คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
เหนือลานประลองยุทธ์ จู่ ๆ ก็เกิดคลื่นผันผวนขึ้นมาและร่างของคนสองคนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หนึ่งในนั้นคือคนที่ฉินอวี้โม่และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้จักดี เขามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นว่านหรูชู—ผู้อาวุโสใหญ่ของหอชั้นในแห่งนิกายหมื่นกระบี่นั่นเอง
บุรุษชราที่ปรากฏตัวข้าง ๆ เขาก็มีเส้นผมและเคราสีขาวโพลน รวมถึงมีกลิ่นอายที่ยากเกินหยั่งถึง ในตอนนี้เขากำลังเหยียบย่ำอยู่บนผืนอากาศราวกับเป็นเทพผู้สูงส่งและยากที่ผู้ใดจะละสายตาไปได้
“ท่านตา…”
เมื่อเห็นบุรุษชราผู้นั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที นางเหาะเข้าไปใกล้บุรุษชราและกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ท่านตา มีคนข่มขู่ข้าและต้องการจะฆ่าข้าเจ้าค่ะ”
ว่านเฉินซีเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของว่านอู๋เริ่นผู้เป็นจ้าวนิกายหมื่นกระบี่และได้รับความรักความเอ็นดูจากเขาอยู่เสมอ การที่เถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นบุตรสาวของว่านเฉินซี แน่นอนว่านางก็ต้องได้รับการเอาอกเอาใจจากท่านตาผู้นี้เป็นธรรมดา
ก่อนหน้านี้ นางได้เดิมพันกับท่านตาและมารดาของตนไว้โดยยืนยันว่านางสามารถผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมหอชั้นในได้ด้วยความสามารถของตนเอง เพราะเหตุนั้นนางจึงออกไปอยู่ที่หอชั้นนอก ก่อนหน้านี้ บรรดาผู้อาวุโสของหอชั้นในต่างก็รู้สึกคุ้นหน้านาง ทว่าจดจำนางไม่ได้ เนื่องจากปกติแล้วเถาเซี่ยวเซี่ยวมักอาศัยอยู่กับว่านอู๋เริ่นและแทบจะไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบหน้า กล่าวได้ว่าในทั่วทั้งนิกายหมื่นกระบี่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่เคยพบหน้าเถาเซี่ยวเซี่ยว แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสหลายคนก็เคยพบนางเพียงหนึ่งครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นและนั่นก็เป็นเมื่อหลายปีก่อน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะจดจำนางไม่ได้
“หนูอ้วนเถาคือหลานสาวของจ้าวนิกายหมื่นกระบี่ !”
เถียนซินและสวีเยว่กล่าวด้วยความตกตะลึง พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวจะเป็นหลานสาวของว่านอู๋เริ่น แม้เคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของนางจะต้องไม่ธรรมดา ทั้งสองก็ไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีพื้นเพภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก ทั้งสองคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว ทว่าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวจะเป็นถึงหลานสาวของจ้าวนิกาย
“แม้ไม่ได้พบกันสองสามปี เจ้าก็ยังเป็นเด็กจ้ำม่ำไม่เปลี่ยน”
ว่านอู๋เริ่นจิ้มแก้มนุ่มของหลานสาวและกล่าวอย่างติดตลก
“ท่านตาก็…”
เถาเซี่ยวเซี่ยวทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยและเกาะแขนว่านอู๋เริ่นด้วยท่าทางของเด็กเอาแต่ใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไว้คุยกันทีหลังเถอะ ตอนนี้จัดการเรื่องวุ่นวายตรงหน้าก่อนจะดีกว่า”
ว่านอู๋เริ่นยิ้มให้กับนางก่อนหันไปมองว่านเจียงเหอที่ต้องการหลบหนี
“ว่านเจียงเหอ เจ้าคิดจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ ?”
แรงกดดันอันแรงกล้าแผ่ตรงไปที่ว่านเจียงเหอทันทีและสีหน้าของว่านอู๋เริ่นกลายเป็นเคร่งขรึม
“ว่านอู๋เริ่น ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโสรองของนิกายหมื่นกระบี่มานานหลายปี ข้าอุทิศตนและทำผลประโยชน์เพื่อนิกายมาเสมอ ในเมื่อทุกคนกล่าววาจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ ข้าคงอยู่ที่นิกายแห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป”
เมื่อเผชิญหน้ากับว่านอู๋เริ่น ว่านเจียงเหอก็มีสีหน้าที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาตระหนักดีว่าจ้าวนิกายของพวกตนแกร่งกล้าเพียงใด หากว่านอู๋เริ่นไม่ยอมให้เขาไปจากที่นี่ เขาก็ไม่มีทางรอดชีวิตออกไปได้เลย
“ฮ่า ๆ ๆ ว่านเจียงเหอ ไม่ต้องมากล่าววาจายุแยงให้คนอื่นเข้าใจผิดหรอก ข้าทราบดีว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร หากไม่มีที่ไป เจ้าคงไม่กล้าแตกหักกับนิกายหมื่นกระบี่เพียงเพราะเรื่องของศิษย์หรอก บอกมาสิว่าขุมกำลังใดที่สัญญาจะให้ผลประโยชน์กับเจ้าจนคิดที่จะถอนตัวออกจากนิกายหมื่นกระบี่เช่นนี้ ?”
ว่านอู๋เริ่นหัวเราะอย่างเย็นชา แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อวาจากลบเกลื่อนของว่านเจียงเหอ ในฐานะจ้าวนิกาย เขาทราบดีว่าผู้อาวุโสรองเป็นคนอย่างไร
ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายหมื่นกระบี่ ผู้อาวุโสรองควรจะเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัวที่สุด
อย่างไรก็ตาม ว่านเจียงเหอเป็นผู้สืบทายาทของผู้อาวุโสในอดีตที่อุทิศตนและมีส่วนร่วมครั้งสำคัญต่อความสำเร็จของนิกายหมื่นกระบี่ อีกทั้งเขาก็ไม่เคยก่อความผิดครั้งใหญ่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุนั้น ว่านอู๋เริ่นจึงมักปิดตาข้างหนึ่งอยู่เสมอและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ทว่าครานี้การกระทำของว่านเจียงเหอเป็นการล้ำเส้นอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากโจมตีศิษย์มากพรสวรรค์ของนิกายหมื่นกระบี่อย่างเปิดเผย ว่านเจียงเหอยังคิดที่จะสังหารหลานสาวของเขา และนั่นเป็นการกระทำที่รนหาที่ตายอย่างแท้จริง !
“ว่านอู๋เริ่น อย่าลืมว่าในอดีตเจ้าได้ตำแหน่งจ้าวนิกายมาได้อย่างไร ? ศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ท้าทายข้าที่เป็นผู้อาวุโสรองอย่างไม่ไว้หน้า เพียงเจ้าไม่จัดการเรื่องนี้ก็ถือว่าหนักหนามากแล้ว ทว่ายังคิดสงสัยในตัวข้าอีกอย่างนั้นหรือ ?!”
แน่นอนว่าว่านเจียงเหอไม่ยอมรับอย่างง่ายดาย ต่อให้ว่านอู๋เริ่นกล่าวสิ่งที่คิดออกไป เขาก็ยังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
สำหรับเรื่องข้อตกลงระหว่างเขาและขุมกำลังนั้น ตราบใดที่ไม่ยอมรับ ว่านอู๋เริ่นก็ไม่มีหลักฐานใดมาเอาผิดเขาได้
“เหอะ ว่านเจียงเหอ หากพวกเราแสดงตัวปกป้องเจ้า ความเคารพที่ศิษย์ในนิกายมีต่อพวกเราก็คงจะมลายสิ้น ! การกระทำของเจ้าในครานี้ ทุกคนได้ประจักษ์อย่างชัดเจนแล้ว เหตุใดศิษย์จะต้องเคารพเจ้าในฐานะผู้อาวุโสรองต่อไปด้วยเล่า ? อันที่จริงในตอนแรกมันมิใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเจ้าด้วยซ้ำ อย่าเห็นผิดเป็นชอบจะดีกว่า มันน่ารังเกียจนัก !”
ว่านเฉินซีผู้เป็นบุตรสาวของจ้าวนิกายมักมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เสมอ และครานี้ว่านเจียงเหอทำให้นางเดือดดาลอย่างที่สุด
“ถูกต้อง ว่านเจียงเหอ พวกเราผู้อาวุโสทุกคนเห็นสิ่งที่เจ้าทำแล้ว อย่าเสแสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาอีกเลย”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็กล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย พวกเขารู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้อาวุโสรองผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นวันนี้ พวกเขาก็ไม่พอใจมากยิ่งกว่าเดิมและมิอาจทนได้อีกต่อไป
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ว่านอู๋เริ่น...ในอดีตข้าอุทิศตนต่อนิกายหมื่นกระบี่มาตลอดและถือว่าหักล้างกับเรื่องในวันนี้ นับจากนี้ไป ข้าจะตัดขาดจากนิกายหมื่นกระบี่และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก หากยังจดจำได้ว่าที่ผ่านมาบรรพบุรุษของข้าและตัวข้าทำอะไรเพื่อนิกายนี้บ้าง…เจ้าก็ปล่อยข้าไปเถอะ”
ว่านเจียงเหอแค่นเสียงอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนอารมณ์
“ว่านเจียงเหอ การปล่อยเจ้าไปมิใช่เรื่องยากและข้าก็ไม่คิดที่จะฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปจากที่นี่ เจ้าต้องคืนบางอย่างมาก่อน !”
สีหน้าของว่านอู๋เริ่นไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ ขณะกล่าววาจาที่ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายถอดสีทันที
“ว่านอู๋เริ่น เจ้าหมายความว่าอะไร ? ข้าไม่เข้าใจ”
ว่านเจียงเหอไม่ยอมรับและแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกครา
“เหอะ เสแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจงั้นรึ ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจเอง ว่านเจียงเหอ...เจ้าให้สัญญากับสำนักหมอกควันว่าจะนำเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของเราไปที่นั่นและให้ศิษย์ของพวกเขาได้ศึกษามัน เพราะเหตุนั้น สำนักหมอกควันจึงจะตอบแทนเจ้าด้วยตำแหน่งรองจ้าวนิกาย !”
ว่านหรูชูกล่าวออกไปอย่างชัดเจน พวกเขาทำการสืบหาข้อมูลและเพิ่งค้นพบเรื่องนี้เพียงไม่นาน ไม่คิดเลยว่าว่านเจียงเหอจะทรยศต่อนิกายหมื่นกระบี่ การที่คิดจะนำเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของนิกายไปให้ขุมกำลังอื่นศึกษาถือเป็นการทรยศต่อนิกายอย่างแท้จริง
เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนถือเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายหมื่นกระบี่และเป็นรากฐานความรุ่งโรจน์ของนิกาย หากคนของขุมกำลังอื่นได้ศึกษามัน เกรงว่าในอนาคตนิกายหมื่นกระบี่อาจตกอยู่ในอันตราย สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้ ต่อให้เป็นว่านอู๋เริ่นหรือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของนิกาย พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่เคล็ดวิชานี้ออกไป
“อะไรนะ ?! ว่านเจียงเหอ แม้แต่สิ่งที่ต่ำช้าเช่นนั้น…เจ้าก็ทำกล้างั้นรึ ?!”
สีหน้าของบรรดาผู้อาวุโสเปลี่ยนแปลงไปอีกคราและจ้องหน้าว่านเจียงเหอตาเขม็ง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสรองจะกล้าทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้น ในฐานะผู้อาวุโสรองของนิกายหมื่นกระบี่ ปกติแล้วว่านเจียงเหอก็ได้รับความไว้วางใจจากว่านอู๋เริ่นและว่านหรูชู ทว่าเขากลับคิดทรยศนิกายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หากปล่อยเขาไป นิกายหมื่นกระบี่จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเป็นแน่…
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
เหนือลานประลองยุทธ์ จู่ ๆ ก็เกิดคลื่นผันผวนขึ้นมาและร่างของคนสองคนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
หนึ่งในนั้นคือคนที่ฉินอวี้โม่และผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้จักดี เขามิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นว่านหรูชู—ผู้อาวุโสใหญ่ของหอชั้นในแห่งนิกายหมื่นกระบี่นั่นเอง
บุรุษชราที่ปรากฏตัวข้าง ๆ เขาก็มีเส้นผมและเคราสีขาวโพลน รวมถึงมีกลิ่นอายที่ยากเกินหยั่งถึง ในตอนนี้เขากำลังเหยียบย่ำอยู่บนผืนอากาศราวกับเป็นเทพผู้สูงส่งและยากที่ผู้ใดจะละสายตาไปได้
“ท่านตา…”
เมื่อเห็นบุรุษชราผู้นั้น เถาเซี่ยวเซี่ยวก็เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นทันที นางเหาะเข้าไปใกล้บุรุษชราและกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ท่านตา มีคนข่มขู่ข้าและต้องการจะฆ่าข้าเจ้าค่ะ”
ว่านเฉินซีเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของว่านอู๋เริ่นผู้เป็นจ้าวนิกายหมื่นกระบี่และได้รับความรักความเอ็นดูจากเขาอยู่เสมอ การที่เถาเซี่ยวเซี่ยวเป็นบุตรสาวของว่านเฉินซี แน่นอนว่านางก็ต้องได้รับการเอาอกเอาใจจากท่านตาผู้นี้เป็นธรรมดา
ก่อนหน้านี้ นางได้เดิมพันกับท่านตาและมารดาของตนไว้โดยยืนยันว่านางสามารถผ่านการคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมหอชั้นในได้ด้วยความสามารถของตนเอง เพราะเหตุนั้นนางจึงออกไปอยู่ที่หอชั้นนอก ก่อนหน้านี้ บรรดาผู้อาวุโสของหอชั้นในต่างก็รู้สึกคุ้นหน้านาง ทว่าจดจำนางไม่ได้ เนื่องจากปกติแล้วเถาเซี่ยวเซี่ยวมักอาศัยอยู่กับว่านอู๋เริ่นและแทบจะไม่ปรากฏตัวให้ผู้ใดพบหน้า กล่าวได้ว่าในทั่วทั้งนิกายหมื่นกระบี่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่เคยพบหน้าเถาเซี่ยวเซี่ยว แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสหลายคนก็เคยพบนางเพียงหนึ่งครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นและนั่นก็เป็นเมื่อหลายปีก่อน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะจดจำนางไม่ได้
“หนูอ้วนเถาคือหลานสาวของจ้าวนิกายหมื่นกระบี่ !”
เถียนซินและสวีเยว่กล่าวด้วยความตกตะลึง พวกนางคิดไม่ถึงเลยว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวจะเป็นหลานสาวของว่านอู๋เริ่น แม้เคยตั้งข้อสันนิษฐานไว้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของนางจะต้องไม่ธรรมดา ทั้งสองก็ไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีพื้นเพภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่และเหลิ่งซวงเสวี่ยไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก ทั้งสองคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว ทว่าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเถาเซี่ยวเซี่ยวจะเป็นถึงหลานสาวของจ้าวนิกาย
“แม้ไม่ได้พบกันสองสามปี เจ้าก็ยังเป็นเด็กจ้ำม่ำไม่เปลี่ยน”
ว่านอู๋เริ่นจิ้มแก้มนุ่มของหลานสาวและกล่าวอย่างติดตลก
“ท่านตาก็…”
เถาเซี่ยวเซี่ยวทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยและเกาะแขนว่านอู๋เริ่นด้วยท่าทางของเด็กเอาแต่ใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไว้คุยกันทีหลังเถอะ ตอนนี้จัดการเรื่องวุ่นวายตรงหน้าก่อนจะดีกว่า”
ว่านอู๋เริ่นยิ้มให้กับนางก่อนหันไปมองว่านเจียงเหอที่ต้องการหลบหนี
“ว่านเจียงเหอ เจ้าคิดจะหนีไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ ?”
แรงกดดันอันแรงกล้าแผ่ตรงไปที่ว่านเจียงเหอทันทีและสีหน้าของว่านอู๋เริ่นกลายเป็นเคร่งขรึม
“ว่านอู๋เริ่น ในฐานะที่ข้าเป็นผู้อาวุโสรองของนิกายหมื่นกระบี่มานานหลายปี ข้าอุทิศตนและทำผลประโยชน์เพื่อนิกายมาเสมอ ในเมื่อทุกคนกล่าววาจาดูหมิ่นข้าเช่นนี้ ข้าคงอยู่ที่นิกายแห่งนี้ไม่ได้อีกต่อไป”
เมื่อเผชิญหน้ากับว่านอู๋เริ่น ว่านเจียงเหอก็มีสีหน้าที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาตระหนักดีว่าจ้าวนิกายของพวกตนแกร่งกล้าเพียงใด หากว่านอู๋เริ่นไม่ยอมให้เขาไปจากที่นี่ เขาก็ไม่มีทางรอดชีวิตออกไปได้เลย
“ฮ่า ๆ ๆ ว่านเจียงเหอ ไม่ต้องมากล่าววาจายุแยงให้คนอื่นเข้าใจผิดหรอก ข้าทราบดีว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร หากไม่มีที่ไป เจ้าคงไม่กล้าแตกหักกับนิกายหมื่นกระบี่เพียงเพราะเรื่องของศิษย์หรอก บอกมาสิว่าขุมกำลังใดที่สัญญาจะให้ผลประโยชน์กับเจ้าจนคิดที่จะถอนตัวออกจากนิกายหมื่นกระบี่เช่นนี้ ?”
