จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 274 พิชิตจักรวาล

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 274 พิชิตจักรวาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นักพรตคิ้วยาวโมโหจนเกือบกระอักเลือด

จะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว คำพูดแบบนี้ยังกล้าเอ่ยออกมา เอาเปรียบคนอื่นแล้วยังจะหน้าด้านอีก

เขาต่อแขนแล้วเรียบร้อย แต่ไม่มีความกล้าที่จะสู้อีกแล้ว

‘กระจกสยบฟ้า’ เป็นอาวุธสำคัญของจักรวรรดิ สะกดการโคจรพลังในเมืองฉางอันไว้ มีเพียงเจ้าเมืองเท่านั้นที่ควบคุมได้ เมื่อขับเคลื่อนแล้วพูดได้ว่ารวบรวมพลังของทั้งเมือง สะกดทั่วทุกทิศ ทั้งพลังมนุษย์และพลังฟ้าดินในเมืองฉางอันล้วนถูกอาวุธเทพชิ้นนี้สะกด นอกเสียจากเจ้าเมืองหลี่กังจะสลายพลัง ‘กระจกสยบฟ้า’ หรือมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ไม่ก็ของวิเศษเพิ่มพลังเหมือนองค์ชายสอง หรือหลุดพ้นขั้นเหนือมนุษย์ก้าวเข้าสู่ขั้นเทวะ ถึงจะมีพลังขับเคลื่อนพลังฟ้าดินได้

ในสภาวะเช่นนี้ นักพรตคิ้วยาวรู้ตัวเลยว่าไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่

ข้างหลังองค์ชายสองยังมีอีกหลายคน เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือที่ติดตามมา กำลังพยายามควบคุมความคิดที่จะลงมือ

พูดตามตรง พวกเขาตื่นตะลึงกับกำลังรบที่หลี่มู่สำแดงออกมาเมื่อครู่มาก

โดยเฉพาะท่าดาบเหินหาวอัศจรรย์พันลึกราวกลวิชาเซียน ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมีใครพัฒนาเพลงดาบได้ถึงขั้นนี้ กระบวนท่ากระบี่เหินหาวของสำนักกระบี่สวรรค์ก็มีชื่อเสียงมากในแผ่นดินใหญ่เสินโจว แต่ไม่อาจเทียบกับดาบเหินหาวของหลี่มู่ได้เลย

วิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่ ทักษะเลิศล้ำใกล้เคียงกับหลักแห่งเต๋า พลังสังหารน่าสะพรึงกลัว

“ตาย”

องค์ชายสองเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ร่างเงากะพริบวูบ

ยอดฝีมือสี่คนข้างหลังเขาร่างกะพริบไหว โจมตีสังหารไปยังหลี่มู่พร้อมกัน

ชายหนุ่มชุดขาวอำพรางหน้าที่อยู่ข้างกายหลี่มู่ ตอนนี้ก็ตั้งสติกลับมาแล้ว เขาห้ามเลือดจากแผลหอกที่ไหล่ ก่อนกวัดแกว่งกระบี่ทั้งสอง “ข้าช่วยเจ้าเอง!” เขาพยายามสกัดหนึ่งในสี่คนที่ล้อมโจมตีหลี่มู่

ทว่า ประกายดาบสายหนึ่งสกัดชายชุดขาวเอาไว้

“ถ้าอยากตาย ข้าจะทำให้เจ้าสมหวังเอง” คนที่ลงมือคือฉู่หนานเทียนหนึ่งในผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน จอมกระบี่หนุ่มที่แพ้ให้กับหลี่มู่ก่อนหน้านี้นั่นเอง หลังจากจำศีลไปหลายวัน เห็นได้ชัดว่าหันไปพึ่งพาองค์ชายสองแล้ว

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่มู่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขั้นฟ้าประทาน วิชากระบี่ล้ำเลิศ พอลงมือก็ควบคุมชายหนุ่มชุดขาวปิดหน้าที่แต่เดิมได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วเอาไว้ อันตรายเกิดขึ้นไม่หยุด ทำให้ฝ่ายหลังไม่อาจช่วยหลี่มู่ได้

ที่ไหล่ของเขา แผลหอกปริแตกเพราะออกแรง เลือดพุ่งกระฉูดย้อมจนชุดสีขาวแดงเถือก

“ตาย!”

