จอมศาสตราพลิกดารา 107 หญิงรับใช้

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 107 หญิงรับใช้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้า?”

หลี่มู่มองหญิงงามคนนี้

พอจะเด็ดเดี่ยวอยู่เหมือนกัน

“ศิษย์น้องหญิง ไม่ต้องไปขอร้องมัน หากจะตาย พวกเราตายด้วยกัน” ลูกศิษย์หนุ่มที่ช่วยจ้าวหลิงพูดมาตลอดคนนั้นเชิดหน้าเอ่ย “อย่างดีพวกเราก็สู้สุดชีวิตกับมัน”

“ใช่แล้ว มาด้วยกัน ไปด้วยกัน”

“ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ไม่เกรงกลัวผู้ใด”

ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นๆ พูดขึ้นอย่างโกรธแค้น

หลี่มู่มองเห็นภาพเช่นนี้ ในใจก็พอจะมองนักกระบี่หนุ่มสาวของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พวกนี้เปลี่ยนไปบ้าง

ถึงแม้คนหนุ่มสาวพวกนี้ แต่ละคนจะเบาปัญญาจนแทบไม่ไหว ไปไหนมาไหนไม่พกสมองไปด้วย แต่อย่างน้อยก็มีความกล้าหาญไม่กลัวตาย ในเวลานี้ยังมีทีท่าแข็งแกร่งเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นสำนักสายธรรม

“สังหารพวกเจ้าง่ายเหมือนหันผักผ่าแตง” หลี่มู่กล่าวคำพูดไม่ไว้หน้าคน “ในเมื่อพวกเจ้าอยากตาย เช่นนั้นข้าก็จะสงเคราะห์ให้ ฮึๆ ได้ยินมาว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์หัวกะทิรุ่นใหม่ของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ หากฆ่าพวกเจ้า สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คงต้องเสียหายอย่างหนักแล้ว”

“เจ้า…”

“หึ สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์มีเพียงนักกระบี่ที่สู้จนตัวตาย ไม่มีนักกระบี่ที่ยอมคุกเข่าให้”

นักกระบี่อายุน้อยที่ในหัวเต็มไปด้วยความเลือดร้อนและโกรธแค้น ยอมหักไม่ยอมงอ ราวกับวัวตัวผู้โมโหคลั่งอย่างไรอย่างนั้น

เป็นผู้อาวุโสสายนอกโจวเจิ้นชิวที่มองอะไรออก ดังนั้นจึงเงียบไม่พูดอะไร

หลี่มู่หัวเราะลั่น “ความตายบางครั้งมันก็แสนง่าย มีชีวิตอยู่สิถึงจะยากเย็น พวกเจ้าอยากตาย ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย…ข้าจะสงเคราะห์พวกเจ้า…”

ยังพูดไม่ทันจบ

“เจ้าอยากฆ่าก็ฆ่าเลย ข้าคนเดียวรับแทนพวกเขาทุกคน” จ้าวหลิงเชิดหน้าอย่างหยิ่งทะนงประหนึ่งหงส์ พลางก้าวยาวๆ ออกมาข้างหน้า

ตูม!

หลี่มู่ยกมือ พลังสายหนึ่งพุ่งไปยังข้างเท้าของนาง ผืนดินระเบิดเป็นหลุม

“หยุด” หลี่มู่ยิ้มเย็น “แม่นาง ฆ่าเจ้าคนเดียวจะไปมีประโยชน์อะไร ข้าจะฆ่าคนปิดปากนะ ฮึๆ คิดอยากจะพลีชีพปกป้องพี่น้องคนอื่นๆ เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากใช่หรือไม่? สำหรับข้า เจ้าโง่มากทีเดียว แล้วดูเหมือนว่าข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรต้องรับปากเจ้าด้วย”

จ้าวหลิงอึ้งตะลึง

นางอยากจะโต้เถียงคำของหลี่มู่ แต่พลันไม่มีคำใดจะพูด

ลูกศิษย์สำนักกระบี่คนอื่นๆ ต่างแค้นเคืองเป็นอย่างยิ่ง บางคนตวาดก้องพลางพุ่งไปยังหลี่มู่ กระโดดขึ้นกลางอากาศแล้วชักกระบี่แทงโจมตี ท่วงท่าเป็นระบบระเบียบ วิชากระบี่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

