จอมนักรบทรงเกียรติยศ 552 แขกผู้มีเกียรติ!

Now you are reading จอมนักรบทรงเกียรติยศ Chapter 552 แขกผู้มีเกียรติ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หากเป็นผู้อื่นได้ยินเข้า อาจจะรู้สึกว่าฟางเหยียนกำลังคุยโวอยู่ หยางซงเองก็รู้สึกว่าฟางเหยียนกำลังคุยโวอยู่ ฟางเหยียนนั้นมีความสามารถอยู่ก็จริง ทว่าไม่ถึงขั้นที่ว่าต่อยตีกับคนสิบคน

เจ้าตระกูลโจวกลับเอ่ยถามด้วยความสงบนิ่ง “แล้วสิบคนนั้นล่ะ?”

“ตายไปแล้ว!” ฟางเหยียนยังคงตอบกลับด้วยความสงบเช่นเคย การถามตอบของสองคนนี้ทำให้พ่อลูกตระกูลหยางที่อยู่ข้างๆ ต้องเกรงกลัวขึ้นมา หยางซงเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว ฟางเหยียนผู้นี้คุยโวโอ้อวดได้อย่างเยี่ยมยอดมาก ความสามารถบางอย่างก็ไม่ถึงขั้นต้องระห่ำเช่นนี้ก็ได้!

สีหน้าของเจ้าตระกูลโจวก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย อยู่ๆ ก็เอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอกเอ่ยว่า: “ดีมาก ดีมาก!”

อันที่จริงเจ้าตระกูลโจวน่าจะเดาอะไรบางอย่างออก การที่สามารถมีคนสิบคนร่วมมือกันจัดการกับฟางเหยียน แถมยังทำให้บาดเจ็บได้ เช่นนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ดีไม่ดีอาจจะเป็นยอดฝีมือระดับต้าชี่สิบคน หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาคนเดียวต่อสู้กับยอดฝีมือระดับต้าชี่สิบคน เขาแค่ช้ำใน ทว่าสิบคนนั้นกลับถูกเขาฆ่าตายทั้งหมด

“อย่างนั้นบาดแผลบนร่างกายของคุณ ตามหลักการแล้วน่าจะมีระยะเวลาช่วงหนึ่งแล้วสินะ? ทำไมยังไม่ฟื้นฟูกลับมาอีกล่ะ?” เจ้าตระกูลโจวเอ่ยถามอีกครั้ง ฟางเหยียนตบเสื้อผ้าของตัวเองเบาๆ เอ่ยว่า “ต่อมาก็เจอกับเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย ทำได้แค่ต้องจัดการปัญหาทั้งบาดแผล ผมก็อยากจัดการแผลเก่าบนร่างกายเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าตระกูลโจวจะมีวิธีการไหนหรือเปล่า?”

โจวปินคางรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “ฉันเคยเรียนทักษะการแพทย์กระจอกๆ มาเล็กน้อย แต่นั่นล้วนแต่เป็นวิชาที่ไร้ระดับขั้น! หากเป็นการรับมือกับบาดแผลปกติ บางทีอาจจะยังสามารถรักษาให้หายได้ ทว่าแผลช้ำในเช่นนี้ ความสามารถของฉันไม่ถึงหรอก! แต่ฉันอยากจะเตือนพ่อหนุ่มน้อยอะไรหน่อยนะ จากนี้ไปอย่าได้มีเรื่องมีราวอีก ถ้าใช้พลังภายในของตัวเองจนหมด เกรงว่าจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีกว่านี้ขึ้นอีก”

เจ้าตระกูลโจวเข้าใจดีเรื่องของความบาดเจ็บที่มาจากการทะเลาะวิวาทโดยมีบาดแผลด้วยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนินจา การที่ทะเลาะวิวาทกันโดยที่มีบาดแผลอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องห้ามโดยเด็ดขาด

“ไม่เป็นไร!” ฟางเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ผมสู้รบตบมือด้วยเต็มกำลังหรอก!”