ว่านอู๋เริ่นหัวเราะอย่างเย็นชา แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อวาจากลบเกลื่อนของว่านเจียงเหอ ในฐานะจ้าวนิกาย เขาทราบดีว่าผู้อาวุโสรองเป็นคนอย่างไร
ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายหมื่นกระบี่ ผู้อาวุโสรองควรจะเป็นบุคคลที่เห็นแก่ตัวที่สุด
อย่างไรก็ตาม ว่านเจียงเหอเป็นผู้สืบทายาทของผู้อาวุโสในอดีตที่อุทิศตนและมีส่วนร่วมครั้งสำคัญต่อความสำเร็จของนิกายหมื่นกระบี่ อีกทั้งเขาก็ไม่เคยก่อความผิดครั้งใหญ่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุนั้น ว่านอู๋เริ่นจึงมักปิดตาข้างหนึ่งอยู่เสมอและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ทว่าครานี้การกระทำของว่านเจียงเหอเป็นการล้ำเส้นอย่างแท้จริง
นอกเหนือจากโจมตีศิษย์มากพรสวรรค์ของนิกายหมื่นกระบี่อย่างเปิดเผย ว่านเจียงเหอยังคิดที่จะสังหารหลานสาวของเขา และนั่นเป็นการกระทำที่รนหาที่ตายอย่างแท้จริง !
“ว่านอู๋เริ่น อย่าลืมว่าในอดีตเจ้าได้ตำแหน่งจ้าวนิกายมาได้อย่างไร ? ศิษย์ของนิกายหมื่นกระบี่ท้าทายข้าที่เป็นผู้อาวุโสรองอย่างไม่ไว้หน้า เพียงเจ้าไม่จัดการเรื่องนี้ก็ถือว่าหนักหนามากแล้ว ทว่ายังคิดสงสัยในตัวข้าอีกอย่างนั้นหรือ ?!”
แน่นอนว่าว่านเจียงเหอไม่ยอมรับอย่างง่ายดาย ต่อให้ว่านอู๋เริ่นกล่าวสิ่งที่คิดออกไป เขาก็ยังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว
สำหรับเรื่องข้อตกลงระหว่างเขาและขุมกำลังนั้น ตราบใดที่ไม่ยอมรับ ว่านอู๋เริ่นก็ไม่มีหลักฐานใดมาเอาผิดเขาได้
“เหอะ ว่านเจียงเหอ หากพวกเราแสดงตัวปกป้องเจ้า ความเคารพที่ศิษย์ในนิกายมีต่อพวกเราก็คงจะมลายสิ้น ! การกระทำของเจ้าในครานี้ ทุกคนได้ประจักษ์อย่างชัดเจนแล้ว เหตุใดศิษย์จะต้องเคารพเจ้าในฐานะผู้อาวุโสรองต่อไปด้วยเล่า ? อันที่จริงในตอนแรกมันมิใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเจ้าด้วยซ้ำ อย่าเห็นผิดเป็นชอบจะดีกว่า มันน่ารังเกียจนัก !”
ว่านเฉินซีผู้เป็นบุตรสาวของจ้าวนิกายมักมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เสมอ และครานี้ว่านเจียงเหอทำให้นางเดือดดาลอย่างที่สุด
“ถูกต้อง ว่านเจียงเหอ พวกเราผู้อาวุโสทุกคนเห็นสิ่งที่เจ้าทำแล้ว อย่าเสแสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาอีกเลย”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็กล่าวเสริมอย่างเห็นด้วย พวกเขารู้สึกไม่ถูกชะตากับผู้อาวุโสรองผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว และเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นวันนี้ พวกเขาก็ไม่พอใจมากยิ่งกว่าเดิมและมิอาจทนได้อีกต่อไป
“เหอะ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ว่านอู๋เริ่น...ในอดีตข้าอุทิศตนต่อนิกายหมื่นกระบี่มาตลอดและถือว่าหักล้างกับเรื่องในวันนี้ นับจากนี้ไป ข้าจะตัดขาดจากนิกายหมื่นกระบี่และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก หากยังจดจำได้ว่าที่ผ่านมาบรรพบุรุษของข้าและตัวข้าทำอะไรเพื่อนิกายนี้บ้าง…เจ้าก็ปล่อยข้าไปเถอะ”
ว่านเจียงเหอแค่นเสียงอย่างเย็นชาและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สะเทือนอารมณ์
“ว่านเจียงเหอ การปล่อยเจ้าไปมิใช่เรื่องยากและข้าก็ไม่คิดที่จะฆ่าเจ้าตั้งแต่แรก อย่างไรก็ตาม ก่อนจะไปจากที่นี่ เจ้าต้องคืนบางอย่างมาก่อน !”
สีหน้าของว่านอู๋เริ่นไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ ขณะกล่าววาจาที่ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายถอดสีทันที
“ว่านอู๋เริ่น เจ้าหมายความว่าอะไร ? ข้าไม่เข้าใจ”
ว่านเจียงเหอไม่ยอมรับและแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกครา
“เหอะ เสแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจงั้นรึ ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจเอง ว่านเจียงเหอ...เจ้าให้สัญญากับสำนักหมอกควันว่าจะนำเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของเราไปที่นั่นและให้ศิษย์ของพวกเขาได้ศึกษามัน เพราะเหตุนั้น สำนักหมอกควันจึงจะตอบแทนเจ้าด้วยตำแหน่งรองจ้าวนิกาย !”
ว่านหรูชูกล่าวออกไปอย่างชัดเจน พวกเขาทำการสืบหาข้อมูลและเพิ่งค้นพบเรื่องนี้เพียงไม่นาน ไม่คิดเลยว่าว่านเจียงเหอจะทรยศต่อนิกายหมื่นกระบี่ การที่คิดจะนำเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนของนิกายไปให้ขุมกำลังอื่นศึกษาถือเป็นการทรยศต่อนิกายอย่างแท้จริง
เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่หวนคืนถือเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายหมื่นกระบี่และเป็นรากฐานความรุ่งโรจน์ของนิกาย หากคนของขุมกำลังอื่นได้ศึกษามัน เกรงว่าในอนาคตนิกายหมื่นกระบี่อาจตกอยู่ในอันตราย สำหรับเรื่องสำคัญเช่นนี้ ต่อให้เป็นว่านอู๋เริ่นหรือผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของนิกาย พวกเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่เคล็ดวิชานี้ออกไป
“อะไรนะ ?! ว่านเจียงเหอ แม้แต่สิ่งที่ต่ำช้าเช่นนั้น…เจ้าก็ทำกล้างั้นรึ ?!”
สีหน้าของบรรดาผู้อาวุโสเปลี่ยนแปลงไปอีกคราและจ้องหน้าว่านเจียงเหอตาเขม็ง พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสรองจะกล้าทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้น ในฐานะผู้อาวุโสรองของนิกายหมื่นกระบี่ ปกติแล้วว่านเจียงเหอก็ได้รับความไว้วางใจจากว่านอู๋เริ่นและว่านหรูชู ทว่าเขากลับคิดทรยศนิกายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หากปล่อยเขาไป นิกายหมื่นกระบี่จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเป็นแน่…
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
ภายในจวนตระกูลเหมียว ณ เมืองเทียนยิน
หานโม่ฉือพักอยู่ในจวนตระกูลเหมียวมานานครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้ไม่เพียงแต่พลังในร่างของเขาจะฟื้นฟูกลับคืนมาเท่านั้น ทว่าเขาก็พัฒนาตนเองได้สำเร็จเช่นกัน
ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ พลังของเขาก็บรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ทว่าด้วยข้อจำกัดของดินแดนเทพมายา เขาจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ทว่าในดินแดนระดับสูงแห่งนี้ไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้นอีกต่อไป เขาจึงสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้อย่างง่ายดายและแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาและคนของตระกูลเหมียวก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างมากและทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าหานโม่ฉือทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ แม้แต่ในดินแดนที่แกร่งกล้าแห่งนี้ จอมยุทธ์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีซึ่งบรรลุขอบเขตนี้ได้ก็ยังถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ !
“พี่หาน ข้ายังไม่มีข่าวของท่านพี่สะใภ้เลยเจ้าค่ะ”
วันนี้หานโม่ฉือกำลังทำสมาธิอยู่ภายในเรือนอย่างสงบและเหมียวเจินเจินเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยเล็กน้อย
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตระกูลเหมียวส่งคนออกไปสืบข่าวคราวทั่วบริเวณทว่าไม่มีเบาะแสของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย มั่นใจได้เลยว่าหากฉินอวี้โม่อยู่ในเมืองนี้หรือแม้แต่บริเวณใกล้เคียง พวกเขาก็น่าจะได้ทราบเบาะแสของนางมานานแล้ว สาเหตุที่ไม่มีข่าวความคืบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะตำแหน่งของนางไม่ได้อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับเมืองเทียนยินเลย
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะรับทราบและกล่าวขอบคุณน้องสาวผู้ร่าเริงและอารมณ์ดีตลอดเวลาผู้นี้
เขาทราบดีว่าเหมียวเจินเจินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและพยายามหาทางสืบข่าวของฉินอวี้โม่อย่างสุดความสามารถ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจต่อทุกคนในตระกูลเหมียวตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเหล่านี้กระตือรือร้นกันอย่างมากและต้อนรับเขาในฐานะแขกคนสำคัญของตระกูล ผู้นำตระกูลเหมียวเองก็เป็นมิตรอย่างยิ่งและมอบความสบายใจให้กับเขาราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเขาเอง
“พี่หาน หากท่านยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยท่านตามหาพี่สะใภ้แล้วนะ”
เหมียวเจินเจินกล่าวติดตลกและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “โอ้…จริงสิ ท่านพ่อเรียกพี่หานไปพบที่ห้องตำราและมีเรื่องจะพูดคุยหารือกับพี่หานเจ้าค่ะ”
แม้ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังวิธีการบางอย่างที่พอจะช่วยให้ตามหาฉินอวี้โม่ได้ หากเป็นไปตามที่คาด คงไม่ยากที่หานโม่ฉือจะได้พบกับฉินอวี้โม่หลังจากนั้น
ภายในห้องตำราของจวนตระกูลเหมียว นอกเหนือจากเหมียวเหรินจวิน—ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลอีกหลายคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินเข้าไปและพบกับพวกเขาเหล่านั้นที่กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น
สตรีในตระกูลเหมียวหลายคนระหว่างทางก็มีพวงแก้มแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวเมื่อพบหน้าหานโม่ฉือ ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มจากต่างแดนผู้นี้รูปงามจนเกินไป แม้เขาพักอยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือนและได้พบหน้าเขาหลายครา พวกนางก็ยังไม่อาจหักห้ามมิให้ใจเต้นแรงทุกคราที่พบกัน
“ท่านลุงขอรับ”
เมื่อเข้ามาในห้องตำรา หานโม่ฉือก็กล่าวทักทายทุกคนก่อนนั่งลงใกล้กับเหมียวเหรินจวิน
เหมียวเจินเจินเองก็ไม่ได้แยกออกไปและนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างหานโม่ฉือเช่นกัน
ผู้นำตระกูลเหมียวโบกมือส่งสัญญาณก่อนที่ประตูห้องตำราจะปิดลง จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับหานโม่ฉือและกล่าวขึ้นมา “โม่ฉือ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะหารือด้วย”
เหมียวเหรินจวินชื่นชมบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาก็ยินดีที่จะจัดการให้เหมียวเจินเจินได้ตบแต่งกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นแน่ แม้ใช้เวลาทำความรู้จักกันได้สั้น ๆ เพียงครึ่งเดือนและยังไม่ทราบภูมิหลังของอีกฝ่ายอย่างแน่ชัด ทว่าเขาก็ชื่นชมในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ต่อให้เทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพ หานโม่ฉือก็จัดเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างที่สุด เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อของดินแดนมหาเทพในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน แม้ไม่มีโอกาสได้บุรุษผู้นี้เป็นบุตรเขย แต่การได้ผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็มิใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด
“ท่านลุงมีสิ่งใดก็ว่ามาได้เลยขอรับ ตราบใดที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หานโม่ฉือยกมือประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าเช่นกัน”
เหมียวเหรินจวินมองสีหน้าท่าทางจริงใจของหานโม่ฉือและรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้นก่อนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“โม่ฉือ ในการคัดเลือกของเมืองเทียนยินที่จะมาถึงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนให้กับตระกูลเหมียวของพวกเราได้”
จุดประสงค์ของผู้นำตระกูลเหมียวในครานี้คือการต้องการให้หานโม่ฉือเข้าร่วมตระกูลเหมียวเพื่อเป็นตัวแทนในการคัดเลือกจอมยุทธ์ประจำปีนี้
“พี่หาน ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของท่าน ท่านจะผ่านการคัดเลือกครานี้ไปได้ไม่ยาก หากได้เป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของเมืองเทียนยินของเรา ท่านก็จะได้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสามสำนักและเก้านิกาย ท่านเคยบอกข้าว่าท่านพี่สะใภ้มีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าท่าน หากนางทราบถึงเรื่องการคัดเลือกประจำปี นางไม่มีทางพลาดแน่เจ้าค่ะ เช่นนั้นหากท่านเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ ท่านก็จะได้พบกับพี่สะใภ้อีกครั้งอย่างแน่นอน”
เหมียวเจินเจินกล่าวอธิบายเรื่องการคัดเลือกที่บิดาของตนหมายถึงและนั่นเป็นการคัดเลือกเดียวกันกับที่ฉินอวี้โม่กำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมอยู่ในอำเภอซ่างหยวน
เพียงแต่ฟากของหานโม่ฉือนั้นง่ายกว่าฉินอวี้โม่มาก
อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ซึ่งฉินอวี้โม่จะต้องผ่านการทดสอบของอำเภอไปตามขั้นก่อนที่จะผ่านเข้าถึงมณฑลชิงโจวและเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบของมณฑลชิงโจว รอบสุดท้ายก็คือการคัดเลือกโดยตรงของสามสำนักและเก้านิกาย
ทว่าเมืองเทียนยินก็เป็นเมืองใหญ่ที่เทียบเท่ากับมณฑลชิงโจวและเป็นกรณียกเว้นพิเศษ เพราะฉะนั้นหานโม่ฉือจึงต้องเข้าร่วมการคัดเลือกของเมืองเทียนยินเท่านั้น เนื่องจากเป็นเมืองขนาดที่ใหญ่มาก เขาจะผ่านไปสู่รอบสุดท้ายของการคัดเลือกของสามสำนักและเก้านิกายได้โดยตรง นั่นก็หมายความว่าการคัดเลือกของเขาจะสั้นกว่าฉินอวี้โม่หนึ่งขั้นซึ่งช่วยให้ผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ ได้ง่ายกว่า
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หานโม่ฉือตอบตกลงโดยไม่ลังเล สิ่งที่เหมียวเจินเจินกล่าวมาถูกต้องแล้วและฉินอวี้โม่จะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่ที่ใด นางจะหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ประจำปีนี้เป็นแน่ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนาง หานโม่ฉือไม่มีข้อสงสัยหรือไม่มั่นใจแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าสำหรับตอนนี้ นี่เป็นทางที่เร็วที่สุดที่เขาจะได้พบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“ท่านพ่อ เห็นหรือไม่เจ้าคะ ? ข้าบอกแล้วว่าพี่หานจะต้องเห็นด้วยแน่ ๆ”
เหมียวเจินเจินกล่าวกับบิดาและยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นับตั้งแต่ก่อนที่เหมียวเหรินจวินจะกล่าวข้อเสนอกับหานโม่ฉือ นางทราบอยู่แล้วว่า ‘พี่หาน’ จะตอบรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน และเป็นจริงดังที่คิดไว้ นางคาดเดาไม่ผิดเลย หานโม่ฉือตกปากรับคำด้วยความยินดี
“ในเมื่อเจ้ารอบรู้เช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามโม่ฉือไปเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยกันเถอะ”
เหมียวเหรินจวินมองบุตรสาวอย่างเอาอกเอาใจและไม่รังเกียจที่นางจะติดตามไปกับหานโม่ฉือด้วย จากความเข้าใจที่เขามีต่อหานโม่ฉือ เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าหานโม่ฉือจะปกป้องเหมียวเจินเจินได้อย่างแน่นอน รวมถึงศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเหมียวที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้เช่นกัน…
“โม่ฉือ การคัดเลือกจะเริ่มต้นในอีกสองเดือน เมื่อถึงตอนนั้นมิใช่เพียงคนของเมืองเทียนยินของเราเท่านั้น ทว่าเมืองเล็ก ๆ โดยรอบทั้งหมดก็จะคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์และฝีมือโดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกประจำปีนี้ แม้พรสวรรค์และพลังของเจ้าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ เจ้าก็ไม่ควรประมาทเกินไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าก็ออกไปสำรวจให้ทั่วเมืองก่อนเถอะเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว”
ผู้นำตระกูลเหมียวก็กล่าวกับหานโม่ฉือราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูล
“ขอรับ ขอบคุณท่านลุงมาก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและไม่ปฏิเสธใด ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ภายในจวนตระกูลเหมียวและแทบไม่ออกไปพบปะโลกภายนอก ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่เขาทราบในช่วงที่ผ่านมานี้ก็ล้วนมาจากคำบอกเล่าของเหมียวเจินเจิน บังเอิญว่าเขาเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและเหลือเพียงแต่การปรับรากฐานพลังให้คงที่เท่านั้น เขาจึงออกไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรีบร้อนฝึกวิชาอีก
“เยี่ยมไปเลย พี่หาน…ข้าจะพาท่านไปเที่ยวชมรอบเมืองและพาไปทานอาหารที่อร่อยที่สุดในเมืองเทียนยินเอง”
เหมียวเจินเจินกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า นางยังอายุน้อยมากและเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับความสนุกสนานและความสุข
ทุกคนในห้องตำราก็อดหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังของนางไม่ได้ เหมียวเหรินจวินก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและเข้าใจดีว่าตนไม่สามารถห้ามปรามหรือควบคุมบุตรสาวผู้นี้ได้เลย
หลังจากหารือเรื่องต่าง ๆ อีกพักหนึ่ง เหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือออกนอกจวนตระกูลเหมียวเพื่อออกไปเที่ยวชมรอบเมืองเทียนยิน
‘เมืองเทียนยิน’ จัดเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนมหาเทพซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านครล่าฝันในดินแดนเทพมายาหลายเท่าตัวนัก
เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมากซึ่งมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางเข้า-ออกอย่างไม่หยุดหย่อน หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินไปตามเส้นทางและได้พบเห็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากหน้าหลายตา
ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงและแม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่อาจสัมผัสถึงระดับพลังของพวกเขาได้เลย
ต้องกล่าวเลยว่าเสือหมอบมังกรซ่อนของดินแดนแห่งนี้มีมากยิ่งกว่าดินแดนเทพมายาถึงหลายเท่านัก
* 卧虎藏龙 เสือหมอบ มังกรซ่อน ความหมายคือ คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา
หลังจากนั้นเหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือเที่ยวชมไปทั่วก่อนมาถึงภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนยินและจองห้องแยกห้องหนึ่งทันที
“พี่หาน อาหารที่นี่อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ท่านควรจะลองลิ้มรสดู”
เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า นางชอบมารับประทานอาหารในภัตตาคารชิงอวิ๋นแห่งนี้มากที่สุด ไม่ว่าอาหารหรือขนม ทุกอย่างล้วนมีรสชาติดีเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเหล่านั้นยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานหนาแน่นซึ่งส่งผลให้พวกมันมีราคาสูงและคนธรรมดาหลายคนไม่มีวาสนาที่จะได้ลิ้มลองมัน
หานโม่ฉือนั่งลงด้านข้างและฟังเหมียวเจินเจินเล่าเรื่องราวสถานการณ์ในเมืองเทียนยินต่อไปโดยไม่กล่าวความคิดเห็นใดมากนัก เขาเพียงส่งเสียงตอบรับในช่วงท้ายประโยคเป็นระยะ ๆ เท่านั้นเพื่อมิให้เหมียวเจินเจินรู้สึกเบื่อหน่ายจนเกินไป
แม้ภายในห้องแยกนี้จะมีเพียงพวกเขาสองคน ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยสักนิดและน้ำเสียงร่าเริงของเหมียวเจินเจินก็ดังชัดเจนไปถึงข้างนอก
“เฮ้ ข้าก็นึกว่าใครที่กล้าแย่งห้องของข้าไป ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เหมียวเจินเจิน…นังเด็กตัวเหม็น !”
