จอมนักรบทรงเกียรติยศ 536 ความเป็นมาของฉินเสียงหลินแห่งภูเขาทิพย์!

Now you are reading จอมนักรบทรงเกียรติยศ Chapter 536 ความเป็นมาของฉินเสียงหลินแห่งภูเขาทิพย์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตอนแรกทุกคนต่างนึกว่าเป็นเทพเซียน คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะเผยคำพูดแบบปีศาจร้ายออกมา นี่ทำให้ทุกคนผิดหวังเหลือจะกล่าว ชายชรานั่นเล่าให้ทุกคนฟังว่า ในอดีตภูเขาทิพย์ไม่ได้เรียกว่าภูเขาทิพย์ แต่เรียกว่าภูเขาว่างเปล่า เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาไร้สัตว์ป่า กระทั่งนกยังมีน้อยมาก ดังนั้นจึงเรียกว่าภูเขาว่างเปล่า แต่อยู่ใกล้ภูเขากินภูเขา อยู่ใกล้น้ำกินน้ำเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาของประเทศหวา ในส่วนนี้ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เวลานั้นมีคนจำนวนไม่น้อยขึ้นเขาไปเก็บฟืน บางคนจะไปล่าสัตว์ก็มี ภายหลังมีคนบอกว่าพบเห็นปีศาจอยู่ในนี้ ดังนั้นเรื่องที่ภูเขาว่างเปล่าแห่งนี้มีปีศาจจึงเผยแพร่ออกไปเช่นนี้”

“แต่ปีศาจตนนั้นไม่เคยทำร้ายชาวบ้าน ตรงกันข้ามเขาเพียงปรากฏตัวแค่ครั้งสองครั้ง และไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีก ตอนนั้นที่นักสำรวจกลุ่มนั้นเข้าไปในภูเขา ทุกคนจึงลอบยินดีอยู่ในใจ เพราะพวกเขาต่างรู้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะต้องตาย! ต่อมาก็ตายจริงๆ เป็นปีศาจที่ฆ่านักสำรวจเหล่านั้น”

“ตอนนั้นทุกคนเฝ้าภาวนาให้ปีศาจฆ่านักสำรวจทุกคน ถึงแม้ว่าเวลานั้นความสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ดีนัก แต่เป้าหมายของทุกคนคือร่วมต้านศัตรูภายนอก ไม่มีใครที่ยินยอมให้นักสำรวจมารุกรานในที่ของตน มารังแกเพื่อนร่วมชาติของตนในพื้นที่ของตนเอง นี่เป็นสายเลือดที่อยู่ในใจของคนประเทศหวาเรา ไม่มีใครยอมมองเพื่อนร่วมชาติของตนเองถูกนักสำรวจที่มาจากภายนอกประทุษร้าย!”

“ต่อมาคนของนักสำรวจตายมากเกินไป เพื่อค้นหาว่าเป็นฝีมือใครพวกเขาจึงเริ่มฆ่าชาวบ้านในดินแดนตะวันตกอย่างกำเริบเสิบสาน ชาวบ้านในตอนนั้นล้วนเป็นชาวบ้านมือเปล่า จะไปสู้กับคนที่มีปืนผาหน้าไม้อยู่ในมือและมีทุกอย่างพร้อมสรรพได้อย่างไรกัน? คนที่ไม่อยากตายเหล่านั้น จึงรับปากพวกเขาว่าจะเข้าไปในภูเขาค้นหาปีศาจ ในคืนวันนั้น ไม่รอให้คนขึ้นไปบนเขา สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็ออกมาจากภูเขาทิพย์ หน้าตามันแปลกประหลาดมาก ไม่มีใครเห็นรูปลักษณ์ของมันได้ชัด เพราะหน้าตาของมันผิดแผกจากมนุษย์เกินไป ส่วนรูปลักษณ์เป็นอย่างไรนั้น ผมขอไม่พูดแล้วกัน เพราะทุกคนต่างพูดจาไม่ตรงกันสักคน พูดออกมาสิบคนก็มีหน้าตาสิบแบบ หลังจากที่มันออกมา ก็เหมือนว่ามันตั้งใจจะมาช่วยชาวบ้านโดยเฉพาะ มันฆ่านักสำรวจทั้งหมดที่มายึดครองดินแดนตะวันตก คืนความสุขให้กับดินแดนตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง ต่อมา บนภูเขาว่างเปล่าแห่งนั้นก็เริ่มมีสัตว์ป่านานาชนิดพากันมาอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ ก็ยังมีสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยที่อพยพออกไปจากภูเขาว่างเปล่าแห่งนั้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่จำนวนไม่น้อย และยังมีสัตว์ประหลาดที่เคยช่วยทุกคนตัวนั้นอยู่อีก ดังนั้นเพื่อให้ความเคารพกับคนที่เคยช่วยพวกเขาคนนั้น ทุกคนจึงเรียกขานภูเขาว่างเปล่าว่าภูเขาทิพย์

“ทิพย์ ที่หมายถึงความเป็นสิริมงคลและพลังศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็คือการชมเชยสถานที่ในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นที่เรียกว่าภูเขาทิพย์ จึงเป็นการเคารพสัตว์ประหลาดที่เคยช่วยทุกคนตัวนั้น ถือเป็นการตอบแทนที่เขาช่วยเหลือทุกคน”

“ไม่รู้ว่าคุณรู้เรื่องหนึ่งหรือไม่ สัตว์ที่ผ่านเคราะห์จำเป็นต้องขอคำชมจากชาวบ้าน ยกตัวอย่างพังพอนเหลืองก็แล้วกัน ในอดีตพังพอนเหลืองต้องการเปลี่ยนเป็นเซียนเหลืองจึงจำเป็นต้องขอคำชมจากมนุษย์ เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าคนที่กำลังเดินถนนในยามค่ำคืน ถามคนคนนั้นว่าฉันมีหน้าตาเหมือนมนุษย์หรือไม่ หากคนคนนั้นบอกว่าเหมือน หรือเรียกอีกฝ่ายว่าเซียนเหลืองสักประโยค พังพอนเหลืองตัวนั้นก็จะสำเร็จมรรคผล ทั้งยังจะตอบแทนคนคนนั้นอีกด้วย หากพูดว่าพังพอนเหลืองหรือเจ้าหัวขโมยเหลืองขึ้นมาสักประโยค นั่นเท่ากับเป็นการสูญเสียพลังบำเพ็ญ ถึงเวลาเขาจะมาแก้แค้นคนที่เรียกเขาแบบนั้น”

สำหรับในส่วนนี้ฟางเหยียนย่อมรู้ นี่ก็คือการสถาปนาโดยชอบธรรม สัตว์ที่ผ่านเคราะห์จะกลายเป็นเซียนได้หรือไม่ต้องดูว่าเขาเป็นแบบไหนในสายตาชาวบ้าน หากถูกชาวบ้านร้อยคนสถาปนาโดยชอบธรรม ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นขุนนางได้ หากสามารถทำให้หมื่นคนสถาปนาโดยชอบธรรม นั่นก็เท่ากับได้เลื่อนขั้นเป็นท่านอ๋อง หากมีชาวบ้านมากกว่าครึ่งในใต้หล้าสถาปนาโดยชอบธรรมเขาก็จะเป็นเทพ นั่นเท่ากับสถาปนาเป็นองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่าหากสามารถสถาปนาได้เป็นถึงองค์จักรพรรดิ นั่นก็สามารถโบยบินขึ้นไปสู่ฟ้า ทะยานสู่การเป็นเทพได้!

สำหรับเรื่องผ่านเคราะห์นี้ฟางเหยียนไม่สนใจเท่าไหร่นัก ส่วนเรื่องสัตว์ประหลาดนี้ก็ไม่ได้แปลกประหลาดขนาดนั้น ประเด็นสำคัญของเขาไม่ใช่เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามว่า “แล้วฉินเสียงหลินล่ะ? เขาเกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์ประหลาดตัวนี้?”

พูดมาครึ่งค่อนวัน เหมือนว่าสัตว์ประหลาดแห่งภูเขาทิพย์ตัวนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉินเสียงหลินแม้แต่ปลายเส้นขน

หยางจิ่งเซียนหัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ฉินเสียงหลินเนี่ย อันที่จริงก็คือสัตว์ประหลาดตัวนั้น หลังจากเรื่องนี้ ได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวถึงเด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านให้ฟัง ว่ากันว่าในหมู่บ้านตอนนั้นมีครอบครัวแซ่ฉินอยู่ครอบครัวหนึ่ง สองสามีภรรยาอพยพลี้ภัยจากต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ที่นี่ ในตอนที่พวกเขาย้ายมา เมียเขากำลังตั้งครรภ์ เดิมทีเป็นการต้อนรับชีวิตใหม่อย่างปลาบปลื้มดีใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเมียเขากลับคลอดสัตว์ประหลาดออกมาตัวหนึ่ง นั่นเป็นสัตว์ประหลาดที่หน้าตาอัปลักษณ์หาใดเปรียบ โดยรวมคือผิดแผกไปจากมนุษย์มนา หน้าตาประหลาดก็ช่างเถอะ ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่พอเด็กคนนั้นคลอดออกมาแล้ว ถึงกับวิ่งได้ กระโดดได้เหมือนกับสัตว์!”

“เวลานั้นทุกคนต่างรู้ว่าไม่อาจเก็บเด็กคนนั้นไว้ได้ นั่นไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านใต้ตีนเขาว่างเปลาก็เสนอว่าจะเอาเด็กไปทิ้งในภูเขาว่างเปล่า แน่นอนว่าสามีภรรยาครอบครัวฉินย่อมไม่ยินยอม ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ต่อให้ประหลาดเพียงใด นั่นก็คือก้อนเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างกายตน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงแอบเลี้ยงไว้ในบ้าน ทั้งยังตั้งชื่อให้เขาว่าฉินเสียงหลิน เป็นชื่อสามัญธรรมดาชื่อหนึ่ง ต่อมา ในหมู่บ้านก็เริ่มเกิดเรื่อง ไม่ใช่ไก่หาย ก็สุนัขหาย สุดท้ายก็ค้นเจอหัวกะโหลกบางส่วนอยู่ในบ้านของเขา จึงพิสูจน์ความจริงได้ว่าเด็กคนนั้นไปขโมยมากิน”

“ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง ทุกคนล้วนหลับตาข้างลืมตาข้าง ตอนเดินผ่านประตูบ้านเขาก็ปล่อยผ่านไปก็พอ รอจนเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงไม่มีใครปล่อยผ่านไปได้อีก ด้วยเหตุนี้พวกชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจึงจับตัวฉินเสียงหลินมัดไว้ ตอนแรกตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ในหมู่บ้านมีซินแสเฒ่าผู้มากด้วยคุณธรรมและบารมีสูงส่งค่อนข้างเมตตา จึงเสนอคนอื่นๆ ให้นำเจ้าตัวไปปล่อยไว้ในภูเขา ต่อมาฉินเสียงหลินก็ไม่กลับมาอีก สามีภรรยาครอบครัวฉินอยู่มาอีกสองปีก็ตายจากไปเช่นกัน หลังจากนั้น ข่าวคราวของฉินเสียงหลินก็ค่อยๆ ลดน้อยลง”

“ต่อมาก็มีคนบอกว่าพบเห็นสัตว์ประหลาดอยู่ในภูเขา ทุกคนจึงคิดถึงสัตว์ประหลาดตัวนั้นขึ้นมาอีก เมื่อกาลเวลาผ่านไป คนที่เคยเห็นฉินเสียงหลินล้วนตายกันไปหมดแล้ว และมีเพียงเสียงเล่าลือกันปากต่อปากถึงรู้ว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง นับตั้งแต่เขาช่วยชีวิตคนในหมู่บ้านเป็นต้นมา ทุกคนจึงนับถือเขาเป็นเทพเจ้า ว่ากันว่ามีคนสร้างศาลเจ้าแห่งหนึ่งไว้ที่ใต้ตีนเขาให้เขาด้วย เรียกกันว่าศาลเจ้าเสียงหลิน มีคนจำนวนไม่น้อยมาขอพรในศาลเจ้า ดูเหมือนว่าจะสัมฤทธิผลด้วย ภูเขาว่างเปล่าในตอนแรกจึงค่อยๆ กลายเป็นภูเขาทิพย์ด้วยประการฉะนี้”

ฟังมาถึงตรงนี้ ฟางเหยียนก็พยักหน้าอย่างใช้ความคิด ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดก็ดำเนินมาเช่นนี้ แต่ที่ทำให้ฟางเหยียนแปลกใจก็คือ นี่เป็นเพียงตำนานเรื่องหนึ่ง เหมือนกับนิทานปรัมปรา เพราะเหตุใดศาสตราจารย์โจวถึงบอกว่าเป็นเพื่อนของเขากันล่ะ ตอนแรกฟางเหยียนยังนึกว่าฉินเสียงหลินผู้นี้เป็นคนธรรมดาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าฟังจากที่หยางจิ่งเซียนเล่ามาเช่นนี้ ถึงรู้ว่าเขาก็คือตำนานเรื่องหนึ่งนี่เอง

“จริงสิ จอมพลคุณตามหาฉินเสียงหลินเพราะมีเรื่องอะไรเหรอ? พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา คิดจะพบเขาคงยากยิ่งกว่ายาก แต่ด้วยฐานะของคุณหากคิดจะพบเขา ผมคิดว่าจะต้องง่ายดายกว่าพวกเรามากแน่” หยางจิ่งเซียนกล่าวเสริมขึ้นอีกประโยค

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมนักรบทรงเกียรติยศ 536 ความเป็นมาของฉินเสียงหลินแห่งภูเขาทิพย์!

Now you are reading จอมนักรบทรงเกียรติยศ Chapter 536 ความเป็นมาของฉินเสียงหลินแห่งภูเขาทิพย์! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตอนแรกทุกคนต่างนึกว่าเป็นเทพเซียน คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะเผยคำพูดแบบปีศาจร้ายออกมา นี่ทำให้ทุกคนผิดหวังเหลือจะกล่าว ชายชรานั่นเล่าให้ทุกคนฟังว่า ในอดีตภูเขาทิพย์ไม่ได้เรียกว่าภูเขาทิพย์ แต่เรียกว่าภูเขาว่างเปล่า เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ของภูเขาไร้สัตว์ป่า กระทั่งนกยังมีน้อยมาก ดังนั้นจึงเรียกว่าภูเขาว่างเปล่า แต่อยู่ใกล้ภูเขากินภูเขา อยู่ใกล้น้ำกินน้ำเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาของประเทศหวา ในส่วนนี้ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เวลานั้นมีคนจำนวนไม่น้อยขึ้นเขาไปเก็บฟืน บางคนจะไปล่าสัตว์ก็มี ภายหลังมีคนบอกว่าพบเห็นปีศาจอยู่ในนี้ ดังนั้นเรื่องที่ภูเขาว่างเปล่าแห่งนี้มีปีศาจจึงเผยแพร่ออกไปเช่นนี้”

“แต่ปีศาจตนนั้นไม่เคยทำร้ายชาวบ้าน ตรงกันข้ามเขาเพียงปรากฏตัวแค่ครั้งสองครั้ง และไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีก ตอนนั้นที่นักสำรวจกลุ่มนั้นเข้าไปในภูเขา ทุกคนจึงลอบยินดีอยู่ในใจ เพราะพวกเขาต่างรู้ว่ากลุ่มคนเหล่านั้นจะต้องตาย! ต่อมาก็ตายจริงๆ เป็นปีศาจที่ฆ่านักสำรวจเหล่านั้น”

“ตอนนั้นทุกคนเฝ้าภาวนาให้ปีศาจฆ่านักสำรวจทุกคน ถึงแม้ว่าเวลานั้นความสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้ดีนัก แต่เป้าหมายของทุกคนคือร่วมต้านศัตรูภายนอก ไม่มีใครที่ยินยอมให้นักสำรวจมารุกรานในที่ของตน มารังแกเพื่อนร่วมชาติของตนในพื้นที่ของตนเอง นี่เป็นสายเลือดที่อยู่ในใจของคนประเทศหวาเรา ไม่มีใครยอมมองเพื่อนร่วมชาติของตนเองถูกนักสำรวจที่มาจากภายนอกประทุษร้าย!”

“ต่อมาคนของนักสำรวจตายมากเกินไป เพื่อค้นหาว่าเป็นฝีมือใครพวกเขาจึงเริ่มฆ่าชาวบ้านในดินแดนตะวันตกอย่างกำเริบเสิบสาน ชาวบ้านในตอนนั้นล้วนเป็นชาวบ้านมือเปล่า จะไปสู้กับคนที่มีปืนผาหน้าไม้อยู่ในมือและมีทุกอย่างพร้อมสรรพได้อย่างไรกัน? คนที่ไม่อยากตายเหล่านั้น จึงรับปากพวกเขาว่าจะเข้าไปในภูเขาค้นหาปีศาจ ในคืนวันนั้น ไม่รอให้คนขึ้นไปบนเขา สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็ออกมาจากภูเขาทิพย์ หน้าตามันแปลกประหลาดมาก ไม่มีใครเห็นรูปลักษณ์ของมันได้ชัด เพราะหน้าตาของมันผิดแผกจากมนุษย์เกินไป ส่วนรูปลักษณ์เป็นอย่างไรนั้น ผมขอไม่พูดแล้วกัน เพราะทุกคนต่างพูดจาไม่ตรงกันสักคน พูดออกมาสิบคนก็มีหน้าตาสิบแบบ หลังจากที่มันออกมา ก็เหมือนว่ามันตั้งใจจะมาช่วยชาวบ้านโดยเฉพาะ มันฆ่านักสำรวจทั้งหมดที่มายึดครองดินแดนตะวันตก คืนความสุขให้กับดินแดนตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง ต่อมา บนภูเขาว่างเปล่าแห่งนั้นก็เริ่มมีสัตว์ป่านานาชนิดพากันมาอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ ก็ยังมีสัตว์ป่าจำนวนไม่น้อยที่อพยพออกไปจากภูเขาว่างเปล่าแห่งนั้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อยู่จำนวนไม่น้อย และยังมีสัตว์ประหลาดที่เคยช่วยทุกคนตัวนั้นอยู่อีก ดังนั้นเพื่อให้ความเคารพกับคนที่เคยช่วยพวกเขาคนนั้น ทุกคนจึงเรียกขานภูเขาว่างเปล่าว่าภูเขาทิพย์

“ทิพย์ ที่หมายถึงความเป็นสิริมงคลและพลังศักดิ์สิทธิ์ นี่ก็คือการชมเชยสถานที่ในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นที่เรียกว่าภูเขาทิพย์ จึงเป็นการเคารพสัตว์ประหลาดที่เคยช่วยทุกคนตัวนั้น ถือเป็นการตอบแทนที่เขาช่วยเหลือทุกคน”

“ไม่รู้ว่าคุณรู้เรื่องหนึ่งหรือไม่ สัตว์ที่ผ่านเคราะห์จำเป็นต้องขอคำชมจากชาวบ้าน ยกตัวอย่างพังพอนเหลืองก็แล้วกัน ในอดีตพังพอนเหลืองต้องการเปลี่ยนเป็นเซียนเหลืองจึงจำเป็นต้องขอคำชมจากมนุษย์ เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าคนที่กำลังเดินถนนในยามค่ำคืน ถามคนคนนั้นว่าฉันมีหน้าตาเหมือนมนุษย์หรือไม่ หากคนคนนั้นบอกว่าเหมือน หรือเรียกอีกฝ่ายว่าเซียนเหลืองสักประโยค พังพอนเหลืองตัวนั้นก็จะสำเร็จมรรคผล ทั้งยังจะตอบแทนคนคนนั้นอีกด้วย หากพูดว่าพังพอนเหลืองหรือเจ้าหัวขโมยเหลืองขึ้นมาสักประโยค นั่นเท่ากับเป็นการสูญเสียพลังบำเพ็ญ ถึงเวลาเขาจะมาแก้แค้นคนที่เรียกเขาแบบนั้น”

สำหรับในส่วนนี้ฟางเหยียนย่อมรู้ นี่ก็คือการสถาปนาโดยชอบธรรม สัตว์ที่ผ่านเคราะห์จะกลายเป็นเซียนได้หรือไม่ต้องดูว่าเขาเป็นแบบไหนในสายตาชาวบ้าน หากถูกชาวบ้านร้อยคนสถาปนาโดยชอบธรรม ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นขุนนางได้ หากสามารถทำให้หมื่นคนสถาปนาโดยชอบธรรม นั่นก็เท่ากับได้เลื่อนขั้นเป็นท่านอ๋อง หากมีชาวบ้านมากกว่าครึ่งในใต้หล้าสถาปนาโดยชอบธรรมเขาก็จะเป็นเทพ นั่นเท่ากับสถาปนาเป็นองค์จักรพรรดิ แน่นอนว่าหากสามารถสถาปนาได้เป็นถึงองค์จักรพรรดิ นั่นก็สามารถโบยบินขึ้นไปสู่ฟ้า ทะยานสู่การเป็นเทพได้!

สำหรับเรื่องผ่านเคราะห์นี้ฟางเหยียนไม่สนใจเท่าไหร่นัก ส่วนเรื่องสัตว์ประหลาดนี้ก็ไม่ได้แปลกประหลาดขนาดนั้น ประเด็นสำคัญของเขาไม่ใช่เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงชะงักไปเล็กน้อย แล้วถามว่า “แล้วฉินเสียงหลินล่ะ? เขาเกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์ประหลาดตัวนี้?”

พูดมาครึ่งค่อนวัน เหมือนว่าสัตว์ประหลาดแห่งภูเขาทิพย์ตัวนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับฉินเสียงหลินแม้แต่ปลายเส้นขน

หยางจิ่งเซียนหัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ฉินเสียงหลินเนี่ย อันที่จริงก็คือสัตว์ประหลาดตัวนั้น หลังจากเรื่องนี้ ได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเล่าเรื่องราวถึงเด็กคนหนึ่งในหมู่บ้านให้ฟัง ว่ากันว่าในหมู่บ้านตอนนั้นมีครอบครัวแซ่ฉินอยู่ครอบครัวหนึ่ง สองสามีภรรยาอพยพลี้ภัยจากต่างถิ่นมาอาศัยอยู่ที่นี่ ในตอนที่พวกเขาย้ายมา เมียเขากำลังตั้งครรภ์ เดิมทีเป็นการต้อนรับชีวิตใหม่อย่างปลาบปลื้มดีใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเมียเขากลับคลอดสัตว์ประหลาดออกมาตัวหนึ่ง นั่นเป็นสัตว์ประหลาดที่หน้าตาอัปลักษณ์หาใดเปรียบ โดยรวมคือผิดแผกไปจากมนุษย์มนา หน้าตาประหลาดก็ช่างเถอะ ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่พอเด็กคนนั้นคลอดออกมาแล้ว ถึงกับวิ่งได้ กระโดดได้เหมือนกับสัตว์!”

“เวลานั้นทุกคนต่างรู้ว่าไม่อาจเก็บเด็กคนนั้นไว้ได้ นั่นไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้หัวหน้าหมู่บ้านของหมู่บ้านใต้ตีนเขาว่างเปลาก็เสนอว่าจะเอาเด็กไปทิ้งในภูเขาว่างเปล่า แน่นอนว่าสามีภรรยาครอบครัวฉินย่อมไม่ยินยอม ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ต่อให้ประหลาดเพียงใด นั่นก็คือก้อนเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างกายตน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงแอบเลี้ยงไว้ในบ้าน ทั้งยังตั้งชื่อให้เขาว่าฉินเสียงหลิน เป็นชื่อสามัญธรรมดาชื่อหนึ่ง ต่อมา ในหมู่บ้านก็เริ่มเกิดเรื่อง ไม่ใช่ไก่หาย ก็สุนัขหาย สุดท้ายก็ค้นเจอหัวกะโหลกบางส่วนอยู่ในบ้านของเขา จึงพิสูจน์ความจริงได้ว่าเด็กคนนั้นไปขโมยมากิน”

“ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง ทุกคนล้วนหลับตาข้างลืมตาข้าง ตอนเดินผ่านประตูบ้านเขาก็ปล่อยผ่านไปก็พอ รอจนเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ แล้ว จึงไม่มีใครปล่อยผ่านไปได้อีก ด้วยเหตุนี้พวกชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านจึงจับตัวฉินเสียงหลินมัดไว้ ตอนแรกตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ในหมู่บ้านมีซินแสเฒ่าผู้มากด้วยคุณธรรมและบารมีสูงส่งค่อนข้างเมตตา จึงเสนอคนอื่นๆ ให้นำเจ้าตัวไปปล่อยไว้ในภูเขา ต่อมาฉินเสียงหลินก็ไม่กลับมาอีก สามีภรรยาครอบครัวฉินอยู่มาอีกสองปีก็ตายจากไปเช่นกัน หลังจากนั้น ข่าวคราวของฉินเสียงหลินก็ค่อยๆ ลดน้อยลง”

“ต่อมาก็มีคนบอกว่าพบเห็นสัตว์ประหลาดอยู่ในภูเขา ทุกคนจึงคิดถึงสัตว์ประหลาดตัวนั้นขึ้นมาอีก เมื่อกาลเวลาผ่านไป คนที่เคยเห็นฉินเสียงหลินล้วนตายกันไปหมดแล้ว และมีเพียงเสียงเล่าลือกันปากต่อปากถึงรู้ว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง นับตั้งแต่เขาช่วยชีวิตคนในหมู่บ้านเป็นต้นมา ทุกคนจึงนับถือเขาเป็นเทพเจ้า ว่ากันว่ามีคนสร้างศาลเจ้าแห่งหนึ่งไว้ที่ใต้ตีนเขาให้เขาด้วย เรียกกันว่าศาลเจ้าเสียงหลิน มีคนจำนวนไม่น้อยมาขอพรในศาลเจ้า ดูเหมือนว่าจะสัมฤทธิผลด้วย ภูเขาว่างเปล่าในตอนแรกจึงค่อยๆ กลายเป็นภูเขาทิพย์ด้วยประการฉะนี้”

ฟังมาถึงตรงนี้ ฟางเหยียนก็พยักหน้าอย่างใช้ความคิด ที่แท้เรื่องราวทั้งหมดก็ดำเนินมาเช่นนี้ แต่ที่ทำให้ฟางเหยียนแปลกใจก็คือ นี่เป็นเพียงตำนานเรื่องหนึ่ง เหมือนกับนิทานปรัมปรา เพราะเหตุใดศาสตราจารย์โจวถึงบอกว่าเป็นเพื่อนของเขากันล่ะ ตอนแรกฟางเหยียนยังนึกว่าฉินเสียงหลินผู้นี้เป็นคนธรรมดาเสียอีก คิดไม่ถึงว่าฟังจากที่หยางจิ่งเซียนเล่ามาเช่นนี้ ถึงรู้ว่าเขาก็คือตำนานเรื่องหนึ่งนี่เอง

“จริงสิ จอมพลคุณตามหาฉินเสียงหลินเพราะมีเรื่องอะไรเหรอ? พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา คิดจะพบเขาคงยากยิ่งกว่ายาก แต่ด้วยฐานะของคุณหากคิดจะพบเขา ผมคิดว่าจะต้องง่ายดายกว่าพวกเรามากแน่” หยางจิ่งเซียนกล่าวเสริมขึ้นอีกประโยค

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+