นี่เป็นคำพูดที่พูดออกมาต่อหน้าของเจ้าตระกูลโจว และกำลังกดขี่ศักดิ์ศรีสุดท้ายของตระกูลโจวอยู่ด้วย ประโยคนี้หากเป็นคนธรรมดาจะหมายถึงว่าตระกูลโจวก็เป็นเพียงครอบครัวธรรมดาเท่านั้น ไม่เข้าตาฟางเหยียนด้วยซ้ำไป

ทว่าเจ้าตระกูลโจวกลับไม่มีโทสะเลย เขาทราบว่านี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่น และไม่ใช่คำพูดคุยโวที่อวดดีแต่อย่างใด การประลองพละกำลังเมื่อสักครู่นี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เก่งกาจไปมากกว่าฟางเหยียนเลย พลังภายในของตนเองที่สั่งสมมาสิบกว่าปียังไม่เทียบเท่ากับชายหนุ่มที่บาดเจ็บคนหนึ่งเลย เช่นนั้นความอดทนของเขาจะมีความแข็งแกร่งมากถึงเพียงใดกันแน่!

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “นายพักผ่อนให้ดีๆ หน่อยนะพ่อหนุ่มน้อย!”

สิ้นเสียงเขาก็ยกมือขึ้นมาตบไปยังลำตัวของฟางเหยียน ทำท่าทางที่ผู้ใหญ่เป็นห่วงผู้น้อย อันที่จริงนี่เป็นเพียงการยอมจำนนต่อพลังภายในเท่านั้น เจ้าตระกูลโจว ได้ยอมจำนนต่อพลังภายในของฟางเหยียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณ!” ฟางเหยียนตอบกลับเจ้าตระกูลโจวสองคำ

เจ้าตระกูลโจวหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า “ถ้างั้นคุณก็ไปเดินเที่ยวเล่นรอบๆ ไปก่อนนะ!”

หลังจากที่ฟางเหยียนบอกลาแล้ว ก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปพร้อมกับหยางจิ่งเซียนสองพ่อลูก หลังจากเห็นเงาร่างของฟางเหยียนเดินจากไปแล้ว ดวงตาของโจวปินคางก็หรี่ลงเป็นเส้นตรง เขาครุ่นคิดและเอ่ยว่า “ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยว่าหยางจิ่งเซียนรู้จักคนแบบนี้ด้วย”

เวลานี้ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากโจวปินคางได้เดินเข้ามา เป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ ห้าสิบปีกว่า นามว่าตู่เหย่นหลงบนใบหน้าของเขามีตอหนวดเล็กน้อย มองดูแล้วมีท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เขาถามขึ้นมาด้วยสายตาเฉียบคม “คุณท่าน ต้องการตรวจสอบเขาสักหน่อยไหม?”

โจวปินคางโบกมือ เอ่ยว่า “ผู้ที่มาเป็นแขก ตราบใดที่เขาไม่ก่อเรื่องอะไรออกมาก็อย่าทำอะไรโดยพลการ คนประเภทนี้ ถ้าไม่ไปผิดใจด้วยได้ก็อย่าไปผิดใจด้วยเลย การที่จะสามารถกลายเป็นเพื่อนกันได้ เป็นเรื่องที่ดีที่สุด”

“รับทราบ!” คนผู้นั้นตอบกลับมา จากนั้นก็ถอยหลังออกมาอย่างเงียบๆ

ขณะนี้ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทจงซานเดินเข้ามาหาโจวปินคาง คนผู้นี้มีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับโจวปินคางเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางการเดินรวมถึงหน้าตาล้วนคล้ายมาก เขาคือโจวชื่อเจี๋ย พ่อของโจวเจิ้ง

“พ่อ ทางเสี่ยวเจิ้งมีเรื่องมาแทรกนิดหน่อย เขาบอกว่านายน้อยตระกูลฟางคนนั้นมาที่ดินแดนตะวันตกแล้ว” โจวชื่อเจี๋ยเองก็คิดมานานมากเช่นกันจึงได้ตัดสินใจนำเรื่องนี้บอกกับผู้นำตระกูล

โจวปินคางเหลือบตามองโจวชื่อเจี๋ยแวบหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ทำไม? แกคิดจะทำอย่างไร?”