เขาคำรามลั่น เหมือนไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลบนร่าง กระบี่คู่กวัดแกว่งราวกับเจียวคลั่งอาละวาดกลางสมุทร เหมือนอาทิตย์ฉายเหนือยอดเขาหิมะ พลังไม่ด้อยกว่าตอนที่สู้กับ ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ก่อนหน้านี้เลย ถึงแม้จะเสียเปรียบ แต่ชั่วขณะนั้นก็พอจะสู้ได้ ไม่แพ้และไม่ตาย

หลี่มู่เดิมจะช่วยเหลือ แต่เห็นฉากนี้แล้ว ในใจก็อดจุปากอย่างอัศจรรย์ไม่ได้

ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้น่ากลัวว่าคงมีคุณสมบัติกายด้านต่อสู้ที่พิเศษอย่างหนึ่ง ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง คนแบบนี้เหมือนกับเฉียวฟง หนึ่งในสามพระเอกของเรื่อง ‘แปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ เกิดมาก็เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ วิชายุทธ์ที่เหมือนๆ กัน เมื่ออยู่ในมือเขากลับสำแดงพลังได้แข็งแกร่งกว่าคนอื่นหลายสิบเท่า ลองคิดดู หัวหน้าพรรคกระยาจกหลายรุ่นล้วนมีสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรและไม้เท้าตีสุนัข แต่มีเพียงอยู่ในมือของเฉียวเฟิงเท่านั้นถึงแทบเรียกได้ว่าไร้พ่าย

หากมี BGM เป็นของตัวเอง พกลำโพงมาเปิดเองละก็ เช่นนั้นก็จะไร้พ่ายในใต้หล้าเหมือนกับเฉียวฟงแล้วจริงๆ[1]

ถึงอย่างไร คนที่เวลาเปิดตัวออกมาสู้แล้วมีเพลงขึ้น สามสี่คนนั้นก็ล้วนไร้พ่ายกันทั้งสิ้น

สำหรับหลี่มู่ ชายหนุ่มชุดขาวมีแนวโน้มจะเป็นเฉียวฟง

อีกทั้งเพื่อช่วยพวกถังฮูหยิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องตายแน่ก็ยังคงลงมือช่วย นับเป็นคนที่มีความกล้าหาญจริงใจ คนแบบนี้หลี่มู่ชื่นชมเป็นอย่างมาก

ขณะในใจของเขากำลังขบคิด ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย

ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ที่ลงมือเป็นคนข้างกายองค์ชายสอง พลังไม่ด้อยไปกว่านักพรตคิ้วยาวเลย ทุกคนเป็นขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น แต่กลับร่วมมือกันสังหารหลี่มู่ นี่เรียกได้ว่าทำให้ความภาคภูมิใจและเกียรติของขั้นเหนือมนุษย์ตกต่ำถึงขีดสุดทีเดียว

และนี่ก็เป็นการประกาศว่า นับจากพริบตานี้เป็นต้นไป การฆ่าล้างสังหารในวังวนการเมืองที่แท้จริงเปิดฉากขึ้นแล้ว

สำหรับองค์ชายสอง สิงโตจับกระต่ายก็ต้องใช้แรงสุดกำลัง เขารู้สึกไม่ชอบกลบางอย่าง จึงจะจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดและกวาดล้างทุกสิ่ง ชื่อเสียงใดล้วนไร้ประโยชน์ ขอแค่ตัดหัวหลี่มู่และหลี่กังได้ถึงจะนับว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง นับแต่โบราณมาผู้ทำการใหญ่ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประวัติศาสตร์ล้วนจดจำแต่ผู้ชนะเท่านั้น

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ดาบบินกะพริบวับไหว ปราณดาบถาโถมตามใจ

หลี่มู่สัมผัสได้ถึงแรงกดดัน แต่จิตหมายต่อสู้ในกายของเขากำลังลุกไหม้เดือดพล่าน

พลังของ ‘กระจกสยบฟ้า’ สะกดพลังฝึกของขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสี่เอาไว้ หากไม่อาจเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินได้ ก็เท่ากับถูกสะกดขอบเขตเหนือมนุษย์ขั้นสูงสุดสมบูรณ์ ถึงแม้จะยังคงเหนือกว่าหลี่มู่ แต่หากไม่มีการเพิ่มพลังจากพลังฟ้าดิน ก็จะไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่าสำหรับหลี่มู่ สี่คนนี้เป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ์ของตัวเอง

หัตถ์ดาบออกท่าหกดาบวายุเมฆา ความคิดควบคุมดาบบินเล็กใหญ่ยี่สิบเล่ม ปราณดาบล้อมรอบทั่วร่างเขา ศึกดุเดือดเกิดขึ้น เพียงแค่พริบตาก็รักษาโอกาสชนะไว้ได้ครึ่งๆ

องค์ชายสองยืนอยู่บนหอสูง ไม่ได้สนใจการต่อสู้ศึกนี้

สายตาของเขามองข้ามไปยังที่ไกลสองลี้ จับจ้องเจ้าเมืองฉางอันหลี่กังที่ยืนอยู่หน้าหอบวงสรวง

จิตต่อสู้ในดวงตาปรากฏทันที โลหิตที่เงียบเหงามานานเหมือนกำลังเผาไหม้ องค์ชายสองไม่มีความคิดวู่วามอยากจะลงมือสู้แบบวันนี้มานานมากแล้ว ด้วยฐานะ ตำแหน่ง และพลังฝึกของเขา คนที่ควรค่าให้เขาลงมือมีไม่มากแล้ว

เสียงคำรามรางเลือนของมังกรดังออกมาจากร่างองค์ชายสอง

ละอองหมอกสีเหลืองจางๆ ปรากฏข้างกายเขาเป็นกลุ่มๆ ก่อนรวมตัวเป็นมังกรเคลื่อนไหวเลือนราง และพันล้อมรอบกายเขาไว้ วิชา ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตกเป็นวิชาชั้นยอดของยุค อานุภาพมหาศาล ว่ากันว่าหากฝึกฝนจนถึงขีดสูงสุดจะสามารถบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ได้ เหนือชั้นกว่ายอดวิชาของสำนักเทพทั้งเก้ามากนัก มีเพียงสมาชิกคนสำคัญของราชวงศ์เท่านั้นถึงจะฝึกฝนได้ อีกทั้งยิ่งสายเลือดบริสุทธิ์ ความก้าวหน้าของการฝึกฝนก็ยิ่งสูง

ยามองค์ชายสองถือกำเนิด ก็ได้รับคำทำนายว่าจะเป็นอัจฉริยะวิถียุทธ์ ในกายมีสายเลือดราชวงศ์ที่บริสุทธิ์มาก ดังนั้นเขาจึงฝึกฝน ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ได้เข้าขั้น และเป็นหนึ่งในผู้มีพลังฝึกสูงที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเชื้อพระวงศ์มาแต่ไหนแต่ไร

ความคิดเพียงขยับ เสียงมังกรคำรามก็ดังไม่หยุด

ราวกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารขององค์ชายสอง ในดวงตาของหลี่กังฉายแววเหยียดหยันบางๆ

ตอนนี้เอง ข้างหลังองค์ชายสองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “องค์ชาย ให้กระหม่อมลงมือเถิดพ่ะย่ะค่ะ ผู้เป็นนายไม่ก่อสงครามเพราะโทสะ ไม่สังหารเพราะความสนุก องค์ชายฐานะสูงส่งเพียงใด วันข้างหน้าจะรับตำแหน่งสูงสุด ไยต้องถือสาหาความกับคนกำลังจะตายคนหนึ่งเล่า”

ผู้เอ่ยคือขันทีใหญ่คนหนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างหลังองค์ชายสองมาโดยตลอด แต่เงียบงันเสียเหมือนไม่มีตัวตน

คำพูดของเขามีพลังอย่างมากในใจขององค์ชายสอง

หลังจากองค์ชายสองลังเลเล็กน้อย ละอองหมอกสีเหลืองบนร่างก็สลายไป เสียงมังกรคำรามในร่างเงียบลง จิตกระหายต่อสู้ที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาค่อยๆ หดกลับ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ลำบากเฉากงกงแล้ว”

“องค์ชายเกรงใจแล้ว”

ขันทีใหญ่ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ดูแล้วอายุประมาณสี่ห้าสิบ สีหน้านอบน้อม เขาทำความเคารพ จากนั้นก้าวออกไป ร่างกะพริบไหว เสี้ยวขณะต่อมาก็ข้ามระยะหลายลี้มาถึงหน้าหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ อยู่ห่างจากหลี่กังประมาณสามจั้ง

“ใต้เท้าหลี่ ไม่เจอกันนาน” เสียงของขันทีเย็นเยือก

แววตาของหลี่กังฉายอาการตกใจ ก่อนจะหัวเราะราบเรียบ “ยี่สิบเอ็ดปีไม่ได้พบ ‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียนที่ชื่อระบือในเมืองฉินตอนนั้น กลับเข้าวังไปเป็นขันทีอย่างนั้นรึ ฮ่าๆ ก็แค่ไม่ติดอันดับในสี่ตำนานไม่ใช่หรือไร พี่เฉาไยต้องทำเรื่องไร้ผู้สืบสกุลเช่นนี้ด้วย?” มองไม่ออกเลยว่าฝีปากของเจ้าเมืองชายชั่วก็ร้ายกาจอยู่เหมือนกัน

ขันทีใหญ่หน้าขาวเกลี้ยงเกลามุมปากกระตุก “ก็เพื่อการต่อสู้ในวันนี้”

ตอนนั้น ‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียนเข้าสอบบัณฑิตรอบเดียวกับพวกหลี่กัง ทุกคนต่างเป็นบุคคลเยี่ยมยอด สอบเคอจวี่รอบนั้น ตอนนี้ดูแล้วก็ยังคงมีดาวบัณฑิตมากมาย พูดได้ว่าแย่งกันโดดเด่น เป็นความเฟื่องฟูที่หลายร้อยปีที่ผ่านมายากจะได้เห็น เฉาปิ่งเหยียนก็นับว่าเป็นผู้เยี่ยมยอดในนั้น แต่น่าเสียดาย ในยามที่เขาโดดเด่นที่สุดกลับไปท้าสู้กับ ‘เซียนกระบี่’ หลี่กังเสียได้

สุดท้าย ‘กระบี่ทางช้างเผือก’ พ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียวต่อหน้า ‘กระบี่ธุลีแดง’

แต่เดิมไม่เป็นเรื่องน่าอัปยศเท่าใดนัก ถึงอย่างไร ‘กระบี่ธุลีแดง’ ในตอนนั้นก็เป็นกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองฉินอยู่แล้ว