แต่กระนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่ สิ่งเหล่านี้เหมือนเรื่องน่าขันเสียมากกว่า

เขาสะบัดมือไปตามอารมณ์ พลังเอ่อล้นซัดลูกศิษย์ที่พุ่งมาจนกระเด็นลอยไปร่วงลงบนพื้น ร่างกายอ่อนปวกเปียก ขยับเขยื้อนไม่ได้

“หยุดนะ อย่า…อย่าฆ่าศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า เจ้า…” จ้าวหลิงลนลานแล้ว

หลายคนเกิดมา ในใจก็มีความคิดยิ่งใหญ่ที่จะพลีชีพแล้ว อย่างเช่นจ้าวหลิงในตอนนี้ นางรู้สึกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องประสบกับอันตราย ทั้งหมดเป็นเพราะนางยืนกรานจะมาที่ว่าการเพื่อคิดบัญชี และก่อนหน้านี้ยังเอ่ยปากด่าทอหลี่มู่ ทำให้ราชาปีศาจตนนี้โมโห ดังนั้นนางต้องคิดหาวิธีจัดการกับทางตันข้างหน้านี้

“ข้าทำได้ทุกอย่าง ขอแค่เจ้ารับปากปล่อยศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าไป…” นางพูดเสียงดัง

หลี่มู่แอบหัวเราะในใจ

สตรีโง่เขลาใสซื่อคนนี้นี่นะ

เมื่อคิดถึงก่อนหน้านี้ที่นางเอ่ยปากท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า ด่าตนอย่างเกรี้ยวกราด เขาก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้

เขาตัดสินใจจะมอบบทเรียนให้กับหงส์น้อยตัวนี้

ดังนั้นจึงจงใจใช้สายตาที่มีความหมายแฝงลึกซึ้งมองประเมินลูกศิษย์สาวคนงามของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ไล่จากใบหน้างดงามประณีตไปจนถึงหน้าอกที่ดุนชุดนักกระบี่จนนูนสูง แล้วไล่มายังเอวบางคอดกิ่วกับขาเรียวยาว…

ต้องยอมรับเลยว่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนนี้มีหน้าตาและบุคลิกราวกับเทพธิดา

จ้าวหลิงเงยหน้าสูง เชิดหน้ายโสดั่งหงส์ฟ้า

สายตาโจ่งแจ้งของหลี่มู่มองมาจนนางโกรธระคนอายเป็นระลอก ในใจสาปแช่งหลี่มู่ด้วยคำที่ร้ายแรงที่สุดไม่รู้กี่รอบ

หลี่มู่หัวเราะหึๆ กล่าวว่า “ทำได้ทุกเรื่องเลย? หึๆ เช่นนั้นก็หมายถึง…” พูดแล้วก็จงใจกวาดสายตาไปยังอกนุ่มนิ่มของนาง

“ชั่วช้า ไร้ยางอาย ต่ำทราม บ้ากาม” ใบหน้าของจ้าวหลิงแดงก่ำ ทั้งอายทั้งโมโห

หลี่มู่แค่นเสียงเย็น พูดขึ้นว่า “อะไร? ชั่วช้าไร้ยางอายต่ำทราม? บ้ากาม? สาวน้อยเจ้าคิดอะไรอยู่? เอ๊ะ? ในสมองน้อยๆ ของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่กัน? เด็กสาวอายุแค่นี้ทำไมในหัวมีแต่ความคิดสกปรกพวกนี้ได้? ไม่นึกเลยว่าจะหลงใหลในร่างกายของข้า…ข้าแค่กำลังคิดให้เจ้ามาเป็นหญิงรับใช้ในที่ว่าการปีหนึ่งเท่านั้นเอง”

“เจ้า…” จ้าวหลิงโมโหจนแทบคลั่งเต็มที

นางไม่เคยเจอคนที่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน

เขาแสดงทีท่าก้อร่อก้อติกชัดๆ…กลับมาพูดว่านางต่ำทราม

“ข้ารับปากเจ้า” จ้าวหลิงไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่เช่นนั้นจะเป็นบ้าเอาได้ ท่าทีของนางใจกว้างฮึกเหิมแต่เศร้าใจ “ข้าจะเป็นหญิงรับใช้ในที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์หนึ่งปี เจ้าปล่อยผู้อาวุโสโจวกับศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้าคนอื่นๆ ไปเสีย”

หลี่มู่หัวเราะ “ฮึๆ ข้ายังไม่ได้รับปากเลย เจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ถึงขนาดนี้ เก็บไว้ในที่ว่าการรังแต่จะส่งผลถึงอารมณ์ของข้า ทำไมข้าต้องรับปากด้วย?”

“เจ้า…” จ้าวหลิงมีใจบุ่มบ่ามอยากจะกรีดร้อง นางใกล้เสียสติแล้วเต็มที

ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าจะชายหรือหญิง คนไม่รู้ต่อเท่าไหร่ต่างตะลึงในความงามของนาง ทั่วทั้งสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ก็มีนางเป็นดอกไม้งดงามเจิดจรัสอยู่ดอกเดียว แต่ราชาปีศาจหลี่มู่ตนนี้กลับบอกว่านางอัปลักษณ์ ตาบอดไปแล้วหรืออย่างไร?

หลี่มู่ลูบคางเอ่ยขึ้น “เอาเถอะๆ ถึงแม้เจ้าจะอัปลักษณ์ แต่ในเมื่อเจ้าขอร้องข้าอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ เช่นนั้นข้าตัดสินใจจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ว่ามาซิ เจ้ามีความสามารถอะไร เป็นหญิงรับใช้ที่นี่เจ้าทำอะไรให้ข้าได้บ้าง?”

ดวงตาของจ้าวหลิงใกล้จะพ่นไฟออกมาได้แล้ว แต่สถานการณ์บีบบังคับ นางจึงได้แต่ข่มใจไว้ “ข้าคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่วิชากระบี่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ ข้าเป็นผู้คุ้มกันให้เจ้าได้…”

หลี่มู่หัวเราะ “เจ้าว่าข้าต้องการการคุ้มกันจากเจ้าไหม? ซักผ้าทำกับข้าว ชงชา เย็บปักถักร้อย ของพวกนี้เจ้าทำเป็นหรือไม่?”

“ข้า…ข้าทำไม่เป็น” จ้าวหลิงอับจนคำพูด คิดๆ แล้วก็ใช่ พลังฝึกวิชากระบี่ที่ตัวเองภาคภูมิใจช่างอ่อนด้อยยิ่งนักต่อหน้าราชาปีศาจตนนี้

“แต่ว่า อย่างน้อยข้าก็สามารถต้านทานคนกระจอกที่ความคิดตื้นเขินพวกนั้นได้” จ้าวหลิงกัดฟันแน่น ก่อนจะพูดอีก “อีกทั้งข้ายังเป็นหมอยาที่อายุน้อยที่สุดในสำนัก เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ หากเจ้าได้รับบาดเจ็บ ข้าสามารถรักษาเจ้าได้…”

หมอยา?

หลี่มู่อึ้งไป

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง

สำนักกระบี่พิสุทธิ์เป็นสำนักที่มีชื่อเสียง ลูกศิษย์ที่ฝึกฝนออกมาถูกขนานนามว่าเป็นหมอยาได้ วิชาหมอ วิชายาจะต้องเยี่ยมยอดกว่าหมอเท้าเปล่า[1]ในอำเภอขาวพิสุทธิ์แน่ ต่อให้เป็น ‘โพธิสัตว์เดินดิน’ ก็น่ากลัวว่ายากจะสู้กับหมอยาของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์ได้

แม่หงส์น้อยที่หยิ่งยโสคนนี้เป็นหมอยางั้นรึ ทำให้หลี่มู่ต้องมองใหม่จริงๆ เสียแล้ว

อาการบาดเจ็บของเฝิงหยวนซิงและพวกชิงเฟิง หากมีหมอยาสักคนมารักษา บางทีอาจจะดีขึ้นเร็วกว่าเดิมบ้าง?

โดยเฉพาะเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิง เมื่อมีหมอยาช่วยเหลือ โอกาสที่จะรักษาขาทั้งสองเอาไว้ได้อาจสูงยิ่งขึ้น

นี่ช่างเป็นผลพลอยได้ที่เหนือความคาดหมายโดยแท้

พูดตามตรง หลี่มู่พูดมากมายขนาดนี้ แต่เดิมก็แค่คิดจะยั่วโมโหแม่หงส์น้อยนี่เสียหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากลับได้ข้อมูลเช่นนี้มา เขาเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที มิสู้กักตัวสาวน้อยเอาไว้จริง เพื่อให้นางมารักษาพวกชิงเฟิงเสียเลย?

ถึงอย่างไรศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์พวกนี้ก็พูดสาดเสียเทเสียมาครึ่งค่อนวันแล้ว สมควรต้องจ่ายค่าตอบแทนบ้าง

“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าร้องขออย่างน่าเวทนา เช่นนั้นข้าจะกล้ำกลืนฝืนใจรับปากเจ้าแล้วกัน” หลี่มู่พยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึม

จ้าวหลิงได้ยินดังนั้นก็โล่งใจในที่สุด

แต่เมื่อคิดอีกที นางพลันตระหนักได้ว่าตนโดนบีบให้ต้องเสียสละชัดๆ เหตุใดตอนนี้จึงเหมือนขอร้องราชาปีศาจตนนี้อย่างน่าเวทนาไปได้

“ศิษย์พี่หญิง อย่า…”

“ศิษย์น้องหญิง ไม่ได้นะ เจ้ากำลังไปเป็นอาหารปีศาจ เจ้าทำให้มันซาบซึ้งใจไม่ได้หรอก”

“เจ้านี่คิดไม่ซื่อแน่ๆ เจ้าอยู่ข้างกายมันอันตรายเกินไปแล้ว…”

เหล่าศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นๆ ร้อนรน

พวกเขาไม่อาจยอมรับได้ อัจฉริยะสาวที่อายุน้อยที่สุดและโดดเด่นที่สุดในสำนักจะตกอยู่ในกรงเล็บปีศาจของหลี่มู่ไปเช่นนี้ ถึงแม้ผิวเผินฟังแล้วเป็นแค่หญิงสาวรับใช้ แต่นานวันไปหากจอมปีศาจตนนี้เอาเปรียบขึ้นมาเล่า?

โดยเฉพาะลูกศิษย์ชายบางคน

แค่คิดว่าเทพธิดาที่ตนเฝ้าใฝ่หาต้องไปคอยยกน้ำรินชาให้กับหลี่มู่ ใจของศิษย์ชายพวกนี้ก็แหลกสลายแล้ว

“หลี่มู่ เจ้าคิดให้ดี ช่วงชิงดอกไม้ที่งดงามเจิดจ้าที่สุดของสำนักเราไปไว้ข้างกาย ถึงตอนนั้น เจ้าจะต้องจ่ายของแลกเปลี่ยนแน่นอน สำนักเราไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้แน่” ลูกศิษย์ชายคนหนึ่งตวาดอย่างโมโห

หลี่มู่แบมือยักไหล่ “ตามสบาย หากพวกเจ้ากลับคำ เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าไปปรโลกก็แล้วกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์หลายคนก็ตะโกนเอะอะ จะสู้ตายกับหลี่มู่

“พอแล้ว ถอยไปให้หมด” ผู้อาวุโสสำนักสายนอกโจวเจิ้นชิวที่ไม่ปริปากเอ่ยมาโดยตลอดในที่สุดก็พูดขึ้น

เขามองจ้าวหลิง แล้วก็มองลูกศิษย์คนอื่นๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ “ในเมื่อจ้าวหลิงตัดสินใจแล้วเช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ พวกเจ้าสงบใจลงหน่อย อย่าให้การเสียสละของจ้าวหลิงไร้ค่า หากไม่ยอมรับ กลับไปสำนักก็ขยันฝึกฝน หลังจากพลังยกระดับแล้ว ขอแค่เอาชนะขุนนางเมืองหลี่มู่ เช่นนั้นก็พาจ้าวหลิงกลับไปได้”

ลูกศิษย์รุ่นเยาว์พวกนั้นต่างมองโจวเจิ้นชิวอย่างตกใจ

พวกเขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสโจวที่พลังแข็งแกร่งที่สุด และมีโอกาสต่อกรกับราชาปีศาจหลี่มู่ได้มากที่สุดที่นั่นจะตัดสินใจเช่นนี้