โจวชื่อเจี๋ยเอ่ยถามโดยไม่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ “ในเมื่อเขามาทำร้ายคนของตระกูลเรา อย่างนั้นก็เท่ากับว่ากำลังตบหน้าตระกูลโจวของเราอยู่ ไม่เห็นตระกูลโจวของเราอยู่ในสายตา หากเขาไม่มาดินแดนตะวันตกก็ว่าไปอย่าง เมื่อมาถึงดินแดนตะวันตก ตระกูลโจวเราจะต้องยอมเสียเปรียบโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ? ผมคิดว่าพวกเราจะมาเสียเปรียบกับเรื่องในครั้งนี้ไม่ได้ ถ้าคนอื่นรู้เข้าว่าตระกูลโจวของเราถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ วันข้างหน้าก็ไม่แน่ว่าจะยังมีใครหน้าไหนมารังแกคนของตระกูลโจวเราอีกก็ได้นะ พ่อ พวกเราควรจะเร่งลงมือ จัดการคนผู้นั้นเสีย”

โจวปินคางนิ่งเงียบไปนาน จึงเอ่ยว่า “เสี่ยวเจิ้งไปที่ภาคซีหนาน ทำอะไรลงไป? ทำไมถึงถูกคนอื่นทำร้ายได้?”

“เรื่องนี้มัน…” โจวชื่อเจี๋ยลังเลชั่วครู่ เขาเองก็ยังไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไปจริงๆ

โจวปินคางเอ่ยต่อว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไป นี่ก็คือวิธีการสั่งสอนของแก คนตระกูลโจวของฉัน ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ทำอะไรก็ไม่กระโตกกระตากมาแต่ไหนแต่ไร ลูกชายหรือหลานชายคนไหนของฉันไม่ใช่คนที่สุขุมไม่ก่อเรื่องบ้าง มีแต่โจวเจิ้งนี่แหละที่ถูกแกเอาใจจนเสียคน เขาเป็นอัจฉริยะของตระกูลโจวเราก็ถูกต้องอยู่ ฉันเองก็รู้เห็นเป็นใจกับเขาด้วยก็ถูกต้อง แต่หากทำเรื่องที่ผิดก็จะต้องได้รับความยากลำบาก นี่ก็คือบทเรียนในชีวิตที่เขาจะต้องเผชิญ หากแม้แต่รับความยากลำบากก็ทำไม่ได้ละก็ เช่นนั้นในอนาคตจะมีสิทธิ์อะไรในการนำพาตระกูลโจวของฉันเดินไปยังเส้นทางที่มั่งคั่งเกรียงไกรเล่า? หากพบกับคนผู้นั้นแล้ว พวกเราไม่เพียงแต่ไม่ต้องไปต่อกรกับเขา ยังต้องไปขอบคุณเขาด้วย เพราะว่าเขากำลังสั่งสอนลูกชายให้แกอยู่ แกเข้าใจไหม?”

โจวชื่อเจี๋ยรู้สึกจุกในลำคอ กำลังคิดที่จะเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงทำเสียงจุ๊บจั๊บ เอ่ยว่า “รับทราบ!”

โจวปินคางโบกมือเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์ “เอาเถอะ แกออกไปได้แล้ว!”

“จริงสิ พ่อ!” อยู่ๆ โจวเจิ้งเจี๋ยก็นึกอะไรบางอย่างออก เอ่ยว่า “วันนี้จะมีแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งมาเยือนสถานที่จัดงานแต่งของเจิ้งเจี๋ย การมาเยือนของเขาจะต้องโค่นล้มความคิดที่ท่านมีต่อลูกแน่นอน!”

“ใคร?” โจวปินคางถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ภายในหัวของเขาคิดถึงชายหนุ่มผู้นั้นที่มากับคนตระกูลหยาง หากจะพูดถึงบุคคลที่มีอิทธิพล เกรงว่าชายหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลคับฟ้าเป็นแน่ แถมยังเป็นบุคคลระดับสูงแนวหน้าของประเทศหวาอีกด้วย

โจวชื่อเจี๋ยไม่กล้าที่จะปิดบังทำให้อยากรู้อยากเห็นต่อหน้าโจวปินคาง ทำได้เพียงเอ่ยตามความจริง “โผ้จวินแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตของประเทศหวา!”

“อะไรนะ?” โจวปินคางตะลึงจนอ้าปากค้างไปทั้งเนื้อทั้งตัว ชื่อเสียงเรียงนามอันยิ่งใหญ่ที่ดังกึกก้องนี้สำหรับเขานั้นราวกับเป็นเสียงที่ดังกึกก้องสนั่นไปทั้งหู เขาเป็นใคร? เขาคือผู้นำตระกูลโจว เป็นตระกูลนินจา เป็นบุคคลที่ใส่ใจทุกสรรพสิ่งของประเทศหวาตลอดเวลา

จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่เคยได้ยินโผ้จวินแห่งประเทศหวา เทพแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตเชียว!