แต่สำหรับเฉาปิ่งเหยียนที่หยิ่งทะนง การโจมตีแบบนี้รุนแรงยิ่งนัก เป็นสิ่งที่ยากจะรับได้ เคยมีคนบอกไว้ว่าอันที่จริงตอนนั้นอาจจะเป็นห้าตำนานได้ เฉาปิ่งเหยียนได้รับการคัดเลือก แต่เขากลับเลือกเดินทางอีกสายหนึ่ง ถอยออกมาจากชื่อเสียงที่เพิ่งได้รับ และหายไปเหมือนกับ ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหริน

ผ่านไปยี่สิบปี ได้มาพบกันอีกครั้ง หลี่กังตกใจนักที่อัจฉริยะผู้หยิ่งทะนงตัดความวุ่นวายเข้าวังไปเป็นขันที

ความพ่ายแพ้ในวันนั้นจดจำถึงวันนี้เชียวรึ?

หลี่กังไม่พูดอะไรอีก ยกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ลงมือเถอะ ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่าผ่านไปยี่สิบปี ‘กระบี่ทางช้างเผือก’ ของพี่เฉาจะกวาดไปในฟ้าดินห้วงดาราได้จริงหรือไม่”

ในสายตาของขันทีใหญ่ แววคมกริบดุจกระบี่พาดผ่าน “นับจากวันนี้ ในโลกจะไม่มีกระบี่ธุลีแดง และไม่มีเซียนกระบี่หลี่กังอีกต่อไป”

……

“เป็นไปได้อย่างไร?”

มู่ชิงถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งกดท้องเอาไว้ เลือดไหลออกมาจากปลายนิ้ว ในสายตาของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ผู้นี้ฉายแววไม่อยากจะเชื่อ กระบี่งามสง่าในมือของเขาตอนนี้ปักอยู่ที่หลังหลี่มู่ลึกเข้าไปสองนิ้วมือ แต่กลับเสมือนหลอมเป็นเนื้อเดียว ไม่อาจดึงออกมาได้อีก

“มีอะไรเป็นไปไม่ได้เล่า” หลี่มู่หัวเราะลั่น “นี่สิถึงจะเป็นการต่อสู้”

เขาใช้หมัดแลกหมัด รับกระบี่ของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็ใช้หัตถ์ดาบทำร้ายขั้นเหนือมนุษย์ผู้นี้บาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สามคนที่เหลือมาช่วยได้ทันเวลา บีบหลี่มู่จนต้องเลิกไล่สังหารแล้วละก็ เกรงว่ามู่ชิงในยามนี้คงจะถูกหลี่มู่สังหารไปเรียบร้อยแล้ว

มู่ชิงถูกแทง กำลังรบลดฮวบ

แต่สำหรับหลี่มู่ กระบี่นี้ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บจนถึงส่วนสำคัญเลย

ความแข็งแกร่งของกายเนื้อเขาอยู่เหนือขั้นเหนือมนุษย์ กระบี่นั้นแทงเข้ามา กล้ามเนื้อก็บีบรัดเอาไว้แล้ว อีกทั้งสิ่งที่สำคัญคือภายใต้การโคจรเนตรสวรรค์ หลี่มู่มองทะลุเห็นวิถีกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ มีความสามารถกึ่งพยากรณ์ ดังนั้นต่อให้ถูกโจมตีก็ล้วนเป็นการฝืนรับท่าที่อ่อนแอที่สุดเอาไว้

กายเนื้ออันแข็งแกร่งเป็นหนึ่งในไพ่ตายของหลี่มู่

และพลังของเนตรสวรรค์ก็เป็นไพ่ตายใบที่สองที่ทำให้เขาไร้พ่ายภายใต้การล้อมโจมตีจากขั้นเหนือมนุษย์สี่คนเช่นนี้

พูดได้ว่าหลี่มู่กำลังร่ายรำอยู่บนปลายดาบ

พลังกดดันมหาศาลราวเขาไท่ซานทะลักมา ภายใต้การฝึกฝนเช่นนี้ เขาเริ่มรู้สึกเลาๆ ว่าตัวเองจะทะลวงขั้นอีกแล้ว 

……………………………

[1] ตัวละครที่ต่อสู้เก่งๆ ในละครจีน เวลาถึงฉากต่อสู้มักจะมีแบคกราวด์มิวสิคเปิดขึ้นเสมอ เป็นสัญลักษณ์ของความไร้พ่าย และทำให้คนดูรู้ว่าตัวละครนั้นจะชนะแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา บทที่ 274 พิชิตจักรวาล

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter บทที่ 274 พิชิตจักรวาล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

นักพรตคิ้วยาวโมโหจนเกือบกระอักเลือด

จะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว คำพูดแบบนี้ยังกล้าเอ่ยออกมา เอาเปรียบคนอื่นแล้วยังจะหน้าด้านอีก

เขาต่อแขนแล้วเรียบร้อย แต่ไม่มีความกล้าที่จะสู้อีกแล้ว

‘กระจกสยบฟ้า’ เป็นอาวุธสำคัญของจักรวรรดิ สะกดการโคจรพลังในเมืองฉางอันไว้ มีเพียงเจ้าเมืองเท่านั้นที่ควบคุมได้ เมื่อขับเคลื่อนแล้วพูดได้ว่ารวบรวมพลังของทั้งเมือง สะกดทั่วทุกทิศ ทั้งพลังมนุษย์และพลังฟ้าดินในเมืองฉางอันล้วนถูกอาวุธเทพชิ้นนี้สะกด นอกเสียจากเจ้าเมืองหลี่กังจะสลายพลัง ‘กระจกสยบฟ้า’ หรือมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ไม่ก็ของวิเศษเพิ่มพลังเหมือนองค์ชายสอง หรือหลุดพ้นขั้นเหนือมนุษย์ก้าวเข้าสู่ขั้นเทวะ ถึงจะมีพลังขับเคลื่อนพลังฟ้าดินได้

ในสภาวะเช่นนี้ นักพรตคิ้วยาวรู้ตัวเลยว่าไม่ใช่คู่มือของหลี่มู่

ข้างหลังองค์ชายสองยังมีอีกหลายคน เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือที่ติดตามมา กำลังพยายามควบคุมความคิดที่จะลงมือ

พูดตามตรง พวกเขาตื่นตะลึงกับกำลังรบที่หลี่มู่สำแดงออกมาเมื่อครู่มาก

โดยเฉพาะท่าดาบเหินหาวอัศจรรย์พันลึกราวกลวิชาเซียน ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นมีใครพัฒนาเพลงดาบได้ถึงขั้นนี้ กระบวนท่ากระบี่เหินหาวของสำนักกระบี่สวรรค์ก็มีชื่อเสียงมากในแผ่นดินใหญ่เสินโจว แต่ไม่อาจเทียบกับดาบเหินหาวของหลี่มู่ได้เลย

วิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่ ทักษะเลิศล้ำใกล้เคียงกับหลักแห่งเต๋า พลังสังหารน่าสะพรึงกลัว

“ตาย”

องค์ชายสองเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

ร่างเงากะพริบวูบ

ยอดฝีมือสี่คนข้างหลังเขาร่างกะพริบไหว โจมตีสังหารไปยังหลี่มู่พร้อมกัน

ชายหนุ่มชุดขาวอำพรางหน้าที่อยู่ข้างกายหลี่มู่ ตอนนี้ก็ตั้งสติกลับมาแล้ว เขาห้ามเลือดจากแผลหอกที่ไหล่ ก่อนกวัดแกว่งกระบี่ทั้งสอง “ข้าช่วยเจ้าเอง!” เขาพยายามสกัดหนึ่งในสี่คนที่ล้อมโจมตีหลี่มู่

ทว่า ประกายดาบสายหนึ่งสกัดชายชุดขาวเอาไว้

“ถ้าอยากตาย ข้าจะทำให้เจ้าสมหวังเอง” คนที่ลงมือคือฉู่หนานเทียนหนึ่งในผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน จอมกระบี่หนุ่มที่แพ้ให้กับหลี่มู่ก่อนหน้านี้นั่นเอง หลังจากจำศีลไปหลายวัน เห็นได้ชัดว่าหันไปพึ่งพาองค์ชายสองแล้ว

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดสำนักกระบี่สวรรค์ยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่มู่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นขั้นฟ้าประทาน วิชากระบี่ล้ำเลิศ พอลงมือก็ควบคุมชายหนุ่มชุดขาวปิดหน้าที่แต่เดิมได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วเอาไว้ อันตรายเกิดขึ้นไม่หยุด ทำให้ฝ่ายหลังไม่อาจช่วยหลี่มู่ได้

ที่ไหล่ของเขา แผลหอกปริแตกเพราะออกแรง เลือดพุ่งกระฉูดย้อมจนชุดสีขาวแดงเถือก

“ตาย!”

เขาคำรามลั่น เหมือนไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลบนร่าง กระบี่คู่กวัดแกว่งราวกับเจียวคลั่งอาละวาดกลางสมุทร เหมือนอาทิตย์ฉายเหนือยอดเขาหิมะ พลังไม่ด้อยกว่าตอนที่สู้กับ ‘อาชาสวรรค์หอกเงิน’ เมิ่งอู่ก่อนหน้านี้เลย ถึงแม้จะเสียเปรียบ แต่ชั่วขณะนั้นก็พอจะสู้ได้ ไม่แพ้และไม่ตาย

หลี่มู่เดิมจะช่วยเหลือ แต่เห็นฉากนี้แล้ว ในใจก็อดจุปากอย่างอัศจรรย์ไม่ได้

ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้น่ากลัวว่าคงมีคุณสมบัติกายด้านต่อสู้ที่พิเศษอย่างหนึ่ง ยิ่งสู้ยิ่งแข็งแกร่ง คนแบบนี้เหมือนกับเฉียวฟง หนึ่งในสามพระเอกของเรื่อง ‘แปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ เกิดมาก็เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ วิชายุทธ์ที่เหมือนๆ กัน เมื่ออยู่ในมือเขากลับสำแดงพลังได้แข็งแกร่งกว่าคนอื่นหลายสิบเท่า ลองคิดดู หัวหน้าพรรคกระยาจกหลายรุ่นล้วนมีสิบแปดฝ่ามือพิชิตมังกรและไม้เท้าตีสุนัข แต่มีเพียงอยู่ในมือของเฉียวเฟิงเท่านั้นถึงแทบเรียกได้ว่าไร้พ่าย

หากมี BGM เป็นของตัวเอง พกลำโพงมาเปิดเองละก็ เช่นนั้นก็จะไร้พ่ายในใต้หล้าเหมือนกับเฉียวฟงแล้วจริงๆ[1]

ถึงอย่างไร คนที่เวลาเปิดตัวออกมาสู้แล้วมีเพลงขึ้น สามสี่คนนั้นก็ล้วนไร้พ่ายกันทั้งสิ้น

สำหรับหลี่มู่ ชายหนุ่มชุดขาวมีแนวโน้มจะเป็นเฉียวฟง

อีกทั้งเพื่อช่วยพวกถังฮูหยิน ทั้งๆ ที่รู้ว่าจะต้องตายแน่ก็ยังคงลงมือช่วย นับเป็นคนที่มีความกล้าหาญจริงใจ คนแบบนี้หลี่มู่ชื่นชมเป็นอย่างมาก

ขณะในใจของเขากำลังขบคิด ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย

ผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ที่ลงมือเป็นคนข้างกายองค์ชายสอง พลังไม่ด้อยไปกว่านักพรตคิ้วยาวเลย ทุกคนเป็นขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น แต่กลับร่วมมือกันสังหารหลี่มู่ นี่เรียกได้ว่าทำให้ความภาคภูมิใจและเกียรติของขั้นเหนือมนุษย์ตกต่ำถึงขีดสุดทีเดียว

และนี่ก็เป็นการประกาศว่า นับจากพริบตานี้เป็นต้นไป การฆ่าล้างสังหารในวังวนการเมืองที่แท้จริงเปิดฉากขึ้นแล้ว

สำหรับองค์ชายสอง สิงโตจับกระต่ายก็ต้องใช้แรงสุดกำลัง เขารู้สึกไม่ชอบกลบางอย่าง จึงจะจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุดและกวาดล้างทุกสิ่ง ชื่อเสียงใดล้วนไร้ประโยชน์ ขอแค่ตัดหัวหลี่มู่และหลี่กังได้ถึงจะนับว่าเป็นชัยชนะที่แท้จริง นับแต่โบราณมาผู้ทำการใหญ่ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ประวัติศาสตร์ล้วนจดจำแต่ผู้ชนะเท่านั้น

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ดาบบินกะพริบวับไหว ปราณดาบถาโถมตามใจ

หลี่มู่สัมผัสได้ถึงแรงกดดัน แต่จิตหมายต่อสู้ในกายของเขากำลังลุกไหม้เดือดพล่าน

พลังของ ‘กระจกสยบฟ้า’ สะกดพลังฝึกของขั้นเหนือมนุษย์ทั้งสี่เอาไว้ หากไม่อาจเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินได้ ก็เท่ากับถูกสะกดขอบเขตเหนือมนุษย์ขั้นสูงสุดสมบูรณ์ ถึงแม้จะยังคงเหนือกว่าหลี่มู่ แต่หากไม่มีการเพิ่มพลังจากพลังฟ้าดิน ก็จะไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบ ทว่าสำหรับหลี่มู่ สี่คนนี้เป็นหินลับมีดที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกฝนวรยุทธ์ของตัวเอง

หัตถ์ดาบออกท่าหกดาบวายุเมฆา ความคิดควบคุมดาบบินเล็กใหญ่ยี่สิบเล่ม ปราณดาบล้อมรอบทั่วร่างเขา ศึกดุเดือดเกิดขึ้น เพียงแค่พริบตาก็รักษาโอกาสชนะไว้ได้ครึ่งๆ

องค์ชายสองยืนอยู่บนหอสูง ไม่ได้สนใจการต่อสู้ศึกนี้

สายตาของเขามองข้ามไปยังที่ไกลสองลี้ จับจ้องเจ้าเมืองฉางอันหลี่กังที่ยืนอยู่หน้าหอบวงสรวง

จิตต่อสู้ในดวงตาปรากฏทันที โลหิตที่เงียบเหงามานานเหมือนกำลังเผาไหม้ องค์ชายสองไม่มีความคิดวู่วามอยากจะลงมือสู้แบบวันนี้มานานมากแล้ว ด้วยฐานะ ตำแหน่ง และพลังฝึกของเขา คนที่ควรค่าให้เขาลงมือมีไม่มากแล้ว

เสียงคำรามรางเลือนของมังกรดังออกมาจากร่างองค์ชายสอง

ละอองหมอกสีเหลืองจางๆ ปรากฏข้างกายเขาเป็นกลุ่มๆ ก่อนรวมตัวเป็นมังกรเคลื่อนไหวเลือนราง และพันล้อมรอบกายเขาไว้ วิชา ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตกเป็นวิชาชั้นยอดของยุค อานุภาพมหาศาล ว่ากันว่าหากฝึกฝนจนถึงขีดสูงสุดจะสามารถบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ได้ เหนือชั้นกว่ายอดวิชาของสำนักเทพทั้งเก้ามากนัก มีเพียงสมาชิกคนสำคัญของราชวงศ์เท่านั้นถึงจะฝึกฝนได้ อีกทั้งยิ่งสายเลือดบริสุทธิ์ ความก้าวหน้าของการฝึกฝนก็ยิ่งสูง

ยามองค์ชายสองถือกำเนิด ก็ได้รับคำทำนายว่าจะเป็นอัจฉริยะวิถียุทธ์ ในกายมีสายเลือดราชวงศ์ที่บริสุทธิ์มาก ดังนั้นเขาจึงฝึกฝน ‘เคล็ดมังกรทะยาน’ ได้เข้าขั้น และเป็นหนึ่งในผู้มีพลังฝึกสูงที่สุดในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย ถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเชื้อพระวงศ์มาแต่ไหนแต่ไร

ความคิดเพียงขยับ เสียงมังกรคำรามก็ดังไม่หยุด

ราวกับสัมผัสได้ถึงจิตสังหารขององค์ชายสอง ในดวงตาของหลี่กังฉายแววเหยียดหยันบางๆ

ตอนนี้เอง ข้างหลังองค์ชายสองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “องค์ชาย ให้กระหม่อมลงมือเถิดพ่ะย่ะค่ะ ผู้เป็นนายไม่ก่อสงครามเพราะโทสะ ไม่สังหารเพราะความสนุก องค์ชายฐานะสูงส่งเพียงใด วันข้างหน้าจะรับตำแหน่งสูงสุด ไยต้องถือสาหาความกับคนกำลังจะตายคนหนึ่งเล่า”

ผู้เอ่ยคือขันทีใหญ่คนหนึ่งที่ติดตามอยู่ข้างหลังองค์ชายสองมาโดยตลอด แต่เงียบงันเสียเหมือนไม่มีตัวตน

คำพูดของเขามีพลังอย่างมากในใจขององค์ชายสอง

หลังจากองค์ชายสองลังเลเล็กน้อย ละอองหมอกสีเหลืองบนร่างก็สลายไป เสียงมังกรคำรามในร่างเงียบลง จิตกระหายต่อสู้ที่ลุกไหม้อยู่ในดวงตาค่อยๆ หดกลับ จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ลำบากเฉากงกงแล้ว”

“องค์ชายเกรงใจแล้ว”

ขันทีใหญ่ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา ดูแล้วอายุประมาณสี่ห้าสิบ สีหน้านอบน้อม เขาทำความเคารพ จากนั้นก้าวออกไป ร่างกะพริบไหว เสี้ยวขณะต่อมาก็ข้ามระยะหลายลี้มาถึงหน้าหอบวงสรวงของโรงฝึกยุทธ์พลังพายุ อยู่ห่างจากหลี่กังประมาณสามจั้ง

“ใต้เท้าหลี่ ไม่เจอกันนาน” เสียงของขันทีเย็นเยือก

แววตาของหลี่กังฉายอาการตกใจ ก่อนจะหัวเราะราบเรียบ “ยี่สิบเอ็ดปีไม่ได้พบ ‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียนที่ชื่อระบือในเมืองฉินตอนนั้น กลับเข้าวังไปเป็นขันทีอย่างนั้นรึ ฮ่าๆ ก็แค่ไม่ติดอันดับในสี่ตำนานไม่ใช่หรือไร พี่เฉาไยต้องทำเรื่องไร้ผู้สืบสกุลเช่นนี้ด้วย?” มองไม่ออกเลยว่าฝีปากของเจ้าเมืองชายชั่วก็ร้ายกาจอยู่เหมือนกัน

ขันทีใหญ่หน้าขาวเกลี้ยงเกลามุมปากกระตุก “ก็เพื่อการต่อสู้ในวันนี้”

ตอนนั้น ‘พิชิตจักรวาล’ เฉาปิ่งเหยียนเข้าสอบบัณฑิตรอบเดียวกับพวกหลี่กัง ทุกคนต่างเป็นบุคคลเยี่ยมยอด สอบเคอจวี่รอบนั้น ตอนนี้ดูแล้วก็ยังคงมีดาวบัณฑิตมากมาย พูดได้ว่าแย่งกันโดดเด่น เป็นความเฟื่องฟูที่หลายร้อยปีที่ผ่านมายากจะได้เห็น เฉาปิ่งเหยียนก็นับว่าเป็นผู้เยี่ยมยอดในนั้น แต่น่าเสียดาย ในยามที่เขาโดดเด่นที่สุดกลับไปท้าสู้กับ ‘เซียนกระบี่’ หลี่กังเสียได้

สุดท้าย ‘กระบี่ทางช้างเผือก’ พ่ายแพ้ภายในกระบวนท่าเดียวต่อหน้า ‘กระบี่ธุลีแดง’

แต่เดิมไม่เป็นเรื่องน่าอัปยศเท่าใดนัก ถึงอย่างไร ‘กระบี่ธุลีแดง’ ในตอนนั้นก็เป็นกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองฉินอยู่แล้ว

แต่สำหรับเฉาปิ่งเหยียนที่หยิ่งทะนง การโจมตีแบบนี้รุนแรงยิ่งนัก เป็นสิ่งที่ยากจะรับได้ เคยมีคนบอกไว้ว่าอันที่จริงตอนนั้นอาจจะเป็นห้าตำนานได้ เฉาปิ่งเหยียนได้รับการคัดเลือก แต่เขากลับเลือกเดินทางอีกสายหนึ่ง ถอยออกมาจากชื่อเสียงที่เพิ่งได้รับ และหายไปเหมือนกับ ‘หอกเทพครวญ’ อู๋กุยเหริน

ผ่านไปยี่สิบปี ได้มาพบกันอีกครั้ง หลี่กังตกใจนักที่อัจฉริยะผู้หยิ่งทะนงตัดความวุ่นวายเข้าวังไปเป็นขันที

ความพ่ายแพ้ในวันนั้นจดจำถึงวันนี้เชียวรึ?

หลี่กังไม่พูดอะไรอีก ยกมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ลงมือเถอะ ให้ข้าได้เห็นหน่อยว่าผ่านไปยี่สิบปี ‘กระบี่ทางช้างเผือก’ ของพี่เฉาจะกวาดไปในฟ้าดินห้วงดาราได้จริงหรือไม่”

ในสายตาของขันทีใหญ่ แววคมกริบดุจกระบี่พาดผ่าน “นับจากวันนี้ ในโลกจะไม่มีกระบี่ธุลีแดง และไม่มีเซียนกระบี่หลี่กังอีกต่อไป”

……

“เป็นไปได้อย่างไร?”

มู่ชิงถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มือหนึ่งกดท้องเอาไว้ เลือดไหลออกมาจากปลายนิ้ว ในสายตาของผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ผู้นี้ฉายแววไม่อยากจะเชื่อ กระบี่งามสง่าในมือของเขาตอนนี้ปักอยู่ที่หลังหลี่มู่ลึกเข้าไปสองนิ้วมือ แต่กลับเสมือนหลอมเป็นเนื้อเดียว ไม่อาจดึงออกมาได้อีก

“มีอะไรเป็นไปไม่ได้เล่า” หลี่มู่หัวเราะลั่น “นี่สิถึงจะเป็นการต่อสู้”

เขาใช้หมัดแลกหมัด รับกระบี่ของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันก็ใช้หัตถ์ดาบทำร้ายขั้นเหนือมนุษย์ผู้นี้บาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์สามคนที่เหลือมาช่วยได้ทันเวลา บีบหลี่มู่จนต้องเลิกไล่สังหารแล้วละก็ เกรงว่ามู่ชิงในยามนี้คงจะถูกหลี่มู่สังหารไปเรียบร้อยแล้ว

มู่ชิงถูกแทง กำลังรบลดฮวบ

แต่สำหรับหลี่มู่ กระบี่นี้ไม่ได้ทำให้บาดเจ็บจนถึงส่วนสำคัญเลย

ความแข็งแกร่งของกายเนื้อเขาอยู่เหนือขั้นเหนือมนุษย์ กระบี่นั้นแทงเข้ามา กล้ามเนื้อก็บีบรัดเอาไว้แล้ว อีกทั้งสิ่งที่สำคัญคือภายใต้การโคจรเนตรสวรรค์ หลี่มู่มองทะลุเห็นวิถีกระบวนท่าของคู่ต่อสู้ มีความสามารถกึ่งพยากรณ์ ดังนั้นต่อให้ถูกโจมตีก็ล้วนเป็นการฝืนรับท่าที่อ่อนแอที่สุดเอาไว้

กายเนื้ออันแข็งแกร่งเป็นหนึ่งในไพ่ตายของหลี่มู่

และพลังของเนตรสวรรค์ก็เป็นไพ่ตายใบที่สองที่ทำให้เขาไร้พ่ายภายใต้การล้อมโจมตีจากขั้นเหนือมนุษย์สี่คนเช่นนี้

พูดได้ว่าหลี่มู่กำลังร่ายรำอยู่บนปลายดาบ

พลังกดดันมหาศาลราวเขาไท่ซานทะลักมา ภายใต้การฝึกฝนเช่นนี้ เขาเริ่มรู้สึกเลาๆ ว่าตัวเองจะทะลวงขั้นอีกแล้ว 

……………………………

[1] ตัวละครที่ต่อสู้เก่งๆ ในละครจีน เวลาถึงฉากต่อสู้มักจะมีแบคกราวด์มิวสิคเปิดขึ้นเสมอ เป็นสัญลักษณ์ของความไร้พ่าย และทำให้คนดูรู้ว่าตัวละครนั้นจะชนะแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+