หลี่มู่ตกใจเช่นกัน

แต่เดิมเขาคิดว่าผู้อาวุโสนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนนี้จะปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของสำนัก คัดค้านการแลกเปลี่ยนครั้งนี้หัวชนฝา กระทั่งไม่เสียดายที่จะประลองกันสักยก ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้ รัศมีปรมาจารย์สูงส่งล้ำหน้าเว่ยชงซึ่งโจวเจิ้นชิวเผยออกมา ก็บอกว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีพลังแก่กล้าคนหนึ่ง

หลี่มู่เตรียมที่จะลงมือเอาชนะเขาไว้แล้ว

แต่คิดไม่ถึงว่าโจวเจิ้นชิวกลับเห็นด้วย

เป็นเพราะกลัวตายจึงไม่อยากสู้?

ไม่ใช่แน่นอน

เรื่องนี้หลี่มู่กล้าฟันธง

ความคิดของผู้อาวุโสผมขาวผู้นี้ไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่แสดงออกมาแน่

ครั้นแล้ว ท้ายที่สุดโจวเจิ้นชิวก็นำลูกศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์คนอื่นไปจากที่ว่าการอำเภอ

คนที่จากไปด้วยยังมีโจวเจิ้นไห่

หลี่มู่ไม่ประทับใจตาแก่คนนี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งเขายังสังหรณ์ใจว่าความตายของศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อาจเกี่ยวพันกับคนคนนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ปล่อยให้โจวเจิ้นไห่จากไป

หนึ่งเพราะได้สังหารโจวอู่ที่สมควรได้รับกรรมไปแล้ว ความผิดบาปที่ตระกูลโจวก่อไว้ในอำเภอขาวพิสุทธิ์นับว่าได้ชดใช้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสังหารให้สิ้นซาก อย่างไรเสียหลี่มู่ก็ไม่ใช่คนที่ถือคติ ‘ถอนหญ้าไม่ถอนราก เมื่อต้องลมวสันต์หญ้านั้นจะงอกงามขึ้นใหม่’

สองเพราะหลี่มู่ตอนนี้อยู่ในระดับสูงสุดแล้วอย่างสมบูรณ์ กระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างเจ้าเมืองฉางอันเขายังไม่เอามาใส่ใจ บุคคลเล็กๆ อย่างโจวเจิ้นไห่จึงยิ่งไม่จำเป็นต้องไยดี มังกรที่ผงาดอยู่บนท้องฟ้า เหตุใดต้องไปสนใจมดปลวกข้างถนน?

จ้าวหลิงยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่เดิม ราวดอกไม้ขาวดอกน้อยที่สั่นระริกอยู่ท่ามกลางลมหนาว

ถึงแม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อนางเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องและผู้อาวุโสจากไป หงส์ฟ้าน้อยที่ดื้อดึงตัวนี้ก็ยังรู้สึกถึงความหวาดกลัวและสับสนอย่างยากจะควบคุมได้

ในใจของนางเต็มไปด้วยความเหงาหงอยเศร้าใจ

ขณะเดียวกันนางก็แอบสาบานในใจ หากหลี่มู่คิดเลยเถิดกับนางละก็ เช่นนั้นต่อให้ต้องตาย นางก็จะไม่มีวันให้ราชาปีศาจวิตถารตนนี้ทำสำเร็จ

หลี่มู่ไม่ได้สนใจเด็กสาวผู้หยิ่งยโสคนนี้

สายตาของเขาจับจ้องไปยังชาวยุทธ์คนอื่นๆ

……………………………………………………

[1] หมอเท้าเปล่า เป็นคำที่เกิดขึ้นในช่วงยุค 60 – 70 หมายถึงบุคคลที่มีความสามารถหรือความรู้ในด้านการรักษาพยาบาลในระดับหนึ่ง ซึ่งหมู่บ้านหรือภาครัฐส่งให้ไปอยู่ภายใต้การชี้นำของแพทย์หรือสถานอนามัย จุดเด่นของหมอเท้าเปล่าคือเป็นทั้งแพทย์และเกษตรกร หากว่างจากงานพืชเพาะปลูกก็ออกรักษาพยาบาล หรือตอนเช้าเป็นเกษตรกร ตอนกลางคืนเป็นหมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด