จอมศาสตราพลิกดารา 168 เหนือยอดปรมาจารย์ (2)

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 168 เหนือยอดปรมาจารย์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ขั้นเหนือมนุษย์กับเผ่าปีศาจล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก สามารถทำลายล้างเมืองได้เพียงแค่เสี้ยวความคิด ไม่ใช่ศัตรูที่กองกำลังทหารทั่วไปจะต่อกรได้

เหนือกว่าขั้นเหนือมนุษย์ขึ้นไปจะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ฟ้าดิน เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทั้งอดีตและปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง

ทำได้ถึงขั้นนี้ถึงจะเข้าสู่ ‘ขั้นเทวะ’ ได้

ขั้นเทวะ เรียกได้อีกว่าผู้สูงส่งไร้พ่าย

ผู้สูงส่งไร้พ่ายในแผ่นดินใหญ่เสินโจวทุกวันนี้มีจำนวนที่แน่นอน เจ้าสำนักของสำนักเทพทั้งเก้า บรรพจารย์เชื้อพระวงศ์ของทั้งสามจักรวรรดิ อีกทั้งบรรพจารย์เชื้อพระวงศ์เผ่าปีศาจหลายตน รวมถึงผู้ฝึกไร้สังกัดชั้นยอดทั้งหลายในดินแดนต่างๆ…ขั้นเทวะโดยเผินๆ รวมแล้วไม่เกินยี่สิบคน

บุคคลเหล่านี้เป็นราวกับเทพเซียนบนดาววิถียุทธ์ดวงนี้

พวกเขาเป็นผู้ไร้พ่ายของจริง

อีกทั้งระหว่างผู้สูงส่งขั้นเทวะเกิดการกระทบกระทั่งกันยาก ศึกขั้นเทวะเกิดขึ้นน้อยครั้ง พวกเขาแค่ปกปักรักษาที่แห่งหนึ่งก็สยบเผ่าหรือควบคุมชะตาของอาณาจักรหนึ่งได้ เพียงประโยคเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน

และเหนือขั้นเทวะก็เป็นขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว

บนโลกนี้เคยมีผู้ทะลวงสวรรค์ได้หรือไม่นั้น ผู้คนพูดกันไปต่างๆ  นานา

เพราะเมื่อถึงขั้นทะลวงสวรรค์ก็จะล่องลอยสู่ฟากฟ้าไปยังแดนเซียน ไม่เหลือเบาะแสร่องรอยใดๆ  ไว้ และไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์ที่ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ลงมือ ไม่เคยมีขั้นทะลวงสวรรค์เดินไปมาอยู่ในโลกใบนี้จริงๆ…

หลายคนสงสัยว่าทะลวงสวรรค์เป็นแค่ตำนานและระดับพลังยุทธ์ที่อนุมานจากทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เคยมีใครทำได้จริง เป็นเพียงแค่จินตนาการอันรางเลือนเท่านั้น โลกนี้ยังไม่เคยมีใครไปถึงจริงๆ

คำอธิบายต่างๆ  ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย

แต่ส่วนใหญ่แล้วมีมุมมองที่เหมือนกันคือสองสามร้อยปีมานี้ ไม่สิ ถึงขนาดห้าร้อยปีขึ้นไป บนโลนี้ยังไม่มีบุคคลขั้นทะลวงสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น

ดังนั้น ขั้นเทวะคือขั้นที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

‘ซินแสเฒ่าบอกไว้ว่าดาวดวงนี้เป็นดาววิถียุทธ์ระดับต่ำ แต่ตอนนี้ดูแล้วคงจะแค่ในสายตาซินแสเฒ่าเท่านั้น จอมยุทธ์ จอมเวท และจอมปีศาจขั้นเทวะนี่เท่ากับผู้วิเศษในตำนานของโลกแล้ว สามารถเหาะเหินเดินอากาศดำดินได้ ส่วนขั้นทะลวงสวรรค์ยิ่งนับว่าบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเซียนแล้ว นี่มันต่ำเสียที่ไหนกัน’

หลี่มู่รู้สึกว่าคำพูดของซินแสเฒ่าจำเป็นต้องขบคิดให้ละเอียดจริงๆ

นอกจากขั้นพลังยุทธ์แล้ว เขาก็ได้รับความรู้ด้านอื่นๆ มาด้วย

ยกตัวอย่างเช่นการแบ่งขั้นพลังของเผ่าปีศาจ ในขั้นแรกจะต่างกับเผ่ามนุษย์เล็กน้อย เช่นเปิดปัญญา หลอมพลัง รวมกำลังภายใน แปลงกายและอื่นๆ แต่เมื่อถึงขั้นเหนือมนุษย์แล้วจะเรียกเหมือนกัน นอกจากนั้น เส้นทางการฝึกฝนของจอมเวทเผ่ามนุษย์ในช่วงแรกก็ต่างกันออกไปเล็กน้อย โดยจะใช้ดวงดาวในการแบ่ง ทว่าเมื่อถึงขั้นเหนือมนุษย์จะเรียกเหมือนกันแล้ว

นี่หมายถึงว่าการฝึกสายยุทธ์ สายเวท สายปีศาจ สุดท้ายแล้วก็เหมือนกัน

จุดกำเนิดของพลังและหลักการนั้นเหมือนกัน

หลี่มู่อ่านพวกนี้จบ ในใจก็กระจ่างขึ้นอีกมาก

ในขณะเดียวกัน เขาก็พบบางจุดที่แตกต่าง อย่างเช่นหลักการลึกล้ำของวิชาเวททั้งหลายที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้เรียกว่าวิชาเต๋า แต่จอมเวทของโลกใบนี้จะเรียกเวทที่พวกเขาฝึกว่าวิชาเวท ถึงแม้จะต่างกันเพียงแค่คำเดียว แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความความต่างชั้นของทั้งสอง

ดูจากแค่ความหมายของคำอย่างเดียว เต๋านั้นก็อยู่เหนือเวท

สิ่งที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้คือวิชาเต๋าของเทพเซียน แต่เหล่าจอมเวทของโลกใบนี้ฝึกฝนวิชาเวทของมนุษย์

สำหรับพวกค่ายกล ในม้วนตำราที่เจิ้งฉุนเจี้ยนกวาดค้นมากล่าวเอาไว้น้อยมาก เหล่าจอมเวทของโลกใบนี้แค่รู้ค่ายกลลวงตาแบบง่ายอย่างงูๆ ปลาๆ เท่านั้น เทียบกับค่ายกลอันแข็งแกร่งต่างๆ ที่ซินแสเฒ่าใช้งานได้ทุกเมื่อแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

พูดอย่างไม่เกรงใจได้เลยว่า จอมเวทบนโลกใบนี้โดยพื้นแล้วอยู่ในขั้นใช้พลังฟ้าดินได้อย่างผิวเผินเท่านั้น วิชาค่ายกลก็ยิ่งมีข้อจำกัดในการศึกษา

หลี่มู่หลับตาลง จัดเรียงความคิด ค่อยๆ มีแผนการขึ้นมาในใจ

เขายิ่งชัดเจนในเส้นทางของตัวเองมากขึ้นแล้ว

ซินแสเฒ่าต้องการให้เขากลับโลกไปภายในยี่สิบปี พูดอีกอย่างหนึ่งคือเขาต้องก้าวสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ให้ได้ภายในยี่สิบปีนี้

เพราะมีเพียงขั้นทะลวงสวรรค์เท่านั้นที่จะทำลายพันธนาการของดวงดาว แล้วเข้าไปยังเวิ้งจักรวาลได้

และในตอนนี้ กำลังรบของเขาคือขั้นยอดปรมาจารย์

อันที่จริง เขายังเก็บพลังที่สำแดงออกมาเมื่อช่วงก่อนหน้านี้เอาไว้ ดังนั้นหากพูดให้ถูกต้อง พลังฝึกของหลี่มู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ถึงขั้นล้ำลึกสูงสุดแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยสนใจนัดท้าประลองกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สักเท่าไหร่

ในขั้นยอดปรมาจารย์ เขาไม่กล้าพูดว่าตนไร้เทียมทาน แต่ก็ไม่มีทางแพ้แน่นอน

ส่วนเรื่องสู้กับผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานจะชนะได้หรือไม่นั้น เขาก็ไม่แน่ใจแล้ว

เพราะเขายังไม่เคยเห็นอานุภาพทำลายล้างของพลังฟ้าประทาน ตามหลักแล้วขั้นฟ้าประทานชีวิตหลุดพ้นจากลิขิตสวรรค์ เป็นการหลุดพ้นครั้งยิ่งใหญ่ ไม่สามารถนำความเข้าใจก่อนหน้านี้มาวัดได้

“ขั้นทะลวงสวรรค์…”

อย่างน้อยๆ เขาก็มีเป้าหมายที่ควรขยันแล้ว

วันหลังจะต้องคอยติดตามข่าวเรื่องขั้นทะลวงสวรรค์พวกนี้

เขาคิดในใจพลางเปลี่ยนไปเริ่มคิดถึงศึกท้าประลองในวันพรุ่งนี้

‘สถานการณ์ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เป็นอย่างไรไม่อาจรู้ได้ แต่ดูจากฝีมือและสันดานที่พวก ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงกับศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทั้งหลาย คาดว่าไม่ใช่คนดีอะไร สถานที่ท้าประลองวันพรุ่งนี้ยังอยู่ในสนามฝึกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เกรงว่าคงไม่ได้มีเจตนาดี มีแผนชั่วอะไรหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ดังนั้นจะต้องกันไว้ก่อน’

เขาขบคิด

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หยกขนาดเท่ากะละมังล้างหน้าที่เหลืออยู่หกก้อนนั้น

‘เอามาทำอาวุธเต๋าระดับที่ใช้ครั้งเดียวเอาไว้เป็นไพ่ตายได้’

หลี่มู่มีแผนแล้ว

อาวุธเต๋าใช้ครั้งเดียวก็เหมือนระเบิดมือหรือกับดักระเบิดของโลก แต่แน่นอนว่าทรงพลังยิ่งกว่า หากระเบิดจะเกิดพลังทำลายล้างรุนแรง จากคำของซินแสเฒ่า อาวุธพวกนี้พลังเหนือกว่า เอาไว้วางอำนาจบาตรใหญ่ สร้างหายนะ เป็นของชั้นดีที่ต้องมีไว้ใช้รังแกคน

‘ทำเป็น ‘อัสนีหยกม่วงประกายดาว’ แล้วกัน นี่คืออาวุธเต๋าประเภทสิ้นเปลืองที่แข็งแกร่งที่สุดที่พลังจิตวิญญาณของเราทำออกมาได้ในตอนนี้’

หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ข้อสรุป

ต้องขอบคุณทริปเที่ยวหน่วยเลี้ยงรับรอง ได้ดูกายเต๋าฟ้าประทานฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำเดี่ยว ได้รับพลังจากระลอกคลื่นท่วงทำนองแห่งเต๋า ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ของเขาทะลวงถึงขั้นหนึ่งระดับต้น พลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น ถึงได้สร้าง ‘อัสนีหยกม่วงประกายดาว’ ออกมาได้ หากเป็นหลี่มู่เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ทำไม่ได้แน่

……

เวลาหมุนผ่านไป

ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในหอสดับเซียนของหน่วยเลี้ยงรับรองแพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอันอย่างบ้าคลั่งราวติดปีก สร้างความฮือฮายกใหญ่

หลังจากยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์แต่ง ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ออกมาแล้วก็ยังแต่งผลงานชั้นเยี่ยมอีก ไม่ว่าจะเป็น ‘กลอนสาวงาม’ หรือ ‘พิศบุปผาเพียงพิศพักตร์’’ ก็ล้วนเป็นกลอนยอดนิยมที่ไม่มีที่ติ กระทั่งเป็นกลอนอมตะก็ไม่ใช่ปัญหา นี่หมายถึงว่าเขามีชื่อด้านอักษรแล้ว ได้รับคำวิจารณ์ว่า ‘ครบทั้งบุ๋นและบู๊’ อย่างสมบูรณ์

บัณฑิตมีชื่อนับไม่ถ้วนแย่งกันสรรเสริญวิจารณ์กลอนทั้งสามบทของหลี่มู่

ต่อให้เป็นนักวิจารณ์กลอนที่เข้มงวดที่สุดก็ยังต้องยอมรับว่ากลอนสามบทนี้เป็นผลงานชิ้นเอก นอกจากสถานที่บางแห่ง ชื่อบางชื่อซึ่งยังต้องรอการถกเถียงหารือแล้ว ส่วนอื่นๆ ชล้วนยอดเยี่ยม ภายในสิบปี วงการวรรณกรรมเมืองฉางอันจะมีใครสู้เขาได้?

สาวงาม นางคณิกาชื่อดัง และนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอต่างๆ ในหน่วยเลี้ยงรับรองต่างแย่งกันขับร้องบทกวีทั้งสาม ‘กลอนสาวงาม’ ได้รับความนิยมมากที่สุด แทบจะกลายเป็นบทเพลงที่ต้องร้องตามหอเล็กใหญ่ต่างๆ ในช่วง สองสามวันมานี้ ทั้งยังฟังได้ไม่รู้เบื่อ

ส่วนฮวาเสี่ยงหรงแห่งหอสดับเซียน ‘เจ้าของลิขสิทธิ์’ กลอนบทนี้ก็ยิ่งโด่งดังในชั่วข้ามคืน มีแววจะเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งในบรรดาหอคณิกาเล็กใหญ่ทั้งหมดของเมืองฉางอัน

ต่อให้เป็นนางคณิกาที่มีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยก็ล้วนหวังว่าจะได้ความสนใจจากยอดปรมาจารย์หนุ่มกันทั้งนั้น แค่เพียงได้บทกลอนครึ่งวรรคก็สามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้แล้ว

นี่ก็คือพลังของบทกวีชื่อดัง

แม้แต่ประชาชนทั่วไปทั้งหลาย หลังจากได้ฟังกลอนทั้งสามบทนี้แล้วก็รู้สึกว่าไพเราะนัก สัมผัสไปถึงห้วงอารมณ์ในใจของพวกเขา

ใครๆ ต่างก็อยากคัดกลอนสามบทนี้กันทั้งนั้น

เพียงแค่ชั่วเวลาไม่นาน กระดาษในเมืองฉางอันแพงลิ่ว

ชื่อของหลี่มู่ลือเลื่องไปทั่วเมืองฉางอัน

ภายใต้ปูมหลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ศึกท้าประลองของยอดปรมาจารย์ทั้งสองยิ่งดึงดูดสายตากว่าเดิม

ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ปะทะกับ ‘ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์’ เทพกระบี่รุ่นอาวุโส อีกทั้งยังเป็นการประลองที่ถึงตาย ทำให้คนนับไม่ถ้วนต่างเฝ้ารอคอย หากพูดว่ากลอนสามบทก่อนหน้านี้สร้างพายุให้กับวงการวรรณกรรมเมืองฉางอัน เช่นนั้นศึกท้าประลองนี้ก็สร้างคลื่นปั่นป่วนให้กับยุทธจักรของเมือง

วันที่สามตอนเช้า แสงอาทิตย์สว่างสดใส

ในที่สุดวันนัดท้าประลองก็มาถึง

ฟ้ายังไม่ทันแจ้ง ด้านนอกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก็มีฝูงชนเบียดเสียดเนืองแน่นอยู่ที่หน้าประตู รอโรงฝึกยุทธ์เปิดประตูเมื่อใดก็จะพุ่งเข้าไปจองที่ชมการประลอง

ก่อนหน้านี้ โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ประกาศเอาไว้ ศึกนี้จะเปิดกว้างต่อคนในยุทธจักรเมืองฉางอัน ผู้ที่มาดูการประลองสามารถเข้ามาดูได้โดยไม่ต้องมีเทียบเชิญ

เห็นได้ชัดว่าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์มั่นใจมากว่าตนจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นจึงตัดสินใจเช่นนี้ พวกเขาต้องการจะแสดงศักยภาพของตนต่อหน้าสหายสายยุทธ์พวกเดียวกัน และข่มขวัญคู่ต่อสู้ที่ซ่อนตัวอยู่ผ่านศึกนี้

เหลือเวลาเปิดโรงฝึกอีกไม่ถึงหนึ่งก้านธูป บนถนนกระบี่สวรรค์ก็เบียดเสียดเนืองแน่นแล้ว มองไปล้วนเป็นหัวคนดำพรืดไปหมด ทะลักล้นมาราวคลื่น

เห็นได้ชัดถึงอิทธิพลของศึกนี้

แน่นอน คนที่เบียดเสียดอยู่นอกประตูล้วนเป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น

ผู้นำระดับสูง ยอดฝีมือ ชนชั้นสูง ขุนนาง หรือคหบดีที่มีอิทธิพลจริงๆ ล้วนเข้าไปในสนามฝึกก่อนแล้วผ่านเส้นทางพิเศษ

เวลาผ่านไป

ครืน ครึ่ก ครึ่ก!

ประตูของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เปิดออก

ศิษย์โรงฝึกยุทธ์จูงเสืออัคคีเดินออกมาจากประตู เรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ข้างประตูทั้งสองด้าน

ไม่รอให้พูดอะไร กลุ่มคนด้านนอกทะลักเข้าไปภายในดุจคลื่นเขื่อนแตก

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 168 เหนือยอดปรมาจารย์ (2)

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 168 เหนือยอดปรมาจารย์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ขั้นเหนือมนุษย์กับเผ่าปีศาจล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก สามารถทำลายล้างเมืองได้เพียงแค่เสี้ยวความคิด ไม่ใช่ศัตรูที่กองกำลังทหารทั่วไปจะต่อกรได้

เหนือกว่าขั้นเหนือมนุษย์ขึ้นไปจะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ฟ้าดิน เข้าใจการเปลี่ยนแปลงทั้งอดีตและปัจจุบันอย่างลึกซึ้ง

ทำได้ถึงขั้นนี้ถึงจะเข้าสู่ ‘ขั้นเทวะ’ ได้

ขั้นเทวะ เรียกได้อีกว่าผู้สูงส่งไร้พ่าย

ผู้สูงส่งไร้พ่ายในแผ่นดินใหญ่เสินโจวทุกวันนี้มีจำนวนที่แน่นอน เจ้าสำนักของสำนักเทพทั้งเก้า บรรพจารย์เชื้อพระวงศ์ของทั้งสามจักรวรรดิ อีกทั้งบรรพจารย์เชื้อพระวงศ์เผ่าปีศาจหลายตน รวมถึงผู้ฝึกไร้สังกัดชั้นยอดทั้งหลายในดินแดนต่างๆ…ขั้นเทวะโดยเผินๆ รวมแล้วไม่เกินยี่สิบคน

บุคคลเหล่านี้เป็นราวกับเทพเซียนบนดาววิถียุทธ์ดวงนี้

พวกเขาเป็นผู้ไร้พ่ายของจริง

อีกทั้งระหว่างผู้สูงส่งขั้นเทวะเกิดการกระทบกระทั่งกันยาก ศึกขั้นเทวะเกิดขึ้นน้อยครั้ง พวกเขาแค่ปกปักรักษาที่แห่งหนึ่งก็สยบเผ่าหรือควบคุมชะตาของอาณาจักรหนึ่งได้ เพียงประโยคเดียวก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วน

และเหนือขั้นเทวะก็เป็นขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว

บนโลกนี้เคยมีผู้ทะลวงสวรรค์ได้หรือไม่นั้น ผู้คนพูดกันไปต่างๆ  นานา

เพราะเมื่อถึงขั้นทะลวงสวรรค์ก็จะล่องลอยสู่ฟากฟ้าไปยังแดนเซียน ไม่เหลือเบาะแสร่องรอยใดๆ  ไว้ และไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์ที่ผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ลงมือ ไม่เคยมีขั้นทะลวงสวรรค์เดินไปมาอยู่ในโลกใบนี้จริงๆ…

หลายคนสงสัยว่าทะลวงสวรรค์เป็นแค่ตำนานและระดับพลังยุทธ์ที่อนุมานจากทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติยังไม่เคยมีใครทำได้จริง เป็นเพียงแค่จินตนาการอันรางเลือนเท่านั้น โลกนี้ยังไม่เคยมีใครไปถึงจริงๆ

คำอธิบายต่างๆ  ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย

แต่ส่วนใหญ่แล้วมีมุมมองที่เหมือนกันคือสองสามร้อยปีมานี้ ไม่สิ ถึงขนาดห้าร้อยปีขึ้นไป บนโลนี้ยังไม่มีบุคคลขั้นทะลวงสวรรค์ปรากฏตัวขึ้น

ดังนั้น ขั้นเทวะคือขั้นที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว

‘ซินแสเฒ่าบอกไว้ว่าดาวดวงนี้เป็นดาววิถียุทธ์ระดับต่ำ แต่ตอนนี้ดูแล้วคงจะแค่ในสายตาซินแสเฒ่าเท่านั้น จอมยุทธ์ จอมเวท และจอมปีศาจขั้นเทวะนี่เท่ากับผู้วิเศษในตำนานของโลกแล้ว สามารถเหาะเหินเดินอากาศดำดินได้ ส่วนขั้นทะลวงสวรรค์ยิ่งนับว่าบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเซียนแล้ว นี่มันต่ำเสียที่ไหนกัน’

หลี่มู่รู้สึกว่าคำพูดของซินแสเฒ่าจำเป็นต้องขบคิดให้ละเอียดจริงๆ

นอกจากขั้นพลังยุทธ์แล้ว เขาก็ได้รับความรู้ด้านอื่นๆ มาด้วย

ยกตัวอย่างเช่นการแบ่งขั้นพลังของเผ่าปีศาจ ในขั้นแรกจะต่างกับเผ่ามนุษย์เล็กน้อย เช่นเปิดปัญญา หลอมพลัง รวมกำลังภายใน แปลงกายและอื่นๆ แต่เมื่อถึงขั้นเหนือมนุษย์แล้วจะเรียกเหมือนกัน นอกจากนั้น เส้นทางการฝึกฝนของจอมเวทเผ่ามนุษย์ในช่วงแรกก็ต่างกันออกไปเล็กน้อย โดยจะใช้ดวงดาวในการแบ่ง ทว่าเมื่อถึงขั้นเหนือมนุษย์จะเรียกเหมือนกันแล้ว

นี่หมายถึงว่าการฝึกสายยุทธ์ สายเวท สายปีศาจ สุดท้ายแล้วก็เหมือนกัน

จุดกำเนิดของพลังและหลักการนั้นเหมือนกัน

หลี่มู่อ่านพวกนี้จบ ในใจก็กระจ่างขึ้นอีกมาก

ในขณะเดียวกัน เขาก็พบบางจุดที่แตกต่าง อย่างเช่นหลักการลึกล้ำของวิชาเวททั้งหลายที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้เรียกว่าวิชาเต๋า แต่จอมเวทของโลกใบนี้จะเรียกเวทที่พวกเขาฝึกว่าวิชาเวท ถึงแม้จะต่างกันเพียงแค่คำเดียว แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความความต่างชั้นของทั้งสอง

ดูจากแค่ความหมายของคำอย่างเดียว เต๋านั้นก็อยู่เหนือเวท

สิ่งที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้คือวิชาเต๋าของเทพเซียน แต่เหล่าจอมเวทของโลกใบนี้ฝึกฝนวิชาเวทของมนุษย์

สำหรับพวกค่ายกล ในม้วนตำราที่เจิ้งฉุนเจี้ยนกวาดค้นมากล่าวเอาไว้น้อยมาก เหล่าจอมเวทของโลกใบนี้แค่รู้ค่ายกลลวงตาแบบง่ายอย่างงูๆ ปลาๆ เท่านั้น เทียบกับค่ายกลอันแข็งแกร่งต่างๆ ที่ซินแสเฒ่าใช้งานได้ทุกเมื่อแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

พูดอย่างไม่เกรงใจได้เลยว่า จอมเวทบนโลกใบนี้โดยพื้นแล้วอยู่ในขั้นใช้พลังฟ้าดินได้อย่างผิวเผินเท่านั้น วิชาค่ายกลก็ยิ่งมีข้อจำกัดในการศึกษา

หลี่มู่หลับตาลง จัดเรียงความคิด ค่อยๆ มีแผนการขึ้นมาในใจ

เขายิ่งชัดเจนในเส้นทางของตัวเองมากขึ้นแล้ว

ซินแสเฒ่าต้องการให้เขากลับโลกไปภายในยี่สิบปี พูดอีกอย่างหนึ่งคือเขาต้องก้าวสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ให้ได้ภายในยี่สิบปีนี้

เพราะมีเพียงขั้นทะลวงสวรรค์เท่านั้นที่จะทำลายพันธนาการของดวงดาว แล้วเข้าไปยังเวิ้งจักรวาลได้

และในตอนนี้ กำลังรบของเขาคือขั้นยอดปรมาจารย์

อันที่จริง เขายังเก็บพลังที่สำแดงออกมาเมื่อช่วงก่อนหน้านี้เอาไว้ ดังนั้นหากพูดให้ถูกต้อง พลังฝึกของหลี่มู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ถึงขั้นล้ำลึกสูงสุดแล้ว นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยสนใจนัดท้าประลองกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์สักเท่าไหร่

ในขั้นยอดปรมาจารย์ เขาไม่กล้าพูดว่าตนไร้เทียมทาน แต่ก็ไม่มีทางแพ้แน่นอน

ส่วนเรื่องสู้กับผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานจะชนะได้หรือไม่นั้น เขาก็ไม่แน่ใจแล้ว

เพราะเขายังไม่เคยเห็นอานุภาพทำลายล้างของพลังฟ้าประทาน ตามหลักแล้วขั้นฟ้าประทานชีวิตหลุดพ้นจากลิขิตสวรรค์ เป็นการหลุดพ้นครั้งยิ่งใหญ่ ไม่สามารถนำความเข้าใจก่อนหน้านี้มาวัดได้

“ขั้นทะลวงสวรรค์…”

อย่างน้อยๆ เขาก็มีเป้าหมายที่ควรขยันแล้ว

วันหลังจะต้องคอยติดตามข่าวเรื่องขั้นทะลวงสวรรค์พวกนี้

เขาคิดในใจพลางเปลี่ยนไปเริ่มคิดถึงศึกท้าประลองในวันพรุ่งนี้

‘สถานการณ์ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เป็นอย่างไรไม่อาจรู้ได้ แต่ดูจากฝีมือและสันดานที่พวก ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงกับศิษย์โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ทั้งหลาย คาดว่าไม่ใช่คนดีอะไร สถานที่ท้าประลองวันพรุ่งนี้ยังอยู่ในสนามฝึกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เกรงว่าคงไม่ได้มีเจตนาดี มีแผนชั่วอะไรหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ดังนั้นจะต้องกันไว้ก่อน’

เขาขบคิด

สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่หยกขนาดเท่ากะละมังล้างหน้าที่เหลืออยู่หกก้อนนั้น

‘เอามาทำอาวุธเต๋าระดับที่ใช้ครั้งเดียวเอาไว้เป็นไพ่ตายได้’

หลี่มู่มีแผนแล้ว

อาวุธเต๋าใช้ครั้งเดียวก็เหมือนระเบิดมือหรือกับดักระเบิดของโลก แต่แน่นอนว่าทรงพลังยิ่งกว่า หากระเบิดจะเกิดพลังทำลายล้างรุนแรง จากคำของซินแสเฒ่า อาวุธพวกนี้พลังเหนือกว่า เอาไว้วางอำนาจบาตรใหญ่ สร้างหายนะ เป็นของชั้นดีที่ต้องมีไว้ใช้รังแกคน

‘ทำเป็น ‘อัสนีหยกม่วงประกายดาว’ แล้วกัน นี่คืออาวุธเต๋าประเภทสิ้นเปลืองที่แข็งแกร่งที่สุดที่พลังจิตวิญญาณของเราทำออกมาได้ในตอนนี้’

หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ข้อสรุป

ต้องขอบคุณทริปเที่ยวหน่วยเลี้ยงรับรอง ได้ดูกายเต๋าฟ้าประทานฮวาเสี่ยงหรงร่ายรำเดี่ยว ได้รับพลังจากระลอกคลื่นท่วงทำนองแห่งเต๋า ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ของเขาทะลวงถึงขั้นหนึ่งระดับต้น พลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น ถึงได้สร้าง ‘อัสนีหยกม่วงประกายดาว’ ออกมาได้ หากเป็นหลี่มู่เมื่อสองวันก่อนหน้านี้ทำไม่ได้แน่

……

เวลาหมุนผ่านไป

ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้ เรื่องที่เกิดขึ้นในหอสดับเซียนของหน่วยเลี้ยงรับรองแพร่สะพัดไปทั่วเมืองฉางอันอย่างบ้าคลั่งราวติดปีก สร้างความฮือฮายกใหญ่

หลังจากยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์แต่ง ‘จารึกเรือนซอมซ่อ’ ออกมาแล้วก็ยังแต่งผลงานชั้นเยี่ยมอีก ไม่ว่าจะเป็น ‘กลอนสาวงาม’ หรือ ‘พิศบุปผาเพียงพิศพักตร์’’ ก็ล้วนเป็นกลอนยอดนิยมที่ไม่มีที่ติ กระทั่งเป็นกลอนอมตะก็ไม่ใช่ปัญหา นี่หมายถึงว่าเขามีชื่อด้านอักษรแล้ว ได้รับคำวิจารณ์ว่า ‘ครบทั้งบุ๋นและบู๊’ อย่างสมบูรณ์

บัณฑิตมีชื่อนับไม่ถ้วนแย่งกันสรรเสริญวิจารณ์กลอนทั้งสามบทของหลี่มู่

ต่อให้เป็นนักวิจารณ์กลอนที่เข้มงวดที่สุดก็ยังต้องยอมรับว่ากลอนสามบทนี้เป็นผลงานชิ้นเอก นอกจากสถานที่บางแห่ง ชื่อบางชื่อซึ่งยังต้องรอการถกเถียงหารือแล้ว ส่วนอื่นๆ ชล้วนยอดเยี่ยม ภายในสิบปี วงการวรรณกรรมเมืองฉางอันจะมีใครสู้เขาได้?

สาวงาม นางคณิกาชื่อดัง และนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอต่างๆ ในหน่วยเลี้ยงรับรองต่างแย่งกันขับร้องบทกวีทั้งสาม ‘กลอนสาวงาม’ ได้รับความนิยมมากที่สุด แทบจะกลายเป็นบทเพลงที่ต้องร้องตามหอเล็กใหญ่ต่างๆ ในช่วง สองสามวันมานี้ ทั้งยังฟังได้ไม่รู้เบื่อ

ส่วนฮวาเสี่ยงหรงแห่งหอสดับเซียน ‘เจ้าของลิขสิทธิ์’ กลอนบทนี้ก็ยิ่งโด่งดังในชั่วข้ามคืน มีแววจะเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งในบรรดาหอคณิกาเล็กใหญ่ทั้งหมดของเมืองฉางอัน

ต่อให้เป็นนางคณิกาที่มีชื่อเสียงเพียงเล็กน้อยก็ล้วนหวังว่าจะได้ความสนใจจากยอดปรมาจารย์หนุ่มกันทั้งนั้น แค่เพียงได้บทกลอนครึ่งวรรคก็สามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้แล้ว

นี่ก็คือพลังของบทกวีชื่อดัง

แม้แต่ประชาชนทั่วไปทั้งหลาย หลังจากได้ฟังกลอนทั้งสามบทนี้แล้วก็รู้สึกว่าไพเราะนัก สัมผัสไปถึงห้วงอารมณ์ในใจของพวกเขา

ใครๆ ต่างก็อยากคัดกลอนสามบทนี้กันทั้งนั้น

เพียงแค่ชั่วเวลาไม่นาน กระดาษในเมืองฉางอันแพงลิ่ว

ชื่อของหลี่มู่ลือเลื่องไปทั่วเมืองฉางอัน

ภายใต้ปูมหลังอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ศึกท้าประลองของยอดปรมาจารย์ทั้งสองยิ่งดึงดูดสายตากว่าเดิม

ยอดปรมาจารย์รุ่นเยาว์หลี่มู่ปะทะกับ ‘ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์’ เทพกระบี่รุ่นอาวุโส อีกทั้งยังเป็นการประลองที่ถึงตาย ทำให้คนนับไม่ถ้วนต่างเฝ้ารอคอย หากพูดว่ากลอนสามบทก่อนหน้านี้สร้างพายุให้กับวงการวรรณกรรมเมืองฉางอัน เช่นนั้นศึกท้าประลองนี้ก็สร้างคลื่นปั่นป่วนให้กับยุทธจักรของเมือง

วันที่สามตอนเช้า แสงอาทิตย์สว่างสดใส

ในที่สุดวันนัดท้าประลองก็มาถึง

ฟ้ายังไม่ทันแจ้ง ด้านนอกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ก็มีฝูงชนเบียดเสียดเนืองแน่นอยู่ที่หน้าประตู รอโรงฝึกยุทธ์เปิดประตูเมื่อใดก็จะพุ่งเข้าไปจองที่ชมการประลอง

ก่อนหน้านี้ โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ประกาศเอาไว้ ศึกนี้จะเปิดกว้างต่อคนในยุทธจักรเมืองฉางอัน ผู้ที่มาดูการประลองสามารถเข้ามาดูได้โดยไม่ต้องมีเทียบเชิญ

เห็นได้ชัดว่าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์มั่นใจมากว่าตนจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นจึงตัดสินใจเช่นนี้ พวกเขาต้องการจะแสดงศักยภาพของตนต่อหน้าสหายสายยุทธ์พวกเดียวกัน และข่มขวัญคู่ต่อสู้ที่ซ่อนตัวอยู่ผ่านศึกนี้

เหลือเวลาเปิดโรงฝึกอีกไม่ถึงหนึ่งก้านธูป บนถนนกระบี่สวรรค์ก็เบียดเสียดเนืองแน่นแล้ว มองไปล้วนเป็นหัวคนดำพรืดไปหมด ทะลักล้นมาราวคลื่น

เห็นได้ชัดถึงอิทธิพลของศึกนี้

แน่นอน คนที่เบียดเสียดอยู่นอกประตูล้วนเป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น

ผู้นำระดับสูง ยอดฝีมือ ชนชั้นสูง ขุนนาง หรือคหบดีที่มีอิทธิพลจริงๆ ล้วนเข้าไปในสนามฝึกก่อนแล้วผ่านเส้นทางพิเศษ

เวลาผ่านไป

ครืน ครึ่ก ครึ่ก!

ประตูของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์เปิดออก

ศิษย์โรงฝึกยุทธ์จูงเสืออัคคีเดินออกมาจากประตู เรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ข้างประตูทั้งสองด้าน

ไม่รอให้พูดอะไร กลุ่มคนด้านนอกทะลักเข้าไปภายในดุจคลื่นเขื่อนแตก

……………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+