น้ำเสียงยั่วยุระคนไม่พอใจดังมาจากข้างนอกก่อนที่ประตูห้องแยกจะถูกผลักเปิดออกอย่างรุนแรง
หน้าประตูเวลานี้ มีสตรีคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและมีบุรุษหนุ่มอายุช่วงยี่สิบปีหลายคนติดตามอยู่ข้างหลัง
รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ทว่าใบหน้าของนางก็ทาสีขาวซีดและแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีแดงซึ่งดูประหลาดตาอย่างมาก คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังนางก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าสีหน้าแววตาทะนงตนที่ปรากฏชัดเจนทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ห้องของเจ้า ? ตลกชะมัด ฮ่า ๆ ๆ มีชื่อของเจ้าเขียนไว้ด้วยรึ ?”
เหมียวเจินเจินยืนขึ้นสบตาสตรีผู้นั้นและตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าทันที
สตรีผู้นี้ก็คือเถียนเยี่ยนจือ—คุณหนูของตระกูลเถียนซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเหมียวเลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็คือพี่น้องของนาง—เหล่าคุณชายแห่งตระกูลเถียน
ตระกูลเถียนและตระกูลเหมียวไม่เคยมีอำนาจเหนือกว่ากันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งผู้นำและบรรดาศิษย์ของสองตระกูลก็ถือว่าเลวร้ายอย่างมาก ทว่าเถียนเยี่ยนจือผู้นี้ก็ริษยาในความงามของเหมียวเจินเจินที่เหนือกว่าตน เพราะฉะนั้นนางจึงพยายามยั่วยุและหาเรื่องทุกคราที่ได้พบหน้ากัน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากตระกูลเหมียวและตระกูลเถียนก็ยังมีตระกูลใหญ่อื่น ๆ ในเมืองแห่งนี้อีก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความขัดแย้งกันหรือความบาดหมางกันเป็นประจำ ทว่ามันก็ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป
“เหอะ แม้ข้าจะไม่ได้เขียนชื่อติดไว้แต่ข้านั่งทานอาหารในห้องนี้ทุกคราที่มาที่นี่ ทุกคนต่างก็ทราบดี !”
เถียนเยี่ยนจือแค่นเสียงและเหลือบไปเห็นบุรุษคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหมียวเจินเจินก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “หึ เหมียวเจินเจิน ครานี้เจ้าพาหมาแมวที่ไหนมาด้วยล่ะ ?”
ทว่าทันทีที่สายตาของนางบรรจบลงที่ใบหน้าของหานโม่ฉือ นางก็ตะลึงงันไปทันที…
เหมียวเจินเจินเป็นบุตรคนเดียวของทายาทตระกูลเหมียวและไม่มีพี่น้องแม้แต่คนเดียว ทุกคราที่นางปรากฏตัว นางก็มักอยู่ตัวคนเดียวหรือมาพร้อมกับศิษย์ผู้ติดตามจากตระกูลเหมียว ทว่าในทางกลับกัน พี่ชายหลายคนของเถียนเยี่ยนจือล้วนมีฝีมือพอสมควรและก่อนหน้านี้พวกเขาก็รังแกบรรดาศิษย์ที่เหมียวเจินเจินพามาด้วยอยู่หลายครั้งหลายครา
แม้เหมียวเจินเจินจะไม่พอใจนัก นางก็อดทนและไม่เคยหาเรื่องหรือตอบโต้อีกฝ่ายมากจนเกินไป
ทว่าน่าเสียดายที่เกรงว่าครานี้เถียนเยี่ยนจือคงจะเจอตอแข็งเข้าแล้ว
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
ภายในจวนตระกูลเหมียว ณ เมืองเทียนยิน
หานโม่ฉือพักอยู่ในจวนตระกูลเหมียวมานานครึ่งเดือนแล้ว เวลานี้ไม่เพียงแต่พลังในร่างของเขาจะฟื้นฟูกลับคืนมาเท่านั้น ทว่าเขาก็พัฒนาตนเองได้สำเร็จเช่นกัน
ในดินแดนเทพมายาก่อนหน้านี้ พลังของเขาก็บรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ทว่าด้วยข้อจำกัดของดินแดนเทพมายา เขาจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ ทว่าในดินแดนระดับสูงแห่งนี้ไม่มีข้อจำกัดเหล่านั้นอีกต่อไป เขาจึงสามารถทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้อย่างง่ายดายและแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาและคนของตระกูลเหมียวก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างมากและทุกคนล้วนยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าหานโม่ฉือทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตราชาเซียนได้สำเร็จ แม้แต่ในดินแดนที่แกร่งกล้าแห่งนี้ จอมยุทธ์ที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีซึ่งบรรลุขอบเขตนี้ได้ก็ยังถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเหนือมนุษย์ !
“พี่หาน ข้ายังไม่มีข่าวของท่านพี่สะใภ้เลยเจ้าค่ะ”
วันนี้หานโม่ฉือกำลังทำสมาธิอยู่ภายในเรือนอย่างสงบและเหมียวเจินเจินเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยสีหน้าขอโทษขอโพยเล็กน้อย
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตระกูลเหมียวส่งคนออกไปสืบข่าวคราวทั่วบริเวณทว่าไม่มีเบาะแสของฉินอวี้โม่แม้แต่น้อย มั่นใจได้เลยว่าหากฉินอวี้โม่อยู่ในเมืองนี้หรือแม้แต่บริเวณใกล้เคียง พวกเขาก็น่าจะได้ทราบเบาะแสของนางมานานแล้ว สาเหตุที่ไม่มีข่าวความคืบหน้าเช่นนี้ เกรงว่าเป็นเพราะตำแหน่งของนางไม่ได้อยู่ในบริเวณที่ใกล้เคียงกับเมืองเทียนยินเลย
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะรับทราบและกล่าวขอบคุณน้องสาวผู้ร่าเริงและอารมณ์ดีตลอดเวลาผู้นี้
เขาทราบดีว่าเหมียวเจินเจินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากและพยายามหาทางสืบข่าวของฉินอวี้โม่อย่างสุดความสามารถ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจต่อทุกคนในตระกูลเหมียวตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเหล่านี้กระตือรือร้นกันอย่างมากและต้อนรับเขาในฐานะแขกคนสำคัญของตระกูล ผู้นำตระกูลเหมียวเองก็เป็นมิตรอย่างยิ่งและมอบความสบายใจให้กับเขาราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเขาเอง
“พี่หาน หากท่านยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจเช่นนี้ ข้าจะไม่ช่วยท่านตามหาพี่สะใภ้แล้วนะ”
เหมียวเจินเจินกล่าวติดตลกและหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “โอ้…จริงสิ ท่านพ่อเรียกพี่หานไปพบที่ห้องตำราและมีเรื่องจะพูดคุยหารือกับพี่หานเจ้าค่ะ”
แม้ไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับฉินอวี้โม่ ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังวิธีการบางอย่างที่พอจะช่วยให้ตามหาฉินอวี้โม่ได้ หากเป็นไปตามที่คาด คงไม่ยากที่หานโม่ฉือจะได้พบกับฉินอวี้โม่หลังจากนั้น
ภายในห้องตำราของจวนตระกูลเหมียว นอกเหนือจากเหมียวเหรินจวิน—ผู้นำตระกูลเหมียวก็ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลอีกหลายคนที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินเข้าไปและพบกับพวกเขาเหล่านั้นที่กล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มอย่างกระตือรือร้น
สตรีในตระกูลเหมียวหลายคนระหว่างทางก็มีพวงแก้มแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวเมื่อพบหน้าหานโม่ฉือ ต้องกล่าวเลยว่าบุรุษหนุ่มจากต่างแดนผู้นี้รูปงามจนเกินไป แม้เขาพักอยู่ที่นี่มานานกว่าครึ่งเดือนและได้พบหน้าเขาหลายครา พวกนางก็ยังไม่อาจหักห้ามมิให้ใจเต้นแรงทุกคราที่พบกัน
“ท่านลุงขอรับ”
เมื่อเข้ามาในห้องตำรา หานโม่ฉือก็กล่าวทักทายทุกคนก่อนนั่งลงใกล้กับเหมียวเหรินจวิน
เหมียวเจินเจินเองก็ไม่ได้แยกออกไปและนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างหานโม่ฉือเช่นกัน
ผู้นำตระกูลเหมียวโบกมือส่งสัญญาณก่อนที่ประตูห้องตำราจะปิดลง จากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับหานโม่ฉือและกล่าวขึ้นมา “โม่ฉือ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบวันนี้เพราะมีเรื่องบางอย่างอยากจะหารือด้วย”
เหมียวเหรินจวินชื่นชมบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก หากมิใช่เพราะหานโม่ฉือแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เขาก็ยินดีที่จะจัดการให้เหมียวเจินเจินได้ตบแต่งกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นแน่ แม้ใช้เวลาทำความรู้จักกันได้สั้น ๆ เพียงครึ่งเดือนและยังไม่ทราบภูมิหลังของอีกฝ่ายอย่างแน่ชัด ทว่าเขาก็ชื่นชมในตัวบุรุษผู้นี้เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ต่อให้เทียบกับคนทั้งดินแดนมหาเทพ หานโม่ฉือก็จัดเป็นคนที่มีศักยภาพอย่างที่สุด เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อของดินแดนมหาเทพในอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน แม้ไม่มีโอกาสได้บุรุษผู้นี้เป็นบุตรเขย แต่การได้ผูกมิตรสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็มิใช่เรื่องที่เสียหายแต่อย่างใด
“ท่านลุงมีสิ่งใดก็ว่ามาได้เลยขอรับ ตราบใดที่ข้าช่วยได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน”
หานโม่ฉือยกมือประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและกล่าวอย่างจริงใจ
“ฮ่า ๆ ๆ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าเช่นกัน”
เหมียวเหรินจวินมองสีหน้าท่าทางจริงใจของหานโม่ฉือและรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้นก่อนกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“โม่ฉือ ในการคัดเลือกของเมืองเทียนยินที่จะมาถึงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นตัวแทนให้กับตระกูลเหมียวของพวกเราได้”
จุดประสงค์ของผู้นำตระกูลเหมียวในครานี้คือการต้องการให้หานโม่ฉือเข้าร่วมตระกูลเหมียวเพื่อเป็นตัวแทนในการคัดเลือกจอมยุทธ์ประจำปีนี้
“พี่หาน ด้วยความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของท่าน ท่านจะผ่านการคัดเลือกครานี้ไปได้ไม่ยาก หากได้เป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของเมืองเทียนยินของเรา ท่านก็จะได้ไปเข้าร่วมการคัดเลือกรอบสุดท้ายเพื่อเข้าร่วมการทดสอบของสามสำนักและเก้านิกาย ท่านเคยบอกข้าว่าท่านพี่สะใภ้มีพรสวรรค์ที่ไม่ด้อยไปกว่าท่าน หากนางทราบถึงเรื่องการคัดเลือกประจำปี นางไม่มีทางพลาดแน่เจ้าค่ะ เช่นนั้นหากท่านเข้าร่วมการคัดเลือกนี้ ท่านก็จะได้พบกับพี่สะใภ้อีกครั้งอย่างแน่นอน”
เหมียวเจินเจินกล่าวอธิบายเรื่องการคัดเลือกที่บิดาของตนหมายถึงและนั่นเป็นการคัดเลือกเดียวกันกับที่ฉินอวี้โม่กำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมอยู่ในอำเภอซ่างหยวน
เพียงแต่ฟากของหานโม่ฉือนั้นง่ายกว่าฉินอวี้โม่มาก
อำเภอซ่างหยวนเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ซึ่งฉินอวี้โม่จะต้องผ่านการทดสอบของอำเภอไปตามขั้นก่อนที่จะผ่านเข้าถึงมณฑลชิงโจวและเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป หลังจากผ่านการคัดเลือกในรอบของมณฑลชิงโจว รอบสุดท้ายก็คือการคัดเลือกโดยตรงของสามสำนักและเก้านิกาย
ทว่าเมืองเทียนยินก็เป็นเมืองใหญ่ที่เทียบเท่ากับมณฑลชิงโจวและเป็นกรณียกเว้นพิเศษ เพราะฉะนั้นหานโม่ฉือจึงต้องเข้าร่วมการคัดเลือกของเมืองเทียนยินเท่านั้น เนื่องจากเป็นเมืองขนาดที่ใหญ่มาก เขาจะผ่านไปสู่รอบสุดท้ายของการคัดเลือกของสามสำนักและเก้านิกายได้โดยตรง นั่นก็หมายความว่าการคัดเลือกของเขาจะสั้นกว่าฉินอวี้โม่หนึ่งขั้นซึ่งช่วยให้ผ่านเข้าไปในรอบลึก ๆ ได้ง่ายกว่า
“เข้าใจแล้วขอรับ”
หานโม่ฉือตอบตกลงโดยไม่ลังเล สิ่งที่เหมียวเจินเจินกล่าวมาถูกต้องแล้วและฉินอวี้โม่จะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่ที่ใด นางจะหาทางเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ประจำปีนี้เป็นแน่ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของนาง หานโม่ฉือไม่มีข้อสงสัยหรือไม่มั่นใจแม้แต่น้อย กล่าวได้ว่าสำหรับตอนนี้ นี่เป็นทางที่เร็วที่สุดที่เขาจะได้พบกับฉินอวี้โม่อีกครั้ง
“ท่านพ่อ เห็นหรือไม่เจ้าคะ ? ข้าบอกแล้วว่าพี่หานจะต้องเห็นด้วยแน่ ๆ”
เหมียวเจินเจินกล่าวกับบิดาและยิ้มอย่างผู้มีชัยชนะ นับตั้งแต่ก่อนที่เหมียวเหรินจวินจะกล่าวข้อเสนอกับหานโม่ฉือ นางทราบอยู่แล้วว่า ‘พี่หาน’ จะตอบรับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน และเป็นจริงดังที่คิดไว้ นางคาดเดาไม่ผิดเลย หานโม่ฉือตกปากรับคำด้วยความยินดี
“ในเมื่อเจ้ารอบรู้เช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามโม่ฉือไปเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยกันเถอะ”
เหมียวเหรินจวินมองบุตรสาวอย่างเอาอกเอาใจและไม่รังเกียจที่นางจะติดตามไปกับหานโม่ฉือด้วย จากความเข้าใจที่เขามีต่อหานโม่ฉือ เหมียวเหรินจวินเชื่อว่าหานโม่ฉือจะปกป้องเหมียวเจินเจินได้อย่างแน่นอน รวมถึงศิษย์คนอื่น ๆ ของตระกูลเหมียวที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกครานี้เช่นกัน…
“โม่ฉือ การคัดเลือกจะเริ่มต้นในอีกสองเดือน เมื่อถึงตอนนั้นมิใช่เพียงคนของเมืองเทียนยินของเราเท่านั้น ทว่าเมืองเล็ก ๆ โดยรอบทั้งหมดก็จะคัดเลือกศิษย์ที่มีพรสวรรค์และฝีมือโดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกประจำปีนี้ แม้พรสวรรค์และพลังของเจ้าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ เจ้าก็ไม่ควรประมาทเกินไป อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้เจ้าก็ออกไปสำรวจให้ทั่วเมืองก่อนเถอะเพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบตัว”
ผู้นำตระกูลเหมียวก็กล่าวกับหานโม่ฉือราวกับเป็นผู้อาวุโสที่กล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูล
“ขอรับ ขอบคุณท่านลุงมาก”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและไม่ปฏิเสธใด ๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาก็เอาแต่เก็บตัวฝึกบ่มเพาะพลังอยู่ภายในจวนตระกูลเหมียวและแทบไม่ออกไปพบปะโลกภายนอก ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างที่เขาทราบในช่วงที่ผ่านมานี้ก็ล้วนมาจากคำบอกเล่าของเหมียวเจินเจิน บังเอิญว่าเขาเพิ่งทะลวงพลังได้สำเร็จและเหลือเพียงแต่การปรับรากฐานพลังให้คงที่เท่านั้น เขาจึงออกไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการรีบร้อนฝึกวิชาอีก
“เยี่ยมไปเลย พี่หาน…ข้าจะพาท่านไปเที่ยวชมรอบเมืองและพาไปทานอาหารที่อร่อยที่สุดในเมืองเทียนยินเอง”
เหมียวเจินเจินกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า นางยังอายุน้อยมากและเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับความสนุกสนานและความสุข
ทุกคนในห้องตำราก็อดหัวเราะกับท่าทางน่ารักน่าชังของนางไม่ได้ เหมียวเหรินจวินก็ทำได้เพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญาและเข้าใจดีว่าตนไม่สามารถห้ามปรามหรือควบคุมบุตรสาวผู้นี้ได้เลย
หลังจากหารือเรื่องต่าง ๆ อีกพักหนึ่ง เหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือออกนอกจวนตระกูลเหมียวเพื่อออกไปเที่ยวชมรอบเมืองเทียนยิน
‘เมืองเทียนยิน’ จัดเป็นเมืองขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของดินแดนมหาเทพซึ่งมีขนาดใหญ่กว่านครล่าฝันในดินแดนเทพมายาหลายเท่าตัวนัก
เมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและเฟื่องฟูอย่างมากซึ่งมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางเข้า-ออกอย่างไม่หยุดหย่อน หานโม่ฉือเดินตามเหมียวเจินเจินไปตามเส้นทางและได้พบเห็นจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ามากหน้าหลายตา
ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ล้วนแต่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงและแม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่อาจสัมผัสถึงระดับพลังของพวกเขาได้เลย
ต้องกล่าวเลยว่าเสือหมอบมังกรซ่อนของดินแดนแห่งนี้มีมากยิ่งกว่าดินแดนเทพมายาถึงหลายเท่านัก
* 卧虎藏龙 เสือหมอบ มังกรซ่อน ความหมายคือ คนที่มีอำนาจหรือความรู้ความสามารถมักซ่อนคมเอาไว้ รอจนได้โอกาสเหมาะก็จะเผยอำนาจหรือความสามารถนั้นออกมา
หลังจากนั้นเหมียวเจินเจินก็พาหานโม่ฉือเที่ยวชมไปทั่วก่อนมาถึงภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนยินและจองห้องแยกห้องหนึ่งทันที
“พี่หาน อาหารที่นี่อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ ท่านควรจะลองลิ้มรสดู”
เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า นางชอบมารับประทานอาหารในภัตตาคารชิงอวิ๋นแห่งนี้มากที่สุด ไม่ว่าอาหารหรือขนม ทุกอย่างล้วนมีรสชาติดีเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น อาหารเหล่านั้นยังเปี่ยมไปด้วยพลังงานหนาแน่นซึ่งส่งผลให้พวกมันมีราคาสูงและคนธรรมดาหลายคนไม่มีวาสนาที่จะได้ลิ้มลองมัน
หานโม่ฉือนั่งลงด้านข้างและฟังเหมียวเจินเจินเล่าเรื่องราวสถานการณ์ในเมืองเทียนยินต่อไปโดยไม่กล่าวความคิดเห็นใดมากนัก เขาเพียงส่งเสียงตอบรับในช่วงท้ายประโยคเป็นระยะ ๆ เท่านั้นเพื่อมิให้เหมียวเจินเจินรู้สึกเบื่อหน่ายจนเกินไป
แม้ภายในห้องแยกนี้จะมีเพียงพวกเขาสองคน ทว่าบรรยากาศก็ไม่ได้เงียบเหงาเลยสักนิดและน้ำเสียงร่าเริงของเหมียวเจินเจินก็ดังชัดเจนไปถึงข้างนอก
“เฮ้ ข้าก็นึกว่าใครที่กล้าแย่งห้องของข้าไป ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง เหมียวเจินเจิน…นังเด็กตัวเหม็น !”
น้ำเสียงยั่วยุระคนไม่พอใจดังมาจากข้างนอกก่อนที่ประตูห้องแยกจะถูกผลักเปิดออกอย่างรุนแรง
หน้าประตูเวลานี้ มีสตรีคนหนึ่งที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปีกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจและมีบุรุษหนุ่มอายุช่วงยี่สิบปีหลายคนติดตามอยู่ข้างหลัง
รูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้อยู่ในเกณฑ์ปกติทั่วไป ทว่าใบหน้าของนางก็ทาสีขาวซีดและแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางสีแดงซึ่งดูประหลาดตาอย่างมาก คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังนางก็ดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ทว่าสีหน้าแววตาทะนงตนที่ปรากฏชัดเจนทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาจะต้องมีสถานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ห้องของเจ้า ? ตลกชะมัด ฮ่า ๆ ๆ มีชื่อของเจ้าเขียนไว้ด้วยรึ ?”
เหมียวเจินเจินยืนขึ้นสบตาสตรีผู้นั้นและตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าทันที
สตรีผู้นี้ก็คือเถียนเยี่ยนจือ—คุณหนูของตระกูลเถียนซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเหมียวเลย ส่วนคนอื่น ๆ ก็คือพี่น้องของนาง—เหล่าคุณชายแห่งตระกูลเถียน
ตระกูลเถียนและตระกูลเหมียวไม่เคยมีอำนาจเหนือกว่ากันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งผู้นำและบรรดาศิษย์ของสองตระกูลก็ถือว่าเลวร้ายอย่างมาก ทว่าเถียนเยี่ยนจือผู้นี้ก็ริษยาในความงามของเหมียวเจินเจินที่เหนือกว่าตน เพราะฉะนั้นนางจึงพยายามยั่วยุและหาเรื่องทุกคราที่ได้พบหน้ากัน
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากตระกูลเหมียวและตระกูลเถียนก็ยังมีตระกูลใหญ่อื่น ๆ ในเมืองแห่งนี้อีก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีความขัดแย้งกันหรือความบาดหมางกันเป็นประจำ ทว่ามันก็ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป
“เหอะ แม้ข้าจะไม่ได้เขียนชื่อติดไว้แต่ข้านั่งทานอาหารในห้องนี้ทุกคราที่มาที่นี่ ทุกคนต่างก็ทราบดี !”
เถียนเยี่ยนจือแค่นเสียงและเหลือบไปเห็นบุรุษคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เหมียวเจินเจินก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูก “หึ เหมียวเจินเจิน ครานี้เจ้าพาหมาแมวที่ไหนมาด้วยล่ะ ?”
ทว่าทันทีที่สายตาของนางบรรจบลงที่ใบหน้าของหานโม่ฉือ นางก็ตะลึงงันไปทันที…
เหมียวเจินเจินเป็นบุตรคนเดียวของทายาทตระกูลเหมียวและไม่มีพี่น้องแม้แต่คนเดียว ทุกคราที่นางปรากฏตัว นางก็มักอยู่ตัวคนเดียวหรือมาพร้อมกับศิษย์ผู้ติดตามจากตระกูลเหมียว ทว่าในทางกลับกัน พี่ชายหลายคนของเถียนเยี่ยนจือล้วนมีฝีมือพอสมควรและก่อนหน้านี้พวกเขาก็รังแกบรรดาศิษย์ที่เหมียวเจินเจินพามาด้วยอยู่หลายครั้งหลายครา
แม้เหมียวเจินเจินจะไม่พอใจนัก นางก็อดทนและไม่เคยหาเรื่องหรือตอบโต้อีกฝ่ายมากจนเกินไป
ทว่าน่าเสียดายที่เกรงว่าครานี้เถียนเยี่ยนจือคงจะเจอตอแข็งเข้าแล้ว
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
“–ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง–”
เสียงประกาศมายาดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่อันกว้างใหญ่ของโรงเรียนราชสำนัก เมื่อฟังดูแล้วนี่คงจะเป็นประกาศจากทางโรงเรียนอย่างแน่นอน
เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้ได้ยินเสียงประกาศอย่างชัดเจน ซึ่งในทันทีที่รับรู้ข้อความตามประกาศ พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนหยุดชะงัก ทว่าหลังจากนั้นไม่นานทั้งสีหน้า แววตา และความรู้สึกของแต่ละคนกลับแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดก็มีคนลากเจ้าจีชางลงไปเสียที สะใจจริง ๆ !”
ณ โรงฝึกการต่อสู้ของโรงเรียน บุรุษกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนกว่าสิบคนเข้ามารวมตัวกันเพื่อทำการฝึกฝน
ซึ่งในระหว่างการปรึกษาหารือและวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อันเข้มข้นอยู่นั้น ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงที่น่ายินดีดังก้องขึ้น
“พี่ฉานในที่สุดก็มีคนถีบเจ้าจีชางนั่นตกจากอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งเสียที”
บุรุษผู้หนึ่งยิ้มร่าขณะเดินเข้าไปหาบุรุษที่เขาเรียกขานเป็นพี่ชาย ก่อนเอ่ยปากเสียงรื่นรมย์
“ช่างเถอะ อย่างไรเดือนหน้าข้าก็จะออกจากทำเนียบดาวรุ่งและเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนแล้ว”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ฉานนั้น มีนามว่า–หลิวฉาน เขาเป็นผู้รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของทำเนียบดาวรุ่ง เขาเข้าเรียนรุ่นเดียวกับฉินอี้เพ่ยและเป็นรุ่นพี่ฉินอวี้โม่กับเหล่าสหายของนางเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ระดับพลังของหลิวฉานในตอนนี้คือจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาเก้าดารา
ที่ผ่านมาบุรุษตระกูลหลิวเคยมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งมาจากจีชางให้ได้ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้อันดับหนึ่งไปครองและเขี่ยจีชางผู้นั้นลงมาได้ เขาก็ค่อนข้างรู้สึกยินดี อย่างไรก็ตามเมื่อรายชื่อในอันดับหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับที่เหลือก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เวลานี้หลิวฉานนับว่าตกไปอยู่ในอันดับที่สาม ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทน ที่เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่แต่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหน้าใหม่เท่านั้น แต่ก็เพื่อผลประโยชน์ที่จะเพิ่มมากขึ้นกับตัวเองด้วย
“ฉินอวี้โม่น่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ เพิ่งจะมาถึงก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งแล้ว น้องใหม่ผู้นี้คงจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวทีเดียว”
คนผู้หนึ่งในกลุ่มบุรุษแห่งโรงฝึกการต่อสู้เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง ‘…นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เด็กเข้าใหม่ในวันแรกสามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ในทันที ดูเหมือนว่านักเรียนรุ่นใหม่ของปีนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว’
“จะแข็งแกร่งหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ข้าสงสัยว่าสตรีน้องใหม่ผู้นั้นจะรู้หรือไม่ว่าการทำให้อันดับของจีชางตกลงไปจะนำพาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตัวเอง หากว่านางรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วแต่ยังกล้าทำ ข้าจะขอจดจำชื่อฉินอวี้โม่เอาไว้และขอชื่นชมแม่นางผู้นั้นจากใจ”
บุรุษอีกคนเอ่ยคำคล้ายสรรเสิญด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อน เขากำลังนึกดีใจที่มีผู้ทำให้จีชางลงจากตำแหน่งที่หนึ่งได้ ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกหวาดหวั่นแทนสาวน้อยนักเรียนใหม่ผู้นั้นไม่ได้
“ว่าแต่ในนี้มีใครเคยเห็นฉินอวี้โม่บ้าง ?”
ผู้เป็นสมาชิกอีกคนในกลุ่มเปิดปากถามอย่างกระตือรือร้น
ทว่าสหายของเขาเกือบทั้งหมดในโรงฝึกกลับส่ายศีรษะ ช่วงนี้พวกเขาฝึกฝนกันอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาจะออกไปไหน แม้แต่เรื่องนักเรียนเข้าใหม่ที่มาถึงแล้วในวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าแม้แต่คนเดียว
“เฮ้ จริงสิ หลี่ซื่อเหมือนว่าเจ้าจะไปแอบดูรุ่นน้องหน้าใหม่มาแล้วนี่ เจ้าได้เห็นฉินอวี้โม่ผู้นั้นบ้างรึยัง ?”
บุรุษผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่สหายของเขาทำ จึงรีบถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้าไปดูก็จริง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าคนไหนคือฉินอวี้โม่ แต่บอกเลยว่าเด็กใหม่ปีนี้น่ากลัวมาก”
บุรุษผู้มีนามว่าหลี่ซื่อกล่าวตอบก่อนจะขยายความต่อ “จะว่าไปข้าก็เห็นอยู่คนหนึ่ง เป็นสตรีงดงามมาก เพียงแค่มองดูจากที่ไกล ๆ ก็รู้เลยว่าไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกลับจากร่างกายของนาง แล้วข้าก็มั่นใจถึงแปดส่วนเลยว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นฉินอวี้โม่ที่ถูกประกาศชื่ออย่างแน่นอน”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่หลี่ซื่อเล่า ดวงตาของศิษย์ทั้งหลายในโรงฝึกก็เปล่งประกายวิบวับ พวกเขาหลายคนเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว
“อย่ามัวแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเลยน่า เราจัดการเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่า”
หลิวฉานเอ่ยปากเตือนเสียงทุ้มต่ำเพื่อเรียกให้เหล่าสหายหันกลับมาสนใจการฝึกฝนตรงหน้า อย่างไรก็ตามเวลานี้ความสนใจใคร่รู้เรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ในใจของเขาเองก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสตรีที่เป็นเพียงนักเรียนเข้าใหม่วันแรกจะเก่งกาจและโดดเด่นจนสามารถชิงตำแหน่งที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาจากจอมวายร้ายอย่างจีชางได้
…
ภายในหอพักสตรี นักเรียนหญิงหลายคนกำลังนั่งรวมกลุ่มกัน ยิ่งพวกนางได้พูดคุยกันมากเท่าไหร่ บทสนทนาก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้น และเสียงหวานเล็กแหลมตามแบบอิสตรีก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนักเรียนหญิงเหล่านั้น มีหญิงสาวผู้มีภาพลักษณ์ดูสุภาพ ทว่ากลับเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาผู้หนึ่งรวมอยู่ด้วย
“พี่เพ่ยหลง คนที่มีนามว่าฉินอวี้โม่ก็คือสาวน้อยที่งดงามที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ของปีนี้คนนั้นไง”
ไม่ว่าจะโลกไหน ๆ เมื่อขึ้นชื่อว่าสตรีก็ย่อมชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นธรรมดา ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะเข้ามาในโรงเรียนราชสำนักได้ยังไม่ถึงครึ่งวัน แต่ข่าวคราวของนางกลับเป็นที่โจษขานกันไปทั่วเสียแล้ว เรื่องของคุณหนูสี่ตระกูลฉินแพร่สะพัดไปภายในหมู่นักเรียนหญิงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายลมพัด
“โอ้ เป็นนางนั่นเอง ข้าก็รู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”
สตรีผู้มีนามว่าเพ่ยหลงพยักหน้าหงึกหงักพลางหวนนึกถึงใบหน้านวลที่นางได้เห็นเมื่อช่วงสายของวันนี้ แม้แต่นางที่เป็นสตรีก็ยังต้องนึกทึ่งในความงามและพรสวรรค์ของรุ่นน้องสาวผู้นั้น
“พี่เพ่ยหลง ฉินอวี้โม่ชิงอันดับที่หนึ่งไปจากจีชางเช่นนั้น จะไม่เกิดปัญหาอะไรกับตัวนางหรอกหรือ ?”
หญิงสาวผู้ตั้งคำถามมีร่องรอยแห่งความกังวลปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน
จีชางผู้นั้นครอบครองตำแหน่งที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งติดต่อกันมาถึงสามปี แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะไม่มีสิทธิ์อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งแล้วก็ตาม แต่ทว่าด้วยนิสัยของเขา คนผู้นั้นก็ย่อมต้องอยากเป็นที่หนึ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ยินยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงไป และแน่นอนว่าคนที่รู้จักเขาดีก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าหาญมากพอจะทำเช่นนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ที่เพิ่งเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่ถึงหนึ่งวันจะสามารถคว้าเอาที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปได้เช่นนี้ นี่นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยสำหรับศิษย์จำนวนมากในโรงเรียนราชสำนัก ทว่าในความแข็งแกร่งอันโดดเด่นของนักเรียนใหม่ผู้นั้นกลับแฝงความโชคร้ายเอาไว้ส่วนหนึ่งเพราะคนอย่างจีชางจะต้องไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ นี่ถือเป็นประเด็นร้อนที่น่าจับตามองอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
“ฮ่า ๆ ๆ ตอนที่ข้าเห็นฉินอวี้โม่ ข้าก็ไม่คิดว่านางจะเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ อยู่แล้ว เจ้ารอดูต่อไปเถอะ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไปโรงเรียนของเราคงจะได้ครึกครื้นมากขึ้นกว่านี้แน่”
เพ่ยหลงยิ้ม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้และนึกสนุก นางเองก็กำลังรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
….
— ปัง ! —
“บัดซบ ! ฉินอวี้โม่เป็นใครกัน ? กล้าดียังไงถึงแย่งอันดับหนึ่งของข้าไป เข้ามาถึงโรงเรียนราชสำนักแล้วแต่กลับไม่รู้จักตัวตนของข้าเลยอย่างนั้นรึ ?”
บุรุษผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประกาศ เขาตบโต๊ะเสียงดังพลางตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล เขาก็คือ–จีชางผู้ที่เคยเป็นที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งของโรงเรียนราชสำนัก ว่ากันว่าเวลานี้เขาอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราและใกล้จะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเต็มทีแล้ว
“พี่ชางจะห่วงไปทำไมกัน ข้าว่าพี่แข็งแกร่งพอจะติดหนึ่งในห้าของทำเนียบพสุธาเลยนะ แค่ทำเนียบดาวรุ่งไม่คู่ควรกับความสามารถของพี่ชางหรอก”
บุรุษที่อยู่ข้างกายเขารีบกล่าวขึ้นมาอย่างเอาอกเอาใจ
“เจ้าโง่ อันดับห้าของทำเนียบพสุธากับอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่ง มันก็ได้จำนวนหินมายาเท่า ๆ กัน ความต่างมันอยู่ที่ตัวเลขบอกอันดับโว้ย ผู้ครองอันดับหนึ่งย่อมเป็นหนึ่ง อันดับห้าที่มีคนอยู่เหนือกว่าตั้งมากมายจะไปสู้ได้ยังไง !”
จีชางโกรธมาก สามปีมานี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าชิง ‘ตำแหน่งผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง’ ไปจากเขามาก่อน ทว่าตอนนี้กลับมีคนขวัญกล้าทำเช่นนั้น นี่เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ
“ไป ! ข้าจะไปดูหน้าฉินอวี้โม่ผู้นั้น ข้าอยากจะเห็นนักว่านางเป็นคนโอหังเพียงใดถึงได้กล้าหยามข้าแบบนี้ !”
กล่าวจบ จีชางก็พาพรรคพวกมุ่งตรงไปยังหอพักของนักเรียนใหม่ด้วยความเกรี้ยวกราด
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และเหล่าสหายไม่ทราบเลยว่าจีชางกำลังจะทำสิ่งใด เมื่อเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เห็นฉินอวี้โม่ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง พวกเขาทั้งหมดก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง คนทั้งหมดค้างอยู่ในท่านั้นเนิ่นนานคล้ายยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
“แบบนี้แย่แน่ ๆ”
จู่ ๆ ฉินอี้เพ่ยก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ นางโพล่งวาจาออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ประสบความสำเร็จ โดยปกติแล้วตัวนางผู้เป็นพี่สาวก็ควรจะดีใจจึงจะถูก อย่างไรก็ตามฉินอี้เพ่ยก็ไม่คิดมาก่อนว่าฉินอวี้โม่จะขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งได้ในทันทีเช่นนี้ หากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกนางก็คงจะรีบหยุดน้องสาวของตนเอาไว้
เมื่อได้เห็นฉินอี้เพ่ยมีอาการผิดแปลก ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองใบหน้าของญาติผู้พี่ตรง ๆ แล้วเอ่ยถาม “พี่สามเป็นอะไรรึเปล่า ?”
“เจ้าเห็นใช่ไหมว่า ตอนนี้บนรายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งไม่มีชื่อของจีชาง ?”
ฉินอี้เพ่ยเข้าไปใกล้รายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งและไล่สายตาดูอย่างละเอียด นางพบว่าหลิวฉานยังคงอยู่ในอันดับที่สอง ขณะเดียวกันรายชื่อในอันดับถัด ๆ มาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนรายชื่อในทำเนียบนี้มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นคือชื่อของฉินอวี้โม่ถูกเติมลงไปในตำแหน่งของอันดับหนึ่ง ส่วนชื่อของจีชางที่ควรจะขยับลงไปอยู่ในอันดับสองกลับหายไป
เมื่อมองไม่เห็นชื่อของจีชางบนทำเนียบดาวรุ่งทุกคนก็ประหลาดใจ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าเกรงว่าเรากำลังจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
ฉินอี้เพ่ยขมวดคิ้วมุ่นขณะมองน้องสาว แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือพี่สาม ?”
ฉินอวี้โม่มองตอบฉินอี้เพ่ยด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นไม่ต่างกัน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจีชางเป็นใคร ?”
ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายส่ายศีรษะโดยพร้อมเพรียง พวกเขาไม่เคยรู้จักผู้ใดที่มีนามว่าจีชางมาก่อน
“จีชางนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือพี่ชายของเขา จีชางมีพี่ชายชื่อจีหย่งซึ่งก็คือผู้ที่อยู่ในอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภา เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับมายาบรรพชนห้าดาราที่แข็งแกร่งมาก”
ฉินอี้เพ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ ทว่าสิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือในบรรดาสหายอวี้โม่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดแสดงอาการตกใจเลยแม้แต่คนเดียว
“แล้วมันยังไงหรือ ? ทำไมอวี้โม่จะต้องเจอปัญหาใหญ่ด้วยล่ะ ?”
เยว่ชิงเฉิงยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก นางจ้องมองฉินอี้เพ่ยอย่างรอคอย คุณหนูช่างหลอมกำลังรอให้สหายสาวรุ่นพี่ไขความกระจ่าง
“พวกเจ้ายังไม่รู้สินะว่าเหตุใดจีชางถึงครองอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาได้ถึงสามปีซ้อน คิดหรือว่าจะไม่มีใครที่แข็งแกร่งมากพอจะชิงที่หนึ่งจากเขาได้จริง ๆ ? แท้จริงแล้วมีหลายคนเลยด้วยซ้ำที่แข็งแกร่งจนขึ้นไปถึงอันดับที่หนึ่งของทำเนียบดวงรุ่งได้ง่าย ๆ แต่พวกเขาทั้งหมดก็เลือกที่จะไม่ทำ”
ฉินอี้เพ่ยเล่าเรื่องที่น่าประหลาดใจออกไป ทว่านักเรียนหน้าใหม่ในกลุ่มสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็ยังส่ายหน้าอย่างงุนงง ราวกับว่ายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่รุ่นพี่ผู้นี้กำลังจะบอกนัก
อย่างไรก็ตาม มีเพียงฉินอวี้โม่ผู้ที่นับว่ามีความทรงจำที่มากกว่าและอยู่ดูโลกมานานกว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือเท่านั้นที่พอจะคาดเดาบางอย่างได้
“นั่นก็เป็นเพราะพี่ชายของจีชางน่ะสิ”
ฉินอี้เพ่ยส่ายศีรษะและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยอธิบาย
…แท้จริงแล้ว จีชางอยู่ในโรงเรียนราชสำนักมาสามปีและอายุก็ถึงยี่สิบปีในปีนี้แล้ว นี่เป็นปีสุดท้ายที่เขาจะอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้ อันที่จริงเขาก็สมควรจะเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนได้แล้ว ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถชิงอันดับหนึ่งในห้าสิบมาได้ไม่ยาก หรืออาจจะชิงตำแหน่งหนึ่งในห้ามาได้เลยเสียด้วยซ้ำ ทว่าบุรุษแซ่จีผู้นี้ก็ยังยึดติดกับตัวเลขอันดับที่หนึ่งอยู่ดี และถึงแม้ว่าการขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบพสุธาจะได้หินมายาเดือนละห้าสิบก้อนเท่ากันแต่เขาก็จะไม่ยอมสูญเสียตัวเลขอันดับที่หนึ่งอันสวยหรูไป
อีกทั้งการชิงอันดับห้าของทำเนียบพสุธาในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากว่าเกิดพลาดขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขาลดจำนวนหินมายาที่ควรจะได้รับลงไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ชีจางไม่คิดจะปล่อยมือจากตำแหน่งผู้เป็นที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่ง
ตามกฎของโรงเรียนราชสำนักหากว่าไม่มีผู้แข็งแกร่งกว่าเข้ามาท้าชิงอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชาง เขาก็จะครองตำแหน่งที่หนึ่งนั้นไปตลอดและทางโรงเรียนก็จะไม่มีการเข้าไปแทรกแซง สุดท้ายทุกคนก็จะต้องรอจนกว่าตัวเขาจะล้ำข้อกำหนดอายุไม่เกินยี่สิบปีของทำเนียบนี้ไปเอง
จีชางนั้นนับว่าค่อนข้างดีเด่นด้านการคำนวณ หากว่ายังไม่มั่นใจว่าจะคว้าอันดับดี ๆ ในทำเนียบพสุธาที่ซึ่งจะให้หินมายามากกว่าที่เป็นอยู่ได้ เขาก็จะไม่ยอมเสียตำแหน่งไป แต่ที่สำคัญคือคนผู้นี้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงและอิทธิพลของพี่ชายในการข่มขวัญเหล่านักเรียนหน้าใหม่เพื่อไม่ให้มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากเขา
ขณะที่พี่ชายของจีชางผู้มีนามว่าจีหย่งนั้น ถึงแม้จะเป็นถึงผู้อยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา ทว่าก็เป็นบุรุษที่มีนิสัยค่อนข้างย่ำแย่ ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของคนผู้นี้คือ เขาให้ท้ายน้องชายมากเกินไป ขอเพียงจีชางต้องการจะสั่งสอนใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำสิ่งใดผิด หรือแม้ว่าจีชางจะเป็นฝ่ายที่ผิดเอง แต่จีหย่งก็จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล และนั่นก็เป็นสาเหตุว่า เหตุใดสามปีที่ผ่านมาจึงไม่มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง
อันที่จริงนี่ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทางโรงเรียนปล่อยปละละเลย นักเรียนหลายคนไม่ใคร่พอใจกับเรื่องนี้นักเพราะมันทำให้นักเรียนที่มีความสามารถไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนออกมาได้ แต่ก็ด้วยเพราะเกรงกลัวอิทธิพลอันโหดเหี้ยมจึงไม่มีนักเรียนคนใดกล้าร้องเรียน
ทว่าเวลานี้ จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นและฉวยคว้าเอาอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชางอย่างกะทันหัน แน่นอนว่านี่จะต้องทำให้จีชางโกรธเคืองมากเป็นแน่ และแน่นอนอีกเช่นกันว่าเขาจะต้องตามมาเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่
ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ จีชางผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง อย่างไรก็ตามหากเป็นจีหย่งพี่ชายมาด้วยตัวเอง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้อันแสนโชกโชน ตัวนางที่อยู่เพียงระดับนี้จึงแทบจะเรียกว่าอ่อนหัดก็ว่าได้…
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของฉินอี้เพ่ย เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็หันมองหน้ากันก่อนจะ…หัวเราะออกมา
พวกเขาก็ลุ้นอยู่ว่าฉินอีเพ่ยจะเป็นกังวลสิ่งใดอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพียงเรื่องนี้ เพราะสำหรับพวกเขาทั้งหมดในเรื่องนี้ไม่ได้น่าเก็บมาขบคิดเสียด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสองแห่งอารามที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว และคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ไม่ได้เป็นรองแม้แต่น้อย อีกทั้งในท้ายที่สุดนางยังเอาชนะเขามาได้ กับเพียงแค่ยอดฝีมือมายาบรรพชนห้าดารารุ่นเยาว์ สหายของพวกนางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดเลย
ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา อดีตนักฆ่าสาวเองก็ไม่ได้กังวลจริง ๆ อีกฝ่ายเป็นเพียงอันธพาลที่พึ่งพาแต่พลังของพี่ชาย เป็นมนุษย์ที่คอยแต่หลบอยู่หลังผู้อื่นเท่านั้น
จริงอยู่ว่าหากไม่มีเรื่องในดินแดนต้องห้ามเกิดขึ้นมาก่อน ฉินอวี้โม่ก็อาจจะเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ลองประมือกับยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนที่เป็นถึงระดับอาวุโสอย่างลิ่วรุ่ยมาแล้ว ต่อให้จีหย่งมาด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะเอาชนะได้ แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้นึกกลัว
ฉินอี้เพ่ยกล่าวเรื่องใหญ่ที่นางเป็นกังวลจนร้อนใจมากออกไป ทว่าทุกคนกลับดูสบาย ๆ ราวกับฟังนางเล่าเรื่องชามข้าวในครัว นี่ทำให้คุณหนูสามตระกูลฉินอดประหลาดใจไม่ได้ จนเวลานี้คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นผูกกันยุ่งขึ้นไปอีก ‘…นั่นคือจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราเชียวนะ คนพวกนี้ไม่รู้จักกลัวกันเลยหรือไง !’
“คุณหนูสามอย่างกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”
เสี่ยวโร่วเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มปลอบประโลม
ถ้าฉินอี้เพ่ยทราบว่าฉินอวี้โม้เพิ่งจะสังหารยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับอาราม นางก็คงจะเข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวของนางจึงไม่กลัว
“พี่สามวางใจได้เลย ถ้าจีชางต้องการมาหาเรื่องข้าก็ให้เขาเข้ามาได้เลย หรือต่อให้จีหย่งมาเองข้าก็ไม่กลัว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมั่นใจแล้วกล่าว
ทว่าฉินอี้เพ่ยก็ยังกังวลและงุนงงเช่นเดิม เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้นางวางใจง่าย ๆ ได้อย่างไร แต่ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่อยากอธิบายมากกว่านี้ นางก็จะไม่ถามให้มากความ
คุณหนูสามตระกูลฉินปัดความกังวลทิ้งไปก่อนจะจูงมือน้องสาวเดินไปยังสถานที่สำหรับรับประทานอาหาร
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
“–ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง ทำเนียบดาวรุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ! ยินดีกับฉินอวี้โม่ที่ได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง–”
เสียงประกาศมายาดังขึ้นสามครั้งติดต่อกัน เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งพื้นที่อันกว้างใหญ่ของโรงเรียนราชสำนัก เมื่อฟังดูแล้วนี่คงจะเป็นประกาศจากทางโรงเรียนอย่างแน่นอน
เหล่าศิษย์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ภายในโรงเรียนแห่งนี้ได้ยินเสียงประกาศอย่างชัดเจน ซึ่งในทันทีที่รับรู้ข้อความตามประกาศ พวกเขาทั้งหมดก็ล้วนหยุดชะงัก ทว่าหลังจากนั้นไม่นานทั้งสีหน้า แววตา และความรู้สึกของแต่ละคนกลับแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดก็มีคนลากเจ้าจีชางลงไปเสียที สะใจจริง ๆ !”
ณ โรงฝึกการต่อสู้ของโรงเรียน บุรุษกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนกว่าสิบคนเข้ามารวมตัวกันเพื่อทำการฝึกฝน
ซึ่งในระหว่างการปรึกษาหารือและวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อันเข้มข้นอยู่นั้น ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงที่น่ายินดีดังก้องขึ้น
“พี่ฉานในที่สุดก็มีคนถีบเจ้าจีชางนั่นตกจากอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งเสียที”
บุรุษผู้หนึ่งยิ้มร่าขณะเดินเข้าไปหาบุรุษที่เขาเรียกขานเป็นพี่ชาย ก่อนเอ่ยปากเสียงรื่นรมย์
“ช่างเถอะ อย่างไรเดือนหน้าข้าก็จะออกจากทำเนียบดาวรุ่งและเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนแล้ว”
บุรุษที่ถูกเรียกว่าพี่ฉานนั้น มีนามว่า–หลิวฉาน เขาเป็นผู้รั้งตำแหน่งอันดับที่สองของทำเนียบดาวรุ่ง เขาเข้าเรียนรุ่นเดียวกับฉินอี้เพ่ยและเป็นรุ่นพี่ฉินอวี้โม่กับเหล่าสหายของนางเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น ระดับพลังของหลิวฉานในตอนนี้คือจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาเก้าดารา
ที่ผ่านมาบุรุษตระกูลหลิวเคยมุ่งมั่นที่จะแย่งชิงตำแหน่งที่หนึ่งมาจากจีชางให้ได้ ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่ามีผู้ได้อันดับหนึ่งไปครองและเขี่ยจีชางผู้นั้นลงมาได้ เขาก็ค่อนข้างรู้สึกยินดี อย่างไรก็ตามเมื่อรายชื่อในอันดับหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับที่เหลือก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย เวลานี้หลิวฉานนับว่าตกไปอยู่ในอันดับที่สาม ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทน ที่เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่แต่เพียงเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนหน้าใหม่เท่านั้น แต่ก็เพื่อผลประโยชน์ที่จะเพิ่มมากขึ้นกับตัวเองด้วย
“ฉินอวี้โม่น่าจะเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ เพิ่งจะมาถึงก็ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่งแล้ว น้องใหม่ผู้นี้คงจะแข็งแกร่งจนน่ากลัวทีเดียว”
คนผู้หนึ่งในกลุ่มบุรุษแห่งโรงฝึกการต่อสู้เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง ‘…นี่ถือเป็นครั้งแรกเลยที่เด็กเข้าใหม่ในวันแรกสามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งได้ในทันที ดูเหมือนว่านักเรียนรุ่นใหม่ของปีนี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว’
“จะแข็งแกร่งหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ข้าสงสัยว่าสตรีน้องใหม่ผู้นั้นจะรู้หรือไม่ว่าการทำให้อันดับของจีชางตกลงไปจะนำพาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตัวเอง หากว่านางรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วแต่ยังกล้าทำ ข้าจะขอจดจำชื่อฉินอวี้โม่เอาไว้และขอชื่นชมแม่นางผู้นั้นจากใจ”
บุรุษอีกคนเอ่ยคำคล้ายสรรเสิญด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อน เขากำลังนึกดีใจที่มีผู้ทำให้จีชางลงจากตำแหน่งที่หนึ่งได้ ขณะเดียวกันก็อดรู้สึกหวาดหวั่นแทนสาวน้อยนักเรียนใหม่ผู้นั้นไม่ได้
“ว่าแต่ในนี้มีใครเคยเห็นฉินอวี้โม่บ้าง ?”
ผู้เป็นสมาชิกอีกคนในกลุ่มเปิดปากถามอย่างกระตือรือร้น
ทว่าสหายของเขาเกือบทั้งหมดในโรงฝึกกลับส่ายศีรษะ ช่วงนี้พวกเขาฝึกฝนกันอย่างหนักจนแทบไม่มีเวลาจะออกไปไหน แม้แต่เรื่องนักเรียนเข้าใหม่ที่มาถึงแล้วในวันนี้ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้เห็นหน้าแม้แต่คนเดียว
“เฮ้ จริงสิ หลี่ซื่อเหมือนว่าเจ้าจะไปแอบดูรุ่นน้องหน้าใหม่มาแล้วนี่ เจ้าได้เห็นฉินอวี้โม่ผู้นั้นบ้างรึยัง ?”
บุรุษผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่สหายของเขาทำ จึงรีบถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้าไปดูก็จริง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าคนไหนคือฉินอวี้โม่ แต่บอกเลยว่าเด็กใหม่ปีนี้น่ากลัวมาก”
บุรุษผู้มีนามว่าหลี่ซื่อกล่าวตอบก่อนจะขยายความต่อ “จะว่าไปข้าก็เห็นอยู่คนหนึ่ง เป็นสตรีงดงามมาก เพียงแค่มองดูจากที่ไกล ๆ ก็รู้เลยว่าไม่ธรรมดา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังที่ลึกลับจากร่างกายของนาง แล้วข้าก็มั่นใจถึงแปดส่วนเลยว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นฉินอวี้โม่ที่ถูกประกาศชื่ออย่างแน่นอน”
หลังจากได้ฟังสิ่งที่หลี่ซื่อเล่า ดวงตาของศิษย์ทั้งหลายในโรงฝึกก็เปล่งประกายวิบวับ พวกเขาหลายคนเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว
“อย่ามัวแต่ยุ่งเรื่องของคนอื่นเลยน่า เราจัดการเรื่องของตัวเองก่อนดีกว่า”
หลิวฉานเอ่ยปากเตือนเสียงทุ้มต่ำเพื่อเรียกให้เหล่าสหายหันกลับมาสนใจการฝึกฝนตรงหน้า อย่างไรก็ตามเวลานี้ความสนใจใคร่รู้เรื่องเกี่ยวกับสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ในใจของเขาเองก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าสตรีที่เป็นเพียงนักเรียนเข้าใหม่วันแรกจะเก่งกาจและโดดเด่นจนสามารถชิงตำแหน่งที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาจากจอมวายร้ายอย่างจีชางได้
…
ภายในหอพักสตรี นักเรียนหญิงหลายคนกำลังนั่งรวมกลุ่มกัน ยิ่งพวกนางได้พูดคุยกันมากเท่าไหร่ บทสนทนาก็ยิ่งสนุกสนานมากขึ้น และเสียงหวานเล็กแหลมตามแบบอิสตรีก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในนักเรียนหญิงเหล่านั้น มีหญิงสาวผู้มีภาพลักษณ์ดูสุภาพ ทว่ากลับเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมาผู้หนึ่งรวมอยู่ด้วย
“พี่เพ่ยหลง คนที่มีนามว่าฉินอวี้โม่ก็คือสาวน้อยที่งดงามที่สุดในบรรดานักเรียนใหม่ของปีนี้คนนั้นไง”
ไม่ว่าจะโลกไหน ๆ เมื่อขึ้นชื่อว่าสตรีก็ย่อมชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นธรรมดา ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะเข้ามาในโรงเรียนราชสำนักได้ยังไม่ถึงครึ่งวัน แต่ข่าวคราวของนางกลับเป็นที่โจษขานกันไปทั่วเสียแล้ว เรื่องของคุณหนูสี่ตระกูลฉินแพร่สะพัดไปภายในหมู่นักเรียนหญิงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสายลมพัด
“โอ้ เป็นนางนั่นเอง ข้าก็รู้ว่านางไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้”
สตรีผู้มีนามว่าเพ่ยหลงพยักหน้าหงึกหงักพลางหวนนึกถึงใบหน้านวลที่นางได้เห็นเมื่อช่วงสายของวันนี้ แม้แต่นางที่เป็นสตรีก็ยังต้องนึกทึ่งในความงามและพรสวรรค์ของรุ่นน้องสาวผู้นั้น
“พี่เพ่ยหลง ฉินอวี้โม่ชิงอันดับที่หนึ่งไปจากจีชางเช่นนั้น จะไม่เกิดปัญหาอะไรกับตัวนางหรอกหรือ ?”
หญิงสาวผู้ตั้งคำถามมีร่องรอยแห่งความกังวลปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน
จีชางผู้นั้นครอบครองตำแหน่งที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งติดต่อกันมาถึงสามปี แม้ว่าอีกไม่นานเขาจะไม่มีสิทธิ์อยู่ในทำเนียบดาวรุ่งแล้วก็ตาม แต่ทว่าด้วยนิสัยของเขา คนผู้นั้นก็ย่อมต้องอยากเป็นที่หนึ่งให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่ยินยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งชิงไป และแน่นอนว่าคนที่รู้จักเขาดีก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าหาญมากพอจะทำเช่นนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ที่เพิ่งเข้ามาในโรงเรียนได้ไม่ถึงหนึ่งวันจะสามารถคว้าเอาที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปได้เช่นนี้ นี่นับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อยสำหรับศิษย์จำนวนมากในโรงเรียนราชสำนัก ทว่าในความแข็งแกร่งอันโดดเด่นของนักเรียนใหม่ผู้นั้นกลับแฝงความโชคร้ายเอาไว้ส่วนหนึ่งเพราะคนอย่างจีชางจะต้องไม่ยอมอยู่เฉยเป็นแน่ นี่ถือเป็นประเด็นร้อนที่น่าจับตามองอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
“ฮ่า ๆ ๆ ตอนที่ข้าเห็นฉินอวี้โม่ ข้าก็ไม่คิดว่านางจะเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ อยู่แล้ว เจ้ารอดูต่อไปเถอะ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ไปโรงเรียนของเราคงจะได้ครึกครื้นมากขึ้นกว่านี้แน่”
เพ่ยหลงยิ้ม สีหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้และนึกสนุก นางเองก็กำลังรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
….
— ปัง ! —
“บัดซบ ! ฉินอวี้โม่เป็นใครกัน ? กล้าดียังไงถึงแย่งอันดับหนึ่งของข้าไป เข้ามาถึงโรงเรียนราชสำนักแล้วแต่กลับไม่รู้จักตัวตนของข้าเลยอย่างนั้นรึ ?”
บุรุษผู้หนึ่งลุกพรวดขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงประกาศ เขาตบโต๊ะเสียงดังพลางตะโกนลั่นด้วยความเดือดดาล เขาก็คือ–จีชางผู้ที่เคยเป็นที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งของโรงเรียนราชสำนัก ว่ากันว่าเวลานี้เขาอยู่ในขอบเขตนภมายาเก้าดาราและใกล้จะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตมายาบรรพชนเต็มทีแล้ว
“พี่ชางจะห่วงไปทำไมกัน ข้าว่าพี่แข็งแกร่งพอจะติดหนึ่งในห้าของทำเนียบพสุธาเลยนะ แค่ทำเนียบดาวรุ่งไม่คู่ควรกับความสามารถของพี่ชางหรอก”
บุรุษที่อยู่ข้างกายเขารีบกล่าวขึ้นมาอย่างเอาอกเอาใจ
“เจ้าโง่ อันดับห้าของทำเนียบพสุธากับอันดับหนึ่งของทำเนียบดาวรุ่ง มันก็ได้จำนวนหินมายาเท่า ๆ กัน ความต่างมันอยู่ที่ตัวเลขบอกอันดับโว้ย ผู้ครองอันดับหนึ่งย่อมเป็นหนึ่ง อันดับห้าที่มีคนอยู่เหนือกว่าตั้งมากมายจะไปสู้ได้ยังไง !”
จีชางโกรธมาก สามปีมานี้ไม่เคยมีผู้ใดกล้าชิง ‘ตำแหน่งผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง’ ไปจากเขามาก่อน ทว่าตอนนี้กลับมีคนขวัญกล้าทำเช่นนั้น นี่เท่ากับรนหาที่ตายชัด ๆ
“ไป ! ข้าจะไปดูหน้าฉินอวี้โม่ผู้นั้น ข้าอยากจะเห็นนักว่านางเป็นคนโอหังเพียงใดถึงได้กล้าหยามข้าแบบนี้ !”
กล่าวจบ จีชางก็พาพรรคพวกมุ่งตรงไปยังหอพักของนักเรียนใหม่ด้วยความเกรี้ยวกราด
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และเหล่าสหายไม่ทราบเลยว่าจีชางกำลังจะทำสิ่งใด เมื่อเยว่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เห็นฉินอวี้โม่ได้ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง พวกเขาทั้งหมดก็ได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง คนทั้งหมดค้างอยู่ในท่านั้นเนิ่นนานคล้ายยังเรียกสติกลับมาไม่ได้
“แบบนี้แย่แน่ ๆ”
จู่ ๆ ฉินอี้เพ่ยก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ นางโพล่งวาจาออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ประสบความสำเร็จ โดยปกติแล้วตัวนางผู้เป็นพี่สาวก็ควรจะดีใจจึงจะถูก อย่างไรก็ตามฉินอี้เพ่ยก็ไม่คิดมาก่อนว่าฉินอวี้โม่จะขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งได้ในทันทีเช่นนี้ หากว่ารู้เช่นนี้ตั้งแต่แรกนางก็คงจะรีบหยุดน้องสาวของตนเอาไว้
เมื่อได้เห็นฉินอี้เพ่ยมีอาการผิดแปลก ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองใบหน้าของญาติผู้พี่ตรง ๆ แล้วเอ่ยถาม “พี่สามเป็นอะไรรึเปล่า ?”
“เจ้าเห็นใช่ไหมว่า ตอนนี้บนรายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งไม่มีชื่อของจีชาง ?”
ฉินอี้เพ่ยเข้าไปใกล้รายชื่อของทำเนียบดาวรุ่งและไล่สายตาดูอย่างละเอียด นางพบว่าหลิวฉานยังคงอยู่ในอันดับที่สอง ขณะเดียวกันรายชื่อในอันดับถัด ๆ มาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนรายชื่อในทำเนียบนี้มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นคือชื่อของฉินอวี้โม่ถูกเติมลงไปในตำแหน่งของอันดับหนึ่ง ส่วนชื่อของจีชางที่ควรจะขยับลงไปอยู่ในอันดับสองกลับหายไป
เมื่อมองไม่เห็นชื่อของจีชางบนทำเนียบดาวรุ่งทุกคนก็ประหลาดใจ
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าเกรงว่าเรากำลังจะเจอปัญหาใหญ่แล้ว”
ฉินอี้เพ่ยขมวดคิ้วมุ่นขณะมองน้องสาว แววตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือพี่สาม ?”
ฉินอวี้โม่มองตอบฉินอี้เพ่ยด้วยคิ้วที่ขมวดแน่นไม่ต่างกัน
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าจีชางเป็นใคร ?”
ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายส่ายศีรษะโดยพร้อมเพรียง พวกเขาไม่เคยรู้จักผู้ใดที่มีนามว่าจีชางมาก่อน
“จีชางนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่ที่เป็นปัญหาก็คือพี่ชายของเขา จีชางมีพี่ชายชื่อจีหย่งซึ่งก็คือผู้ที่อยู่ในอันดับที่สามแห่งทำเนียบนภา เขาเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับมายาบรรพชนห้าดาราที่แข็งแกร่งมาก”
ฉินอี้เพ่ยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ ทว่าสิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือในบรรดาสหายอวี้โม่ทั้งหมดไม่มีผู้ใดแสดงอาการตกใจเลยแม้แต่คนเดียว
“แล้วมันยังไงหรือ ? ทำไมอวี้โม่จะต้องเจอปัญหาใหญ่ด้วยล่ะ ?”
เยว่ชิงเฉิงยังไม่ค่อยจะเข้าใจนัก นางจ้องมองฉินอี้เพ่ยอย่างรอคอย คุณหนูช่างหลอมกำลังรอให้สหายสาวรุ่นพี่ไขความกระจ่าง
“พวกเจ้ายังไม่รู้สินะว่าเหตุใดจีชางถึงครองอันดับหนึ่งในทำเนียบดาวรุ่งมาได้ถึงสามปีซ้อน คิดหรือว่าจะไม่มีใครที่แข็งแกร่งมากพอจะชิงที่หนึ่งจากเขาได้จริง ๆ ? แท้จริงแล้วมีหลายคนเลยด้วยซ้ำที่แข็งแกร่งจนขึ้นไปถึงอันดับที่หนึ่งของทำเนียบดวงรุ่งได้ง่าย ๆ แต่พวกเขาทั้งหมดก็เลือกที่จะไม่ทำ”
ฉินอี้เพ่ยเล่าเรื่องที่น่าประหลาดใจออกไป ทว่านักเรียนหน้าใหม่ในกลุ่มสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็ยังส่ายหน้าอย่างงุนงง ราวกับว่ายังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่รุ่นพี่ผู้นี้กำลังจะบอกนัก
อย่างไรก็ตาม มีเพียงฉินอวี้โม่ผู้ที่นับว่ามีความทรงจำที่มากกว่าและอยู่ดูโลกมานานกว่าคนอื่น ๆ ที่เหลือเท่านั้นที่พอจะคาดเดาบางอย่างได้
“นั่นก็เป็นเพราะพี่ชายของจีชางน่ะสิ”
ฉินอี้เพ่ยส่ายศีรษะและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยอธิบาย
…แท้จริงแล้ว จีชางอยู่ในโรงเรียนราชสำนักมาสามปีและอายุก็ถึงยี่สิบปีในปีนี้แล้ว นี่เป็นปีสุดท้ายที่เขาจะอยู่ในทำเนียบดาวรุ่งได้ อันที่จริงเขาก็สมควรจะเข้าไปชิงตำแหน่งในทำเนียบพสุธาแทนได้แล้ว ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเขาก็สามารถชิงอันดับหนึ่งในห้าสิบมาได้ไม่ยาก หรืออาจจะชิงตำแหน่งหนึ่งในห้ามาได้เลยเสียด้วยซ้ำ ทว่าบุรุษแซ่จีผู้นี้ก็ยังยึดติดกับตัวเลขอันดับที่หนึ่งอยู่ดี และถึงแม้ว่าการขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ห้าของทำเนียบพสุธาจะได้หินมายาเดือนละห้าสิบก้อนเท่ากันแต่เขาก็จะไม่ยอมสูญเสียตัวเลขอันดับที่หนึ่งอันสวยหรูไป
อีกทั้งการชิงอันดับห้าของทำเนียบพสุธาในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากว่าเกิดพลาดขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขาลดจำนวนหินมายาที่ควรจะได้รับลงไป ด้วยเหตุนี้ทำให้ชีจางไม่คิดจะปล่อยมือจากตำแหน่งผู้เป็นที่หนึ่งในทำเนียบดาวรุ่ง
ตามกฎของโรงเรียนราชสำนักหากว่าไม่มีผู้แข็งแกร่งกว่าเข้ามาท้าชิงอันดับที่หนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชาง เขาก็จะครองตำแหน่งที่หนึ่งนั้นไปตลอดและทางโรงเรียนก็จะไม่มีการเข้าไปแทรกแซง สุดท้ายทุกคนก็จะต้องรอจนกว่าตัวเขาจะล้ำข้อกำหนดอายุไม่เกินยี่สิบปีของทำเนียบนี้ไปเอง
จีชางนั้นนับว่าค่อนข้างดีเด่นด้านการคำนวณ หากว่ายังไม่มั่นใจว่าจะคว้าอันดับดี ๆ ในทำเนียบพสุธาที่ซึ่งจะให้หินมายามากกว่าที่เป็นอยู่ได้ เขาก็จะไม่ยอมเสียตำแหน่งไป แต่ที่สำคัญคือคนผู้นี้ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงและอิทธิพลของพี่ชายในการข่มขวัญเหล่านักเรียนหน้าใหม่เพื่อไม่ให้มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากเขา
ขณะที่พี่ชายของจีชางผู้มีนามว่าจีหย่งนั้น ถึงแม้จะเป็นถึงผู้อยู่ในอันดับสามของทำเนียบนภา ทว่าก็เป็นบุรุษที่มีนิสัยค่อนข้างย่ำแย่ ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของคนผู้นี้คือ เขาให้ท้ายน้องชายมากเกินไป ขอเพียงจีชางต้องการจะสั่งสอนใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะทำสิ่งใดผิด หรือแม้ว่าจีชางจะเป็นฝ่ายที่ผิดเอง แต่จีหย่งก็จะให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างไม่ลังเล และนั่นก็เป็นสาเหตุว่า เหตุใดสามปีที่ผ่านมาจึงไม่มีผู้ใดกล้าชิงอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่ง
อันที่จริงนี่ถือเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ทางโรงเรียนปล่อยปละละเลย นักเรียนหลายคนไม่ใคร่พอใจกับเรื่องนี้นักเพราะมันทำให้นักเรียนที่มีความสามารถไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนออกมาได้ แต่ก็ด้วยเพราะเกรงกลัวอิทธิพลอันโหดเหี้ยมจึงไม่มีนักเรียนคนใดกล้าร้องเรียน
ทว่าเวลานี้ จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นและฉวยคว้าเอาอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบดาวรุ่งไปจากจีชางอย่างกะทันหัน แน่นอนว่านี่จะต้องทำให้จีชางโกรธเคืองมากเป็นแน่ และแน่นอนอีกเช่นกันว่าเขาจะต้องตามมาเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่
ด้วยความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ จีชางผู้นั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง อย่างไรก็ตามหากเป็นจีหย่งพี่ชายมาด้วยตัวเอง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้อันแสนโชกโชน ตัวนางที่อยู่เพียงระดับนี้จึงแทบจะเรียกว่าอ่อนหัดก็ว่าได้…
เมื่อได้ยินวาจาและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของฉินอี้เพ่ย เยว่ชิงเฉิงและเหล่าสหายอวี้โม่ทั้งหมดก็หันมองหน้ากันก่อนจะ…หัวเราะออกมา
พวกเขาก็ลุ้นอยู่ว่าฉินอีเพ่ยจะเป็นกังวลสิ่งใดอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเพียงเรื่องนี้ เพราะสำหรับพวกเขาทั้งหมดในเรื่องนี้ไม่ได้น่าเก็บมาขบคิดเสียด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสองแห่งอารามที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว และคุณหนูสี่ตระกูลฉินก็ไม่ได้เป็นรองแม้แต่น้อย อีกทั้งในท้ายที่สุดนางยังเอาชนะเขามาได้ กับเพียงแค่ยอดฝีมือมายาบรรพชนห้าดารารุ่นเยาว์ สหายของพวกนางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดเลย
ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา อดีตนักฆ่าสาวเองก็ไม่ได้กังวลจริง ๆ อีกฝ่ายเป็นเพียงอันธพาลที่พึ่งพาแต่พลังของพี่ชาย เป็นมนุษย์ที่คอยแต่หลบอยู่หลังผู้อื่นเท่านั้น
จริงอยู่ว่าหากไม่มีเรื่องในดินแดนต้องห้ามเกิดขึ้นมาก่อน ฉินอวี้โม่ก็อาจจะเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากได้ลองประมือกับยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนที่เป็นถึงระดับอาวุโสอย่างลิ่วรุ่ยมาแล้ว ต่อให้จีหย่งมาด้วยตัวเอง แม้จะไม่ได้มั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะเอาชนะได้ แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้นึกกลัว
ฉินอี้เพ่ยกล่าวเรื่องใหญ่ที่นางเป็นกังวลจนร้อนใจมากออกไป ทว่าทุกคนกลับดูสบาย ๆ ราวกับฟังนางเล่าเรื่องชามข้าวในครัว นี่ทำให้คุณหนูสามตระกูลฉินอดประหลาดใจไม่ได้ จนเวลานี้คิ้วเรียวที่ขมวดมุ่นผูกกันยุ่งขึ้นไปอีก ‘…นั่นคือจอมยุทธ์มายาบรรพชนห้าดาราเชียวนะ คนพวกนี้ไม่รู้จักกลัวกันเลยหรือไง !’