“แกพูดจริงหรือเปล่า?” โจวปินคางเอ่ยถามด้วยใบหน้าตื่นตระหนก เขาไม่ทราบเรื่องที่โจวชื่อเจี๋ยปิดสนามบินเพื่อรับเขามาเลย หรือกล่าวอีกอย่างว่า ในตอนนี้สำหรับเรื่องเหล่านี้เขาจะเอ่ยถามน้อยครั้งมาก ปล่อยให้เหล่าบรรดาลูกชายเป็นผู้จัดการเอง

โจวชื่อเจี๋ยพยักหน้าตอบกลับ เอ่ยว่า “เป็นความจริงอย่างแน่นอน ผมจะโกหกท่านได้อย่างไร!”

“ดี!” โจวปินคางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปีติ “ในที่สุดคนอย่างแกก็ทำเรื่องที่ถูกที่ควรสักทีนะ! ถ้าสามารถผูกสัมพันธ์กับบุคคลนี้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อตระกูลโจวเราอย่างแท้จริง มาคิดๆ ดูฉันโจวปินคางยังไม่สามารถผูกสัมพันธ์กับบุคคลที่ทำเพื่อประเทศทำเพื่อประชาชนได้เลย บัดนี้แกผูกสัมพันธ์ได้แล้ว เช่นนั้นนับเป็นความโชคดีของตระกูลโจวฉันจริงๆ ”

โจวชื่อเจี๋ยพยักหน้าเอ่ยขึ้นด้วยความพึงพอใจ “ผมจะไปติดต่อให้เขามาเดี๋ยวนี้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมนักรบทรงเกียรติยศ 552 แขกผู้มีเกียรติ!

Now you are reading จอมนักรบทรงเกียรติยศ Chapter 552 แขกผู้มีเกียรติ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หากเป็นผู้อื่นได้ยินเข้า อาจจะรู้สึกว่าฟางเหยียนกำลังคุยโวอยู่ หยางซงเองก็รู้สึกว่าฟางเหยียนกำลังคุยโวอยู่ ฟางเหยียนนั้นมีความสามารถอยู่ก็จริง ทว่าไม่ถึงขั้นที่ว่าต่อยตีกับคนสิบคน

เจ้าตระกูลโจวกลับเอ่ยถามด้วยความสงบนิ่ง “แล้วสิบคนนั้นล่ะ?”

“ตายไปแล้ว!” ฟางเหยียนยังคงตอบกลับด้วยความสงบเช่นเคย การถามตอบของสองคนนี้ทำให้พ่อลูกตระกูลหยางที่อยู่ข้างๆ ต้องเกรงกลัวขึ้นมา หยางซงเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว ฟางเหยียนผู้นี้คุยโวโอ้อวดได้อย่างเยี่ยมยอดมาก ความสามารถบางอย่างก็ไม่ถึงขั้นต้องระห่ำเช่นนี้ก็ได้!

สีหน้าของเจ้าตระกูลโจวก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย อยู่ๆ ก็เอามือทั้งสองประสานกันแล้วยกขึ้นในระดับหน้าอกเอ่ยว่า: “ดีมาก ดีมาก!”

อันที่จริงเจ้าตระกูลโจวน่าจะเดาอะไรบางอย่างออก การที่สามารถมีคนสิบคนร่วมมือกันจัดการกับฟางเหยียน แถมยังทำให้บาดเจ็บได้ เช่นนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ดีไม่ดีอาจจะเป็นยอดฝีมือระดับต้าชี่สิบคน หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาคนเดียวต่อสู้กับยอดฝีมือระดับต้าชี่สิบคน เขาแค่ช้ำใน ทว่าสิบคนนั้นกลับถูกเขาฆ่าตายทั้งหมด

“อย่างนั้นบาดแผลบนร่างกายของคุณ ตามหลักการแล้วน่าจะมีระยะเวลาช่วงหนึ่งแล้วสินะ? ทำไมยังไม่ฟื้นฟูกลับมาอีกล่ะ?” เจ้าตระกูลโจวเอ่ยถามอีกครั้ง ฟางเหยียนตบเสื้อผ้าของตัวเองเบาๆ เอ่ยว่า “ต่อมาก็เจอกับเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย ทำได้แค่ต้องจัดการปัญหาทั้งบาดแผล ผมก็อยากจัดการแผลเก่าบนร่างกายเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้าตระกูลโจวจะมีวิธีการไหนหรือเปล่า?”

โจวปินคางรีบเอ่ยขึ้นมาทันที “ฉันเคยเรียนทักษะการแพทย์กระจอกๆ มาเล็กน้อย แต่นั่นล้วนแต่เป็นวิชาที่ไร้ระดับขั้น! หากเป็นการรับมือกับบาดแผลปกติ บางทีอาจจะยังสามารถรักษาให้หายได้ ทว่าแผลช้ำในเช่นนี้ ความสามารถของฉันไม่ถึงหรอก! แต่ฉันอยากจะเตือนพ่อหนุ่มน้อยอะไรหน่อยนะ จากนี้ไปอย่าได้มีเรื่องมีราวอีก ถ้าใช้พลังภายในของตัวเองจนหมด เกรงว่าจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีกว่านี้ขึ้นอีก”

เจ้าตระกูลโจวเข้าใจดีเรื่องของความบาดเจ็บที่มาจากการทะเลาะวิวาทโดยมีบาดแผลด้วยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับนินจา การที่ทะเลาะวิวาทกันโดยที่มีบาดแผลอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องห้ามโดยเด็ดขาด

“ไม่เป็นไร!” ฟางเหยียนเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “คนธรรมดาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำให้ผมสู้รบตบมือด้วยเต็มกำลังหรอก!”

นี่เป็นคำพูดที่พูดออกมาต่อหน้าของเจ้าตระกูลโจว และกำลังกดขี่ศักดิ์ศรีสุดท้ายของตระกูลโจวอยู่ด้วย ประโยคนี้หากเป็นคนธรรมดาจะหมายถึงว่าตระกูลโจวก็เป็นเพียงครอบครัวธรรมดาเท่านั้น ไม่เข้าตาฟางเหยียนด้วยซ้ำไป

ทว่าเจ้าตระกูลโจวกลับไม่มีโทสะเลย เขาทราบว่านี่ไม่ใช่คำพูดล้อเล่น และไม่ใช่คำพูดคุยโวที่อวดดีแต่อย่างใด การประลองพละกำลังเมื่อสักครู่นี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เก่งกาจไปมากกว่าฟางเหยียนเลย พลังภายในของตนเองที่สั่งสมมาสิบกว่าปียังไม่เทียบเท่ากับชายหนุ่มที่บาดเจ็บคนหนึ่งเลย เช่นนั้นความอดทนของเขาจะมีความแข็งแกร่งมากถึงเพียงใดกันแน่!

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มขึ้นมา เอ่ยว่า “นายพักผ่อนให้ดีๆ หน่อยนะพ่อหนุ่มน้อย!”

สิ้นเสียงเขาก็ยกมือขึ้นมาตบไปยังลำตัวของฟางเหยียน ทำท่าทางที่ผู้ใหญ่เป็นห่วงผู้น้อย อันที่จริงนี่เป็นเพียงการยอมจำนนต่อพลังภายในเท่านั้น เจ้าตระกูลโจว ได้ยอมจำนนต่อพลังภายในของฟางเหยียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณ!” ฟางเหยียนตอบกลับเจ้าตระกูลโจวสองคำ

เจ้าตระกูลโจวหัวเราะหึหึ เอ่ยว่า “ถ้างั้นคุณก็ไปเดินเที่ยวเล่นรอบๆ ไปก่อนนะ!”

หลังจากที่ฟางเหยียนบอกลาแล้ว ก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่ไปพร้อมกับหยางจิ่งเซียนสองพ่อลูก หลังจากเห็นเงาร่างของฟางเหยียนเดินจากไปแล้ว ดวงตาของโจวปินคางก็หรี่ลงเป็นเส้นตรง เขาครุ่นคิดและเอ่ยว่า “ทำไมฉันถึงไม่รู้เลยว่าหยางจิ่งเซียนรู้จักคนแบบนี้ด้วย”

เวลานี้ ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากโจวปินคางได้เดินเข้ามา เป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ ห้าสิบปีกว่า นามว่าตู่เหย่นหลงบนใบหน้าของเขามีตอหนวดเล็กน้อย มองดูแล้วมีท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

เขาถามขึ้นมาด้วยสายตาเฉียบคม “คุณท่าน ต้องการตรวจสอบเขาสักหน่อยไหม?”

โจวปินคางโบกมือ เอ่ยว่า “ผู้ที่มาเป็นแขก ตราบใดที่เขาไม่ก่อเรื่องอะไรออกมาก็อย่าทำอะไรโดยพลการ คนประเภทนี้ ถ้าไม่ไปผิดใจด้วยได้ก็อย่าไปผิดใจด้วยเลย การที่จะสามารถกลายเป็นเพื่อนกันได้ เป็นเรื่องที่ดีที่สุด”

“รับทราบ!” คนผู้นั้นตอบกลับมา จากนั้นก็ถอยหลังออกมาอย่างเงียบๆ

ขณะนี้ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสูทจงซานเดินเข้ามาหาโจวปินคาง คนผู้นี้มีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับโจวปินคางเป็นอย่างยิ่ง ท่าทางการเดินรวมถึงหน้าตาล้วนคล้ายมาก เขาคือโจวชื่อเจี๋ย พ่อของโจวเจิ้ง

“พ่อ ทางเสี่ยวเจิ้งมีเรื่องมาแทรกนิดหน่อย เขาบอกว่านายน้อยตระกูลฟางคนนั้นมาที่ดินแดนตะวันตกแล้ว” โจวชื่อเจี๋ยเองก็คิดมานานมากเช่นกันจึงได้ตัดสินใจนำเรื่องนี้บอกกับผู้นำตระกูล

โจวปินคางเหลือบตามองโจวชื่อเจี๋ยแวบหนึ่ง เอ่ยถามว่า “ทำไม? แกคิดจะทำอย่างไร?”

โจวชื่อเจี๋ยเอ่ยถามโดยไม่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ “ในเมื่อเขามาทำร้ายคนของตระกูลเรา อย่างนั้นก็เท่ากับว่ากำลังตบหน้าตระกูลโจวของเราอยู่ ไม่เห็นตระกูลโจวของเราอยู่ในสายตา หากเขาไม่มาดินแดนตะวันตกก็ว่าไปอย่าง เมื่อมาถึงดินแดนตะวันตก ตระกูลโจวเราจะต้องยอมเสียเปรียบโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ? ผมคิดว่าพวกเราจะมาเสียเปรียบกับเรื่องในครั้งนี้ไม่ได้ ถ้าคนอื่นรู้เข้าว่าตระกูลโจวของเราถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้ วันข้างหน้าก็ไม่แน่ว่าจะยังมีใครหน้าไหนมารังแกคนของตระกูลโจวเราอีกก็ได้นะ พ่อ พวกเราควรจะเร่งลงมือ จัดการคนผู้นั้นเสีย”

โจวปินคางนิ่งเงียบไปนาน จึงเอ่ยว่า “เสี่ยวเจิ้งไปที่ภาคซีหนาน ทำอะไรลงไป? ทำไมถึงถูกคนอื่นทำร้ายได้?”

“เรื่องนี้มัน…” โจวชื่อเจี๋ยลังเลชั่วครู่ เขาเองก็ยังไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไปจริงๆ

โจวปินคางเอ่ยต่อว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าแกไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไป นี่ก็คือวิธีการสั่งสอนของแก คนตระกูลโจวของฉัน ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ทำอะไรก็ไม่กระโตกกระตากมาแต่ไหนแต่ไร ลูกชายหรือหลานชายคนไหนของฉันไม่ใช่คนที่สุขุมไม่ก่อเรื่องบ้าง มีแต่โจวเจิ้งนี่แหละที่ถูกแกเอาใจจนเสียคน เขาเป็นอัจฉริยะของตระกูลโจวเราก็ถูกต้องอยู่ ฉันเองก็รู้เห็นเป็นใจกับเขาด้วยก็ถูกต้อง แต่หากทำเรื่องที่ผิดก็จะต้องได้รับความยากลำบาก นี่ก็คือบทเรียนในชีวิตที่เขาจะต้องเผชิญ หากแม้แต่รับความยากลำบากก็ทำไม่ได้ละก็ เช่นนั้นในอนาคตจะมีสิทธิ์อะไรในการนำพาตระกูลโจวของฉันเดินไปยังเส้นทางที่มั่งคั่งเกรียงไกรเล่า? หากพบกับคนผู้นั้นแล้ว พวกเราไม่เพียงแต่ไม่ต้องไปต่อกรกับเขา ยังต้องไปขอบคุณเขาด้วย เพราะว่าเขากำลังสั่งสอนลูกชายให้แกอยู่ แกเข้าใจไหม?”

โจวชื่อเจี๋ยรู้สึกจุกในลำคอ กำลังคิดที่จะเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงทำเสียงจุ๊บจั๊บ เอ่ยว่า “รับทราบ!”

โจวปินคางโบกมือเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่สบอารมณ์ “เอาเถอะ แกออกไปได้แล้ว!”

“จริงสิ พ่อ!” อยู่ๆ โจวเจิ้งเจี๋ยก็นึกอะไรบางอย่างออก เอ่ยว่า “วันนี้จะมีแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งมาเยือนสถานที่จัดงานแต่งของเจิ้งเจี๋ย การมาเยือนของเขาจะต้องโค่นล้มความคิดที่ท่านมีต่อลูกแน่นอน!”

“ใคร?” โจวปินคางถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ภายในหัวของเขาคิดถึงชายหนุ่มผู้นั้นที่มากับคนตระกูลหยาง หากจะพูดถึงบุคคลที่มีอิทธิพล เกรงว่าชายหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลคับฟ้าเป็นแน่ แถมยังเป็นบุคคลระดับสูงแนวหน้าของประเทศหวาอีกด้วย

โจวชื่อเจี๋ยไม่กล้าที่จะปิดบังทำให้อยากรู้อยากเห็นต่อหน้าโจวปินคาง ทำได้เพียงเอ่ยตามความจริง “โผ้จวินแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตของประเทศหวา!”

“อะไรนะ?” โจวปินคางตะลึงจนอ้าปากค้างไปทั้งเนื้อทั้งตัว ชื่อเสียงเรียงนามอันยิ่งใหญ่ที่ดังกึกก้องนี้สำหรับเขานั้นราวกับเป็นเสียงที่ดังกึกก้องสนั่นไปทั้งหู เขาเป็นใคร? เขาคือผู้นำตระกูลโจว เป็นตระกูลนินจา เป็นบุคคลที่ใส่ใจทุกสรรพสิ่งของประเทศหวาตลอดเวลา

จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่เคยได้ยินโผ้จวินแห่งประเทศหวา เทพแห่งสำนักเจ็ดพิฆาตเชียว!

“แกพูดจริงหรือเปล่า?” โจวปินคางเอ่ยถามด้วยใบหน้าตื่นตระหนก เขาไม่ทราบเรื่องที่โจวชื่อเจี๋ยปิดสนามบินเพื่อรับเขามาเลย หรือกล่าวอีกอย่างว่า ในตอนนี้สำหรับเรื่องเหล่านี้เขาจะเอ่ยถามน้อยครั้งมาก ปล่อยให้เหล่าบรรดาลูกชายเป็นผู้จัดการเอง

โจวชื่อเจี๋ยพยักหน้าตอบกลับ เอ่ยว่า “เป็นความจริงอย่างแน่นอน ผมจะโกหกท่านได้อย่างไร!”

“ดี!” โจวปินคางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปีติ “ในที่สุดคนอย่างแกก็ทำเรื่องที่ถูกที่ควรสักทีนะ! ถ้าสามารถผูกสัมพันธ์กับบุคคลนี้ได้ ถ้าเช่นนั้นก็จะเป็นผลประโยชน์ต่อตระกูลโจวเราอย่างแท้จริง มาคิดๆ ดูฉันโจวปินคางยังไม่สามารถผูกสัมพันธ์กับบุคคลที่ทำเพื่อประเทศทำเพื่อประชาชนได้เลย บัดนี้แกผูกสัมพันธ์ได้แล้ว เช่นนั้นนับเป็นความโชคดีของตระกูลโจวฉันจริงๆ ”

โจวชื่อเจี๋ยพยักหน้าเอ่ยขึ้นด้วยความพึงพอใจ “ผมจะไปติดต่อให้เขามาเดี๋ยวนี้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+