จู่​ ​ๆ​ ​ก็​เกิด​คลื่น​ผันผวน​ขึ้น​มา​และ​ร่าง​ของ​คน​สอง​คน​ก็​ปรากฏ​ขึ้น​กลางอากาศ

หนึ่ง​ใน​นั้น​คือ​คนที​่​ฉิน​อวี​้​โม่​และ​ผู้อาวุโส​คนอื่น​ ​ๆ​ ​รู้จัก​ดี​ ​เขา​มิใช่​ใคร​อื่น​ ​หากแต่​เป็น​ว่าน​หรู​ชู​—​ผู้อาวุโส​ใหญ่​ของ​หอ​ชั้นใน​แห่ง​นิกาย​หมื่น​กระบี่​นั่นเอง

บุรุษ​ชรา​ที่​ปรากฏตัว​ข้าง​ ​ๆ​ ​เขา​ก็​มี​เส้น​ผม​และ​เครา​สีขาว​โพลน​ ​รวมถึง​มีกลิ่น​อาย​ที่​ยาก​เกิน​หยั่งถึง​ ​ใน​ตอนนี้​เขา​กำลัง​เหยียบย่ำ​อยู่​บน​ผืน​อากาศ​ราวกับ​เป็น​เทพ​ผู้​สูงส่ง​และ​ยาก​ที่​ผู้ใด​จะ​ละสายตา​ไป​ได้

“​ท่าน​ตา​…​”

เมื่อ​เห็น​บุรุษ​ชรา​ผู้​นั้น​ ​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​ก็​เอ่ย​เรียก​ด้วย​น้ำเสียง​ตื่นเต้น​ทันที​ ​นาง​เหาะ​เข้าไป​ใกล้​บุรุษ​ชรา​และ​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​เศร้าโศก​ ​“​ท่าน​ตา​ ​มี​คน​ข่มขู่​ข้า​และ​ต้องการ​จะ​ฆ่า​ข้าเจ้า​ค่ะ​”

ว่าน​เฉิน​ซี​เป็น​บุตรสาว​เพียง​คนเดียว​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ผู้​เป็น​จ้าว​นิกาย​หมื่น​กระบี่​และ​ได้รับ​ความรัก​ความ​เอ็นดู​จาก​เขา​อยู่​เสมอ​ ​การ​ที่​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​เป็น​บุตรสาว​ของ​ว่าน​เฉิน​ซี​ ​แน่นอน​ว่านา​งก​็​ต้อง​ได้รับ​การ​เอาอกเอาใจ​จาก​ท่าน​ตา​ผู้​นี้​เป็นธรรมดา

ก่อนหน้านี้​ ​นาง​ได้​เดิมพัน​กับ​ท่าน​ตา​และ​มารดา​ของ​ตน​ไว้​โดย​ยืนยัน​ว่านาง​สามารถ​ผ่าน​การคัดเลือก​เพื่อ​เข้าร่วม​หอ​ชั้นใน​ได้​ด้วย​ความสามารถ​ของ​ตนเอง​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​นาง​จึง​ออก​ไป​อยู่​ที่​หอ​ชั้นนอก​ ​ก่อนหน้านี้​ ​บรรดา​ผู้อาวุโส​ของ​หอ​ชั้นใน​ต่าง​ก็​รู้สึก​คุ้นหน้า​นาง​ ​ทว่า​จดจำ​นาง​ไม่ได้​ ​เนื่องจาก​ปกติ​แล้ว​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​มัก​อาศัย​อยู่​กับ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​และ​แทบจะ​ไม่​ปรากฏตัว​ให้​ผู้ใด​พบ​หน้า​ ​กล่าว​ได้​ว่า​ใน​ทั่วทั้ง​นิกาย​หมื่น​กระบี่​มี​เพียง​น้อย​คน​เท่านั้น​ที่​เคย​พบ​หน้า​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​ ​แม้แต่​บรรดา​ผู้อาวุโส​หลาย​คน​ก็​เคย​พบ​นาง​เพียง​หนึ่ง​ครั้ง​หรือ​สองครั​้ง​เท่านั้น​และ​นั่น​ก็​เป็น​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​จึง​เป็นธรรมดา​ที่​พวกเขา​จะ​จดจำ​นาง​ไม่ได้

“​หนูอ้วน​เถา​คือ​หลานสาว​ของ​จ้าว​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​!​”

เถี​ยน​ซิน​และ​สวี​เยว​่​กล่าว​ด้วย​ความ​ตกตะลึง​ ​พวก​นาง​คิดไม่ถึง​เลย​ว่า​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​จะ​เป็น​หลานสาว​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​แม้​เคย​ตั้ง​ข้อสันนิษฐาน​ไว้​แล้ว​ว่า​ตัวตน​ที่แท้​จริง​ของ​นาง​จะ​ต้อง​ไม่ธรรมดา​ ​ทั้งสอง​ก็​ไม่เคย​คาดคิด​ว่า​อีก​ฝ่าย​จะ​มีพื​้น​เพ​ภูมิหลัง​ที่​ยิ่งใหญ่​ถึง​เพียงนี้

อย่างไรก็ตาม​ ​ฉิน​อวี​้​โม่​และ​เห​ลิ่ง​ซวง​เสวี​่ย​ไม่ได้​รู้สึก​แปลกใจ​มาก​นัก​ ​ทั้งสอง​คาดเดา​สถานการณ์​เช่นนี้​ไว้​แล้ว​ ​ทว่า​คิดไม่ถึง​เช่นกัน​ว่า​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​จะ​เป็น​ถึง​หลานสาว​ของ​จ้าว​นิกาย

“​แม้​ไม่ได้​พบกัน​สอง​สาม​ปี​ ​เจ้า​ก็​ยัง​เป็น​เด็ก​จ้ำม่ำ​ไม่​เปลี่ยน​”

ว่าน​อู๋​เริ​่น​จิ้ม​แก้ม​นุ่ม​ของ​หลานสาว​และ​กล่าว​อย่าง​ติดตลก

“​ท่าน​ตาก​็​…​”

เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​ทำ​หน้ามุ่ย​เล็กน้อย​และ​เกาะ​แขน​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ด้วย​ท่าทาง​ของ​เด็ก​เอาแต่ใจ​อย่างเห็นได้ชัด

“​ไว้​คุย​กัน​ทีหลัง​เถอะ​ ​ตอนนี้​จัดการ​เรื่อง​วุ่นวาย​ตรงหน้า​ก่อน​จะ​ดีกว่า​”

ว่าน​อู๋​เริ​่น​ยิ้ม​ให้​กับ​นาง​ก่อน​หันไป​มองว่าน​เจียง​เหอ​ที่​ต้องการ​หลบหนี

“​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​เจ้า​คิด​จะ​หนี​ไป​ง่าย​ ​ๆ​ ​เช่นนี้​หรือ​ ​?​”

แรงกดดัน​อัน​แรงกล้า​แผ่​ตรง​ไป​ที่ว่าน​เจียง​เหอ​ทันที​และ​สีหน้า​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่​นก​ลาย​เป็น​เคร่งขรึม

“​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​ใน​ฐานะ​ที่​ข้า​เป็น​ผู้อาวุโส​รอง​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​มานาน​หลาย​ปี​ ​ข้า​อุทิศ​ตน​และ​ทำ​ผลประโยชน์​เพื่อนิ​กาย​มา​เสมอ​ ​ในเมื่อ​ทุกคน​กล่าว​วาจา​ดูหมิ่น​ข้า​เช่นนี้​ ​ข้า​คงอยู่​ที่​นิกาย​แห่ง​นี้​ไม่ได้​อีกต่อไป​”

เมื่อ​เผชิญหน้า​กับ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​ว่าน​เจียง​เห​อก​็​มีสี​หน้าที่​อ่อน​ลง​อย่างเห็นได้ชัด​ ​เขา​ตระหนัก​ดี​ว่า​จ้าว​นิกาย​ของ​พวก​ตน​แกร่งกล้า​เพียงใด​ ​หากว่า​นอู​๋​เริ​่น​ไม่ยอม​ให้​เขา​ไป​จาก​ที่นี่​ ​เขา​ก็​ไม่มีทาง​รอดชีวิต​ออก​ไป​ได้​เลย

“​ฮ่า​ ​ๆ​ ​ๆ​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​ไม่ต้อง​มาก​ล่า​ววา​จายุ​แยง​ให้​คนอื่น​เข้าใจผิด​หรอก​ ​ข้า​ทราบ​ดี​ว่า​เจ้า​เป็น​คน​อย่างไร​ ​หาก​ไม่มี​ที่​ไป​ ​เจ้า​คง​ไม่กล้า​แตกหัก​กับ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​เพียง​เพราะ​เรื่อง​ของ​ศิษย์​หรอก​ ​บอก​มาสิ​ว่า​ขุม​กำลัง​ใด​ที่​สัญญา​จะ​ให้ผล​ประโยชน์​กับ​เจ้า​จน​คิด​ที่จะ​ถอนตัว​ออกจาก​นิกาย​หมื่น​กระบี่​เช่นนี้​ ​?​”

ว่าน​อู๋​เริ​่น​หัวเราะ​อย่าง​เย็นชา​ ​แน่นอน​ว่า​เขา​ไม่เชื่อ​วาจา​กลบเกลื่อน​ของ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​ใน​ฐานะ​จ้าว​นิกาย​ ​เขา​ทราบ​ดี​ว่า​ผู้อาวุโส​รอง​เป็น​คน​อย่างไร

ใน​บรรดา​ผู้อาวุโส​ทั้งหมด​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​ผู้อาวุโส​รอง​ควรจะเป็น​บุคคล​ที่​เห็นแก่ตัว​ที่สุด

อย่างไรก็ตาม​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​เป็น​ผู้​สืบ​ทายาท​ของ​ผู้อาวุโส​ใน​อดีต​ที่​อุทิศ​ตน​และ​มีส่วนร่วม​ครั้ง​สำคัญ​ต่อ​ความสำเร็จ​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​อีกทั้ง​เขา​ก็​ไม่เคย​ก่อ​ความผิด​ครั้ง​ใหญ่​ตลอด​หลาย​ปี​ที่ผ่านมา​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​ ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​จึง​มัก​ปิด​ตา​ข้าง​หนึ่ง​อยู่​เสมอ​และ​ทำเป็น​ไม่รู้ไม่เห็น​การกระทำ​เล็ก​ ​ๆ​ ​น้อย​ ​ๆ​ ​ของ​เขา​ ​ทว่า​ครานี​้​การกระทำ​ของ​ว่าน​เจียง​เหอ​เป็นการ​ล้ำเส้น​อย่างแท้จริง

นอกเหนือจาก​โจมตี​ศิษย์​มาก​พรสวรรค์​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​อย่างเปิดเผย​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ยัง​คิด​ที่จะ​สังหาร​หลานสาว​ของ​เขา​ ​และ​นั่น​เป็นการ​กระทำ​ที่​รนหาที่​ตาย​อย่างแท้จริง​ ​!

“​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​อย่า​ลืม​ว่า​ใน​อดีต​เจ้า​ได้​ตำแหน่ง​จ้าว​นิกาย​มา​ได้​อย่างไร​ ​?​ ​ศิษย์​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ท้าทาย​ข้า​ที่​เป็น​ผู้อาวุโส​รอง​อย่าง​ไม่​ไว้หน้า​ ​เพียง​เจ้า​ไม่​จัดการ​เรื่อง​นี้​ก็​ถือว่า​หนักหนา​มาก​แล้ว​ ​ทว่า​ยัง​คิด​สงสัย​ใน​ตัว​ข้า​อีก​อย่างนั้น​หรือ​ ​?​!​”

แน่นอน​ว่าว​่าน​เจียง​เหอ​ไม่ยอมรับ​อย่างง่ายดาย​ ​ต่อให้​ว่าน​อู๋​เริ​่​นก​ล่าว​สิ่งที่คิด​ออก​ไป​ ​เขา​ก็​ยัง​เสแสร้ง​ทำเป็น​ไม่รู้​เรื่อง​รู้​ราว

สำหรับ​เรื่อง​ข้อตกลง​ระหว่าง​เขา​และ​ขุม​กำลัง​นั้น​ ​ตราบใดที่​ไม่ยอมรับ​ ​ว่าน​อู๋​เริ​่​นก​็​ไม่มี​หลักฐาน​ใด​มา​เอาผิด​เขา​ได้

“​เหอะ​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​หาก​พวกเรา​แสดงตัว​ปกป้อง​เจ้า​ ​ความเคารพ​ที่​ศิษย์​ใน​นิกาย​มีต​่​อพ​วก​เรา​ก็​คงจะ​มลาย​สิ้น​ ​!​ ​การกระทำ​ของ​เจ้า​ใน​ครานี​้​ ​ทุกคน​ได้​ประจักษ์​อย่างชัดเจน​แล้ว​ ​เหตุใด​ศิษย์​จะ​ต้อง​เคารพ​เจ้า​ใน​ฐานะ​ผู้อาวุโส​รอง​ต่อไป​ด้วย​เล่า​ ​?​ ​อันที่จริง​ใน​ตอนแรก​มัน​มิใช่​เรื่อง​ที่​เกี่ยวกับ​ตัว​เจ้า​ด้วยซ้ำ​ ​อย่า​เห็น​ผิด​เป็น​ชอบ​จะ​ดีกว่า​ ​มัน​น่ารังเกียจ​นัก​ ​!​”

ว่าน​เฉิน​ซี​ผู้​เป็น​บุตรสาว​ของ​จ้าว​นิกาย​มัก​มี​อารมณ์​ฉุนเฉียว​อยู่​เสมอ​ ​และ​ครานี​้​ว่าน​เจียง​เหอ​ทำให้​นาง​เดือดดาล​อย่างที่​สุด

“​ถูกต้อง​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​พวกเรา​ผู้อาวุโส​ทุกคน​เห็น​สิ่ง​ที่​เจ้า​ทำ​แล้ว​ ​อย่า​เสแสร้ง​ทำเป็น​ใส​ซื่อ​ไร้เดียงสา​อีก​เลย​”

ผู้อาวุโส​คนอื่น​ ​ๆ​ ​ก็​กล่าว​เสริม​อย่าง​เห็นด้วย​ ​พวกเขา​รู้สึก​ไม่​ถูกชะตา​กับ​ผู้อาวุโส​รอง​ผู้​นี้​ตั้งแต่แรก​แล้ว​ ​และ​เมื่อ​เกิดเรื่อง​วุ่นวาย​เช่น​วันนี้​ ​พวกเขา​ก็​ไม่พอใจ​มาก​ยิ่งกว่า​เดิม​และ​มิ​อาจ​ทน​ได้​อีกต่อไป

“​เหอะ​ ​ถ้าเช่นนั้น​ข้า​ก็​ไม่มี​อะไร​จะ​พูด​ ​ว่าน​อู๋​เริ​่​น.​..​ใน​อดีต​ข้า​อุทิศ​ตน​ต่อนิ​กาย​หมื่น​กระบี่​มาต​ลอด​และ​ถือว่า​หักล้าง​กับ​เรื่อง​ใน​วันนี้​ ​นับจากนี้ไป​ ​ข้า​จะ​ตัดขาด​จาก​นิกาย​หมื่น​กระบี่​และ​ไม่มี​สิ่งใด​เกี่ยวข้อง​กัน​อีก​ ​หาก​ยัง​จดจำ​ได้​ว่าที่​ผ่าน​มาบร​รพ​บุรุษ​ของ​ข้า​และ​ตัว​ข้า​ทำ​อะไร​เพื่อนิ​กาย​นี้​บ้าง​…​เจ้า​ก็​ปล่อย​ข้า​ไป​เถอะ​”

ว่าน​เจียง​เหอ​แค่น​เสียง​อย่าง​เย็นชา​และ​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​ที่​สะเทือนอารมณ์

“​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​การ​ปล่อย​เจ้า​ไป​มิใช่​เรื่อง​ยาก​และ​ข้า​ก็​ไม่​คิด​ที่จะ​ฆ่า​เจ้า​ตั้งแต่แรก​ ​อย่างไรก็ตาม​ ​ก่อน​จะ​ไป​จาก​ที่นี่​ ​เจ้า​ต้อง​คืน​บางอย่าง​มาก​่อน​ ​!​”

สีหน้า​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ไม่เปลี่ยนแปลง​ใด​ ​ๆ​ ​ขณะ​กล่าว​วาจา​ที่​ทำให้​สีหน้า​ของ​อีก​ฝ่าย​ถอดสี​ทันที

“​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​เจ้า​หมายความว่า​อะไร​ ​?​ ​ข้า​ไม่เข้าใจ​”

ว่าน​เจียง​เหอ​ไม่ยอมรับ​และ​แสร้งทำ​เป็น​ไม่รู้​เรื่อง​รู้​ราว​อีก​ครา

“​เหอะ​ ​เสแสร้ง​ทำเป็น​ไม่เข้าใจ​งั้น​รึ​ ​?​ ​ถ้าเช่นนั้น​ข้า​จะ​อธิบาย​ให้​เจ้า​เข้าใจ​เอง​ ​ว่าน​เจียง​เห​อ.​..​เจ้า​ให้สัญญา​กับ​สำนัก​หมอก​ควัน​ว่า​จะ​นำ​เคล็ด​วิชา​หมื่น​กระบี่​หวนคืน​ของ​เรา​ไป​ที่นั่น​และ​ให้​ศิษย์​ของ​พวกเขา​ได้​ศึกษา​มัน​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​ ​สำนัก​หมอก​ควัน​จึง​จะ​ตอบแทน​เจ้า​ด้วย​ตำแหน่ง​รอง​จ้าว​นิกาย​ ​!​”

ว่าน​หรู​ชู​กล่าว​ออก​ไป​อย่างชัดเจน​ ​พวกเขา​ทำการ​สืบหา​ข้อมูล​และ​เพิ่ง​ค้นพบ​เรื่อง​นี้​เพียง​ไม่นาน​ ​ไม่​คิด​เลย​ว่าว​่าน​เจียง​เหอ​จะ​ทรยศ​ต่อนิ​กาย​หมื่น​กระบี่​ ​การ​ที่​คิด​จะ​นำ​เคล็ด​วิชา​หมื่น​กระบี่​หวนคืน​ของ​นิกาย​ไป​ให้​ขุม​กำลัง​อื่น​ศึกษา​ถือเป็น​การ​ทรยศ​ต่อนิ​กาย​อย่างแท้จริง​

เคล็ด​วิชา​หมื่น​กระบี่​หวนคืน​ถือเป็น​สมบัติ​ล้ำค่า​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​และ​เป็น​รากฐาน​ความรุ่งโรจน์​ของ​นิกาย​ ​หาก​คน​ของ​ขุม​กำลัง​อื่น​ได้​ศึกษา​มัน​ ​เกรง​ว่า​ในอนาคต​นิกาย​หมื่น​กระบี่​อาจ​ตกอยู่ในอันตราย​ ​สำหรับ​เรื่องสำคัญ​เช่นนี้​ ​ต่อให้​เป็น​ว่าน​อู๋​เริ​่น​หรือ​ผู้อาวุโส​คนอื่น​ ​ๆ​ ​ของ​นิกาย​ ​พวกเขา​ก็​ไม่ได้​รับ​อนุญาต​ให้​เผยแพร่​เคล็ด​วิชานี​้​ออก​ไป

“​อะไร​นะ​ ​?​!​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​แม้แต่​สิ่ง​ที่ต่ำ​ช้า​เช่นนั้น​…​เจ้า​ก็​ทำ​กล้า​งั้น​รึ​ ​?​!​”

สีหน้า​ของ​บรรดา​ผู้อาวุโส​เปลี่ยนแปลง​ไป​อีก​ครา​และ​จ้องหน้า​ว่าน​เจียง​เหอ​ตาเขม​็ง​ ​พวกเขา​คิดไม่ถึง​เลย​ว่า​ผู้อาวุโส​รอง​จะ​กล้า​ทำ​สิ่ง​ที่​น่ารังเกียจ​เช่นนั้น​ ​ใน​ฐานะ​ผู้อาวุโส​รอง​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​ปกติ​แล้ว​ว่าน​เจียง​เห​อก​็​ได้รับ​ความไว้วางใจ​จาก​ว่าน​อู๋​เริ​่น​และ​ว่าน​หรู​ชู​ ​ทว่า​เขา​กลับ​คิด​ทรยศ​นิกาย​เพื่อ​ผลประโยชน์​ของ​ตนเอง​ ​หาก​ปล่อย​เขา​ไป​ ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​จะ​ต้อง​ตก​อยู่​ใน​สถานการณ์​อันตราย​เป็นแน่​…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหนือ​ลาน​ประลองยุทธ์​ ​จู่​ ​ๆ​ ​ก็​เกิด​คลื่น​ผันผวน​ขึ้น​มา​และ​ร่าง​ของ​คน​สอง​คน​ก็​ปรากฏ​ขึ้น​กลางอากาศ

หนึ่ง​ใน​นั้น​คือ​คนที​่​ฉิน​อวี​้​โม่​และ​ผู้อาวุโส​คนอื่น​ ​ๆ​ ​รู้จัก​ดี​ ​เขา​มิใช่​ใคร​อื่น​ ​หากแต่​เป็น​ว่าน​หรู​ชู​—​ผู้อาวุโส​ใหญ่​ของ​หอ​ชั้นใน​แห่ง​นิกาย​หมื่น​กระบี่​นั่นเอง

บุรุษ​ชรา​ที่​ปรากฏตัว​ข้าง​ ​ๆ​ ​เขา​ก็​มี​เส้น​ผม​และ​เครา​สีขาว​โพลน​ ​รวมถึง​มีกลิ่น​อาย​ที่​ยาก​เกิน​หยั่งถึง​ ​ใน​ตอนนี้​เขา​กำลัง​เหยียบย่ำ​อยู่​บน​ผืน​อากาศ​ราวกับ​เป็น​เทพ​ผู้​สูงส่ง​และ​ยาก​ที่​ผู้ใด​จะ​ละสายตา​ไป​ได้

“​ท่าน​ตา​…​”

เมื่อ​เห็น​บุรุษ​ชรา​ผู้​นั้น​ ​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​ก็​เอ่ย​เรียก​ด้วย​น้ำเสียง​ตื่นเต้น​ทันที​ ​นาง​เหาะ​เข้าไป​ใกล้​บุรุษ​ชรา​และ​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​เศร้าโศก​ ​“​ท่าน​ตา​ ​มี​คน​ข่มขู่​ข้า​และ​ต้องการ​จะ​ฆ่า​ข้าเจ้า​ค่ะ​”

ว่าน​เฉิน​ซี​เป็น​บุตรสาว​เพียง​คนเดียว​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ผู้​เป็น​จ้าว​นิกาย​หมื่น​กระบี่​และ​ได้รับ​ความรัก​ความ​เอ็นดู​จาก​เขา​อยู่​เสมอ​ ​การ​ที่​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​เป็น​บุตรสาว​ของ​ว่าน​เฉิน​ซี​ ​แน่นอน​ว่านา​งก​็​ต้อง​ได้รับ​การ​เอาอกเอาใจ​จาก​ท่าน​ตา​ผู้​นี้​เป็นธรรมดา

ก่อนหน้านี้​ ​นาง​ได้​เดิมพัน​กับ​ท่าน​ตา​และ​มารดา​ของ​ตน​ไว้​โดย​ยืนยัน​ว่านาง​สามารถ​ผ่าน​การคัดเลือก​เพื่อ​เข้าร่วม​หอ​ชั้นใน​ได้​ด้วย​ความสามารถ​ของ​ตนเอง​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​นาง​จึง​ออก​ไป​อยู่​ที่​หอ​ชั้นนอก​ ​ก่อนหน้านี้​ ​บรรดา​ผู้อาวุโส​ของ​หอ​ชั้นใน​ต่าง​ก็​รู้สึก​คุ้นหน้า​นาง​ ​ทว่า​จดจำ​นาง​ไม่ได้​ ​เนื่องจาก​ปกติ​แล้ว​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​มัก​อาศัย​อยู่​กับ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​และ​แทบจะ​ไม่​ปรากฏตัว​ให้​ผู้ใด​พบ​หน้า​ ​กล่าว​ได้​ว่า​ใน​ทั่วทั้ง​นิกาย​หมื่น​กระบี่​มี​เพียง​น้อย​คน​เท่านั้น​ที่​เคย​พบ​หน้า​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​ ​แม้แต่​บรรดา​ผู้อาวุโส​หลาย​คน​ก็​เคย​พบ​นาง​เพียง​หนึ่ง​ครั้ง​หรือ​สองครั​้ง​เท่านั้น​และ​นั่น​ก็​เป็น​เมื่อ​หลาย​ปีก่อน​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​จึง​เป็นธรรมดา​ที่​พวกเขา​จะ​จดจำ​นาง​ไม่ได้

“​หนูอ้วน​เถา​คือ​หลานสาว​ของ​จ้าว​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​!​”

เถี​ยน​ซิน​และ​สวี​เยว​่​กล่าว​ด้วย​ความ​ตกตะลึง​ ​พวก​นาง​คิดไม่ถึง​เลย​ว่า​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​จะ​เป็น​หลานสาว​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​แม้​เคย​ตั้ง​ข้อสันนิษฐาน​ไว้​แล้ว​ว่า​ตัวตน​ที่แท้​จริง​ของ​นาง​จะ​ต้อง​ไม่ธรรมดา​ ​ทั้งสอง​ก็​ไม่เคย​คาดคิด​ว่า​อีก​ฝ่าย​จะ​มีพื​้น​เพ​ภูมิหลัง​ที่​ยิ่งใหญ่​ถึง​เพียงนี้

อย่างไรก็ตาม​ ​ฉิน​อวี​้​โม่​และ​เห​ลิ่ง​ซวง​เสวี​่ย​ไม่ได้​รู้สึก​แปลกใจ​มาก​นัก​ ​ทั้งสอง​คาดเดา​สถานการณ์​เช่นนี้​ไว้​แล้ว​ ​ทว่า​คิดไม่ถึง​เช่นกัน​ว่า​เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​จะ​เป็น​ถึง​หลานสาว​ของ​จ้าว​นิกาย

“​แม้​ไม่ได้​พบกัน​สอง​สาม​ปี​ ​เจ้า​ก็​ยัง​เป็น​เด็ก​จ้ำม่ำ​ไม่​เปลี่ยน​”

ว่าน​อู๋​เริ​่น​จิ้ม​แก้ม​นุ่ม​ของ​หลานสาว​และ​กล่าว​อย่าง​ติดตลก

“​ท่าน​ตาก​็​…​”

เถา​เซี่ยว​เซี่ยว​ทำ​หน้ามุ่ย​เล็กน้อย​และ​เกาะ​แขน​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ด้วย​ท่าทาง​ของ​เด็ก​เอาแต่ใจ​อย่างเห็นได้ชัด

“​ไว้​คุย​กัน​ทีหลัง​เถอะ​ ​ตอนนี้​จัดการ​เรื่อง​วุ่นวาย​ตรงหน้า​ก่อน​จะ​ดีกว่า​”

ว่าน​อู๋​เริ​่น​ยิ้ม​ให้​กับ​นาง​ก่อน​หันไป​มองว่าน​เจียง​เหอ​ที่​ต้องการ​หลบหนี

“​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​เจ้า​คิด​จะ​หนี​ไป​ง่าย​ ​ๆ​ ​เช่นนี้​หรือ​ ​?​”

แรงกดดัน​อัน​แรงกล้า​แผ่​ตรง​ไป​ที่ว่าน​เจียง​เหอ​ทันที​และ​สีหน้า​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่​นก​ลาย​เป็น​เคร่งขรึม

“​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​ใน​ฐานะ​ที่​ข้า​เป็น​ผู้อาวุโส​รอง​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​มานาน​หลาย​ปี​ ​ข้า​อุทิศ​ตน​และ​ทำ​ผลประโยชน์​เพื่อนิ​กาย​มา​เสมอ​ ​ในเมื่อ​ทุกคน​กล่าว​วาจา​ดูหมิ่น​ข้า​เช่นนี้​ ​ข้า​คงอยู่​ที่​นิกาย​แห่ง​นี้​ไม่ได้​อีกต่อไป​”

เมื่อ​เผชิญหน้า​กับ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​ว่าน​เจียง​เห​อก​็​มีสี​หน้าที่​อ่อน​ลง​อย่างเห็นได้ชัด​ ​เขา​ตระหนัก​ดี​ว่า​จ้าว​นิกาย​ของ​พวก​ตน​แกร่งกล้า​เพียงใด​ ​หากว่า​นอู​๋​เริ​่น​ไม่ยอม​ให้​เขา​ไป​จาก​ที่นี่​ ​เขา​ก็​ไม่มีทาง​รอดชีวิต​ออก​ไป​ได้​เลย

“​ฮ่า​ ​ๆ​ ​ๆ​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​ไม่ต้อง​มาก​ล่า​ววา​จายุ​แยง​ให้​คนอื่น​เข้าใจผิด​หรอก​ ​ข้า​ทราบ​ดี​ว่า​เจ้า​เป็น​คน​อย่างไร​ ​หาก​ไม่มี​ที่​ไป​ ​เจ้า​คง​ไม่กล้า​แตกหัก​กับ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​เพียง​เพราะ​เรื่อง​ของ​ศิษย์​หรอก​ ​บอก​มาสิ​ว่า​ขุม​กำลัง​ใด​ที่​สัญญา​จะ​ให้ผล​ประโยชน์​กับ​เจ้า​จน​คิด​ที่จะ​ถอนตัว​ออกจาก​นิกาย​หมื่น​กระบี่​เช่นนี้​ ​?​”

ว่าน​อู๋​เริ​่น​หัวเราะ​อย่าง​เย็นชา​ ​แน่นอน​ว่า​เขา​ไม่เชื่อ​วาจา​กลบเกลื่อน​ของ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​ใน​ฐานะ​จ้าว​นิกาย​ ​เขา​ทราบ​ดี​ว่า​ผู้อาวุโส​รอง​เป็น​คน​อย่างไร

ใน​บรรดา​ผู้อาวุโส​ทั้งหมด​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​ผู้อาวุโส​รอง​ควรจะเป็น​บุคคล​ที่​เห็นแก่ตัว​ที่สุด

อย่างไรก็ตาม​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​เป็น​ผู้​สืบ​ทายาท​ของ​ผู้อาวุโส​ใน​อดีต​ที่​อุทิศ​ตน​และ​มีส่วนร่วม​ครั้ง​สำคัญ​ต่อ​ความสำเร็จ​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​อีกทั้ง​เขา​ก็​ไม่เคย​ก่อ​ความผิด​ครั้ง​ใหญ่​ตลอด​หลาย​ปี​ที่ผ่านมา​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​ ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​จึง​มัก​ปิด​ตา​ข้าง​หนึ่ง​อยู่​เสมอ​และ​ทำเป็น​ไม่รู้ไม่เห็น​การกระทำ​เล็ก​ ​ๆ​ ​น้อย​ ​ๆ​ ​ของ​เขา​ ​ทว่า​ครานี​้​การกระทำ​ของ​ว่าน​เจียง​เหอ​เป็นการ​ล้ำเส้น​อย่างแท้จริง

นอกเหนือจาก​โจมตี​ศิษย์​มาก​พรสวรรค์​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​อย่างเปิดเผย​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ยัง​คิด​ที่จะ​สังหาร​หลานสาว​ของ​เขา​ ​และ​นั่น​เป็นการ​กระทำ​ที่​รนหาที่​ตาย​อย่างแท้จริง​ ​!

“​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​อย่า​ลืม​ว่า​ใน​อดีต​เจ้า​ได้​ตำแหน่ง​จ้าว​นิกาย​มา​ได้​อย่างไร​ ​?​ ​ศิษย์​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ท้าทาย​ข้า​ที่​เป็น​ผู้อาวุโส​รอง​อย่าง​ไม่​ไว้หน้า​ ​เพียง​เจ้า​ไม่​จัดการ​เรื่อง​นี้​ก็​ถือว่า​หนักหนา​มาก​แล้ว​ ​ทว่า​ยัง​คิด​สงสัย​ใน​ตัว​ข้า​อีก​อย่างนั้น​หรือ​ ​?​!​”

แน่นอน​ว่าว​่าน​เจียง​เหอ​ไม่ยอมรับ​อย่างง่ายดาย​ ​ต่อให้​ว่าน​อู๋​เริ​่​นก​ล่าว​สิ่งที่คิด​ออก​ไป​ ​เขา​ก็​ยัง​เสแสร้ง​ทำเป็น​ไม่รู้​เรื่อง​รู้​ราว

สำหรับ​เรื่อง​ข้อตกลง​ระหว่าง​เขา​และ​ขุม​กำลัง​นั้น​ ​ตราบใดที่​ไม่ยอมรับ​ ​ว่าน​อู๋​เริ​่​นก​็​ไม่มี​หลักฐาน​ใด​มา​เอาผิด​เขา​ได้

“​เหอะ​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​หาก​พวกเรา​แสดงตัว​ปกป้อง​เจ้า​ ​ความเคารพ​ที่​ศิษย์​ใน​นิกาย​มีต​่​อพ​วก​เรา​ก็​คงจะ​มลาย​สิ้น​ ​!​ ​การกระทำ​ของ​เจ้า​ใน​ครานี​้​ ​ทุกคน​ได้​ประจักษ์​อย่างชัดเจน​แล้ว​ ​เหตุใด​ศิษย์​จะ​ต้อง​เคารพ​เจ้า​ใน​ฐานะ​ผู้อาวุโส​รอง​ต่อไป​ด้วย​เล่า​ ​?​ ​อันที่จริง​ใน​ตอนแรก​มัน​มิใช่​เรื่อง​ที่​เกี่ยวกับ​ตัว​เจ้า​ด้วยซ้ำ​ ​อย่า​เห็น​ผิด​เป็น​ชอบ​จะ​ดีกว่า​ ​มัน​น่ารังเกียจ​นัก​ ​!​”

ว่าน​เฉิน​ซี​ผู้​เป็น​บุตรสาว​ของ​จ้าว​นิกาย​มัก​มี​อารมณ์​ฉุนเฉียว​อยู่​เสมอ​ ​และ​ครานี​้​ว่าน​เจียง​เหอ​ทำให้​นาง​เดือดดาล​อย่างที่​สุด

“​ถูกต้อง​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​พวกเรา​ผู้อาวุโส​ทุกคน​เห็น​สิ่ง​ที่​เจ้า​ทำ​แล้ว​ ​อย่า​เสแสร้ง​ทำเป็น​ใส​ซื่อ​ไร้เดียงสา​อีก​เลย​”

ผู้อาวุโส​คนอื่น​ ​ๆ​ ​ก็​กล่าว​เสริม​อย่าง​เห็นด้วย​ ​พวกเขา​รู้สึก​ไม่​ถูกชะตา​กับ​ผู้อาวุโส​รอง​ผู้​นี้​ตั้งแต่แรก​แล้ว​ ​และ​เมื่อ​เกิดเรื่อง​วุ่นวาย​เช่น​วันนี้​ ​พวกเขา​ก็​ไม่พอใจ​มาก​ยิ่งกว่า​เดิม​และ​มิ​อาจ​ทน​ได้​อีกต่อไป

“​เหอะ​ ​ถ้าเช่นนั้น​ข้า​ก็​ไม่มี​อะไร​จะ​พูด​ ​ว่าน​อู๋​เริ​่​น.​..​ใน​อดีต​ข้า​อุทิศ​ตน​ต่อนิ​กาย​หมื่น​กระบี่​มาต​ลอด​และ​ถือว่า​หักล้าง​กับ​เรื่อง​ใน​วันนี้​ ​นับจากนี้ไป​ ​ข้า​จะ​ตัดขาด​จาก​นิกาย​หมื่น​กระบี่​และ​ไม่มี​สิ่งใด​เกี่ยวข้อง​กัน​อีก​ ​หาก​ยัง​จดจำ​ได้​ว่าที่​ผ่าน​มาบร​รพ​บุรุษ​ของ​ข้า​และ​ตัว​ข้า​ทำ​อะไร​เพื่อนิ​กาย​นี้​บ้าง​…​เจ้า​ก็​ปล่อย​ข้า​ไป​เถอะ​”

ว่าน​เจียง​เหอ​แค่น​เสียง​อย่าง​เย็นชา​และ​กล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​ที่​สะเทือนอารมณ์

“​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​การ​ปล่อย​เจ้า​ไป​มิใช่​เรื่อง​ยาก​และ​ข้า​ก็​ไม่​คิด​ที่จะ​ฆ่า​เจ้า​ตั้งแต่แรก​ ​อย่างไรก็ตาม​ ​ก่อน​จะ​ไป​จาก​ที่นี่​ ​เจ้า​ต้อง​คืน​บางอย่าง​มาก​่อน​ ​!​”

สีหน้า​ของ​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ไม่เปลี่ยนแปลง​ใด​ ​ๆ​ ​ขณะ​กล่าว​วาจา​ที่​ทำให้​สีหน้า​ของ​อีก​ฝ่าย​ถอดสี​ทันที

“​ว่าน​อู๋​เริ​่น​ ​เจ้า​หมายความว่า​อะไร​ ​?​ ​ข้า​ไม่เข้าใจ​”

ว่าน​เจียง​เหอ​ไม่ยอมรับ​และ​แสร้งทำ​เป็น​ไม่รู้​เรื่อง​รู้​ราว​อีก​ครา

“​เหอะ​ ​เสแสร้ง​ทำเป็น​ไม่เข้าใจ​งั้น​รึ​ ​?​ ​ถ้าเช่นนั้น​ข้า​จะ​อธิบาย​ให้​เจ้า​เข้าใจ​เอง​ ​ว่าน​เจียง​เห​อ.​..​เจ้า​ให้สัญญา​กับ​สำนัก​หมอก​ควัน​ว่า​จะ​นำ​เคล็ด​วิชา​หมื่น​กระบี่​หวนคืน​ของ​เรา​ไป​ที่นั่น​และ​ให้​ศิษย์​ของ​พวกเขา​ได้​ศึกษา​มัน​ ​เพราะ​เหตุ​นั้น​ ​สำนัก​หมอก​ควัน​จึง​จะ​ตอบแทน​เจ้า​ด้วย​ตำแหน่ง​รอง​จ้าว​นิกาย​ ​!​”

ว่าน​หรู​ชู​กล่าว​ออก​ไป​อย่างชัดเจน​ ​พวกเขา​ทำการ​สืบหา​ข้อมูล​และ​เพิ่ง​ค้นพบ​เรื่อง​นี้​เพียง​ไม่นาน​ ​ไม่​คิด​เลย​ว่าว​่าน​เจียง​เหอ​จะ​ทรยศ​ต่อนิ​กาย​หมื่น​กระบี่​ ​การ​ที่​คิด​จะ​นำ​เคล็ด​วิชา​หมื่น​กระบี่​หวนคืน​ของ​นิกาย​ไป​ให้​ขุม​กำลัง​อื่น​ศึกษา​ถือเป็น​การ​ทรยศ​ต่อนิ​กาย​อย่างแท้จริง​

เคล็ด​วิชา​หมื่น​กระบี่​หวนคืน​ถือเป็น​สมบัติ​ล้ำค่า​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​และ​เป็น​รากฐาน​ความรุ่งโรจน์​ของ​นิกาย​ ​หาก​คน​ของ​ขุม​กำลัง​อื่น​ได้​ศึกษา​มัน​ ​เกรง​ว่า​ในอนาคต​นิกาย​หมื่น​กระบี่​อาจ​ตกอยู่ในอันตราย​ ​สำหรับ​เรื่องสำคัญ​เช่นนี้​ ​ต่อให้​เป็น​ว่าน​อู๋​เริ​่น​หรือ​ผู้อาวุโส​คนอื่น​ ​ๆ​ ​ของ​นิกาย​ ​พวกเขา​ก็​ไม่ได้​รับ​อนุญาต​ให้​เผยแพร่​เคล็ด​วิชานี​้​ออก​ไป

“​อะไร​นะ​ ​?​!​ ​ว่าน​เจียง​เหอ​ ​แม้แต่​สิ่ง​ที่ต่ำ​ช้า​เช่นนั้น​…​เจ้า​ก็​ทำ​กล้า​งั้น​รึ​ ​?​!​”

สีหน้า​ของ​บรรดา​ผู้อาวุโส​เปลี่ยนแปลง​ไป​อีก​ครา​และ​จ้องหน้า​ว่าน​เจียง​เหอ​ตาเขม​็ง​ ​พวกเขา​คิดไม่ถึง​เลย​ว่า​ผู้อาวุโส​รอง​จะ​กล้า​ทำ​สิ่ง​ที่​น่ารังเกียจ​เช่นนั้น​ ​ใน​ฐานะ​ผู้อาวุโส​รอง​ของ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​ ​ปกติ​แล้ว​ว่าน​เจียง​เห​อก​็​ได้รับ​ความไว้วางใจ​จาก​ว่าน​อู๋​เริ​่น​และ​ว่าน​หรู​ชู​ ​ทว่า​เขา​กลับ​คิด​ทรยศ​นิกาย​เพื่อ​ผลประโยชน์​ของ​ตนเอง​ ​หาก​ปล่อย​เขา​ไป​ ​นิกาย​หมื่น​กระบี่​จะ​ต้อง​ตก​อยู่​ใน​สถานการณ์​อันตราย​เป็นแน่​…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ภายในจวนตระกูลเหมียว ณ เมืองเทียนยิน

หานโม่ฉือพักอยู่ในจวนตระกูลเหมียวมานานครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้ไม่เพียงแต่พลังในร่างของเขาจะฟื้นฟูกลับคืนมาเท่านั้น ทว่าเขาก็พัฒนาตนเองได้สำเร็จเช่นกัน

ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ พลังของเขาก็บรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ทว่าด้วยข้อจำกัดของดินแดนเทพมายา เขาจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ทว่าในดินแดนระดับสูงแห่งนี้ไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้นอีกต่อไป เขาจึงสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้อย่างง่ายดายและแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาและคนของตระกูลเหมียวก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างมากและทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าหานโม่ฉือทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ แม้แต่ในดินแดนที่แกร่งกล้าแห่งนี้ จอมยุทธ์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีซึ่งบรรลุขอบเขตนี้ได้ก็ยังถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ !

“พี่หาน ข้ายังไม่มีข่าวของท่านพี่สะใภ้เลยเจ้าค่ะ”

วันนี้หานโม่ฉือกำลังทำสมาธิอยู่ภายในเรือนอย่างสงบและเหมียวเจินเจินเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยเล็กน้อย

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตระกูลเหมียวส่งคนออกไปสืบข่าวคราวทั่วบริเวณทว่าไม่มีเบาะแสของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย มั่นใจได้เลยว่าหากฉินอวี้โม่อยู่ในเมืองนี้หรือแม้แต่บริเวณใกล้เคียง พวกเขาก็น่าจะได้ทราบเบาะแสของนางมานานแล้ว สาเหตุที่ไม่มีข่าวความคืบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะตำแหน่งของนางไม่ได้อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับเมืองเทียนยินเลย

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”

หานโม่ฉือพยักศีรษะรับทราบและกล่าวขอบคุณน้องสาวผู้ร่าเริงและอารมณ์ดีตลอดเวลาผู้นี้

เขาทราบดีว่าเหมียวเจินเจินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและพยายามหาทางสืบข่าวของฉินอวี้โม่อย่างสุดความสามารถ

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจต่อทุกคนในตระกูลเหมียวตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเหล่านี้กระตือรือร้นกันอย่างมากและต้อนรับเขาในฐานะแขกคนสำคัญของตระกูล ผู้นำตระกูลเหมียวเองก็เป็นมิตรอย่างยิ่งและมอบความสบายใจให้กับเขาราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเขาเอง

“พี่หาน หากท่านยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยท่านตามหาพี่สะใภ้แล้วนะ”

เหมียวเจินเจินกล่าวติดตลกและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “โอ้…จริงสิ ท่านพ่อเรียกพี่หานไปพบที่ห้องตำราและมีเรื่องจะพูดคุยหารือกับพี่หานเจ้าค่ะ”

แม้ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังวิธีการบางอย่างที่พอจะช่วยให้ตามหาฉินอวี้โม่ได้ หากเป็นไปตามที่คาด คงไม่ยากที่หานโม่ฉือจะได้พบกับฉินอวี้โม่หลังจากนั้น

ภายในห้องตำราของจวนตระกูลเหมียว นอกเหนือจากเหมียวเหรินจวิน—ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลอีกหลายคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินเข้าไปและพบกับพวกเขาเหล่านั้นที่กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น

สตรีในตระกูลเหมียวหลายคนระหว่างทางก็มีพวงแก้มแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวเมื่อพบหน้าหานโม่ฉือ ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มจากต่างแดนผู้นี้รูปงามจนเกินไป แม้เขาพักอยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือนและได้พบหน้าเขาหลายครา พวกนางก็ยังไม่อาจหักห้ามมิให้ใจเต้นแรงทุกคราที่พบกัน

“ท่านลุงขอรับ”

เมื่อเข้ามาในห้องตำรา หานโม่ฉือก็กล่าวทักทายทุกคนก่อนนั่งลงใกล้กับเหมียวเหรินจวิน

เหมียวเจินเจินเองก็ไม่ได้แยกออกไปและนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างหานโม่ฉือเช่นกัน

ผู้นำตระกูลเหมียวโบกมือส่งสัญญาณก่อนที่ประตูห้องตำราจะปิดลง จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับหานโม่ฉือและกล่าวขึ้นมา “โม่ฉือ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะหารือด้วย”

เหมียวเหรินจวินชื่นชมบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาก็ยินดีที่จะจัดการให้เหมียวเจินเจินได้ตบแต่งกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นแน่ แม้ใช้เวลาทำความรู้จักกันได้สั้น ๆ เพียงครึ่งเดือนและยังไม่ทราบภูมิหลังของอีกฝ่ายอย่างแน่ชัด ทว่าเขาก็ชื่นชมในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ต่อให้เทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพ หานโม่ฉือก็จัดเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างที่สุด เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อของดินแดนมหาเทพในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน แม้ไม่มีโอกาสได้บุรุษผู้นี้เป็นบุตรเขย แต่การได้ผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็มิใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด

“ท่านลุงมีสิ่งใดก็ว่ามาได้เลยขอรับ ตราบใดที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”

หานโม่ฉือยกมือประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ

“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าเช่นกัน”

เหมียวเหรินจวินมองสีหน้าท่าทางจริงใจของหานโม่ฉือและรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้นก่อนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ

“โม่ฉือ ในการคัดเลือกของเมืองเทียนยินที่จะมาถึงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนให้กับตระกูลเหมียวของพวกเราได้”

จุดประสงค์ของผู้นำตระกูลเหมียวในครานี้คือการต้องการให้หานโม่ฉือเข้าร่วมตระกูลเหมียวเพื่อเป็นตัวแทนในการคัดเลือกจอมยุทธ์ประจำปีนี้

“พี่หาน ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของท่าน ท่านจะผ่านการคัดเลือกครานี้ไปได้ไม่ยาก หากได้เป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของเมืองเทียนยินของเรา ท่านก็จะได้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสามสำนักและเก้านิกาย ท่านเคยบอกข้าว่าท่านพี่สะใภ้มีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าท่าน หากนางทราบถึงเรื่องการคัดเลือกประจำปี นางไม่มีทางพลาดแน่เจ้าค่ะ เช่นนั้นหากท่านเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ ท่านก็จะได้พบกับพี่สะใภ้อีกครั้งอย่างแน่นอน”

เหมียวเจินเจินกล่าวอธิบายเรื่องการคัดเลือกที่บิดาของตนหมายถึงและนั่นเป็นการคัดเลือกเดียวกันกับที่ฉินอวี้โม่กำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมอยู่ในอำเภอซ่างหยวน

เพียงแต่ฟากของหานโม่ฉือนั้นง่ายกว่าฉินอวี้โม่มาก

อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ซึ่งฉินอวี้โม่จะต้องผ่านการทดสอบของอำเภอไปตามขั้นก่อนที่จะผ่านเข้าถึงมณฑลชิงโจวและเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบของมณฑลชิงโจว รอบสุดท้ายก็คือการคัดเลือกโดยตรงของสามสำนักและเก้านิกาย

ทว่าเมืองเทียนยินก็เป็นเมืองใหญ่ที่เทียบเท่ากับมณฑลชิงโจวและเป็นกรณียกเว้นพิเศษ เพราะฉะนั้นหานโม่ฉือจึงต้องเข้าร่วมการคัดเลือกของเมืองเทียนยินเท่านั้น เนื่องจากเป็นเมืองขนาดที่ใหญ่มาก เขาจะผ่านไปสู่รอบสุดท้ายของการคัดเลือกของสามสำนักและเก้านิกายได้โดยตรง นั่นก็หมายความว่าการคัดเลือกของเขาจะสั้นกว่าฉินอวี้โม่หนึ่งขั้นซึ่งช่วยให้ผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ ได้ง่ายกว่า

“เข้าใจแล้วขอรับ”

หานโม่ฉือตอบตกลงโดยไม่ลังเล สิ่งที่เหมียวเจินเจินกล่าวมาถูกต้องแล้วและฉินอวี้โม่จะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่ที่ใด นางจะหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ประจำปีนี้เป็นแน่ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนาง หานโม่ฉือไม่มีข้อสงสัยหรือไม่มั่นใจแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าสำหรับตอนนี้ นี่เป็นทางที่เร็วที่สุดที่เขาจะได้พบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง

“ท่านพ่อ เห็นหรือไม่เจ้าคะ ? ข้าบอกแล้วว่าพี่หานจะต้องเห็นด้วยแน่ ๆ”

เหมียวเจินเจินกล่าวกับบิดาและยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นับตั้งแต่ก่อนที่เหมียวเหรินจวินจะกล่าวข้อเสนอกับหานโม่ฉือ นางทราบอยู่แล้วว่า ‘พี่หาน’ จะตอบรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน และเป็นจริงดังที่คิดไว้ นางคาดเดาไม่ผิดเลย หานโม่ฉือตกปากรับคำด้วยความยินดี

“ในเมื่อเจ้ารอบรู้เช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามโม่ฉือไปเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยกันเถอะ”

เหมียวเหรินจวินมองบุตรสาวอย่างเอาอกเอาใจและไม่รังเกียจที่นางจะติดตามไปกับหานโม่ฉือด้วย จากความเข้าใจที่เขามีต่อหานโม่ฉือ เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าหานโม่ฉือจะปกป้องเหมียวเจินเจินได้อย่างแน่นอน รวมถึงศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเหมียวที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้เช่นกัน…

“โม่ฉือ การคัดเลือกจะเริ่มต้นในอีกสองเดือน เมื่อถึงตอนนั้นมิใช่เพียงคนของเมืองเทียนยินของเราเท่านั้น ทว่าเมืองเล็ก ๆ โดยรอบทั้งหมดก็จะคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์และฝีมือโดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกประจำปีนี้ แม้พรสวรรค์และพลังของเจ้าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ เจ้าก็ไม่ควรประมาทเกินไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าก็ออกไปสำรวจให้ทั่วเมืองก่อนเถอะเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว”

ผู้นำตระกูลเหมียวก็กล่าวกับหานโม่ฉือราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูล

“ขอรับ ขอบคุณท่านลุงมาก”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและไม่ปฏิเสธใด ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ภายในจวนตระกูลเหมียวและแทบไม่ออกไปพบปะโลกภายนอก ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่เขาทราบในช่วงที่ผ่านมานี้ก็ล้วนมาจากคำบอกเล่าของเหมียวเจินเจิน บังเอิญว่าเขาเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและเหลือเพียงแต่การปรับรากฐานพลังให้คงที่เท่านั้น เขาจึงออกไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรีบร้อนฝึกวิชาอีก

“เยี่ยมไปเลย พี่หาน…ข้าจะพาท่านไปเที่ยวชมรอบเมืองและพาไปทานอาหารที่อร่อยที่สุดในเมืองเทียนยินเอง”

เหมียวเจินเจินกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า นางยังอายุน้อยมากและเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับความสนุกสนานและความสุข

ทุกคนในห้องตำราก็อดหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังของนางไม่ได้ เหมียวเหรินจวินก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและเข้าใจดีว่าตนไม่สามารถห้ามปรามหรือควบคุมบุตรสาวผู้นี้ได้เลย

หลังจากหารือเรื่องต่าง ๆ อีกพักหนึ่ง เหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือออกนอกจวนตระกูลเหมียวเพื่อออกไปเที่ยวชมรอบเมืองเทียนยิน

‘เมืองเทียนยิน’ จัดเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนมหาเทพซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านครล่าฝันในดินแดนเทพมายาหลายเท่าตัวนัก

เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมากซึ่งมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางเข้า-ออกอย่างไม่หยุดหย่อน หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินไปตามเส้นทางและได้พบเห็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากหน้าหลายตา

ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงและแม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่อาจสัมผัสถึงระดับพลังของพวกเขาได้เลย

ต้องกล่าวเลยว่าเสือหมอบมังกรซ่อนของดินแดนแห่งนี้มีมากยิ่งกว่าดินแดนเทพมายาถึงหลายเท่านัก

* 卧虎藏龙 เสือหมอบ มังกรซ่อน ความหมายคือ คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา

หลังจากนั้นเหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือเที่ยวชมไปทั่วก่อนมาถึงภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนยินและจองห้องแยกห้องหนึ่งทันที

“พี่หาน อาหารที่นี่อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ท่านควรจะลองลิ้มรสดู”

เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า นางชอบมารับประทานอาหารในภัตตาคารชิงอวิ๋นแห่งนี้มากที่สุด ไม่ว่าอาหารหรือขนม ทุกอย่างล้วนมีรสชาติดีเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเหล่านั้นยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานหนาแน่นซึ่งส่งผลให้พวกมันมีราคาสูงและคนธรรมดาหลายคนไม่มีวาสนาที่จะได้ลิ้มลองมัน

หานโม่ฉือนั่งลงด้านข้างและฟังเหมียวเจินเจินเล่าเรื่องราวสถานการณ์ในเมืองเทียนยินต่อไปโดยไม่กล่าวความคิดเห็นใดมากนัก เขาเพียงส่งเสียงตอบรับในช่วงท้ายประโยคเป็นระยะ ๆ เท่านั้นเพื่อมิให้เหมียวเจินเจินรู้สึกเบื่อหน่ายจนเกินไป

แม้ภายในห้องแยกนี้จะมีเพียงพวกเขาสองคน ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยสักนิดและน้ำเสียงร่าเริงของเหมียวเจินเจินก็ดังชัดเจนไปถึงข้างนอก

“เฮ้ ข้าก็นึกว่าใครที่กล้าแย่งห้องของข้าไป ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เหมียวเจินเจิน…นังเด็กตัวเหม็น !”

น้ำเสียงยั่วยุระคนไม่พอใจดังมาจากข้างนอกก่อนที่ประตูห้องแยกจะถูกผลักเปิดออกอย่างรุนแรง

หน้าประตูเวลานี้ มีสตรีคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและมีบุรุษหนุ่มอายุช่วงยี่สิบปีหลายคนติดตามอยู่ข้างหลัง

รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ทว่าใบหน้าของนางก็ทาสีขาวซีดและแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีแดงซึ่งดูประหลาดตาอย่างมาก คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังนางก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าสีหน้าแววตาทะนงตนที่ปรากฏชัดเจนทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ห้องของเจ้า ? ตลกชะมัด ฮ่า ๆ ๆ มีชื่อของเจ้าเขียนไว้ด้วยรึ ?”

เหมียวเจินเจินยืนขึ้นสบตาสตรีผู้นั้นและตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าทันที

สตรีผู้นี้ก็คือเถียนเยี่ยนจือ—คุณหนูของตระกูลเถียนซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเหมียวเลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็คือพี่น้องของนาง—เหล่าคุณชายแห่งตระกูลเถียน

ตระกูลเถียนและตระกูลเหมียวไม่เคยมีอำนาจเหนือกว่ากันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งผู้นำและบรรดาศิษย์ของสองตระกูลก็ถือว่าเลวร้ายอย่างมาก ทว่าเถียนเยี่ยนจือผู้นี้ก็ริษยาในความงามของเหมียวเจินเจินที่เหนือกว่าตน เพราะฉะนั้นนางจึงพยายามยั่วยุและหาเรื่องทุกคราที่ได้พบหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากตระกูลเหมียวและตระกูลเถียนก็ยังมีตระกูลใหญ่อื่น ๆ ในเมืองแห่งนี้อีก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความขัดแย้งกันหรือความบาดหมางกันเป็นประจำ ทว่ามันก็ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป

“เหอะ แม้ข้าจะไม่ได้เขียนชื่อติดไว้แต่ข้านั่งทานอาหารในห้องนี้ทุกคราที่มาที่นี่ ทุกคนต่างก็ทราบดี !”

เถียนเยี่ยนจือแค่นเสียงและเหลือบไปเห็นบุรุษคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหมียวเจินเจินก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “หึ เหมียวเจินเจิน ครานี้เจ้าพาหมาแมวที่ไหนมาด้วยล่ะ ?”

ทว่าทันทีที่สายตาของนางบรรจบลงที่ใบหน้าของหานโม่ฉือ นางก็ตะลึงงันไปทันที…

เหมียวเจินเจินเป็นบุตรคนเดียวของทายาทตระกูลเหมียวและไม่มีพี่น้องแม้แต่คนเดียว ทุกคราที่นางปรากฏตัว นางก็มักอยู่ตัวคนเดียวหรือมาพร้อมกับศิษย์ผู้ติดตามจากตระกูลเหมียว ทว่าในทางกลับกัน พี่ชายหลายคนของเถียนเยี่ยนจือล้วนมีฝีมือพอสมควรและก่อนหน้านี้พวกเขาก็รังแกบรรดาศิษย์ที่เหมียวเจินเจินพามาด้วยอยู่หลายครั้งหลายครา

แม้เหมียวเจินเจินจะไม่พอใจนัก นางก็อดทนและไม่เคยหาเรื่องหรือตอบโต้อีกฝ่ายมากจนเกินไป

ทว่าน่าเสียดายที่เกรงว่าครานี้เถียนเยี่ยนจือคงจะเจอตอแข็งเข้าแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ภายในจวนตระกูลเหมียว ณ เมืองเทียนยิน

หานโม่ฉือพักอยู่ในจวนตระกูลเหมียวมานานครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้ไม่เพียงแต่พลังในร่างของเขาจะฟื้นฟูกลับคืนมาเท่านั้น ทว่าเขาก็พัฒนาตนเองได้สำเร็จเช่นกัน

ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ พลังของเขาก็บรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ทว่าด้วยข้อจำกัดของดินแดนเทพมายา เขาจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ทว่าในดินแดนระดับสูงแห่งนี้ไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้นอีกต่อไป เขาจึงสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้อย่างง่ายดายและแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาและคนของตระกูลเหมียวก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างมากและทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าหานโม่ฉือทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ แม้แต่ในดินแดนที่แกร่งกล้าแห่งนี้ จอมยุทธ์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีซึ่งบรรลุขอบเขตนี้ได้ก็ยังถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ !

“พี่หาน ข้ายังไม่มีข่าวของท่านพี่สะใภ้เลยเจ้าค่ะ”

วันนี้หานโม่ฉือกำลังทำสมาธิอยู่ภายในเรือนอย่างสงบและเหมียวเจินเจินเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยเล็กน้อย

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตระกูลเหมียวส่งคนออกไปสืบข่าวคราวทั่วบริเวณทว่าไม่มีเบาะแสของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย มั่นใจได้เลยว่าหากฉินอวี้โม่อยู่ในเมืองนี้หรือแม้แต่บริเวณใกล้เคียง พวกเขาก็น่าจะได้ทราบเบาะแสของนางมานานแล้ว สาเหตุที่ไม่มีข่าวความคืบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะตำแหน่งของนางไม่ได้อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับเมืองเทียนยินเลย

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”

หานโม่ฉือพยักศีรษะรับทราบและกล่าวขอบคุณน้องสาวผู้ร่าเริงและอารมณ์ดีตลอดเวลาผู้นี้

เขาทราบดีว่าเหมียวเจินเจินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและพยายามหาทางสืบข่าวของฉินอวี้โม่อย่างสุดความสามารถ

ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจต่อทุกคนในตระกูลเหมียวตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเหล่านี้กระตือรือร้นกันอย่างมากและต้อนรับเขาในฐานะแขกคนสำคัญของตระกูล ผู้นำตระกูลเหมียวเองก็เป็นมิตรอย่างยิ่งและมอบความสบายใจให้กับเขาราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเขาเอง

“พี่หาน หากท่านยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยท่านตามหาพี่สะใภ้แล้วนะ”

เหมียวเจินเจินกล่าวติดตลกและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “โอ้…จริงสิ ท่านพ่อเรียกพี่หานไปพบที่ห้องตำราและมีเรื่องจะพูดคุยหารือกับพี่หานเจ้าค่ะ”

แม้ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังวิธีการบางอย่างที่พอจะช่วยให้ตามหาฉินอวี้โม่ได้ หากเป็นไปตามที่คาด คงไม่ยากที่หานโม่ฉือจะได้พบกับฉินอวี้โม่หลังจากนั้น

ภายในห้องตำราของจวนตระกูลเหมียว นอกเหนือจากเหมียวเหรินจวิน—ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลอีกหลายคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินเข้าไปและพบกับพวกเขาเหล่านั้นที่กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น

สตรีในตระกูลเหมียวหลายคนระหว่างทางก็มีพวงแก้มแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวเมื่อพบหน้าหานโม่ฉือ ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มจากต่างแดนผู้นี้รูปงามจนเกินไป แม้เขาพักอยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือนและได้พบหน้าเขาหลายครา พวกนางก็ยังไม่อาจหักห้ามมิให้ใจเต้นแรงทุกคราที่พบกัน

“ท่านลุงขอรับ”

เมื่อเข้ามาในห้องตำรา หานโม่ฉือก็กล่าวทักทายทุกคนก่อนนั่งลงใกล้กับเหมียวเหรินจวิน

เหมียวเจินเจินเองก็ไม่ได้แยกออกไปและนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างหานโม่ฉือเช่นกัน

ผู้นำตระกูลเหมียวโบกมือส่งสัญญาณก่อนที่ประตูห้องตำราจะปิดลง จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับหานโม่ฉือและกล่าวขึ้นมา “โม่ฉือ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะหารือด้วย”

เหมียวเหรินจวินชื่นชมบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาก็ยินดีที่จะจัดการให้เหมียวเจินเจินได้ตบแต่งกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นแน่ แม้ใช้เวลาทำความรู้จักกันได้สั้น ๆ เพียงครึ่งเดือนและยังไม่ทราบภูมิหลังของอีกฝ่ายอย่างแน่ชัด ทว่าเขาก็ชื่นชมในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ต่อให้เทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพ หานโม่ฉือก็จัดเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างที่สุด เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อของดินแดนมหาเทพในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน แม้ไม่มีโอกาสได้บุรุษผู้นี้เป็นบุตรเขย แต่การได้ผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็มิใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด

“ท่านลุงมีสิ่งใดก็ว่ามาได้เลยขอรับ ตราบใดที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”

หานโม่ฉือยกมือประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ

“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าเช่นกัน”

เหมียวเหรินจวินมองสีหน้าท่าทางจริงใจของหานโม่ฉือและรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้นก่อนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ

“โม่ฉือ ในการคัดเลือกของเมืองเทียนยินที่จะมาถึงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนให้กับตระกูลเหมียวของพวกเราได้”

จุดประสงค์ของผู้นำตระกูลเหมียวในครานี้คือการต้องการให้หานโม่ฉือเข้าร่วมตระกูลเหมียวเพื่อเป็นตัวแทนในการคัดเลือกจอมยุทธ์ประจำปีนี้

“พี่หาน ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของท่าน ท่านจะผ่านการคัดเลือกครานี้ไปได้ไม่ยาก หากได้เป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของเมืองเทียนยินของเรา ท่านก็จะได้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสามสำนักและเก้านิกาย ท่านเคยบอกข้าว่าท่านพี่สะใภ้มีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าท่าน หากนางทราบถึงเรื่องการคัดเลือกประจำปี นางไม่มีทางพลาดแน่เจ้าค่ะ เช่นนั้นหากท่านเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ ท่านก็จะได้พบกับพี่สะใภ้อีกครั้งอย่างแน่นอน”

เหมียวเจินเจินกล่าวอธิบายเรื่องการคัดเลือกที่บิดาของตนหมายถึงและนั่นเป็นการคัดเลือกเดียวกันกับที่ฉินอวี้โม่กำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมอยู่ในอำเภอซ่างหยวน

เพียงแต่ฟากของหานโม่ฉือนั้นง่ายกว่าฉินอวี้โม่มาก

อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ซึ่งฉินอวี้โม่จะต้องผ่านการทดสอบของอำเภอไปตามขั้นก่อนที่จะผ่านเข้าถึงมณฑลชิงโจวและเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบของมณฑลชิงโจว รอบสุดท้ายก็คือการคัดเลือกโดยตรงของสามสำนักและเก้านิกาย

ทว่าเมืองเทียนยินก็เป็นเมืองใหญ่ที่เทียบเท่ากับมณฑลชิงโจวและเป็นกรณียกเว้นพิเศษ เพราะฉะนั้นหานโม่ฉือจึงต้องเข้าร่วมการคัดเลือกของเมืองเทียนยินเท่านั้น เนื่องจากเป็นเมืองขนาดที่ใหญ่มาก เขาจะผ่านไปสู่รอบสุดท้ายของการคัดเลือกของสามสำนักและเก้านิกายได้โดยตรง นั่นก็หมายความว่าการคัดเลือกของเขาจะสั้นกว่าฉินอวี้โม่หนึ่งขั้นซึ่งช่วยให้ผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ ได้ง่ายกว่า

“เข้าใจแล้วขอรับ”

หานโม่ฉือตอบตกลงโดยไม่ลังเล สิ่งที่เหมียวเจินเจินกล่าวมาถูกต้องแล้วและฉินอวี้โม่จะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่ที่ใด นางจะหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ประจำปีนี้เป็นแน่ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนาง หานโม่ฉือไม่มีข้อสงสัยหรือไม่มั่นใจแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าสำหรับตอนนี้ นี่เป็นทางที่เร็วที่สุดที่เขาจะได้พบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง

“ท่านพ่อ เห็นหรือไม่เจ้าคะ ? ข้าบอกแล้วว่าพี่หานจะต้องเห็นด้วยแน่ ๆ”

เหมียวเจินเจินกล่าวกับบิดาและยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นับตั้งแต่ก่อนที่เหมียวเหรินจวินจะกล่าวข้อเสนอกับหานโม่ฉือ นางทราบอยู่แล้วว่า ‘พี่หาน’ จะตอบรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน และเป็นจริงดังที่คิดไว้ นางคาดเดาไม่ผิดเลย หานโม่ฉือตกปากรับคำด้วยความยินดี

“ในเมื่อเจ้ารอบรู้เช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามโม่ฉือไปเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยกันเถอะ”

เหมียวเหรินจวินมองบุตรสาวอย่างเอาอกเอาใจและไม่รังเกียจที่นางจะติดตามไปกับหานโม่ฉือด้วย จากความเข้าใจที่เขามีต่อหานโม่ฉือ เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าหานโม่ฉือจะปกป้องเหมียวเจินเจินได้อย่างแน่นอน รวมถึงศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเหมียวที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้เช่นกัน…

“โม่ฉือ การคัดเลือกจะเริ่มต้นในอีกสองเดือน เมื่อถึงตอนนั้นมิใช่เพียงคนของเมืองเทียนยินของเราเท่านั้น ทว่าเมืองเล็ก ๆ โดยรอบทั้งหมดก็จะคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์และฝีมือโดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกประจำปีนี้ แม้พรสวรรค์และพลังของเจ้าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ เจ้าก็ไม่ควรประมาทเกินไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าก็ออกไปสำรวจให้ทั่วเมืองก่อนเถอะเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว”

ผู้นำตระกูลเหมียวก็กล่าวกับหานโม่ฉือราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูล

“ขอรับ ขอบคุณท่านลุงมาก”

หานโม่ฉือพยักศีรษะและไม่ปฏิเสธใด ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ภายในจวนตระกูลเหมียวและแทบไม่ออกไปพบปะโลกภายนอก ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่เขาทราบในช่วงที่ผ่านมานี้ก็ล้วนมาจากคำบอกเล่าของเหมียวเจินเจิน บังเอิญว่าเขาเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและเหลือเพียงแต่การปรับรากฐานพลังให้คงที่เท่านั้น เขาจึงออกไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรีบร้อนฝึกวิชาอีก

“เยี่ยมไปเลย พี่หาน…ข้าจะพาท่านไปเที่ยวชมรอบเมืองและพาไปทานอาหารที่อร่อยที่สุดในเมืองเทียนยินเอง”

เหมียวเจินเจินกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า นางยังอายุน้อยมากและเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับความสนุกสนานและความสุข

ทุกคนในห้องตำราก็อดหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังของนางไม่ได้ เหมียวเหรินจวินก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและเข้าใจดีว่าตนไม่สามารถห้ามปรามหรือควบคุมบุตรสาวผู้นี้ได้เลย

หลังจากหารือเรื่องต่าง ๆ อีกพักหนึ่ง เหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือออกนอกจวนตระกูลเหมียวเพื่อออกไปเที่ยวชมรอบเมืองเทียนยิน

‘เมืองเทียนยิน’ จัดเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนมหาเทพซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านครล่าฝันในดินแดนเทพมายาหลายเท่าตัวนัก

เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมากซึ่งมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางเข้า-ออกอย่างไม่หยุดหย่อน หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินไปตามเส้นทางและได้พบเห็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากหน้าหลายตา

ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงและแม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่อาจสัมผัสถึงระดับพลังของพวกเขาได้เลย

ต้องกล่าวเลยว่าเสือหมอบมังกรซ่อนของดินแดนแห่งนี้มีมากยิ่งกว่าดินแดนเทพมายาถึงหลายเท่านัก

* 卧虎藏龙 เสือหมอบ มังกรซ่อน ความหมายคือ คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา

หลังจากนั้นเหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือเที่ยวชมไปทั่วก่อนมาถึงภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนยินและจองห้องแยกห้องหนึ่งทันที

“พี่หาน อาหารที่นี่อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ท่านควรจะลองลิ้มรสดู”

เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า นางชอบมารับประทานอาหารในภัตตาคารชิงอวิ๋นแห่งนี้มากที่สุด ไม่ว่าอาหารหรือขนม ทุกอย่างล้วนมีรสชาติดีเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเหล่านั้นยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานหนาแน่นซึ่งส่งผลให้พวกมันมีราคาสูงและคนธรรมดาหลายคนไม่มีวาสนาที่จะได้ลิ้มลองมัน

หานโม่ฉือนั่งลงด้านข้างและฟังเหมียวเจินเจินเล่าเรื่องราวสถานการณ์ในเมืองเทียนยินต่อไปโดยไม่กล่าวความคิดเห็นใดมากนัก เขาเพียงส่งเสียงตอบรับในช่วงท้ายประโยคเป็นระยะ ๆ เท่านั้นเพื่อมิให้เหมียวเจินเจินรู้สึกเบื่อหน่ายจนเกินไป

แม้ภายในห้องแยกนี้จะมีเพียงพวกเขาสองคน ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยสักนิดและน้ำเสียงร่าเริงของเหมียวเจินเจินก็ดังชัดเจนไปถึงข้างนอก

“เฮ้ ข้าก็นึกว่าใครที่กล้าแย่งห้องของข้าไป ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เหมียวเจินเจิน…นังเด็กตัวเหม็น !”

น้ำเสียงยั่วยุระคนไม่พอใจดังมาจากข้างนอกก่อนที่ประตูห้องแยกจะถูกผลักเปิดออกอย่างรุนแรง

หน้าประตูเวลานี้ มีสตรีคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและมีบุรุษหนุ่มอายุช่วงยี่สิบปีหลายคนติดตามอยู่ข้างหลัง

รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ทว่าใบหน้าของนางก็ทาสีขาวซีดและแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีแดงซึ่งดูประหลาดตาอย่างมาก คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังนางก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าสีหน้าแววตาทะนงตนที่ปรากฏชัดเจนทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ห้องของเจ้า ? ตลกชะมัด ฮ่า ๆ ๆ มีชื่อของเจ้าเขียนไว้ด้วยรึ ?”

เหมียวเจินเจินยืนขึ้นสบตาสตรีผู้นั้นและตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าทันที

สตรีผู้นี้ก็คือเถียนเยี่ยนจือ—คุณหนูของตระกูลเถียนซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเหมียวเลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็คือพี่น้องของนาง—เหล่าคุณชายแห่งตระกูลเถียน

ตระกูลเถียนและตระกูลเหมียวไม่เคยมีอำนาจเหนือกว่ากันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งผู้นำและบรรดาศิษย์ของสองตระกูลก็ถือว่าเลวร้ายอย่างมาก ทว่าเถียนเยี่ยนจือผู้นี้ก็ริษยาในความงามของเหมียวเจินเจินที่เหนือกว่าตน เพราะฉะนั้นนางจึงพยายามยั่วยุและหาเรื่องทุกคราที่ได้พบหน้ากัน

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากตระกูลเหมียวและตระกูลเถียนก็ยังมีตระกูลใหญ่อื่น ๆ ในเมืองแห่งนี้อีก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความขัดแย้งกันหรือความบาดหมางกันเป็นประจำ ทว่ามันก็ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป

“เหอะ แม้ข้าจะไม่ได้เขียนชื่อติดไว้แต่ข้านั่งทานอาหารในห้องนี้ทุกคราที่มาที่นี่ ทุกคนต่างก็ทราบดี !”

เถียนเยี่ยนจือแค่นเสียงและเหลือบไปเห็นบุรุษคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหมียวเจินเจินก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “หึ เหมียวเจินเจิน ครานี้เจ้าพาหมาแมวที่ไหนมาด้วยล่ะ ?”

ทว่าทันทีที่สายตาของนางบรรจบลงที่ใบหน้าของหานโม่ฉือ นางก็ตะลึงงันไปทันที…

เหมียวเจินเจินเป็นบุตรคนเดียวของทายาทตระกูลเหมียวและไม่มีพี่น้องแม้แต่คนเดียว ทุกคราที่นางปรากฏตัว นางก็มักอยู่ตัวคนเดียวหรือมาพร้อมกับศิษย์ผู้ติดตามจากตระกูลเหมียว ทว่าในทางกลับกัน พี่ชายหลายคนของเถียนเยี่ยนจือล้วนมีฝีมือพอสมควรและก่อนหน้านี้พวกเขาก็รังแกบรรดาศิษย์ที่เหมียวเจินเจินพามาด้วยอยู่หลายครั้งหลายครา

แม้เหมียวเจินเจินจะไม่พอใจนัก นางก็อดทนและไม่เคยหาเรื่องหรือตอบโต้อีกฝ่ายมากจนเกินไป

ทว่าน่าเสียดายที่เกรงว่าครานี้เถียนเยี่ยนจือคงจะเจอตอแข็งเข้าแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“–ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง–” 

เสียงประกาศมายาดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่อันกว้างใหญ่ของโรงเรียนราชสำนัก เมื่อฟังดูแล้วนี่คงจะเป็นประกาศจากทางโรงเรียนอย่างแน่นอน

เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้ได้ยินเสียงประกาศอย่างชัดเจน ซึ่งในทันทีที่รับรู้ข้อความตามประกาศ พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนหยุดชะงัก ทว่าหลังจากนั้นไม่นานทั้งสีหน้า แววตา และความรู้สึกของแต่ละคนกลับแตกต่างกันอย่างหลากหลาย

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดก็มีคนลากเจ้าจีชางลงไปเสียที สะใจจริง ๆ !”

ณ โรงฝึกการต่อสู้ของโรงเรียน บุรุษกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนกว่าสิบคนเข้ามารวมตัวกันเพื่อทำการฝึกฝน

ซึ่งในระหว่างการปรึกษาหารือและวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อันเข้มข้นอยู่นั้น ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงที่น่ายินดีดังก้องขึ้น

“พี่ฉานในที่สุดก็มีคนถีบเจ้าจีชางนั่นตกจากอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งเสียที”

บุรุษผู้หนึ่งยิ้มร่าขณะเดินเข้าไปหาบุรุษที่เขาเรียกขานเป็นพี่ชาย ก่อนเอ่ยปากเสียงรื่นรมย์

“ช่างเถอะ อย่างไรเดือนหน้าข้าก็จะออกจากทำเนียบดาวรุ่งและเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนแล้ว”

บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ฉานนั้น มีนามว่า–หลิวฉาน เขาเป็นผู้รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของทำเนียบดาวรุ่ง เขาเข้าเรียนรุ่นเดียวกับฉินอี้เพ่ยและเป็นรุ่นพี่ฉินอวี้โม่กับเหล่าสหายของนางเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ระดับพลังของหลิวฉานในตอนนี้คือจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาเก้าดารา

ที่ผ่านมาบุรุษตระกูลหลิวเคยมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งมาจากจีชางให้ได้ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้อันดับหนึ่งไปครองและเขี่ยจีชางผู้นั้นลงมาได้ เขาก็ค่อนข้างรู้สึกยินดี อย่างไรก็ตามเมื่อรายชื่อในอันดับหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับที่เหลือก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เวลานี้หลิวฉานนับว่าตกไปอยู่ในอันดับที่สาม ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทน ที่เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่แต่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหน้าใหม่เท่านั้น แต่ก็เพื่อผลประโยชน์ที่จะเพิ่มมากขึ้นกับตัวเองด้วย

“ฉินอวี้โม่น่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ เพิ่งจะมาถึงก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งแล้ว น้องใหม่ผู้นี้คงจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวทีเดียว”

คนผู้หนึ่งในกลุ่มบุรุษแห่งโรงฝึกการต่อสู้เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง ‘…นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เด็กเข้าใหม่ในวันแรกสามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ในทันที ดูเหมือนว่านักเรียนรุ่นใหม่ของปีนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว’

“จะแข็งแกร่งหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ข้าสงสัยว่าสตรีน้องใหม่ผู้นั้นจะรู้หรือไม่ว่าการทำให้อันดับของจีชางตกลงไปจะนำพาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตัวเอง หากว่านางรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วแต่ยังกล้าทำ ข้าจะขอจดจำชื่อฉินอวี้โม่เอาไว้และขอชื่นชมแม่นางผู้นั้นจากใจ”

บุรุษอีกคนเอ่ยคำคล้ายสรรเสิญด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อน เขากำลังนึกดีใจที่มีผู้ทำให้จีชางลงจากตำแหน่งที่หนึ่งได้ ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกหวาดหวั่นแทนสาวน้อยนักเรียนใหม่ผู้นั้นไม่ได้

“ว่าแต่ในนี้มีใครเคยเห็นฉินอวี้โม่บ้าง ?”

ผู้เป็นสมาชิกอีกคนในกลุ่มเปิดปากถามอย่างกระตือรือร้น

ทว่าสหายของเขาเกือบทั้งหมดในโรงฝึกกลับส่ายศีรษะ ช่วงนี้พวกเขาฝึกฝนกันอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาจะออกไปไหน แม้แต่เรื่องนักเรียนเข้าใหม่ที่มาถึงแล้วในวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าแม้แต่คนเดียว

“เฮ้ จริงสิ หลี่ซื่อเหมือนว่าเจ้าจะไปแอบดูรุ่นน้องหน้าใหม่มาแล้วนี่ เจ้าได้เห็นฉินอวี้โม่ผู้นั้นบ้างรึยัง ?”

บุรุษผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่สหายของเขาทำ จึงรีบถามออกไปด้วยความสงสัย

“ข้าไปดูก็จริง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าคนไหนคือฉินอวี้โม่ แต่บอกเลยว่าเด็กใหม่ปีนี้น่ากลัวมาก”

บุรุษผู้มีนามว่าหลี่ซื่อกล่าวตอบก่อนจะขยายความต่อ “จะว่าไปข้าก็เห็นอยู่คนหนึ่ง เป็นสตรีงดงามมาก เพียงแค่มองดูจากที่ไกล ๆ ก็รู้เลยว่าไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกลับจากร่างกายของนาง แล้วข้าก็มั่นใจถึงแปดส่วนเลยว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นฉินอวี้โม่ที่ถูกประกาศชื่ออย่างแน่นอน”

หลังจากได้ฟังสิ่งที่หลี่ซื่อเล่า ดวงตาของศิษย์ทั้งหลายในโรงฝึกก็เปล่งประกายวิบวับ พวกเขาหลายคนเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว

“อย่ามัวแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเลยน่า เราจัดการเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่า”

หลิวฉานเอ่ยปากเตือนเสียงทุ้มต่ำเพื่อเรียกให้เหล่าสหายหันกลับมาสนใจการฝึกฝนตรงหน้า อย่างไรก็ตามเวลานี้ความสนใจใคร่รู้เรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ในใจของเขาเองก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสตรีที่เป็นเพียงนักเรียนเข้าใหม่วันแรกจะเก่งกาจและโดดเด่นจนสามารถชิงตำแหน่งที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาจากจอมวายร้ายอย่างจีชางได้

ภายในหอพักสตรี นักเรียนหญิงหลายคนกำลังนั่งรวมกลุ่มกัน ยิ่งพวกนางได้พูดคุยกันมากเท่าไหร่ บทสนทนาก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้น และเสียงหวานเล็กแหลมตามแบบอิสตรีก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนักเรียนหญิงเหล่านั้น มีหญิงสาวผู้มีภาพลักษณ์ดูสุภาพ ทว่ากลับเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาผู้หนึ่งรวมอยู่ด้วย

“พี่เพ่ยหลง คนที่มีนามว่าฉินอวี้โม่ก็คือสาวน้อยที่งดงามที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ของปีนี้คนนั้นไง”

ไม่ว่าจะโลกไหน ๆ เมื่อขึ้นชื่อว่าสตรีก็ย่อมชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นธรรมดา ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะเข้ามาในโรงเรียนราชสำนักได้ยังไม่ถึงครึ่งวัน แต่ข่าวคราวของนางกลับเป็นที่โจษขานกันไปทั่วเสียแล้ว เรื่องของคุณหนูสี่ตระกูลฉินแพร่สะพัดไปภายในหมู่นักเรียนหญิงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายลมพัด

“โอ้ เป็นนางนั่นเอง ข้าก็รู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”

สตรีผู้มีนามว่าเพ่ยหลงพยักหน้าหงึกหงักพลางหวนนึกถึงใบหน้านวลที่นางได้เห็นเมื่อช่วงสายของวันนี้ แม้แต่นางที่เป็นสตรีก็ยังต้องนึกทึ่งในความงามและพรสวรรค์ของรุ่นน้องสาวผู้นั้น

“พี่เพ่ยหลง ฉินอวี้โม่ชิงอันดับที่หนึ่งไปจากจีชางเช่นนั้น จะไม่เกิดปัญหาอะไรกับตัวนางหรอกหรือ ?”

หญิงสาวผู้ตั้งคำถามมีร่องรอยแห่งความกังวลปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน

จีชางผู้นั้นครอบครองตำแหน่งที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งติดต่อกันมาถึงสามปี แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะไม่มีสิทธิ์อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งแล้วก็ตาม แต่ทว่าด้วยนิสัยของเขา คนผู้นั้นก็ย่อมต้องอยากเป็นที่หนึ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ยินยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงไป และแน่นอนว่าคนที่รู้จักเขาดีก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าหาญมากพอจะทำเช่นนั้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ที่เพิ่งเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่ถึงหนึ่งวันจะสามารถคว้าเอาที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปได้เช่นนี้ นี่นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยสำหรับศิษย์จำนวนมากในโรงเรียนราชสำนัก ทว่าในความแข็งแกร่งอันโดดเด่นของนักเรียนใหม่ผู้นั้นกลับแฝงความโชคร้ายเอาไว้ส่วนหนึ่งเพราะคนอย่างจีชางจะต้องไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ นี่ถือเป็นประเด็นร้อนที่น่าจับตามองอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

“ฮ่า ๆ ๆ ตอนที่ข้าเห็นฉินอวี้โม่ ข้าก็ไม่คิดว่านางจะเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ อยู่แล้ว เจ้ารอดูต่อไปเถอะ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไปโรงเรียนของเราคงจะได้ครึกครื้นมากขึ้นกว่านี้แน่”

เพ่ยหลงยิ้ม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้และนึกสนุก นางเองก็กำลังรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

….

— ปัง ! —

“บัดซบ ! ฉินอวี้โม่เป็นใครกัน ? กล้าดียังไงถึงแย่งอันดับหนึ่งของข้าไป เข้ามาถึงโรงเรียนราชสำนักแล้วแต่กลับไม่รู้จักตัวตนของข้าเลยอย่างนั้นรึ ?”

บุรุษผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประกาศ เขาตบโต๊ะเสียงดังพลางตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล เขาก็คือ–จีชางผู้ที่เคยเป็นที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งของโรงเรียนราชสำนัก ว่ากันว่าเวลานี้เขาอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราและใกล้จะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเต็มทีแล้ว

“พี่ชางจะห่วงไปทำไมกัน ข้าว่าพี่แข็งแกร่งพอจะติดหนึ่งในห้าของทำเนียบพสุธาเลยนะ แค่ทำเนียบดาวรุ่งไม่คู่ควรกับความสามารถของพี่ชางหรอก”

บุรุษที่อยู่ข้างกายเขารีบกล่าวขึ้นมาอย่างเอาอกเอาใจ

“เจ้าโง่ อันดับห้าของทำเนียบพสุธากับอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่ง มันก็ได้จำนวนหินมายาเท่า ๆ กัน ความต่างมันอยู่ที่ตัวเลขบอกอันดับโว้ย ผู้ครองอันดับหนึ่งย่อมเป็นหนึ่ง อันดับห้าที่มีคนอยู่เหนือกว่าตั้งมากมายจะไปสู้ได้ยังไง !”

จีชางโกรธมาก สามปีมานี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าชิง ‘ตำแหน่งผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง’ ไปจากเขามาก่อน ทว่าตอนนี้กลับมีคนขวัญกล้าทำเช่นนั้น นี่เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ

“ไป ! ข้าจะไปดูหน้าฉินอวี้โม่ผู้นั้น ข้าอยากจะเห็นนักว่านางเป็นคนโอหังเพียงใดถึงได้กล้าหยามข้าแบบนี้ !”

กล่าวจบ จีชางก็พาพรรคพวกมุ่งตรงไปยังหอพักของนักเรียนใหม่ด้วยความเกรี้ยวกราด

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และเหล่าสหายไม่ทราบเลยว่าจีชางกำลังจะทำสิ่งใด เมื่อเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เห็นฉินอวี้โม่ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง พวกเขาทั้งหมดก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง คนทั้งหมดค้างอยู่ในท่านั้นเนิ่นนานคล้ายยังเรียกสติกลับมาไม่ได้

“แบบนี้แย่แน่ ๆ”

จู่ ๆ ฉินอี้เพ่ยก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ นางโพล่งวาจาออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ประสบความสำเร็จ โดยปกติแล้วตัวนางผู้เป็นพี่สาวก็ควรจะดีใจจึงจะถูก อย่างไรก็ตามฉินอี้เพ่ยก็ไม่คิดมาก่อนว่าฉินอวี้โม่จะขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งได้ในทันทีเช่นนี้ หากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกนางก็คงจะรีบหยุดน้องสาวของตนเอาไว้

เมื่อได้เห็นฉินอี้เพ่ยมีอาการผิดแปลก ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองใบหน้าของญาติผู้พี่ตรง ๆ แล้วเอ่ยถาม “พี่สามเป็นอะไรรึเปล่า ?”

“เจ้าเห็นใช่ไหมว่า ตอนนี้บนรายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งไม่มีชื่อของจีชาง ?”

ฉินอี้เพ่ยเข้าไปใกล้รายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งและไล่สายตาดูอย่างละเอียด นางพบว่าหลิวฉานยังคงอยู่ในอันดับที่สอง ขณะเดียวกันรายชื่อในอันดับถัด ๆ มาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนรายชื่อในทำเนียบนี้มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นคือชื่อของฉินอวี้โม่ถูกเติมลงไปในตำแหน่งของอันดับหนึ่ง ส่วนชื่อของจีชางที่ควรจะขยับลงไปอยู่ในอันดับสองกลับหายไป

เมื่อมองไม่เห็นชื่อของจีชางบนทำเนียบดาวรุ่งทุกคนก็ประหลาดใจ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าเกรงว่าเรากำลังจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว”

ฉินอี้เพ่ยขมวดคิ้วมุ่นขณะมองน้องสาว แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล

“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือพี่สาม ?”

ฉินอวี้โม่มองตอบฉินอี้เพ่ยด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นไม่ต่างกัน

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจีชางเป็นใคร ?”

ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายส่ายศีรษะโดยพร้อมเพรียง พวกเขาไม่เคยรู้จักผู้ใดที่มีนามว่าจีชางมาก่อน

“จีชางนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือพี่ชายของเขา จีชางมีพี่ชายชื่อจีหย่งซึ่งก็คือผู้ที่อยู่ในอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภา เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับมายาบรรพชนห้าดาราที่แข็งแกร่งมาก”

ฉินอี้เพ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ ทว่าสิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือในบรรดาสหายอวี้โม่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดแสดงอาการตกใจเลยแม้แต่คนเดียว

“แล้วมันยังไงหรือ ? ทำไมอวี้โม่จะต้องเจอปัญหาใหญ่ด้วยล่ะ ?”

เยว่ชิงเฉิงยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก นางจ้องมองฉินอี้เพ่ยอย่างรอคอย คุณหนูช่างหลอมกำลังรอให้สหายสาวรุ่นพี่ไขความกระจ่าง

“พวกเจ้ายังไม่รู้สินะว่าเหตุใดจีชางถึงครองอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาได้ถึงสามปีซ้อน คิดหรือว่าจะไม่มีใครที่แข็งแกร่งมากพอจะชิงที่หนึ่งจากเขาได้จริง ๆ ? แท้จริงแล้วมีหลายคนเลยด้วยซ้ำที่แข็งแกร่งจนขึ้นไปถึงอันดับที่หนึ่งของทำเนียบดวงรุ่งได้ง่าย ๆ แต่พวกเขาทั้งหมดก็เลือกที่จะไม่ทำ”

ฉินอี้เพ่ยเล่าเรื่องที่น่าประหลาดใจออกไป ทว่านักเรียนหน้าใหม่ในกลุ่มสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็ยังส่ายหน้าอย่างงุนงง ราวกับว่ายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่รุ่นพี่ผู้นี้กำลังจะบอกนัก

อย่างไรก็ตาม มีเพียงฉินอวี้โม่ผู้ที่นับว่ามีความทรงจำที่มากกว่าและอยู่ดูโลกมานานกว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือเท่านั้นที่พอจะคาดเดาบางอย่างได้

“นั่นก็เป็นเพราะพี่ชายของจีชางน่ะสิ”

ฉินอี้เพ่ยส่ายศีรษะและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยอธิบาย

…แท้จริงแล้ว จีชางอยู่ในโรงเรียนราชสำนักมาสามปีและอายุก็ถึงยี่สิบปีในปีนี้แล้ว นี่เป็นปีสุดท้ายที่เขาจะอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้ อันที่จริงเขาก็สมควรจะเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนได้แล้ว ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถชิงอันดับหนึ่งในห้าสิบมาได้ไม่ยาก หรืออาจจะชิงตำแหน่งหนึ่งในห้ามาได้เลยเสียด้วยซ้ำ ทว่าบุรุษแซ่จีผู้นี้ก็ยังยึดติดกับตัวเลขอันดับที่หนึ่งอยู่ดี และถึงแม้ว่าการขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบพสุธาจะได้หินมายาเดือนละห้าสิบก้อนเท่ากันแต่เขาก็จะไม่ยอมสูญเสียตัวเลขอันดับที่หนึ่งอันสวยหรูไป

อีกทั้งการชิงอันดับห้าของทำเนียบพสุธาในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากว่าเกิดพลาดขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขาลดจำนวนหินมายาที่ควรจะได้รับลงไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ชีจางไม่คิดจะปล่อยมือจากตำแหน่งผู้เป็นที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่ง

ตามกฎของโรงเรียนราชสำนักหากว่าไม่มีผู้แข็งแกร่งกว่าเข้ามาท้าชิงอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชาง เขาก็จะครองตำแหน่งที่หนึ่งนั้นไปตลอดและทางโรงเรียนก็จะไม่มีการเข้าไปแทรกแซง สุดท้ายทุกคนก็จะต้องรอจนกว่าตัวเขาจะล้ำข้อกำหนดอายุไม่เกินยี่สิบปีของทำเนียบนี้ไปเอง

จีชางนั้นนับว่าค่อนข้างดีเด่นด้านการคำนวณ หากว่ายังไม่มั่นใจว่าจะคว้าอันดับดี ๆ ในทำเนียบพสุธาที่ซึ่งจะให้หินมายามากกว่าที่เป็นอยู่ได้ เขาก็จะไม่ยอมเสียตำแหน่งไป แต่ที่สำคัญคือคนผู้นี้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงและอิทธิพลของพี่ชายในการข่มขวัญเหล่านักเรียนหน้าใหม่เพื่อไม่ให้มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากเขา

ขณะที่พี่ชายของจีชางผู้มีนามว่าจีหย่งนั้น ถึงแม้จะเป็นถึงผู้อยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา ทว่าก็เป็นบุรุษที่มีนิสัยค่อนข้างย่ำแย่ ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของคนผู้นี้คือ เขาให้ท้ายน้องชายมากเกินไป ขอเพียงจีชางต้องการจะสั่งสอนใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำสิ่งใดผิด หรือแม้ว่าจีชางจะเป็นฝ่ายที่ผิดเอง แต่จีหย่งก็จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล และนั่นก็เป็นสาเหตุว่า เหตุใดสามปีที่ผ่านมาจึงไม่มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง

อันที่จริงนี่ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทางโรงเรียนปล่อยปละละเลย นักเรียนหลายคนไม่ใคร่พอใจกับเรื่องนี้นักเพราะมันทำให้นักเรียนที่มีความสามารถไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนออกมาได้ แต่ก็ด้วยเพราะเกรงกลัวอิทธิพลอันโหดเหี้ยมจึงไม่มีนักเรียนคนใดกล้าร้องเรียน

ทว่าเวลานี้ จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นและฉวยคว้าเอาอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชางอย่างกะทันหัน แน่นอนว่านี่จะต้องทำให้จีชางโกรธเคืองมากเป็นแน่ และแน่นอนอีกเช่นกันว่าเขาจะต้องตามมาเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่

ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ จีชางผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง อย่างไรก็ตามหากเป็นจีหย่งพี่ชายมาด้วยตัวเอง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้อันแสนโชกโชน ตัวนางที่อยู่เพียงระดับนี้จึงแทบจะเรียกว่าอ่อนหัดก็ว่าได้…

เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของฉินอี้เพ่ย เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็หันมองหน้ากันก่อนจะ…หัวเราะออกมา

พวกเขาก็ลุ้นอยู่ว่าฉินอีเพ่ยจะเป็นกังวลสิ่งใดอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพียงเรื่องนี้ เพราะสำหรับพวกเขาทั้งหมดในเรื่องนี้ไม่ได้น่าเก็บมาขบคิดเสียด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสองแห่งอารามที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว และคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ไม่ได้เป็นรองแม้แต่น้อย อีกทั้งในท้ายที่สุดนางยังเอาชนะเขามาได้ กับเพียงแค่ยอดฝีมือมายาบรรพชนห้าดารารุ่นเยาว์ สหายของพวกนางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดเลย

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา อดีตนักฆ่าสาวเองก็ไม่ได้กังวลจริง ๆ อีกฝ่ายเป็นเพียงอันธพาลที่พึ่งพาแต่พลังของพี่ชาย เป็นมนุษย์ที่คอยแต่หลบอยู่หลังผู้อื่นเท่านั้น

จริงอยู่ว่าหากไม่มีเรื่องในดินแดนต้องห้ามเกิดขึ้นมาก่อน ฉินอวี้โม่ก็อาจจะเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ลองประมือกับยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนที่เป็นถึงระดับอาวุโสอย่างลิ่วรุ่ยมาแล้ว ต่อให้จีหย่งมาด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะเอาชนะได้ แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้นึกกลัว

ฉินอี้เพ่ยกล่าวเรื่องใหญ่ที่นางเป็นกังวลจนร้อนใจมากออกไป ทว่าทุกคนกลับดูสบาย ๆ ราวกับฟังนางเล่าเรื่องชามข้าวในครัว นี่ทำให้คุณหนูสามตระกูลฉินอดประหลาดใจไม่ได้ จนเวลานี้คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นผูกกันยุ่งขึ้นไปอีก ‘…นั่นคือจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราเชียวนะ คนพวกนี้ไม่รู้จักกลัวกันเลยหรือไง !’

“คุณหนูสามอย่างกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”

เสี่ยวโร่วเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มปลอบประโลม

ถ้าฉินอี้เพ่ยทราบว่าฉินอวี้โม้เพิ่งจะสังหารยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับอาราม นางก็คงจะเข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวของนางจึงไม่กลัว

“พี่สามวางใจได้เลย ถ้าจีชางต้องการมาหาเรื่องข้าก็ให้เขาเข้ามาได้เลย หรือต่อให้จีหย่งมาเองข้าก็ไม่กลัว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มมั่นใจแล้วกล่าว

ทว่าฉินอี้เพ่ยก็ยังกังวลและงุนงงเช่นเดิม เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้นางวางใจง่าย ๆ ได้อย่างไร แต่ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่อยากอธิบายมากกว่านี้ นางก็จะไม่ถามให้มากความ

คุณหนูสามตระกูลฉินปัดความกังวลทิ้งไปก่อนจะจูงมือน้องสาวเดินไปยังสถานที่สำหรับรับประทานอาหาร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“–ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง–” 

เสียงประกาศมายาดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่อันกว้างใหญ่ของโรงเรียนราชสำนัก เมื่อฟังดูแล้วนี่คงจะเป็นประกาศจากทางโรงเรียนอย่างแน่นอน

เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้ได้ยินเสียงประกาศอย่างชัดเจน ซึ่งในทันทีที่รับรู้ข้อความตามประกาศ พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนหยุดชะงัก ทว่าหลังจากนั้นไม่นานทั้งสีหน้า แววตา และความรู้สึกของแต่ละคนกลับแตกต่างกันอย่างหลากหลาย

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดก็มีคนลากเจ้าจีชางลงไปเสียที สะใจจริง ๆ !”

ณ โรงฝึกการต่อสู้ของโรงเรียน บุรุษกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนกว่าสิบคนเข้ามารวมตัวกันเพื่อทำการฝึกฝน

ซึ่งในระหว่างการปรึกษาหารือและวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อันเข้มข้นอยู่นั้น ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงที่น่ายินดีดังก้องขึ้น

“พี่ฉานในที่สุดก็มีคนถีบเจ้าจีชางนั่นตกจากอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งเสียที”

บุรุษผู้หนึ่งยิ้มร่าขณะเดินเข้าไปหาบุรุษที่เขาเรียกขานเป็นพี่ชาย ก่อนเอ่ยปากเสียงรื่นรมย์

“ช่างเถอะ อย่างไรเดือนหน้าข้าก็จะออกจากทำเนียบดาวรุ่งและเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนแล้ว”

บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ฉานนั้น มีนามว่า–หลิวฉาน เขาเป็นผู้รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของทำเนียบดาวรุ่ง เขาเข้าเรียนรุ่นเดียวกับฉินอี้เพ่ยและเป็นรุ่นพี่ฉินอวี้โม่กับเหล่าสหายของนางเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ระดับพลังของหลิวฉานในตอนนี้คือจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาเก้าดารา

ที่ผ่านมาบุรุษตระกูลหลิวเคยมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งมาจากจีชางให้ได้ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้อันดับหนึ่งไปครองและเขี่ยจีชางผู้นั้นลงมาได้ เขาก็ค่อนข้างรู้สึกยินดี อย่างไรก็ตามเมื่อรายชื่อในอันดับหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับที่เหลือก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เวลานี้หลิวฉานนับว่าตกไปอยู่ในอันดับที่สาม ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทน ที่เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่แต่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหน้าใหม่เท่านั้น แต่ก็เพื่อผลประโยชน์ที่จะเพิ่มมากขึ้นกับตัวเองด้วย

“ฉินอวี้โม่น่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ เพิ่งจะมาถึงก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งแล้ว น้องใหม่ผู้นี้คงจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวทีเดียว”

คนผู้หนึ่งในกลุ่มบุรุษแห่งโรงฝึกการต่อสู้เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง ‘…นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เด็กเข้าใหม่ในวันแรกสามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ในทันที ดูเหมือนว่านักเรียนรุ่นใหม่ของปีนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว’

“จะแข็งแกร่งหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ข้าสงสัยว่าสตรีน้องใหม่ผู้นั้นจะรู้หรือไม่ว่าการทำให้อันดับของจีชางตกลงไปจะนำพาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตัวเอง หากว่านางรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วแต่ยังกล้าทำ ข้าจะขอจดจำชื่อฉินอวี้โม่เอาไว้และขอชื่นชมแม่นางผู้นั้นจากใจ”

บุรุษอีกคนเอ่ยคำคล้ายสรรเสิญด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อน เขากำลังนึกดีใจที่มีผู้ทำให้จีชางลงจากตำแหน่งที่หนึ่งได้ ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกหวาดหวั่นแทนสาวน้อยนักเรียนใหม่ผู้นั้นไม่ได้

“ว่าแต่ในนี้มีใครเคยเห็นฉินอวี้โม่บ้าง ?”

ผู้เป็นสมาชิกอีกคนในกลุ่มเปิดปากถามอย่างกระตือรือร้น

ทว่าสหายของเขาเกือบทั้งหมดในโรงฝึกกลับส่ายศีรษะ ช่วงนี้พวกเขาฝึกฝนกันอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาจะออกไปไหน แม้แต่เรื่องนักเรียนเข้าใหม่ที่มาถึงแล้วในวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าแม้แต่คนเดียว

“เฮ้ จริงสิ หลี่ซื่อเหมือนว่าเจ้าจะไปแอบดูรุ่นน้องหน้าใหม่มาแล้วนี่ เจ้าได้เห็นฉินอวี้โม่ผู้นั้นบ้างรึยัง ?”

บุรุษผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่สหายของเขาทำ จึงรีบถามออกไปด้วยความสงสัย

“ข้าไปดูก็จริง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าคนไหนคือฉินอวี้โม่ แต่บอกเลยว่าเด็กใหม่ปีนี้น่ากลัวมาก”

บุรุษผู้มีนามว่าหลี่ซื่อกล่าวตอบก่อนจะขยายความต่อ “จะว่าไปข้าก็เห็นอยู่คนหนึ่ง เป็นสตรีงดงามมาก เพียงแค่มองดูจากที่ไกล ๆ ก็รู้เลยว่าไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกลับจากร่างกายของนาง แล้วข้าก็มั่นใจถึงแปดส่วนเลยว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นฉินอวี้โม่ที่ถูกประกาศชื่ออย่างแน่นอน”

หลังจากได้ฟังสิ่งที่หลี่ซื่อเล่า ดวงตาของศิษย์ทั้งหลายในโรงฝึกก็เปล่งประกายวิบวับ พวกเขาหลายคนเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว

“อย่ามัวแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเลยน่า เราจัดการเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่า”

หลิวฉานเอ่ยปากเตือนเสียงทุ้มต่ำเพื่อเรียกให้เหล่าสหายหันกลับมาสนใจการฝึกฝนตรงหน้า อย่างไรก็ตามเวลานี้ความสนใจใคร่รู้เรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ในใจของเขาเองก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสตรีที่เป็นเพียงนักเรียนเข้าใหม่วันแรกจะเก่งกาจและโดดเด่นจนสามารถชิงตำแหน่งที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาจากจอมวายร้ายอย่างจีชางได้

ภายในหอพักสตรี นักเรียนหญิงหลายคนกำลังนั่งรวมกลุ่มกัน ยิ่งพวกนางได้พูดคุยกันมากเท่าไหร่ บทสนทนาก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้น และเสียงหวานเล็กแหลมตามแบบอิสตรีก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนักเรียนหญิงเหล่านั้น มีหญิงสาวผู้มีภาพลักษณ์ดูสุภาพ ทว่ากลับเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาผู้หนึ่งรวมอยู่ด้วย

“พี่เพ่ยหลง คนที่มีนามว่าฉินอวี้โม่ก็คือสาวน้อยที่งดงามที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ของปีนี้คนนั้นไง”

ไม่ว่าจะโลกไหน ๆ เมื่อขึ้นชื่อว่าสตรีก็ย่อมชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นธรรมดา ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะเข้ามาในโรงเรียนราชสำนักได้ยังไม่ถึงครึ่งวัน แต่ข่าวคราวของนางกลับเป็นที่โจษขานกันไปทั่วเสียแล้ว เรื่องของคุณหนูสี่ตระกูลฉินแพร่สะพัดไปภายในหมู่นักเรียนหญิงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายลมพัด

“โอ้ เป็นนางนั่นเอง ข้าก็รู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”

สตรีผู้มีนามว่าเพ่ยหลงพยักหน้าหงึกหงักพลางหวนนึกถึงใบหน้านวลที่นางได้เห็นเมื่อช่วงสายของวันนี้ แม้แต่นางที่เป็นสตรีก็ยังต้องนึกทึ่งในความงามและพรสวรรค์ของรุ่นน้องสาวผู้นั้น

“พี่เพ่ยหลง ฉินอวี้โม่ชิงอันดับที่หนึ่งไปจากจีชางเช่นนั้น จะไม่เกิดปัญหาอะไรกับตัวนางหรอกหรือ ?”

หญิงสาวผู้ตั้งคำถามมีร่องรอยแห่งความกังวลปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน

จีชางผู้นั้นครอบครองตำแหน่งที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งติดต่อกันมาถึงสามปี แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะไม่มีสิทธิ์อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งแล้วก็ตาม แต่ทว่าด้วยนิสัยของเขา คนผู้นั้นก็ย่อมต้องอยากเป็นที่หนึ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ยินยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงไป และแน่นอนว่าคนที่รู้จักเขาดีก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าหาญมากพอจะทำเช่นนั้นด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ที่เพิ่งเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่ถึงหนึ่งวันจะสามารถคว้าเอาที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปได้เช่นนี้ นี่นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยสำหรับศิษย์จำนวนมากในโรงเรียนราชสำนัก ทว่าในความแข็งแกร่งอันโดดเด่นของนักเรียนใหม่ผู้นั้นกลับแฝงความโชคร้ายเอาไว้ส่วนหนึ่งเพราะคนอย่างจีชางจะต้องไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ นี่ถือเป็นประเด็นร้อนที่น่าจับตามองอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

“ฮ่า ๆ ๆ ตอนที่ข้าเห็นฉินอวี้โม่ ข้าก็ไม่คิดว่านางจะเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ อยู่แล้ว เจ้ารอดูต่อไปเถอะ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไปโรงเรียนของเราคงจะได้ครึกครื้นมากขึ้นกว่านี้แน่”

เพ่ยหลงยิ้ม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้และนึกสนุก นางเองก็กำลังรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป

….

— ปัง ! —

“บัดซบ ! ฉินอวี้โม่เป็นใครกัน ? กล้าดียังไงถึงแย่งอันดับหนึ่งของข้าไป เข้ามาถึงโรงเรียนราชสำนักแล้วแต่กลับไม่รู้จักตัวตนของข้าเลยอย่างนั้นรึ ?”

บุรุษผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประกาศ เขาตบโต๊ะเสียงดังพลางตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล เขาก็คือ–จีชางผู้ที่เคยเป็นที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งของโรงเรียนราชสำนัก ว่ากันว่าเวลานี้เขาอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราและใกล้จะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเต็มทีแล้ว

“พี่ชางจะห่วงไปทำไมกัน ข้าว่าพี่แข็งแกร่งพอจะติดหนึ่งในห้าของทำเนียบพสุธาเลยนะ แค่ทำเนียบดาวรุ่งไม่คู่ควรกับความสามารถของพี่ชางหรอก”

บุรุษที่อยู่ข้างกายเขารีบกล่าวขึ้นมาอย่างเอาอกเอาใจ

“เจ้าโง่ อันดับห้าของทำเนียบพสุธากับอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่ง มันก็ได้จำนวนหินมายาเท่า ๆ กัน ความต่างมันอยู่ที่ตัวเลขบอกอันดับโว้ย ผู้ครองอันดับหนึ่งย่อมเป็นหนึ่ง อันดับห้าที่มีคนอยู่เหนือกว่าตั้งมากมายจะไปสู้ได้ยังไง !”

จีชางโกรธมาก สามปีมานี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าชิง ‘ตำแหน่งผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง’ ไปจากเขามาก่อน ทว่าตอนนี้กลับมีคนขวัญกล้าทำเช่นนั้น นี่เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ

“ไป ! ข้าจะไปดูหน้าฉินอวี้โม่ผู้นั้น ข้าอยากจะเห็นนักว่านางเป็นคนโอหังเพียงใดถึงได้กล้าหยามข้าแบบนี้ !”

กล่าวจบ จีชางก็พาพรรคพวกมุ่งตรงไปยังหอพักของนักเรียนใหม่ด้วยความเกรี้ยวกราด

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และเหล่าสหายไม่ทราบเลยว่าจีชางกำลังจะทำสิ่งใด เมื่อเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เห็นฉินอวี้โม่ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง พวกเขาทั้งหมดก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง คนทั้งหมดค้างอยู่ในท่านั้นเนิ่นนานคล้ายยังเรียกสติกลับมาไม่ได้

“แบบนี้แย่แน่ ๆ”

จู่ ๆ ฉินอี้เพ่ยก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ นางโพล่งวาจาออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ประสบความสำเร็จ โดยปกติแล้วตัวนางผู้เป็นพี่สาวก็ควรจะดีใจจึงจะถูก อย่างไรก็ตามฉินอี้เพ่ยก็ไม่คิดมาก่อนว่าฉินอวี้โม่จะขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งได้ในทันทีเช่นนี้ หากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกนางก็คงจะรีบหยุดน้องสาวของตนเอาไว้

เมื่อได้เห็นฉินอี้เพ่ยมีอาการผิดแปลก ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองใบหน้าของญาติผู้พี่ตรง ๆ แล้วเอ่ยถาม “พี่สามเป็นอะไรรึเปล่า ?”

“เจ้าเห็นใช่ไหมว่า ตอนนี้บนรายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งไม่มีชื่อของจีชาง ?”

ฉินอี้เพ่ยเข้าไปใกล้รายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งและไล่สายตาดูอย่างละเอียด นางพบว่าหลิวฉานยังคงอยู่ในอันดับที่สอง ขณะเดียวกันรายชื่อในอันดับถัด ๆ มาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนรายชื่อในทำเนียบนี้มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นคือชื่อของฉินอวี้โม่ถูกเติมลงไปในตำแหน่งของอันดับหนึ่ง ส่วนชื่อของจีชางที่ควรจะขยับลงไปอยู่ในอันดับสองกลับหายไป

เมื่อมองไม่เห็นชื่อของจีชางบนทำเนียบดาวรุ่งทุกคนก็ประหลาดใจ

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าเกรงว่าเรากำลังจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว”

ฉินอี้เพ่ยขมวดคิ้วมุ่นขณะมองน้องสาว แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล

“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือพี่สาม ?”

ฉินอวี้โม่มองตอบฉินอี้เพ่ยด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นไม่ต่างกัน

“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจีชางเป็นใคร ?”

ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายส่ายศีรษะโดยพร้อมเพรียง พวกเขาไม่เคยรู้จักผู้ใดที่มีนามว่าจีชางมาก่อน

“จีชางนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือพี่ชายของเขา จีชางมีพี่ชายชื่อจีหย่งซึ่งก็คือผู้ที่อยู่ในอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภา เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับมายาบรรพชนห้าดาราที่แข็งแกร่งมาก”

ฉินอี้เพ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ ทว่าสิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือในบรรดาสหายอวี้โม่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดแสดงอาการตกใจเลยแม้แต่คนเดียว

“แล้วมันยังไงหรือ ? ทำไมอวี้โม่จะต้องเจอปัญหาใหญ่ด้วยล่ะ ?”

เยว่ชิงเฉิงยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก นางจ้องมองฉินอี้เพ่ยอย่างรอคอย คุณหนูช่างหลอมกำลังรอให้สหายสาวรุ่นพี่ไขความกระจ่าง

“พวกเจ้ายังไม่รู้สินะว่าเหตุใดจีชางถึงครองอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาได้ถึงสามปีซ้อน คิดหรือว่าจะไม่มีใครที่แข็งแกร่งมากพอจะชิงที่หนึ่งจากเขาได้จริง ๆ ? แท้จริงแล้วมีหลายคนเลยด้วยซ้ำที่แข็งแกร่งจนขึ้นไปถึงอันดับที่หนึ่งของทำเนียบดวงรุ่งได้ง่าย ๆ แต่พวกเขาทั้งหมดก็เลือกที่จะไม่ทำ”

ฉินอี้เพ่ยเล่าเรื่องที่น่าประหลาดใจออกไป ทว่านักเรียนหน้าใหม่ในกลุ่มสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็ยังส่ายหน้าอย่างงุนงง ราวกับว่ายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่รุ่นพี่ผู้นี้กำลังจะบอกนัก

อย่างไรก็ตาม มีเพียงฉินอวี้โม่ผู้ที่นับว่ามีความทรงจำที่มากกว่าและอยู่ดูโลกมานานกว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือเท่านั้นที่พอจะคาดเดาบางอย่างได้

“นั่นก็เป็นเพราะพี่ชายของจีชางน่ะสิ”

ฉินอี้เพ่ยส่ายศีรษะและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยอธิบาย

…แท้จริงแล้ว จีชางอยู่ในโรงเรียนราชสำนักมาสามปีและอายุก็ถึงยี่สิบปีในปีนี้แล้ว นี่เป็นปีสุดท้ายที่เขาจะอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้ อันที่จริงเขาก็สมควรจะเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนได้แล้ว ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถชิงอันดับหนึ่งในห้าสิบมาได้ไม่ยาก หรืออาจจะชิงตำแหน่งหนึ่งในห้ามาได้เลยเสียด้วยซ้ำ ทว่าบุรุษแซ่จีผู้นี้ก็ยังยึดติดกับตัวเลขอันดับที่หนึ่งอยู่ดี และถึงแม้ว่าการขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบพสุธาจะได้หินมายาเดือนละห้าสิบก้อนเท่ากันแต่เขาก็จะไม่ยอมสูญเสียตัวเลขอันดับที่หนึ่งอันสวยหรูไป

อีกทั้งการชิงอันดับห้าของทำเนียบพสุธาในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากว่าเกิดพลาดขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขาลดจำนวนหินมายาที่ควรจะได้รับลงไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ชีจางไม่คิดจะปล่อยมือจากตำแหน่งผู้เป็นที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่ง

ตามกฎของโรงเรียนราชสำนักหากว่าไม่มีผู้แข็งแกร่งกว่าเข้ามาท้าชิงอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชาง เขาก็จะครองตำแหน่งที่หนึ่งนั้นไปตลอดและทางโรงเรียนก็จะไม่มีการเข้าไปแทรกแซง สุดท้ายทุกคนก็จะต้องรอจนกว่าตัวเขาจะล้ำข้อกำหนดอายุไม่เกินยี่สิบปีของทำเนียบนี้ไปเอง

จีชางนั้นนับว่าค่อนข้างดีเด่นด้านการคำนวณ หากว่ายังไม่มั่นใจว่าจะคว้าอันดับดี ๆ ในทำเนียบพสุธาที่ซึ่งจะให้หินมายามากกว่าที่เป็นอยู่ได้ เขาก็จะไม่ยอมเสียตำแหน่งไป แต่ที่สำคัญคือคนผู้นี้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงและอิทธิพลของพี่ชายในการข่มขวัญเหล่านักเรียนหน้าใหม่เพื่อไม่ให้มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากเขา

ขณะที่พี่ชายของจีชางผู้มีนามว่าจีหย่งนั้น ถึงแม้จะเป็นถึงผู้อยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา ทว่าก็เป็นบุรุษที่มีนิสัยค่อนข้างย่ำแย่ ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของคนผู้นี้คือ เขาให้ท้ายน้องชายมากเกินไป ขอเพียงจีชางต้องการจะสั่งสอนใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำสิ่งใดผิด หรือแม้ว่าจีชางจะเป็นฝ่ายที่ผิดเอง แต่จีหย่งก็จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล และนั่นก็เป็นสาเหตุว่า เหตุใดสามปีที่ผ่านมาจึงไม่มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง

อันที่จริงนี่ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทางโรงเรียนปล่อยปละละเลย นักเรียนหลายคนไม่ใคร่พอใจกับเรื่องนี้นักเพราะมันทำให้นักเรียนที่มีความสามารถไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนออกมาได้ แต่ก็ด้วยเพราะเกรงกลัวอิทธิพลอันโหดเหี้ยมจึงไม่มีนักเรียนคนใดกล้าร้องเรียน

ทว่าเวลานี้ จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นและฉวยคว้าเอาอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชางอย่างกะทันหัน แน่นอนว่านี่จะต้องทำให้จีชางโกรธเคืองมากเป็นแน่ และแน่นอนอีกเช่นกันว่าเขาจะต้องตามมาเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่

ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ จีชางผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง อย่างไรก็ตามหากเป็นจีหย่งพี่ชายมาด้วยตัวเอง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้อันแสนโชกโชน ตัวนางที่อยู่เพียงระดับนี้จึงแทบจะเรียกว่าอ่อนหัดก็ว่าได้…

เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของฉินอี้เพ่ย เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็หันมองหน้ากันก่อนจะ…หัวเราะออกมา

พวกเขาก็ลุ้นอยู่ว่าฉินอีเพ่ยจะเป็นกังวลสิ่งใดอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพียงเรื่องนี้ เพราะสำหรับพวกเขาทั้งหมดในเรื่องนี้ไม่ได้น่าเก็บมาขบคิดเสียด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสองแห่งอารามที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว และคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ไม่ได้เป็นรองแม้แต่น้อย อีกทั้งในท้ายที่สุดนางยังเอาชนะเขามาได้ กับเพียงแค่ยอดฝีมือมายาบรรพชนห้าดารารุ่นเยาว์ สหายของพวกนางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดเลย

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา อดีตนักฆ่าสาวเองก็ไม่ได้กังวลจริง ๆ อีกฝ่ายเป็นเพียงอันธพาลที่พึ่งพาแต่พลังของพี่ชาย เป็นมนุษย์ที่คอยแต่หลบอยู่หลังผู้อื่นเท่านั้น

จริงอยู่ว่าหากไม่มีเรื่องในดินแดนต้องห้ามเกิดขึ้นมาก่อน ฉินอวี้โม่ก็อาจจะเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ลองประมือกับยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนที่เป็นถึงระดับอาวุโสอย่างลิ่วรุ่ยมาแล้ว ต่อให้จีหย่งมาด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะเอาชนะได้ แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้นึกกลัว

ฉินอี้เพ่ยกล่าวเรื่องใหญ่ที่นางเป็นกังวลจนร้อนใจมากออกไป ทว่าทุกคนกลับดูสบาย ๆ ราวกับฟังนางเล่าเรื่องชามข้าวในครัว นี่ทำให้คุณหนูสามตระกูลฉินอดประหลาดใจไม่ได้ จนเวลานี้คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นผูกกันยุ่งขึ้นไปอีก ‘…นั่นคือจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราเชียวนะ คนพวกนี้ไม่รู้จักกลัวกันเลยหรือไง !’

“คุณหนูสามอย่างกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”

เสี่ยวโร่วเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มปลอบประโลม

ถ้าฉินอี้เพ่ยทราบว่าฉินอวี้โม้เพิ่งจะสังหารยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับอาราม นางก็คงจะเข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวของนางจึงไม่กลัว

“พี่สามวางใจได้เลย ถ้าจีชางต้องการมาหาเรื่องข้าก็ให้เขาเข้ามาได้เลย หรือต่อให้จีหย่งมาเองข้าก็ไม่กลัว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มมั่นใจแล้วกล่าว

ทว่าฉินอี้เพ่ยก็ยังกังวลและงุนงงเช่นเดิม เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้นางวางใจง่าย ๆ ได้อย่างไร แต่ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่อยากอธิบายมากกว่านี้ นางก็จะไม่ถามให้มากความ

คุณหนูสามตระกูลฉินปัดความกังวลทิ้งไปก่อนจะจูงมือน้องสาวเดินไปยังสถานที่สำหรับรับประทานอาหาร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากภายในห้องประชุมลับแห่งตระกูลฉินตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดฉินเทียนตัวปลอมถึงได้เข้ามาสวมรอยเป็นท่านพ่อ รวมถึงเหตุผลของกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาโจมตีพวกเรา”

เมื่อฉินเฟิน ฉินอี้เฟย และฉินหยางได้ยินสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว พวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความสับสน

“พวกเขาน่าจะมาเพราะกายเทพมายา”

ฉินอวี้โม่กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไปด้วยรอยยิ้ม

“กายเทพมายา !”

บุรุษต่างวัยสามคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองสาวน้อยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

กายเทพมายาคือร่างกายของเทพมายาในตำนาน  เพราะสูญหายไปนานนับพันปีแล้ว ในเรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกคนในที่แห่งนี้หรืออาจจะทั่วทั้งนครเคยได้ยินแต่เพียงเรื่องเล่า แล้วคนร้ายเหล่านั้นจะมาโจมตีคนในตระกูลของพวกเขาเพื่อกายเทพมายาใดอีก ?

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้า…”

ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทว่าความนัยในวาจาของนางนั้นชัดแจ้งจนเขาทำได้เพียงแค่เชื่อเท่านั้น

ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถืออย่างยิ่ง ทว่าหลังจากพิจารณาจากน้ำเสียงแน่วแน่และแววตาจริงจังของฉินอวี้โม่แล้วก็ทำให้พวกเขาอยากเชื่อคำพูดของนาง  แม้จะสับสนไม่น้อยแต่บุรุษมากอาวุโสทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากซักไซ้สิ่งใดกับผู้เป็นหลาน พวกเขาจะทำแค่เพียงสนับสนุนนางทุกด้านและรอดูข้อพิสูจน์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่นางบอกเป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะช่วยกันปกปิดความลับนี้

“เอาเถอะเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเฟินก็กล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องของเทียนเอ๋อร์ข้ามั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวอวิ๋นเองข้าก็คิดว่านางไม่น่าจะมีอันตราย ฉะนั้นตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเราค่อย ๆ ค้นหาเบาะแสแล้วตามหาตัวพวกเขา เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางโค้งคำนับคนทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมลับไป

ฉินอวี้โม่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด นางและเสี่ยวโร่วเดินไปยังเรือนที่พักที่ฉินเฟินให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน

ในเรือนพักอันแสนสบาย คุณหนูผู้พลัดพรากและสาวใช้น้อยงีบหลับไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกนางตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของฉินอี้เฟยที่มาบอกให้พวกนางไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าคิดจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”

ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่อย่างรักใคร่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

ฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูของนางก็รีบพยักหน้าตามเช่นกัน

เสี่ยวโร่วเป็นเสมือนคนในครอบครัวของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ดังนั้นฉินเฟินจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนและอนุญาตให้สาวน้อยทำตัวตามสบาย

เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่อยู่ด้วยกันมานาน สาวใช้น้อยจึงรู้ความต้องการของคุณหนูดี นางจึงนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน

“เจ้าสองคนอยากให้ข้าไปพูดกับผู้มีอำนาจควบคุมโรงเรียนราชสำนักให้รับพวกเจ้าทั้งสองเข้าเรียนในนามของตระกูลฉินหรือไม่ ?”

แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่ในฐานะของคนเป็นปู่ที่เป็นห่วงลูกหลาน ฉินเฟินก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น

วันนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งนางยังได้ลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินไปบนถนน เรื่องนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางในตระกูลฉินก็อาจจะไม่สามารถปกปิดได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะปิดบังตัวตนของนางเลย หากว่านางใส่ใจเรื่องนี้ นางก็คงจะไม่เลือกมาที่นี่ตั้งแต่แรก

“ท่านปู่ ข้าว่าอย่าดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากจะเข้าไปโดยใช้เส้นสายของตระกูล”

หลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องตัวตนของพวกเรา ข้าอยากให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะได้ไหมเจ้าคะ ? พวกเราไม่ต้องกระจายข่าว ผู้ใดจะคิดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเอง”

ฉินเฟินพยักหน้ารับคำ หลังจากการได้รู้จักกันมา แม้จะยังเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าหลานสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่  แต่เรื่องของความคิดอ่าน การวิเคราะห์เรื่องราว เด็กคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแก่ ๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพวกเขาเลยสักนิด

ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข หลังจากอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของตระกูลฉินจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนที่พัก

เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกให้เสี่ยวโร่วแยกไปพักในห้องของนาง ขณะที่คุณหนูผู้ที่เพิ่งจะได้กลับมาในอ้อมกอดของครอบครัวใหญ่ยังคงนั่งครุ่นคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกพักหนึ่ง  อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ หรือเป็นเพราะการงีบหลับก่อนมื้อค่ำจึงทำให้สาวงามไม่รู้สึกง่วง

“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”

เสียงอันแสนอ่อนโยนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากร่างบางนัก เสียงนุ่มทุ้มนั้นทำลายความเงียบงันภายในห้องไปจนหมด

“โม่ฉือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะมองไปตามทิศทางของเสียง

วันนี้หานโม่ฉือได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาที่ตระกูลฉิน หลังจากจัดการงานและภารกิจทั้งหลายของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็รีบตรงมาที่จวนตระกูลฉินทันที

แท้จริงแล้วในตอนบ่ายหานโม่ฉือก็ลอบเข้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเพราะเห็นสาวน้อยของเขากำลังหลับอย่างเป็นสุข เขาจึงไม่คิดจะรบกวนนางและออกไปเงียบ ๆ  เขาแอบซุ่มรออยู่จนกระทั่งนางกลับมาจากทานอาหารค่ำและเข้ามาหานางเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยด้วย

ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ครานั้นที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าเขามีความกังวลบางอย่างอยู่ในหัวใจ

เขาคิดว่าฉินอวี้โม่ต่างจากสตรีทั่วไปมาก หลังจากเกิดเรื่องภายในถ้ำอสรพิษนั้นแล้ว บุรุษเย็นชาก็ครุ่นคิดเรื่องของนางมากขึ้น

ในหลายวันมานี้ แม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตระกูลและงานส่วนตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ทว่าในหัวใจของเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้เลย

หานโม่ฉือสั่งให้คนของเขาคอยรายงานว่ามีสตรีแปลกหน้ารูปโฉมงดงามเดินทางมาที่นครไป๋อวิ๋นหรือไม่ และยังสั่งให้คอยจับตาดูตระกูลฉินเอาไว้ หากว่ามีสตรีเลอโฉมจากต่างถิ่นผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่มาถึงก็ให้รีบแจ้งข่าวในทันที

วันนี้เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอไม่ไหว อยากจะเข้ามาพบนางจนใจจะขาด

ในตอนนี้เองที่บุรุษหัวใจด้านชาผู้ยังไม่เคยมีความรักได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความกังวลในหัวใจของตัวเองในหลายวันมานี้นั้น แท้จริงก็คือความคิดถึง เพราะทันทีที่ได้เห็นหน้านางในดวงใจ หัวใจของเขาก็พองโตและมีความสุขอย่างเหลือล้น

“ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ข้าก็เลยรีบมาหา”

หานโม่ฉือยิ้มและเดินเข้าไปหาสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ

ไม่ได้เห็นกันมานานกว่าครึ่งปี เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ตัวสูงขึ้นและ… นางก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้น

ครั้งล่าสุดในป่าแสงจันทร์ นางดูผอมบางกว่านี้เล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางดูเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลและดูสุขภาพดีขึ้นมาก ใบหน้านวลหวานซึ้งของนางก็ดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้นด้วย

ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม นางลอบสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด

ในครึ่งปีมานี้ หานโม่ฉือดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งนั้นที่พิษเย็นในร่างกายของเขาถูกถอนออกไปจนหมด ทั้งร่างกายใหญ่โตนี้ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย  แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนผู้นี้จะไม่เคยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในหัวใจเขากลับยิ้มได้อย่างอ่อนโยนจนฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาทิ้งความเย็นชาออกไป บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นจนอาจจะครองใจสตรีทั่วทั้งนครได้เลยทีเดียว

เมื่อเดินมาถึงตัวเจ้าของหัวใจ หานโม่ฉือก็ดึงร่างบางที่เขาโหยหามาตลอดเข้ามากอดไว้แนบอก

กิริยาเช่นนั้นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปชั่วครู่  คราแรกนางก็เกือบจะดันร่างใหญ่ให้ถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ  ทว่าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากร่างกายแข็งแกร่งที่กำลังกกกอดนางไว้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี

“ข้าคิดมาตลอดว่ามันน่าขำ  ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะคิดถึงผู้ใดได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเจ้า”

หานโม่ฉือเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทำให้จิตใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหว

“ก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า ในชีวิตข้าไม่เคยหลงใหล หลงรัก หรือแม้แต่ชื่นชอบสตรีใดมาก่อน และข้าก็คิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีคนใดเป็นแน่  แต่เมื่อได้เจอเจ้า ข้าก็พบว่าสิ่งที่ข้าคิดมาเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”

หานโม่ฉือดันร่างบางของฉินอวี้โม่ออกอย่างเบามือก่อนจะโอบประคองให้นั่งลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน

“ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าต่างจากสตรีคนอื่น มันอาจเป็นเพราะข้าสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังมายา ในตอนนั้นเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก รูปแบบการเคลื่อนก็แปลกประหลาด  ในครั้งที่สองที่เจอกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ในตอนนั้นที่ข้าเริ่มรู้สึกสนใจเจ้า  วาจาทรงพลังยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกิดความสงสัยว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินไปและยังคิดอคติกับเจ้า ข้าจึงทำเมินเฉย  ทว่าหลังจากที่หลินจิ้งหงชวนเจ้าเข้าร่วมภารกิจข้าก็เริ่มรู้ความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่มีต่อเจ้า  ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยชอบใจนักและข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนแต่พอได้อยู่ด้วยกัน ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย  เรื่องนั้นมันทำให้ข้าประหลาดใจมาก  และยิ่งเมื่อเจ้าแสดงความองอาจในตอนที่เจ้าพูดกับกลุ่มทหารรับจ้าง ตอนนั้นข้าก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ

แล้วพอถึงตอนที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอสรพิษนั่นมันทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรุนแรงมากจนข้ากลัวว่ามันจะระเบิดออกจากอก  แล้วข้าก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าหากข้าสามารถใช้ทั้งชีวิตนี้อยู่กับเจ้าได้ข้าคงจะมีความสุข  ยิ่งกว่านั้น… ข้าก็ควรจะรับผิดชอบเจ้า แต่มาตอนนี้ข้าเพิ่งจะ…”

บุรุษเย็นชาพูดน้อยที่วันนี้พูดไม่น้อยเลยหยุดลงครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาที่เคยจับจ้องใบหน้างามลงชั่วขณะก่อนที่หันกลับขึ้นมามองสบตาหวานซึ้งอีกครั้งแล้วพูดต่อ หากฉินอวี้โม่มองไม่ผิด นางเห็นสีแดงจาง ๆ ขึ้นเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าคมคาย  “….ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าบางทีข้าอาจจะชอบเจ้ามากมายเพียงใด ในครึ่งปีมานี้ข้าทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าอยู่ทุกวัน ข้ากังวลว่าเมื่อไหร่เจ้าจะมาที่นครไป๋อวิ๋น บางทีก่อนหน้านี้ข้าคงจะยังไม่เข้าใจ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว ข้าว่า… มันอาจจะเป็นความรัก”

เมื่อได้ฟังคำพูดมากมายที่ออกจากปากคนตรงหน้า และได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมของเขา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พูดอะไรไม่ออก

…คนเย็นชาคนนี้… กำลังสารภาพรักกับนาง !…

ถ้อยคำมากมายจากปากคนไม่ค่อยพูดกำลังทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่สั่นไหว เวลานี้ใจดวงน้อยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

ในอดีตเธอคือนักฆ่า แม้จะมีผู้ชายสักกี่คนมาสารภาพรัก เธอก็จะปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักครั้ง ความรักกับนักฆ่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง ชีวิตนักฆ่าเต็มไปด้วยอันตราย และความรักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดท้ายคงไม่พ้นมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นสู้ไม่รักให้ต้องเจ็บปวดจะดีกว่า

ทว่าหลังจากที่วิญญาณข้ามภพมายังดินแดนหวนหลิงนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ ที่อยู่ในดินแดนที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่แบบนี้จะมีผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สำหรับโลกมายาที่ความแข็งแกร่งเป็นทุกอย่างแห่งนี้ จุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตนี้มีแค่ เธอ อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องคนที่เธอต้องปกป้องให้ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องราวภายในถ้ำอสรพิษขึ้นในวันนั้น อดีตสาวนักฆ่าก็ได้รู้ตัวว่า หัวใจของเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เป็นตอนนั้นที่ จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดว่ามันคงจะดีมากหากมีผู้ชายตรงหน้านี้อยู่เคียงข้าง… ผู้ชายที่ชื่อหานโม่ฉือคนนี้

ในตอนที่ช่วยเขาถอนพิษ  ฉินอวี้โม่คิดว่าเธอทำไปเพราะอยากช่วยชีวิตเขา เพราะไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เธอไม่ได้ทำเพราะพิศวาสหรือหลงรักเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น… เธอก็ค้นพบว่าที่เธอไม่อยากให้คนเย็นชาของเธอตายไปก็เป็นเพราะเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา และเป็นวินาทีนั้นที่ฉินอวี้โม่ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเริ่มชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ

บางทีอาจจะเป็นเพราะแววตาห่วงกังวลของเขาในตอนที่เธอถูกยูนิคอร์นสีนิลจับตัวไปที่บึงสายหมอก หรือเป็นเพราะความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เธอกำลังจะถูกลิ่วเยว่ทำร้าย หรือเพราะความใจดีลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากากอันเลือดเย็น หรือบางทีอาจจะเป็นความเย็นชาอย่างที่เขาเป็น หรือรอยยิ้มละลายใจที่เธอได้เห็น เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งคนนี้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอ

แท้จริงแล้วการช่วยหานโม่ฉือถอนพิษในครั้งนั้น ใครก็ตามที่รู้จักสาวนักฆ่าฉินอวี้โม่ผู้มาจากในศตวรรษที่ 21 แล้ว จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะยอมช่วยเขาด้วยวิธีแบบนั้น…ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในหัวใจของเธออยู่ก่อน

….เหตุการณ์ในถ้ำอสรพิษเกิดขึ้นเพราะความรักที่ฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่รู้ตัวในตอนนั้นเท่านั้น….

ในครึ่งปีที่ผ่านมา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คิดถึงชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะชอบคิดว่าหานโม่ฉือกำลังทำสิ่งใดอยู่ เขากำลังทำงานของตระกูลอย่างหนักอยู่หรือกำลังจัดการเรื่องส่วนตัว เขาจะได้กินข้าวหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ หรือว่า… เขาจะไปหลงเสน่ห์สาวอยู่ที่ไหน และ… เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า  หลังจากวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตัวเองหลงรักหานโม่ฉือ

เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้  ถึงจะเห็นฉินอวี้โม่นิ่งเฉย แต่นั่นก็เพราะนางกำลังแสร้งทำตัวให้สงบ  อันที่จริงหัวใจดวงน้อยกำลังสั่นระรัว  และนางกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดให้มันสงบลงจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้เลย

“โม่ฉือ ที่จริงข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อว่าข้าจะรักใครได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าเชื่อมาตลอดว่า ถ้าคนสองคนไม่มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน ไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีให้กันและกันได้อย่างไร  แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเจ้า ข้าก็เริ่มเชื่อแล้ว”

ต้องบอกเลยว่า แม้จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวอยู่บ้างเป็นธรรมดา  เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก คนที่คิดจะเคียงข้างก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อีก

เมื่อได้ฟังสิ่งที่โฉมงามของเขากล่าว หานโม่ฉือก็บีบกระชับมือบางแน่นขึ้นราวกับต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีในใจไปให้ถึงหัวใจของนาง  ในตอนนี้สองดวงใจกำลังใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

แท้จริงแล้ว การตกหลุมรักใครสักคนนั้นง่ายกว่าที่พวกเขาคิด  ขอเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นทุกอย่างก็จะไหลไปตามครรลองของมันได้เอง

เป็นเรื่องจริงที่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากสองหนุ่มสาวได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของการได้ชิดใกล้กับบุคคลผู้แสนคะนึงหาอยู่สักพัก ในที่สุดหานโม่ฉือก็ถอนหายใจออกมา

“อวี้โม่ ข้าต้องไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มบางให้

“ไปเถอะ ข้าเข้าใจ” นางรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีงานที่ต้องจัดการ

“เจ้าจะเข้าโรงเรียนราชสำนักรึเปล่า ?” หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง

ฉินอวี้โม่พยักหน้า  เมื่อเห็นใบหน้าเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของเขา นางก็รู้สึกสงสัย

“ระวังคนจากอาราม”

หานโม่ฉือกล่าวเตือนฉินอวี้โม่  ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางได้สังหารลิ่วเยว่บุรุษหน้าไม่อายจากอารามไปก็ยังไม่มีการตอบสนองจากทางขุมกำลังทรงอิทธิพลนั้นเลยจนตัวนางเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

Now you are reading คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากภายในห้องประชุมลับแห่งตระกูลฉินตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดฉินเทียนตัวปลอมถึงได้เข้ามาสวมรอยเป็นท่านพ่อ รวมถึงเหตุผลของกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาโจมตีพวกเรา”

เมื่อฉินเฟิน ฉินอี้เฟย และฉินหยางได้ยินสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว พวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความสับสน

“พวกเขาน่าจะมาเพราะกายเทพมายา”

ฉินอวี้โม่กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไปด้วยรอยยิ้ม

“กายเทพมายา !”

บุรุษต่างวัยสามคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองสาวน้อยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

กายเทพมายาคือร่างกายของเทพมายาในตำนาน  เพราะสูญหายไปนานนับพันปีแล้ว ในเรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกคนในที่แห่งนี้หรืออาจจะทั่วทั้งนครเคยได้ยินแต่เพียงเรื่องเล่า แล้วคนร้ายเหล่านั้นจะมาโจมตีคนในตระกูลของพวกเขาเพื่อกายเทพมายาใดอีก ?

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้า…”

ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทว่าความนัยในวาจาของนางนั้นชัดแจ้งจนเขาทำได้เพียงแค่เชื่อเท่านั้น

ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถืออย่างยิ่ง ทว่าหลังจากพิจารณาจากน้ำเสียงแน่วแน่และแววตาจริงจังของฉินอวี้โม่แล้วก็ทำให้พวกเขาอยากเชื่อคำพูดของนาง  แม้จะสับสนไม่น้อยแต่บุรุษมากอาวุโสทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากซักไซ้สิ่งใดกับผู้เป็นหลาน พวกเขาจะทำแค่เพียงสนับสนุนนางทุกด้านและรอดูข้อพิสูจน์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่นางบอกเป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะช่วยกันปกปิดความลับนี้

“เอาเถอะเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเฟินก็กล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องของเทียนเอ๋อร์ข้ามั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวอวิ๋นเองข้าก็คิดว่านางไม่น่าจะมีอันตราย ฉะนั้นตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเราค่อย ๆ ค้นหาเบาะแสแล้วตามหาตัวพวกเขา เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางโค้งคำนับคนทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมลับไป

ฉินอวี้โม่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด นางและเสี่ยวโร่วเดินไปยังเรือนที่พักที่ฉินเฟินให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน

ในเรือนพักอันแสนสบาย คุณหนูผู้พลัดพรากและสาวใช้น้อยงีบหลับไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกนางตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของฉินอี้เฟยที่มาบอกให้พวกนางไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น

“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าคิดจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”

ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่อย่างรักใคร่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

ฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูของนางก็รีบพยักหน้าตามเช่นกัน

เสี่ยวโร่วเป็นเสมือนคนในครอบครัวของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ดังนั้นฉินเฟินจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนและอนุญาตให้สาวน้อยทำตัวตามสบาย

เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่อยู่ด้วยกันมานาน สาวใช้น้อยจึงรู้ความต้องการของคุณหนูดี นางจึงนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน

“เจ้าสองคนอยากให้ข้าไปพูดกับผู้มีอำนาจควบคุมโรงเรียนราชสำนักให้รับพวกเจ้าทั้งสองเข้าเรียนในนามของตระกูลฉินหรือไม่ ?”

แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่ในฐานะของคนเป็นปู่ที่เป็นห่วงลูกหลาน ฉินเฟินก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น

วันนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งนางยังได้ลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินไปบนถนน เรื่องนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางในตระกูลฉินก็อาจจะไม่สามารถปกปิดได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะปิดบังตัวตนของนางเลย หากว่านางใส่ใจเรื่องนี้ นางก็คงจะไม่เลือกมาที่นี่ตั้งแต่แรก

“ท่านปู่ ข้าว่าอย่าดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากจะเข้าไปโดยใช้เส้นสายของตระกูล”

หลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องตัวตนของพวกเรา ข้าอยากให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะได้ไหมเจ้าคะ ? พวกเราไม่ต้องกระจายข่าว ผู้ใดจะคิดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเอง”

ฉินเฟินพยักหน้ารับคำ หลังจากการได้รู้จักกันมา แม้จะยังเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าหลานสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่  แต่เรื่องของความคิดอ่าน การวิเคราะห์เรื่องราว เด็กคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแก่ ๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพวกเขาเลยสักนิด

ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข หลังจากอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของตระกูลฉินจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนที่พัก

เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกให้เสี่ยวโร่วแยกไปพักในห้องของนาง ขณะที่คุณหนูผู้ที่เพิ่งจะได้กลับมาในอ้อมกอดของครอบครัวใหญ่ยังคงนั่งครุ่นคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกพักหนึ่ง  อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ หรือเป็นเพราะการงีบหลับก่อนมื้อค่ำจึงทำให้สาวงามไม่รู้สึกง่วง

“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”

เสียงอันแสนอ่อนโยนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากร่างบางนัก เสียงนุ่มทุ้มนั้นทำลายความเงียบงันภายในห้องไปจนหมด

“โม่ฉือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะมองไปตามทิศทางของเสียง

วันนี้หานโม่ฉือได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาที่ตระกูลฉิน หลังจากจัดการงานและภารกิจทั้งหลายของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็รีบตรงมาที่จวนตระกูลฉินทันที

แท้จริงแล้วในตอนบ่ายหานโม่ฉือก็ลอบเข้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเพราะเห็นสาวน้อยของเขากำลังหลับอย่างเป็นสุข เขาจึงไม่คิดจะรบกวนนางและออกไปเงียบ ๆ  เขาแอบซุ่มรออยู่จนกระทั่งนางกลับมาจากทานอาหารค่ำและเข้ามาหานางเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยด้วย

ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ครานั้นที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าเขามีความกังวลบางอย่างอยู่ในหัวใจ

เขาคิดว่าฉินอวี้โม่ต่างจากสตรีทั่วไปมาก หลังจากเกิดเรื่องภายในถ้ำอสรพิษนั้นแล้ว บุรุษเย็นชาก็ครุ่นคิดเรื่องของนางมากขึ้น

ในหลายวันมานี้ แม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตระกูลและงานส่วนตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ทว่าในหัวใจของเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้เลย

หานโม่ฉือสั่งให้คนของเขาคอยรายงานว่ามีสตรีแปลกหน้ารูปโฉมงดงามเดินทางมาที่นครไป๋อวิ๋นหรือไม่ และยังสั่งให้คอยจับตาดูตระกูลฉินเอาไว้ หากว่ามีสตรีเลอโฉมจากต่างถิ่นผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่มาถึงก็ให้รีบแจ้งข่าวในทันที

วันนี้เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอไม่ไหว อยากจะเข้ามาพบนางจนใจจะขาด

ในตอนนี้เองที่บุรุษหัวใจด้านชาผู้ยังไม่เคยมีความรักได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความกังวลในหัวใจของตัวเองในหลายวันมานี้นั้น แท้จริงก็คือความคิดถึง เพราะทันทีที่ได้เห็นหน้านางในดวงใจ หัวใจของเขาก็พองโตและมีความสุขอย่างเหลือล้น

“ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ข้าก็เลยรีบมาหา”

หานโม่ฉือยิ้มและเดินเข้าไปหาสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ

ไม่ได้เห็นกันมานานกว่าครึ่งปี เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ตัวสูงขึ้นและ… นางก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้น

ครั้งล่าสุดในป่าแสงจันทร์ นางดูผอมบางกว่านี้เล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางดูเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลและดูสุขภาพดีขึ้นมาก ใบหน้านวลหวานซึ้งของนางก็ดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้นด้วย

ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม นางลอบสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด

ในครึ่งปีมานี้ หานโม่ฉือดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งนั้นที่พิษเย็นในร่างกายของเขาถูกถอนออกไปจนหมด ทั้งร่างกายใหญ่โตนี้ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย  แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนผู้นี้จะไม่เคยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในหัวใจเขากลับยิ้มได้อย่างอ่อนโยนจนฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาทิ้งความเย็นชาออกไป บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นจนอาจจะครองใจสตรีทั่วทั้งนครได้เลยทีเดียว

เมื่อเดินมาถึงตัวเจ้าของหัวใจ หานโม่ฉือก็ดึงร่างบางที่เขาโหยหามาตลอดเข้ามากอดไว้แนบอก

กิริยาเช่นนั้นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปชั่วครู่  คราแรกนางก็เกือบจะดันร่างใหญ่ให้ถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ  ทว่าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากร่างกายแข็งแกร่งที่กำลังกกกอดนางไว้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี

“ข้าคิดมาตลอดว่ามันน่าขำ  ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะคิดถึงผู้ใดได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเจ้า”

หานโม่ฉือเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทำให้จิตใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหว

“ก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า ในชีวิตข้าไม่เคยหลงใหล หลงรัก หรือแม้แต่ชื่นชอบสตรีใดมาก่อน และข้าก็คิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีคนใดเป็นแน่  แต่เมื่อได้เจอเจ้า ข้าก็พบว่าสิ่งที่ข้าคิดมาเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”

หานโม่ฉือดันร่างบางของฉินอวี้โม่ออกอย่างเบามือก่อนจะโอบประคองให้นั่งลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน

“ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าต่างจากสตรีคนอื่น มันอาจเป็นเพราะข้าสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังมายา ในตอนนั้นเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก รูปแบบการเคลื่อนก็แปลกประหลาด  ในครั้งที่สองที่เจอกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ในตอนนั้นที่ข้าเริ่มรู้สึกสนใจเจ้า  วาจาทรงพลังยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกิดความสงสัยว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินไปและยังคิดอคติกับเจ้า ข้าจึงทำเมินเฉย  ทว่าหลังจากที่หลินจิ้งหงชวนเจ้าเข้าร่วมภารกิจข้าก็เริ่มรู้ความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่มีต่อเจ้า  ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยชอบใจนักและข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนแต่พอได้อยู่ด้วยกัน ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย  เรื่องนั้นมันทำให้ข้าประหลาดใจมาก  และยิ่งเมื่อเจ้าแสดงความองอาจในตอนที่เจ้าพูดกับกลุ่มทหารรับจ้าง ตอนนั้นข้าก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ

แล้วพอถึงตอนที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอสรพิษนั่นมันทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรุนแรงมากจนข้ากลัวว่ามันจะระเบิดออกจากอก  แล้วข้าก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าหากข้าสามารถใช้ทั้งชีวิตนี้อยู่กับเจ้าได้ข้าคงจะมีความสุข  ยิ่งกว่านั้น… ข้าก็ควรจะรับผิดชอบเจ้า แต่มาตอนนี้ข้าเพิ่งจะ…”

บุรุษเย็นชาพูดน้อยที่วันนี้พูดไม่น้อยเลยหยุดลงครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาที่เคยจับจ้องใบหน้างามลงชั่วขณะก่อนที่หันกลับขึ้นมามองสบตาหวานซึ้งอีกครั้งแล้วพูดต่อ หากฉินอวี้โม่มองไม่ผิด นางเห็นสีแดงจาง ๆ ขึ้นเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าคมคาย  “….ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าบางทีข้าอาจจะชอบเจ้ามากมายเพียงใด ในครึ่งปีมานี้ข้าทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าอยู่ทุกวัน ข้ากังวลว่าเมื่อไหร่เจ้าจะมาที่นครไป๋อวิ๋น บางทีก่อนหน้านี้ข้าคงจะยังไม่เข้าใจ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว ข้าว่า… มันอาจจะเป็นความรัก”

เมื่อได้ฟังคำพูดมากมายที่ออกจากปากคนตรงหน้า และได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมของเขา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พูดอะไรไม่ออก

…คนเย็นชาคนนี้… กำลังสารภาพรักกับนาง !…

ถ้อยคำมากมายจากปากคนไม่ค่อยพูดกำลังทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่สั่นไหว เวลานี้ใจดวงน้อยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน

ในอดีตเธอคือนักฆ่า แม้จะมีผู้ชายสักกี่คนมาสารภาพรัก เธอก็จะปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักครั้ง ความรักกับนักฆ่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง ชีวิตนักฆ่าเต็มไปด้วยอันตราย และความรักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดท้ายคงไม่พ้นมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นสู้ไม่รักให้ต้องเจ็บปวดจะดีกว่า

ทว่าหลังจากที่วิญญาณข้ามภพมายังดินแดนหวนหลิงนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ ที่อยู่ในดินแดนที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่แบบนี้จะมีผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สำหรับโลกมายาที่ความแข็งแกร่งเป็นทุกอย่างแห่งนี้ จุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตนี้มีแค่ เธอ อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องคนที่เธอต้องปกป้องให้ได้

อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องราวภายในถ้ำอสรพิษขึ้นในวันนั้น อดีตสาวนักฆ่าก็ได้รู้ตัวว่า หัวใจของเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว

เป็นตอนนั้นที่ จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดว่ามันคงจะดีมากหากมีผู้ชายตรงหน้านี้อยู่เคียงข้าง… ผู้ชายที่ชื่อหานโม่ฉือคนนี้

ในตอนที่ช่วยเขาถอนพิษ  ฉินอวี้โม่คิดว่าเธอทำไปเพราะอยากช่วยชีวิตเขา เพราะไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เธอไม่ได้ทำเพราะพิศวาสหรือหลงรักเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น… เธอก็ค้นพบว่าที่เธอไม่อยากให้คนเย็นชาของเธอตายไปก็เป็นเพราะเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา และเป็นวินาทีนั้นที่ฉินอวี้โม่ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเริ่มชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ

บางทีอาจจะเป็นเพราะแววตาห่วงกังวลของเขาในตอนที่เธอถูกยูนิคอร์นสีนิลจับตัวไปที่บึงสายหมอก หรือเป็นเพราะความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เธอกำลังจะถูกลิ่วเยว่ทำร้าย หรือเพราะความใจดีลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากากอันเลือดเย็น หรือบางทีอาจจะเป็นความเย็นชาอย่างที่เขาเป็น หรือรอยยิ้มละลายใจที่เธอได้เห็น เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งคนนี้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอ

แท้จริงแล้วการช่วยหานโม่ฉือถอนพิษในครั้งนั้น ใครก็ตามที่รู้จักสาวนักฆ่าฉินอวี้โม่ผู้มาจากในศตวรรษที่ 21 แล้ว จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะยอมช่วยเขาด้วยวิธีแบบนั้น…ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในหัวใจของเธออยู่ก่อน

….เหตุการณ์ในถ้ำอสรพิษเกิดขึ้นเพราะความรักที่ฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่รู้ตัวในตอนนั้นเท่านั้น….

ในครึ่งปีที่ผ่านมา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คิดถึงชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะชอบคิดว่าหานโม่ฉือกำลังทำสิ่งใดอยู่ เขากำลังทำงานของตระกูลอย่างหนักอยู่หรือกำลังจัดการเรื่องส่วนตัว เขาจะได้กินข้าวหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ หรือว่า… เขาจะไปหลงเสน่ห์สาวอยู่ที่ไหน และ… เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า  หลังจากวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตัวเองหลงรักหานโม่ฉือ

เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้  ถึงจะเห็นฉินอวี้โม่นิ่งเฉย แต่นั่นก็เพราะนางกำลังแสร้งทำตัวให้สงบ  อันที่จริงหัวใจดวงน้อยกำลังสั่นระรัว  และนางกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดให้มันสงบลงจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้เลย

“โม่ฉือ ที่จริงข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อว่าข้าจะรักใครได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าเชื่อมาตลอดว่า ถ้าคนสองคนไม่มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน ไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีให้กันและกันได้อย่างไร  แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเจ้า ข้าก็เริ่มเชื่อแล้ว”

ต้องบอกเลยว่า แม้จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวอยู่บ้างเป็นธรรมดา  เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก คนที่คิดจะเคียงข้างก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อีก

เมื่อได้ฟังสิ่งที่โฉมงามของเขากล่าว หานโม่ฉือก็บีบกระชับมือบางแน่นขึ้นราวกับต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีในใจไปให้ถึงหัวใจของนาง  ในตอนนี้สองดวงใจกำลังใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

แท้จริงแล้ว การตกหลุมรักใครสักคนนั้นง่ายกว่าที่พวกเขาคิด  ขอเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นทุกอย่างก็จะไหลไปตามครรลองของมันได้เอง

เป็นเรื่องจริงที่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากสองหนุ่มสาวได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของการได้ชิดใกล้กับบุคคลผู้แสนคะนึงหาอยู่สักพัก ในที่สุดหานโม่ฉือก็ถอนหายใจออกมา

“อวี้โม่ ข้าต้องไปแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มบางให้

“ไปเถอะ ข้าเข้าใจ” นางรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีงานที่ต้องจัดการ

“เจ้าจะเข้าโรงเรียนราชสำนักรึเปล่า ?” หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง

ฉินอวี้โม่พยักหน้า  เมื่อเห็นใบหน้าเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของเขา นางก็รู้สึกสงสัย

“ระวังคนจากอาราม”

หานโม่ฉือกล่าวเตือนฉินอวี้โม่  ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางได้สังหารลิ่วเยว่บุรุษหน้าไม่อายจากอารามไปก็ยังไม่มีการตอบสนองจากทางขุมกำลังทรงอิทธิพลนั้นเลยจนตัวนางเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+