“คุณหนูสามอย่างกังวลไปเลยเจ้าค่ะ เรื่องนี้คงไม่มีปัญหาอะไร”
เสี่ยวโร่วเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มปลอบประโลม
ถ้าฉินอี้เพ่ยทราบว่าฉินอวี้โม้เพิ่งจะสังหารยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนหกดาราไปเมื่อไม่นานมานี้ อีกทั้งยังมีเรื่องบาดหมางกับอาราม นางก็คงจะเข้าใจว่าเหตุใดน้องสาวของนางจึงไม่กลัว
“พี่สามวางใจได้เลย ถ้าจีชางต้องการมาหาเรื่องข้าก็ให้เขาเข้ามาได้เลย หรือต่อให้จีหย่งมาเองข้าก็ไม่กลัว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มมั่นใจแล้วกล่าว
ทว่าฉินอี้เพ่ยก็ยังกังวลและงุนงงเช่นเดิม เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้นางวางใจง่าย ๆ ได้อย่างไร แต่ในเมื่อฉินอวี้โม่ยังไม่อยากอธิบายมากกว่านี้ นางก็จะไม่ถามให้มากความ
คุณหนูสามตระกูลฉินปัดความกังวลทิ้งไปก่อนจะจูงมือน้องสาวเดินไปยังสถานที่สำหรับรับประทานอาหาร
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
หลังจากภายในห้องประชุมลับแห่งตระกูลฉินตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดฉินเทียนตัวปลอมถึงได้เข้ามาสวมรอยเป็นท่านพ่อ รวมถึงเหตุผลของกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาโจมตีพวกเรา”
เมื่อฉินเฟิน ฉินอี้เฟย และฉินหยางได้ยินสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว พวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความสับสน
“พวกเขาน่าจะมาเพราะกายเทพมายา”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไปด้วยรอยยิ้ม
“กายเทพมายา !”
บุรุษต่างวัยสามคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองสาวน้อยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กายเทพมายาคือร่างกายของเทพมายาในตำนาน เพราะสูญหายไปนานนับพันปีแล้ว ในเรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกคนในที่แห่งนี้หรืออาจจะทั่วทั้งนครเคยได้ยินแต่เพียงเรื่องเล่า แล้วคนร้ายเหล่านั้นจะมาโจมตีคนในตระกูลของพวกเขาเพื่อกายเทพมายาใดอีก ?
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้า…”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทว่าความนัยในวาจาของนางนั้นชัดแจ้งจนเขาทำได้เพียงแค่เชื่อเท่านั้น
ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถืออย่างยิ่ง ทว่าหลังจากพิจารณาจากน้ำเสียงแน่วแน่และแววตาจริงจังของฉินอวี้โม่แล้วก็ทำให้พวกเขาอยากเชื่อคำพูดของนาง แม้จะสับสนไม่น้อยแต่บุรุษมากอาวุโสทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากซักไซ้สิ่งใดกับผู้เป็นหลาน พวกเขาจะทำแค่เพียงสนับสนุนนางทุกด้านและรอดูข้อพิสูจน์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่นางบอกเป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะช่วยกันปกปิดความลับนี้
“เอาเถอะเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเฟินก็กล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องของเทียนเอ๋อร์ข้ามั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวอวิ๋นเองข้าก็คิดว่านางไม่น่าจะมีอันตราย ฉะนั้นตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเราค่อย ๆ ค้นหาเบาะแสแล้วตามหาตัวพวกเขา เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางโค้งคำนับคนทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมลับไป
ฉินอวี้โม่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด นางและเสี่ยวโร่วเดินไปยังเรือนที่พักที่ฉินเฟินให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน
ในเรือนพักอันแสนสบาย คุณหนูผู้พลัดพรากและสาวใช้น้อยงีบหลับไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกนางตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของฉินอี้เฟยที่มาบอกให้พวกนางไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าคิดจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”
ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่อย่างรักใคร่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูของนางก็รีบพยักหน้าตามเช่นกัน
เสี่ยวโร่วเป็นเสมือนคนในครอบครัวของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ดังนั้นฉินเฟินจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนและอนุญาตให้สาวน้อยทำตัวตามสบาย
เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่อยู่ด้วยกันมานาน สาวใช้น้อยจึงรู้ความต้องการของคุณหนูดี นางจึงนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน
“เจ้าสองคนอยากให้ข้าไปพูดกับผู้มีอำนาจควบคุมโรงเรียนราชสำนักให้รับพวกเจ้าทั้งสองเข้าเรียนในนามของตระกูลฉินหรือไม่ ?”
แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่ในฐานะของคนเป็นปู่ที่เป็นห่วงลูกหลาน ฉินเฟินก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น
วันนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งนางยังได้ลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินไปบนถนน เรื่องนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางในตระกูลฉินก็อาจจะไม่สามารถปกปิดได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะปิดบังตัวตนของนางเลย หากว่านางใส่ใจเรื่องนี้ นางก็คงจะไม่เลือกมาที่นี่ตั้งแต่แรก
“ท่านปู่ ข้าว่าอย่าดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากจะเข้าไปโดยใช้เส้นสายของตระกูล”
หลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องตัวตนของพวกเรา ข้าอยากให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะได้ไหมเจ้าคะ ? พวกเราไม่ต้องกระจายข่าว ผู้ใดจะคิดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเอง”
ฉินเฟินพยักหน้ารับคำ หลังจากการได้รู้จักกันมา แม้จะยังเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าหลานสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่ แต่เรื่องของความคิดอ่าน การวิเคราะห์เรื่องราว เด็กคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแก่ ๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพวกเขาเลยสักนิด
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข หลังจากอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของตระกูลฉินจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนที่พัก
เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกให้เสี่ยวโร่วแยกไปพักในห้องของนาง ขณะที่คุณหนูผู้ที่เพิ่งจะได้กลับมาในอ้อมกอดของครอบครัวใหญ่ยังคงนั่งครุ่นคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกพักหนึ่ง อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ หรือเป็นเพราะการงีบหลับก่อนมื้อค่ำจึงทำให้สาวงามไม่รู้สึกง่วง
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”
เสียงอันแสนอ่อนโยนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากร่างบางนัก เสียงนุ่มทุ้มนั้นทำลายความเงียบงันภายในห้องไปจนหมด
“โม่ฉือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะมองไปตามทิศทางของเสียง
วันนี้หานโม่ฉือได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาที่ตระกูลฉิน หลังจากจัดการงานและภารกิจทั้งหลายของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็รีบตรงมาที่จวนตระกูลฉินทันที
แท้จริงแล้วในตอนบ่ายหานโม่ฉือก็ลอบเข้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเพราะเห็นสาวน้อยของเขากำลังหลับอย่างเป็นสุข เขาจึงไม่คิดจะรบกวนนางและออกไปเงียบ ๆ เขาแอบซุ่มรออยู่จนกระทั่งนางกลับมาจากทานอาหารค่ำและเข้ามาหานางเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยด้วย
ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ครานั้นที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าเขามีความกังวลบางอย่างอยู่ในหัวใจ
เขาคิดว่าฉินอวี้โม่ต่างจากสตรีทั่วไปมาก หลังจากเกิดเรื่องภายในถ้ำอสรพิษนั้นแล้ว บุรุษเย็นชาก็ครุ่นคิดเรื่องของนางมากขึ้น
ในหลายวันมานี้ แม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตระกูลและงานส่วนตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ทว่าในหัวใจของเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้เลย
หานโม่ฉือสั่งให้คนของเขาคอยรายงานว่ามีสตรีแปลกหน้ารูปโฉมงดงามเดินทางมาที่นครไป๋อวิ๋นหรือไม่ และยังสั่งให้คอยจับตาดูตระกูลฉินเอาไว้ หากว่ามีสตรีเลอโฉมจากต่างถิ่นผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่มาถึงก็ให้รีบแจ้งข่าวในทันที
วันนี้เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอไม่ไหว อยากจะเข้ามาพบนางจนใจจะขาด
ในตอนนี้เองที่บุรุษหัวใจด้านชาผู้ยังไม่เคยมีความรักได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความกังวลในหัวใจของตัวเองในหลายวันมานี้นั้น แท้จริงก็คือความคิดถึง เพราะทันทีที่ได้เห็นหน้านางในดวงใจ หัวใจของเขาก็พองโตและมีความสุขอย่างเหลือล้น
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ข้าก็เลยรีบมาหา”
หานโม่ฉือยิ้มและเดินเข้าไปหาสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ
ไม่ได้เห็นกันมานานกว่าครึ่งปี เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ตัวสูงขึ้นและ… นางก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ครั้งล่าสุดในป่าแสงจันทร์ นางดูผอมบางกว่านี้เล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางดูเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลและดูสุขภาพดีขึ้นมาก ใบหน้านวลหวานซึ้งของนางก็ดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้นด้วย
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม นางลอบสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด
ในครึ่งปีมานี้ หานโม่ฉือดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งนั้นที่พิษเย็นในร่างกายของเขาถูกถอนออกไปจนหมด ทั้งร่างกายใหญ่โตนี้ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนผู้นี้จะไม่เคยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในหัวใจเขากลับยิ้มได้อย่างอ่อนโยนจนฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาทิ้งความเย็นชาออกไป บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นจนอาจจะครองใจสตรีทั่วทั้งนครได้เลยทีเดียว
เมื่อเดินมาถึงตัวเจ้าของหัวใจ หานโม่ฉือก็ดึงร่างบางที่เขาโหยหามาตลอดเข้ามากอดไว้แนบอก
กิริยาเช่นนั้นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปชั่วครู่ คราแรกนางก็เกือบจะดันร่างใหญ่ให้ถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากร่างกายแข็งแกร่งที่กำลังกกกอดนางไว้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี
“ข้าคิดมาตลอดว่ามันน่าขำ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะคิดถึงผู้ใดได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเจ้า”
หานโม่ฉือเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทำให้จิตใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหว
“ก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า ในชีวิตข้าไม่เคยหลงใหล หลงรัก หรือแม้แต่ชื่นชอบสตรีใดมาก่อน และข้าก็คิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีคนใดเป็นแน่ แต่เมื่อได้เจอเจ้า ข้าก็พบว่าสิ่งที่ข้าคิดมาเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”
หานโม่ฉือดันร่างบางของฉินอวี้โม่ออกอย่างเบามือก่อนจะโอบประคองให้นั่งลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน
“ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าต่างจากสตรีคนอื่น มันอาจเป็นเพราะข้าสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังมายา ในตอนนั้นเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก รูปแบบการเคลื่อนก็แปลกประหลาด ในครั้งที่สองที่เจอกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ในตอนนั้นที่ข้าเริ่มรู้สึกสนใจเจ้า วาจาทรงพลังยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกิดความสงสัยว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินไปและยังคิดอคติกับเจ้า ข้าจึงทำเมินเฉย ทว่าหลังจากที่หลินจิ้งหงชวนเจ้าเข้าร่วมภารกิจข้าก็เริ่มรู้ความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่มีต่อเจ้า ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยชอบใจนักและข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนแต่พอได้อยู่ด้วยกัน ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เรื่องนั้นมันทำให้ข้าประหลาดใจมาก และยิ่งเมื่อเจ้าแสดงความองอาจในตอนที่เจ้าพูดกับกลุ่มทหารรับจ้าง ตอนนั้นข้าก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ
แล้วพอถึงตอนที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอสรพิษนั่นมันทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรุนแรงมากจนข้ากลัวว่ามันจะระเบิดออกจากอก แล้วข้าก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าหากข้าสามารถใช้ทั้งชีวิตนี้อยู่กับเจ้าได้ข้าคงจะมีความสุข ยิ่งกว่านั้น… ข้าก็ควรจะรับผิดชอบเจ้า แต่มาตอนนี้ข้าเพิ่งจะ…”
บุรุษเย็นชาพูดน้อยที่วันนี้พูดไม่น้อยเลยหยุดลงครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาที่เคยจับจ้องใบหน้างามลงชั่วขณะก่อนที่หันกลับขึ้นมามองสบตาหวานซึ้งอีกครั้งแล้วพูดต่อ หากฉินอวี้โม่มองไม่ผิด นางเห็นสีแดงจาง ๆ ขึ้นเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าคมคาย “….ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าบางทีข้าอาจจะชอบเจ้ามากมายเพียงใด ในครึ่งปีมานี้ข้าทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าอยู่ทุกวัน ข้ากังวลว่าเมื่อไหร่เจ้าจะมาที่นครไป๋อวิ๋น บางทีก่อนหน้านี้ข้าคงจะยังไม่เข้าใจ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว ข้าว่า… มันอาจจะเป็นความรัก”
เมื่อได้ฟังคำพูดมากมายที่ออกจากปากคนตรงหน้า และได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมของเขา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พูดอะไรไม่ออก
…คนเย็นชาคนนี้… กำลังสารภาพรักกับนาง !…
ถ้อยคำมากมายจากปากคนไม่ค่อยพูดกำลังทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่สั่นไหว เวลานี้ใจดวงน้อยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ในอดีตเธอคือนักฆ่า แม้จะมีผู้ชายสักกี่คนมาสารภาพรัก เธอก็จะปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักครั้ง ความรักกับนักฆ่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง ชีวิตนักฆ่าเต็มไปด้วยอันตราย และความรักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดท้ายคงไม่พ้นมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นสู้ไม่รักให้ต้องเจ็บปวดจะดีกว่า
ทว่าหลังจากที่วิญญาณข้ามภพมายังดินแดนหวนหลิงนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ ที่อยู่ในดินแดนที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่แบบนี้จะมีผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สำหรับโลกมายาที่ความแข็งแกร่งเป็นทุกอย่างแห่งนี้ จุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตนี้มีแค่ เธอ อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องคนที่เธอต้องปกป้องให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องราวภายในถ้ำอสรพิษขึ้นในวันนั้น อดีตสาวนักฆ่าก็ได้รู้ตัวว่า หัวใจของเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เป็นตอนนั้นที่ จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดว่ามันคงจะดีมากหากมีผู้ชายตรงหน้านี้อยู่เคียงข้าง… ผู้ชายที่ชื่อหานโม่ฉือคนนี้
ในตอนที่ช่วยเขาถอนพิษ ฉินอวี้โม่คิดว่าเธอทำไปเพราะอยากช่วยชีวิตเขา เพราะไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เธอไม่ได้ทำเพราะพิศวาสหรือหลงรักเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น… เธอก็ค้นพบว่าที่เธอไม่อยากให้คนเย็นชาของเธอตายไปก็เป็นเพราะเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา และเป็นวินาทีนั้นที่ฉินอวี้โม่ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเริ่มชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะแววตาห่วงกังวลของเขาในตอนที่เธอถูกยูนิคอร์นสีนิลจับตัวไปที่บึงสายหมอก หรือเป็นเพราะความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เธอกำลังจะถูกลิ่วเยว่ทำร้าย หรือเพราะความใจดีลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากากอันเลือดเย็น หรือบางทีอาจจะเป็นความเย็นชาอย่างที่เขาเป็น หรือรอยยิ้มละลายใจที่เธอได้เห็น เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งคนนี้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอ
แท้จริงแล้วการช่วยหานโม่ฉือถอนพิษในครั้งนั้น ใครก็ตามที่รู้จักสาวนักฆ่าฉินอวี้โม่ผู้มาจากในศตวรรษที่ 21 แล้ว จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะยอมช่วยเขาด้วยวิธีแบบนั้น…ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในหัวใจของเธออยู่ก่อน
….เหตุการณ์ในถ้ำอสรพิษเกิดขึ้นเพราะความรักที่ฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่รู้ตัวในตอนนั้นเท่านั้น….
ในครึ่งปีที่ผ่านมา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คิดถึงชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะชอบคิดว่าหานโม่ฉือกำลังทำสิ่งใดอยู่ เขากำลังทำงานของตระกูลอย่างหนักอยู่หรือกำลังจัดการเรื่องส่วนตัว เขาจะได้กินข้าวหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ หรือว่า… เขาจะไปหลงเสน่ห์สาวอยู่ที่ไหน และ… เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า หลังจากวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตัวเองหลงรักหานโม่ฉือ
เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้ ถึงจะเห็นฉินอวี้โม่นิ่งเฉย แต่นั่นก็เพราะนางกำลังแสร้งทำตัวให้สงบ อันที่จริงหัวใจดวงน้อยกำลังสั่นระรัว และนางกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดให้มันสงบลงจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้เลย
“โม่ฉือ ที่จริงข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อว่าข้าจะรักใครได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าเชื่อมาตลอดว่า ถ้าคนสองคนไม่มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน ไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีให้กันและกันได้อย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเจ้า ข้าก็เริ่มเชื่อแล้ว”
ต้องบอกเลยว่า แม้จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวอยู่บ้างเป็นธรรมดา เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก คนที่คิดจะเคียงข้างก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อีก
เมื่อได้ฟังสิ่งที่โฉมงามของเขากล่าว หานโม่ฉือก็บีบกระชับมือบางแน่นขึ้นราวกับต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีในใจไปให้ถึงหัวใจของนาง ในตอนนี้สองดวงใจกำลังใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
แท้จริงแล้ว การตกหลุมรักใครสักคนนั้นง่ายกว่าที่พวกเขาคิด ขอเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นทุกอย่างก็จะไหลไปตามครรลองของมันได้เอง
เป็นเรื่องจริงที่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากสองหนุ่มสาวได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของการได้ชิดใกล้กับบุคคลผู้แสนคะนึงหาอยู่สักพัก ในที่สุดหานโม่ฉือก็ถอนหายใจออกมา
“อวี้โม่ ข้าต้องไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มบางให้
“ไปเถอะ ข้าเข้าใจ” นางรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีงานที่ต้องจัดการ
“เจ้าจะเข้าโรงเรียนราชสำนักรึเปล่า ?” หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อเห็นใบหน้าเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของเขา นางก็รู้สึกสงสัย
“ระวังคนจากอาราม”
หานโม่ฉือกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางได้สังหารลิ่วเยว่บุรุษหน้าไม่อายจากอารามไปก็ยังไม่มีการตอบสนองจากทางขุมกำลังทรงอิทธิพลนั้นเลยจนตัวนางเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว
Comments
คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด
หลังจากภายในห้องประชุมลับแห่งตระกูลฉินตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดฉินเทียนตัวปลอมถึงได้เข้ามาสวมรอยเป็นท่านพ่อ รวมถึงเหตุผลของกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาโจมตีพวกเรา”
เมื่อฉินเฟิน ฉินอี้เฟย และฉินหยางได้ยินสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว พวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความสับสน
“พวกเขาน่าจะมาเพราะกายเทพมายา”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไปด้วยรอยยิ้ม
“กายเทพมายา !”
บุรุษต่างวัยสามคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองสาวน้อยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กายเทพมายาคือร่างกายของเทพมายาในตำนาน เพราะสูญหายไปนานนับพันปีแล้ว ในเรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกคนในที่แห่งนี้หรืออาจจะทั่วทั้งนครเคยได้ยินแต่เพียงเรื่องเล่า แล้วคนร้ายเหล่านั้นจะมาโจมตีคนในตระกูลของพวกเขาเพื่อกายเทพมายาใดอีก ?
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้า…”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทว่าความนัยในวาจาของนางนั้นชัดแจ้งจนเขาทำได้เพียงแค่เชื่อเท่านั้น
ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถืออย่างยิ่ง ทว่าหลังจากพิจารณาจากน้ำเสียงแน่วแน่และแววตาจริงจังของฉินอวี้โม่แล้วก็ทำให้พวกเขาอยากเชื่อคำพูดของนาง แม้จะสับสนไม่น้อยแต่บุรุษมากอาวุโสทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากซักไซ้สิ่งใดกับผู้เป็นหลาน พวกเขาจะทำแค่เพียงสนับสนุนนางทุกด้านและรอดูข้อพิสูจน์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่นางบอกเป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะช่วยกันปกปิดความลับนี้
“เอาเถอะเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเฟินก็กล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องของเทียนเอ๋อร์ข้ามั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวอวิ๋นเองข้าก็คิดว่านางไม่น่าจะมีอันตราย ฉะนั้นตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเราค่อย ๆ ค้นหาเบาะแสแล้วตามหาตัวพวกเขา เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางโค้งคำนับคนทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมลับไป
ฉินอวี้โม่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด นางและเสี่ยวโร่วเดินไปยังเรือนที่พักที่ฉินเฟินให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน
ในเรือนพักอันแสนสบาย คุณหนูผู้พลัดพรากและสาวใช้น้อยงีบหลับไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกนางตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของฉินอี้เฟยที่มาบอกให้พวกนางไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าคิดจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”
ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่อย่างรักใคร่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูของนางก็รีบพยักหน้าตามเช่นกัน
เสี่ยวโร่วเป็นเสมือนคนในครอบครัวของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ดังนั้นฉินเฟินจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนและอนุญาตให้สาวน้อยทำตัวตามสบาย
เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่อยู่ด้วยกันมานาน สาวใช้น้อยจึงรู้ความต้องการของคุณหนูดี นางจึงนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน
“เจ้าสองคนอยากให้ข้าไปพูดกับผู้มีอำนาจควบคุมโรงเรียนราชสำนักให้รับพวกเจ้าทั้งสองเข้าเรียนในนามของตระกูลฉินหรือไม่ ?”
แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่ในฐานะของคนเป็นปู่ที่เป็นห่วงลูกหลาน ฉินเฟินก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น
วันนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งนางยังได้ลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินไปบนถนน เรื่องนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางในตระกูลฉินก็อาจจะไม่สามารถปกปิดได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะปิดบังตัวตนของนางเลย หากว่านางใส่ใจเรื่องนี้ นางก็คงจะไม่เลือกมาที่นี่ตั้งแต่แรก
“ท่านปู่ ข้าว่าอย่าดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากจะเข้าไปโดยใช้เส้นสายของตระกูล”
หลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องตัวตนของพวกเรา ข้าอยากให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะได้ไหมเจ้าคะ ? พวกเราไม่ต้องกระจายข่าว ผู้ใดจะคิดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเอง”
ฉินเฟินพยักหน้ารับคำ หลังจากการได้รู้จักกันมา แม้จะยังเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าหลานสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่ แต่เรื่องของความคิดอ่าน การวิเคราะห์เรื่องราว เด็กคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแก่ ๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพวกเขาเลยสักนิด
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข หลังจากอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของตระกูลฉินจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนที่พัก
เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกให้เสี่ยวโร่วแยกไปพักในห้องของนาง ขณะที่คุณหนูผู้ที่เพิ่งจะได้กลับมาในอ้อมกอดของครอบครัวใหญ่ยังคงนั่งครุ่นคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกพักหนึ่ง อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ หรือเป็นเพราะการงีบหลับก่อนมื้อค่ำจึงทำให้สาวงามไม่รู้สึกง่วง
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”
เสียงอันแสนอ่อนโยนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากร่างบางนัก เสียงนุ่มทุ้มนั้นทำลายความเงียบงันภายในห้องไปจนหมด
“โม่ฉือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะมองไปตามทิศทางของเสียง
วันนี้หานโม่ฉือได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาที่ตระกูลฉิน หลังจากจัดการงานและภารกิจทั้งหลายของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็รีบตรงมาที่จวนตระกูลฉินทันที
แท้จริงแล้วในตอนบ่ายหานโม่ฉือก็ลอบเข้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเพราะเห็นสาวน้อยของเขากำลังหลับอย่างเป็นสุข เขาจึงไม่คิดจะรบกวนนางและออกไปเงียบ ๆ เขาแอบซุ่มรออยู่จนกระทั่งนางกลับมาจากทานอาหารค่ำและเข้ามาหานางเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยด้วย
ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ครานั้นที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าเขามีความกังวลบางอย่างอยู่ในหัวใจ
เขาคิดว่าฉินอวี้โม่ต่างจากสตรีทั่วไปมาก หลังจากเกิดเรื่องภายในถ้ำอสรพิษนั้นแล้ว บุรุษเย็นชาก็ครุ่นคิดเรื่องของนางมากขึ้น
ในหลายวันมานี้ แม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตระกูลและงานส่วนตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ทว่าในหัวใจของเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้เลย
หานโม่ฉือสั่งให้คนของเขาคอยรายงานว่ามีสตรีแปลกหน้ารูปโฉมงดงามเดินทางมาที่นครไป๋อวิ๋นหรือไม่ และยังสั่งให้คอยจับตาดูตระกูลฉินเอาไว้ หากว่ามีสตรีเลอโฉมจากต่างถิ่นผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่มาถึงก็ให้รีบแจ้งข่าวในทันที
วันนี้เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอไม่ไหว อยากจะเข้ามาพบนางจนใจจะขาด
ในตอนนี้เองที่บุรุษหัวใจด้านชาผู้ยังไม่เคยมีความรักได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความกังวลในหัวใจของตัวเองในหลายวันมานี้นั้น แท้จริงก็คือความคิดถึง เพราะทันทีที่ได้เห็นหน้านางในดวงใจ หัวใจของเขาก็พองโตและมีความสุขอย่างเหลือล้น
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ข้าก็เลยรีบมาหา”
หานโม่ฉือยิ้มและเดินเข้าไปหาสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ
ไม่ได้เห็นกันมานานกว่าครึ่งปี เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ตัวสูงขึ้นและ… นางก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ครั้งล่าสุดในป่าแสงจันทร์ นางดูผอมบางกว่านี้เล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางดูเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลและดูสุขภาพดีขึ้นมาก ใบหน้านวลหวานซึ้งของนางก็ดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้นด้วย
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม นางลอบสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด
ในครึ่งปีมานี้ หานโม่ฉือดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งนั้นที่พิษเย็นในร่างกายของเขาถูกถอนออกไปจนหมด ทั้งร่างกายใหญ่โตนี้ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนผู้นี้จะไม่เคยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในหัวใจเขากลับยิ้มได้อย่างอ่อนโยนจนฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาทิ้งความเย็นชาออกไป บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นจนอาจจะครองใจสตรีทั่วทั้งนครได้เลยทีเดียว
เมื่อเดินมาถึงตัวเจ้าของหัวใจ หานโม่ฉือก็ดึงร่างบางที่เขาโหยหามาตลอดเข้ามากอดไว้แนบอก
กิริยาเช่นนั้นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปชั่วครู่ คราแรกนางก็เกือบจะดันร่างใหญ่ให้ถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากร่างกายแข็งแกร่งที่กำลังกกกอดนางไว้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี
“ข้าคิดมาตลอดว่ามันน่าขำ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะคิดถึงผู้ใดได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเจ้า”
หานโม่ฉือเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทำให้จิตใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหว
“ก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า ในชีวิตข้าไม่เคยหลงใหล หลงรัก หรือแม้แต่ชื่นชอบสตรีใดมาก่อน และข้าก็คิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีคนใดเป็นแน่ แต่เมื่อได้เจอเจ้า ข้าก็พบว่าสิ่งที่ข้าคิดมาเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”
หานโม่ฉือดันร่างบางของฉินอวี้โม่ออกอย่างเบามือก่อนจะโอบประคองให้นั่งลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน
“ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าต่างจากสตรีคนอื่น มันอาจเป็นเพราะข้าสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังมายา ในตอนนั้นเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก รูปแบบการเคลื่อนก็แปลกประหลาด ในครั้งที่สองที่เจอกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ในตอนนั้นที่ข้าเริ่มรู้สึกสนใจเจ้า วาจาทรงพลังยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกิดความสงสัยว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินไปและยังคิดอคติกับเจ้า ข้าจึงทำเมินเฉย ทว่าหลังจากที่หลินจิ้งหงชวนเจ้าเข้าร่วมภารกิจข้าก็เริ่มรู้ความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่มีต่อเจ้า ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยชอบใจนักและข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนแต่พอได้อยู่ด้วยกัน ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เรื่องนั้นมันทำให้ข้าประหลาดใจมาก และยิ่งเมื่อเจ้าแสดงความองอาจในตอนที่เจ้าพูดกับกลุ่มทหารรับจ้าง ตอนนั้นข้าก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ
แล้วพอถึงตอนที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอสรพิษนั่นมันทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรุนแรงมากจนข้ากลัวว่ามันจะระเบิดออกจากอก แล้วข้าก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าหากข้าสามารถใช้ทั้งชีวิตนี้อยู่กับเจ้าได้ข้าคงจะมีความสุข ยิ่งกว่านั้น… ข้าก็ควรจะรับผิดชอบเจ้า แต่มาตอนนี้ข้าเพิ่งจะ…”
บุรุษเย็นชาพูดน้อยที่วันนี้พูดไม่น้อยเลยหยุดลงครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาที่เคยจับจ้องใบหน้างามลงชั่วขณะก่อนที่หันกลับขึ้นมามองสบตาหวานซึ้งอีกครั้งแล้วพูดต่อ หากฉินอวี้โม่มองไม่ผิด นางเห็นสีแดงจาง ๆ ขึ้นเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าคมคาย “….ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าบางทีข้าอาจจะชอบเจ้ามากมายเพียงใด ในครึ่งปีมานี้ข้าทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าอยู่ทุกวัน ข้ากังวลว่าเมื่อไหร่เจ้าจะมาที่นครไป๋อวิ๋น บางทีก่อนหน้านี้ข้าคงจะยังไม่เข้าใจ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว ข้าว่า… มันอาจจะเป็นความรัก”
เมื่อได้ฟังคำพูดมากมายที่ออกจากปากคนตรงหน้า และได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมของเขา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พูดอะไรไม่ออก
…คนเย็นชาคนนี้… กำลังสารภาพรักกับนาง !…
ถ้อยคำมากมายจากปากคนไม่ค่อยพูดกำลังทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่สั่นไหว เวลานี้ใจดวงน้อยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ในอดีตเธอคือนักฆ่า แม้จะมีผู้ชายสักกี่คนมาสารภาพรัก เธอก็จะปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักครั้ง ความรักกับนักฆ่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง ชีวิตนักฆ่าเต็มไปด้วยอันตราย และความรักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดท้ายคงไม่พ้นมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นสู้ไม่รักให้ต้องเจ็บปวดจะดีกว่า
ทว่าหลังจากที่วิญญาณข้ามภพมายังดินแดนหวนหลิงนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ ที่อยู่ในดินแดนที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่แบบนี้จะมีผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สำหรับโลกมายาที่ความแข็งแกร่งเป็นทุกอย่างแห่งนี้ จุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตนี้มีแค่ เธอ อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องคนที่เธอต้องปกป้องให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องราวภายในถ้ำอสรพิษขึ้นในวันนั้น อดีตสาวนักฆ่าก็ได้รู้ตัวว่า หัวใจของเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เป็นตอนนั้นที่ จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดว่ามันคงจะดีมากหากมีผู้ชายตรงหน้านี้อยู่เคียงข้าง… ผู้ชายที่ชื่อหานโม่ฉือคนนี้
ในตอนที่ช่วยเขาถอนพิษ ฉินอวี้โม่คิดว่าเธอทำไปเพราะอยากช่วยชีวิตเขา เพราะไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เธอไม่ได้ทำเพราะพิศวาสหรือหลงรักเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น… เธอก็ค้นพบว่าที่เธอไม่อยากให้คนเย็นชาของเธอตายไปก็เป็นเพราะเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา และเป็นวินาทีนั้นที่ฉินอวี้โม่ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเริ่มชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะแววตาห่วงกังวลของเขาในตอนที่เธอถูกยูนิคอร์นสีนิลจับตัวไปที่บึงสายหมอก หรือเป็นเพราะความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เธอกำลังจะถูกลิ่วเยว่ทำร้าย หรือเพราะความใจดีลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากากอันเลือดเย็น หรือบางทีอาจจะเป็นความเย็นชาอย่างที่เขาเป็น หรือรอยยิ้มละลายใจที่เธอได้เห็น เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งคนนี้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอ
แท้จริงแล้วการช่วยหานโม่ฉือถอนพิษในครั้งนั้น ใครก็ตามที่รู้จักสาวนักฆ่าฉินอวี้โม่ผู้มาจากในศตวรรษที่ 21 แล้ว จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะยอมช่วยเขาด้วยวิธีแบบนั้น…ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในหัวใจของเธออยู่ก่อน
….เหตุการณ์ในถ้ำอสรพิษเกิดขึ้นเพราะความรักที่ฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่รู้ตัวในตอนนั้นเท่านั้น….
ในครึ่งปีที่ผ่านมา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คิดถึงชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะชอบคิดว่าหานโม่ฉือกำลังทำสิ่งใดอยู่ เขากำลังทำงานของตระกูลอย่างหนักอยู่หรือกำลังจัดการเรื่องส่วนตัว เขาจะได้กินข้าวหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ หรือว่า… เขาจะไปหลงเสน่ห์สาวอยู่ที่ไหน และ… เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า หลังจากวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตัวเองหลงรักหานโม่ฉือ
เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้ ถึงจะเห็นฉินอวี้โม่นิ่งเฉย แต่นั่นก็เพราะนางกำลังแสร้งทำตัวให้สงบ อันที่จริงหัวใจดวงน้อยกำลังสั่นระรัว และนางกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดให้มันสงบลงจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้เลย
“โม่ฉือ ที่จริงข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อว่าข้าจะรักใครได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าเชื่อมาตลอดว่า ถ้าคนสองคนไม่มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน ไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีให้กันและกันได้อย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเจ้า ข้าก็เริ่มเชื่อแล้ว”
ต้องบอกเลยว่า แม้จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวอยู่บ้างเป็นธรรมดา เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก คนที่คิดจะเคียงข้างก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อีก
เมื่อได้ฟังสิ่งที่โฉมงามของเขากล่าว หานโม่ฉือก็บีบกระชับมือบางแน่นขึ้นราวกับต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีในใจไปให้ถึงหัวใจของนาง ในตอนนี้สองดวงใจกำลังใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
แท้จริงแล้ว การตกหลุมรักใครสักคนนั้นง่ายกว่าที่พวกเขาคิด ขอเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นทุกอย่างก็จะไหลไปตามครรลองของมันได้เอง
เป็นเรื่องจริงที่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากสองหนุ่มสาวได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของการได้ชิดใกล้กับบุคคลผู้แสนคะนึงหาอยู่สักพัก ในที่สุดหานโม่ฉือก็ถอนหายใจออกมา
“อวี้โม่ ข้าต้องไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มบางให้
“ไปเถอะ ข้าเข้าใจ” นางรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีงานที่ต้องจัดการ
“เจ้าจะเข้าโรงเรียนราชสำนักรึเปล่า ?” หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อเห็นใบหน้าเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของเขา นางก็รู้สึกสงสัย
“ระวังคนจากอาราม”
หานโม่ฉือกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางได้สังหารลิ่วเยว่บุรุษหน้าไม่อายจากอารามไปก็ยังไม่มีการตอบสนองจากทางขุมกำลังทรงอิทธิพลนั้นเลยจนตัวนางเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :