จอมศาสตราพลิกดารา 169 ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 169 ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สนามฝึกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ซ่อมแซมแล้วเรียบร้อย หลุมวังใต้ดินที่หลี่มู่ระเบิดทะลวงไปก่อนหน้านี้ถูกถมเชื่อมกับสนามฝึกหมายเลขหกซึ่งตั้งอยู่ใจกลางสนามฝึก แล้วสร้างแท่นหินสูงราวเจ็ดจั้งขึ้นมา นี่คือแท่นประลองการท้าดวลของยอดปรมาจารย์ทั้งสองในวันนี้นั่นเอง

ด้านตะวันออกของแท่นประลองคือเวทีชมการต่อสู้ เป็นที่ที่เตรียมไว้ให้กับคนใหญ่คนโตทั้งหลาย

นอกจากนี้แล้ว ด้านตะวันตก เหนือ และใต้ทั้งสามด้านก็เป็นพื้นที่ว่างทั้งหมด ไม่มีเก้าอี้นั่งอะไรพวกนี้เลย คนที่มาดูการประลองต้องยืนดูเท่านั้น

ทั้งสนามมากพอที่จะจุคนได้หลายหมื่นคน

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์พยายามทุ่มแรงใจที่จะประกาศศักดา

ยิ่งทำให้ใหญ่เท่าใด ในยามที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แสดงอิทธิฤทธิ์ คนที่ตื่นตะลึงถึงจะยิ่งมีมากขึ้น

ฝูงชนเบียดเสียดมุ่งไปยังสนามฝึก

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สนามที่จุคนได้หลายหมื่นคนก็เต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่น

ห่างจากเวลาท้าประลองอีกเกือบครึ่งชั่วยาม

คู่ประลองแน่นอนว่ายังไม่ขึ้นเวทีตอนนี้

สายตามากมายนับไม่ถ้วนจ้องไปยังเวทีประลอง ค่อนข้างจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว

คนที่มาดูการประลองยุทธ์เหล่านี้ล้วนมาจากสำนักใหญ่ พรรค สำนักฝึกมวย โรงฝึกยุทธ์ อารามนักบวช สมาพันธ์การค้า ผู้ฝึกไร้สังกัด ส่วนมากมาเป็นกลุ่ม บางคนถึงขนาดว่าใส่ชุดเหมือนๆ กัน ทั้งยังยกธงที่เขียนชื่อขั้วอำนาจของแต่ละฝ่ายเอาไว้สูง

กลุ่มที่อยู่ใกล้เวทีประลองที่สุดย่อมเป็นขั้วอำนาจพรรคที่พลังและกำลังรบแข็งแกร่งที่สุด

คนประหลาดพิลึกล้วนปรากฏตัวขึ้น มีทั้งคนแก่ผมขาวโพลน หญิงชราหลังโค้งค่อม มีพระ นักพรต แม่ชี และยังมีสาวน้อยที่ดูแล้วน่ารัก มีคนขี่นกยักษ์ คนจูงลา มีที่ยืนอยู่บนหลังพยัคฆ์ร้าย แล้วยังมีคนที่ข้างหลังมีงูเหลือมยักษ์เลื้อยตามมา…

เทียบกันแล้ว นักรบอัคคีที่จูงเสืออัคคีคอยเดินรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไปมาดูปกติไปมากเลยทีเดียว

“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ใจใหญ่เสียจริง ไม่กลัวว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์จะแพ้จนขายหน้าไปถึงบ้านยายเลยรึ?”

“ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เป็นยอดปรมาจารย์เก่าแก่ มีชื่อเสียงมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แกล้งตายปลีกวิเวกมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพลังไปถึงจนขั้นไหนแล้ว เกรงว่าไม่แน่อาจจะฝึกพลังฟ้าประทานออกมาได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นละก็ หลี่มู่ต้านทานพลังกระบี่ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียวแน่นอน”

“ไม่แน่ ข้าว่าชัยชนะของหลี่มู่ก็ไม่น้อยเหมือนกัน เจ้าคิดดูสิ เขาอายุน้อยแค่นี้ก็เข้าสู่ขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว จะต้องมีวาสนาดีเลิศเป็นพิเศษ ข้างหลังจะต้องมีผู้สูงส่งอยู่แน่นอน”

“อย่างไรเสียอายุก็เป็นจุดอ่อนนา”

“ใช่แล้ว อายุน้อยประสบการณ์ไม่พอ หลี่มู่เคยผ่านประสบการณ์อะไรมา? ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์คือคนที่บุกน้ำลุยไฟฝ่าอันตรายมาแล้วเชียวนะ”

บนสนามประลอง ทุกที่มีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์

หลายวันนี้ สำหรับเรื่องที่ว่ายอดปรมาจารย์ทั้งสองใครจะเป็นคนแพ้ชนะ บ่อนพนันใหญ่ต่างๆ ในเมืองฉางอันก็เตรียมเปิดวางเดิมพันกันเป็นแถว เทียบกันแล้ว แต่ละฝ่ายต่างคาดหวังไว้ที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มากกว่า ส่วนมากคิดว่าเป็นการประลองหกสิบต่อสี่สิบ กระทั่งเจ็ดสิบต่อสามสิบเสียด้วยซ้ำ

ในกลุ่มคน หนุ่มสาวที่มาจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์นั่งอยู่ข้างหน้าสุด

คนระดับสูงของสำนักบัณฑิตย่อมขึ้นไปยังเวทีชมการประลองไปแล้ว พวกเขาเป็นแค่ลูกศิษย์ตำแหน่งเล็กๆ ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ใช้ชื่อของสำนักจึงได้มาอยู่บริเวณดีเยี่ยมที่ใกล้กับเวทีประลองมากที่สุด

เด็กสาวชื่อเหลยอินอินปีนี้อายุเพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น หน้าตาสวยสะอ่อนเยาว์ ร่าเริงสดใส กำลังเอ่ยหารือจุกจิกอะไรกับสหาย ต่างจากบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ส่วนมาก นางคือผู้ที่ชื่นชมบูชาหลี่มู่อย่างแน่วแน่ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่มู่กับสำนักตนจะไม่ดีก็ตาม

“วันนี้ยอดปรมาจารย์หลี่มู่จะต้องชนะแน่นอน” นางเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มที่

สหายของนางที่อยู่ข้างๆ ตกใจ รีบตะครุบปิดปากของนางเอาไว้

“อย่าเที่ยวพูดจาส่งเดช ที่นี่คือสนามหลักของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์” ศิษย์พี่คนหนึ่งกำชับ

ใบหน้าขาวเนียนราวเทียนไขของเหลยอินอินเขียนคำว่าไม่พอใจและไม่ยอมเอาไว้เต็ม “กลัวอะไรกัน ประลองยุทธ์อย่างไรก็ต้องมีแพ้ชนะ จะไม่ให้ใครทายกันแล้วรึอย่างไร ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์รังแกเด็กชัดๆ ช่างน่าไม่อายนัก แต่ข้ารู้สึกว่ายอดปรมาจารย์หลี่มู่ต้องชนะแน่ เพราะเขาเขียนกลอนได้ดีถึงขนาดนั้น”

“พรืด…อินอินน้อย ตรรกะของเจ้าอยู่ที่ใดกัน เขียนกลอนได้ดีก็ไม่แน่ว่าจะชนะการประลองยุทธ์นะ ไม่ได้แข่งเขียนกลอนสักหน่อย” สหายผู้หญิงนางหนึ่งโต้แย้งพร้อมหลุดขำ

ใบหน้าหลงใหลได้ปลื้มของเหลยอินอินแสดงอาการว่านั่นมันย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ก่อนจะพูด “แล้วอย่างไร? ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ยังหล่อเหลาอีกด้วยนะ”

“นี่มันเหตุผลอะไรกันเนี่ย” สหายอับจนซึ่งคำพูด

“หึ อย่างไรข้าก็คิดแบบนี้” เห็นได้ชัดว่าเหลยอินอินกลายเป็นสาวกที่ได้มาตรฐานที่สุดของหลี่มู่ไปแล้ว

เพื่อพิสูจน์คำพูดของตน นางตบบ่าหนุ่มแปลกหน้าคนข้างๆ ถามว่า “สหาย เจ้าว่าข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่?”

เด็กหนุ่มสวมชุดธรรมดา ข้างกายมีเสือดาวเบญจมาศตาบอดข้างหนึ่งอยู่ด้วย ได้ยินดังนั้นแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “นั่นแน่นอน หน้าตาคือความยุติธรรม หน้าตาเปรียบดั่งพลัง หน้าตาของยอดปรมาจารย์หลี่มู่เหนือกว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์นั่นแน่ จะต้องชนะแน่นอน”

เหลยอินอินลิงโลด ทำหน้าตาราวได้เจอกับคนรู้ใจ “สหาย เจ้าพูดได้ดีมาก ถูกต้องเป็นที่สุด…นี่ หน้าตา หมายถึงรูปโฉมรึ? เจ้าเคยเจอยอดปรมาจารย์หลี่มู่?”

เด็กหนุ่มพูดอย่างลึกลับ “ย่อมเคยเห็น ถึงแม้จะเคยเห็นไกลๆ แค่แวบเดียว แต่กลับตื่นตะลึงเพราะความสง่างามของเขา เขาคือเด็กหนุ่มหล่อที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นในชีวิตนี้ รูปร่างสง่างาม รูปโฉมหล่อเหลา ดูโดดเด่นไร้มลทินราวกับราชาเทพจุติลงมายังโลกมนุษย์ เป็นชายรูปงามที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกนี้ ไม่มีใครสู้เขาได้เลย”

“ว้าว จริงหรือๆ?” เหลยอินอินกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ข้าว่าแล้ว ยอดปรมาจารย์หลี่มู่สมบูรณ์พร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ จะต้องเป็นคนงดงามไร้ที่ติแน่นอน พวกเจ้ายังไม่เชื่ออีก” พูดถึงตรงนี้ สาวน้อยก็หันไปท้าทายเหล่าสหายด้วยใบหน้าได้ใจ “เห็นไหมเล่า มีคนพิสูจน์คำพูดของข้าแล้ว พวกเจ้าเชื่อกันได้แล้วหรือยัง”

บัณฑิตหนุ่มสาวคนอื่นๆ ล้วนมองเหลยอินอินและเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน

สาวกผู้เลื่อมใสสองคนมาเจอกันเสียแล้ว

เหลยอินอินลากเด็กหนุ่มคนนั้นมา พูดคุยเรื่องราวของยอดปรมาจารย์หลี่มู่ด้วยกันอย่างตื่นเต้น

และเด็กหนุ่มคนนี้ก็เหมือนจะเข้าใจในตัวหลี่มู่เป็นอย่างดี เล่าข่าวลือต่างๆ ออกมาเป็นฉากๆ อีกทั้งยังเล่าเรื่องลับเฉพาะอีกมากมายเกี่ยวกับหลี่มู่ ทำให้นางยืนยันมั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นผู้บูชาคลั่งไคล้ยอดปรมาจารย์หลี่มู่เหมือนกับตนแน่นอน

จากคำพูดของเด็กหนุ่ม ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ก็คือคำสรรพนามของความสมบูรณ์แบบ

“พูดจริงๆ นะ ข้าเองก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกันว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่ไร้ที่ติเช่นเขา” เด็กหนุ่มเอ่ยสรุป

ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาประลองแล้ว

บนเวทีชมการต่อสู้ด้านตะวันออก ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากแต่ละแห่งนั่งประจำที่แล้ว

หนึ่งในนั้นมี ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนปัจจุบัน

แน่นอน เขาไม่ใช่แขกที่มีอำนาจที่สุดในเวทีชมการประลอง

เพราะสิ่งที่ใครหลายคนคาดคิดไม่ถึงก็คือ เจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองฉางอันจะปรากฏกายขึ้น ใต้เท้ากองรักษาการณ์เขตเมืองฝั่งเหนือ ใต้ ออก ตก อีกทั้งผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ส่วนใหญ่จากจวนขุนนาง ทุกคนล้วนมาอยู่ที่นี่ โจวอีหลิงที่พ่ายแพ้ให้กับหลี่มู่ในวันนั้นก็อยู่ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น ผู้กุมอำนาจพรรคหรือสำนักขนาดใหญ่ต่างๆ ในเมืองฉางอัน พ่อค้าคหบดีที่ติดอันดับ รวมถึงผู้ฝึกไร้สังกัดที่พลังแข็งแกร่งบางคน เจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เฝิงฟางหวา เจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เถี่ยจ้าน ประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลโจวเต๋อเต้าก็อยู่ที่นี่

ขุนพลใหญ่หนิงหรูซานที่น้อยครั้งจะเข้าร่วมเหตุการณ์เช่นนี้ก็อยู่บนเวทีด้วย

ข้างกายขุนพลผู้เฒ่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มคิ้วเข้มตาโตหน้าตาซื่อๆ หญิงสาวใบหน้างดงามสะอาดบริสุทธิ์ดุจหิมะ เป็นคู่สามีภรรยาบุตรอนุหนิงจิ้งและตงเสวี่ยนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาติดตามหนิงหรูซานออกงานแบบนี้ รวมกับว่าเป็นห่วงหลี่มู่ ดังนั้นสีหน้าของทั้งสองจึงเคร่งเครียด

เพียงชั่วพริบตา ห่างจากเวลาประลองไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาแล้ว

“ทำไมยังไม่มาอีก”

“ใกล้จะเริ่มอยู่แล้ว”

“คู่ประลองเล่า?”

ฝูงชนรอบๆ เริ่มค่อยๆ กระวนกระวาย

บนเวทีชมการประลอง แขกที่ฐานะสูงส่งคนหนึ่งเผยสีหน้าประหลาดใจ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เห็นเวลาท้าประลองใกล้จะเริ่มแล้ว แต่ผู้ประลองทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครปรากฏตัวขึ้นเลย หรือว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น? หรือจะบอกว่ารอจนถึงอึดใจสุดท้ายถึงจะขึ้นมาบนเวที?

บางคนมองไปยัง ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิง

“ท่านบรรพชนใกล้จะปรากฏตัวแล้ว” สีหน้าของจางเฉิงเฟิงมั่นใจ “แต่ว่ายอดปรมาจารย์หนุ่มคนนั้นจะไม่สู้แล้วหนีไปหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้”

ท่านเจ้าเมืองมีสีหน้าเรียบเฉย นั่งเงียบๆ ไม่แสดงท่าทีอะไร

เจิ้งฉุนเจี้ยนยืนอยู่ข้างหลังของเขา

เพียงชั่วพริบตา ก็ห่างจากเวลานัดไม่ถึงยี่สิบอึดใจ

ฟิ้ว!

แสงกระบี่วาววับพุ่งออกมาจากทางเรือนด้านหลังของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เงามายาของกระบี่เทพเล่มมหึมาที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแหวกท้องฟ้ามา ต่อให้เป็นคนที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวเกินต้านทานปกคลุมทั่วโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ในพริบตา ทำให้คนใจสั่นสะท้าน

เงากระบี่ยักษ์สีแดงอ่อนยาวกว่าสามสิบจั้ง กว้างสามจั้ง คล้ายเจดีย์หลังหนึ่ง รางเลือนคล้ายภาพจริงคล้ายมายา มีพลังอำนาจที่บรรยายไม่ถูก เหมือนเหล่าทวยเทพยังต้องกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้กระบี่เล่มนี้

กระบี่สวรรค์!

ทันใดนั้น เงากระบี่มายาก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงเข้ม เพียงกะพริบวาบก็มาอยู่เหนือเวทีประลอง

ทุกคนต่างรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน

บนเวทีประลองมีคนเพิ่มขึ้นมาแล้วหนึ่งคน

ชายชราผู้หนึ่ง

กายของเขากำยำดุจสิงโตตัวผู้ โครงกระดูกใหญ่กว้าง ใบหน้าอิ่มเอิบมีเลือดฝาด สูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ผมยาวสีแดงเข้ม คิ้วแดงหนวดแดง สวมเกราะแดงเพลิง มือถือกระบี่ยาวสี่แฉกไร้คมเอาไว้เล่มหนึ่ง ยืนอยู่บนเวทีคล้ายเปลวเพลิงที่ลุกโหมร้อนแรง ทรงพลังจนถึงขีดสุด

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์

ผ่านไปยี่สิบปี ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีกครั้งก็ยังคงทรงอำนาจไร้เทียมทานเช่นเดิม

รอบข้างส่งเสียงฮือฮากันอย่างอดไม่ได้

คนที่พลังค่อนข้างต่ำกระทั่งว่าไม่กล้ามองชายชราน่าเกรงขามดุจเปลวเพลิงคนนี้ตรงๆ ดวงตาปวดแสบปวดร้อนราวถูกลวก หากฝืนมองตาอาจจะบอดเอาก็เป็นได้

รัศมีอำนาจและพลังของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้ได้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

บุคคลรุ่นอาวุโสหลายคนมองเห็นธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ปรากฏตัวขึ้น ในใจก็ตื่นตะลึง และค้นพบอะไรได้อย่างเศร้าใจ ตัวประหลาดที่ยิ่งใหญ่ในอดีต สังหารผู้แข็งแกร่งมีชื่อไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ พลังยกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว อีกทั้งดูจากสภาพยังเหมือนจะอ่อนวัยกว่าเดิม หรือเจ้าคนนี้จะเป็นตัวประหลาด ไยจึงยิ่งอยู่ยิ่งหนุ่ม?

“หลี่มู่อยู่หรือไม่ ปรากฏกายออกมาประลอง”

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 169 ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 169 ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สนามฝึกของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ซ่อมแซมแล้วเรียบร้อย หลุมวังใต้ดินที่หลี่มู่ระเบิดทะลวงไปก่อนหน้านี้ถูกถมเชื่อมกับสนามฝึกหมายเลขหกซึ่งตั้งอยู่ใจกลางสนามฝึก แล้วสร้างแท่นหินสูงราวเจ็ดจั้งขึ้นมา นี่คือแท่นประลองการท้าดวลของยอดปรมาจารย์ทั้งสองในวันนี้นั่นเอง

ด้านตะวันออกของแท่นประลองคือเวทีชมการต่อสู้ เป็นที่ที่เตรียมไว้ให้กับคนใหญ่คนโตทั้งหลาย

นอกจากนี้แล้ว ด้านตะวันตก เหนือ และใต้ทั้งสามด้านก็เป็นพื้นที่ว่างทั้งหมด ไม่มีเก้าอี้นั่งอะไรพวกนี้เลย คนที่มาดูการประลองต้องยืนดูเท่านั้น

ทั้งสนามมากพอที่จะจุคนได้หลายหมื่นคน

โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์พยายามทุ่มแรงใจที่จะประกาศศักดา

ยิ่งทำให้ใหญ่เท่าใด ในยามที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์แสดงอิทธิฤทธิ์ คนที่ตื่นตะลึงถึงจะยิ่งมีมากขึ้น

ฝูงชนเบียดเสียดมุ่งไปยังสนามฝึก

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สนามที่จุคนได้หลายหมื่นคนก็เต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่น

ห่างจากเวลาท้าประลองอีกเกือบครึ่งชั่วยาม

คู่ประลองแน่นอนว่ายังไม่ขึ้นเวทีตอนนี้

สายตามากมายนับไม่ถ้วนจ้องไปยังเวทีประลอง ค่อนข้างจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว

คนที่มาดูการประลองยุทธ์เหล่านี้ล้วนมาจากสำนักใหญ่ พรรค สำนักฝึกมวย โรงฝึกยุทธ์ อารามนักบวช สมาพันธ์การค้า ผู้ฝึกไร้สังกัด ส่วนมากมาเป็นกลุ่ม บางคนถึงขนาดว่าใส่ชุดเหมือนๆ กัน ทั้งยังยกธงที่เขียนชื่อขั้วอำนาจของแต่ละฝ่ายเอาไว้สูง

กลุ่มที่อยู่ใกล้เวทีประลองที่สุดย่อมเป็นขั้วอำนาจพรรคที่พลังและกำลังรบแข็งแกร่งที่สุด

คนประหลาดพิลึกล้วนปรากฏตัวขึ้น มีทั้งคนแก่ผมขาวโพลน หญิงชราหลังโค้งค่อม มีพระ นักพรต แม่ชี และยังมีสาวน้อยที่ดูแล้วน่ารัก มีคนขี่นกยักษ์ คนจูงลา มีที่ยืนอยู่บนหลังพยัคฆ์ร้าย แล้วยังมีคนที่ข้างหลังมีงูเหลือมยักษ์เลื้อยตามมา…

เทียบกันแล้ว นักรบอัคคีที่จูงเสืออัคคีคอยเดินรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไปมาดูปกติไปมากเลยทีเดียว

“โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ใจใหญ่เสียจริง ไม่กลัวว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์จะแพ้จนขายหน้าไปถึงบ้านยายเลยรึ?”

“ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์เป็นยอดปรมาจารย์เก่าแก่ มีชื่อเสียงมาตั้งแต่หลายสิบปีก่อน แกล้งตายปลีกวิเวกมานานหลายปีขนาดนี้ ไม่รู้ว่าพลังไปถึงจนขั้นไหนแล้ว เกรงว่าไม่แน่อาจจะฝึกพลังฟ้าประทานออกมาได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นละก็ หลี่มู่ต้านทานพลังกระบี่ของธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ไม่ได้แม้กระบวนท่าเดียวแน่นอน”

“ไม่แน่ ข้าว่าชัยชนะของหลี่มู่ก็ไม่น้อยเหมือนกัน เจ้าคิดดูสิ เขาอายุน้อยแค่นี้ก็เข้าสู่ขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว จะต้องมีวาสนาดีเลิศเป็นพิเศษ ข้างหลังจะต้องมีผู้สูงส่งอยู่แน่นอน”

“อย่างไรเสียอายุก็เป็นจุดอ่อนนา”

“ใช่แล้ว อายุน้อยประสบการณ์ไม่พอ หลี่มู่เคยผ่านประสบการณ์อะไรมา? ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์คือคนที่บุกน้ำลุยไฟฝ่าอันตรายมาแล้วเชียวนะ”

บนสนามประลอง ทุกที่มีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์

หลายวันนี้ สำหรับเรื่องที่ว่ายอดปรมาจารย์ทั้งสองใครจะเป็นคนแพ้ชนะ บ่อนพนันใหญ่ต่างๆ ในเมืองฉางอันก็เตรียมเปิดวางเดิมพันกันเป็นแถว เทียบกันแล้ว แต่ละฝ่ายต่างคาดหวังไว้ที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์มากกว่า ส่วนมากคิดว่าเป็นการประลองหกสิบต่อสี่สิบ กระทั่งเจ็ดสิบต่อสามสิบเสียด้วยซ้ำ

ในกลุ่มคน หนุ่มสาวที่มาจากสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์นั่งอยู่ข้างหน้าสุด

คนระดับสูงของสำนักบัณฑิตย่อมขึ้นไปยังเวทีชมการประลองไปแล้ว พวกเขาเป็นแค่ลูกศิษย์ตำแหน่งเล็กๆ ของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ ใช้ชื่อของสำนักจึงได้มาอยู่บริเวณดีเยี่ยมที่ใกล้กับเวทีประลองมากที่สุด

เด็กสาวชื่อเหลยอินอินปีนี้อายุเพิ่งจะสิบห้าเท่านั้น หน้าตาสวยสะอ่อนเยาว์ ร่าเริงสดใส กำลังเอ่ยหารือจุกจิกอะไรกับสหาย ต่างจากบัณฑิตของสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์ส่วนมาก นางคือผู้ที่ชื่นชมบูชาหลี่มู่อย่างแน่วแน่ แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่มู่กับสำนักตนจะไม่ดีก็ตาม

“วันนี้ยอดปรมาจารย์หลี่มู่จะต้องชนะแน่นอน” นางเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มที่

สหายของนางที่อยู่ข้างๆ ตกใจ รีบตะครุบปิดปากของนางเอาไว้

“อย่าเที่ยวพูดจาส่งเดช ที่นี่คือสนามหลักของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์” ศิษย์พี่คนหนึ่งกำชับ

ใบหน้าขาวเนียนราวเทียนไขของเหลยอินอินเขียนคำว่าไม่พอใจและไม่ยอมเอาไว้เต็ม “กลัวอะไรกัน ประลองยุทธ์อย่างไรก็ต้องมีแพ้ชนะ จะไม่ให้ใครทายกันแล้วรึอย่างไร ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์รังแกเด็กชัดๆ ช่างน่าไม่อายนัก แต่ข้ารู้สึกว่ายอดปรมาจารย์หลี่มู่ต้องชนะแน่ เพราะเขาเขียนกลอนได้ดีถึงขนาดนั้น”

“พรืด…อินอินน้อย ตรรกะของเจ้าอยู่ที่ใดกัน เขียนกลอนได้ดีก็ไม่แน่ว่าจะชนะการประลองยุทธ์นะ ไม่ได้แข่งเขียนกลอนสักหน่อย” สหายผู้หญิงนางหนึ่งโต้แย้งพร้อมหลุดขำ

ใบหน้าหลงใหลได้ปลื้มของเหลยอินอินแสดงอาการว่านั่นมันย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ก่อนจะพูด “แล้วอย่างไร? ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ยังหล่อเหลาอีกด้วยนะ”

“นี่มันเหตุผลอะไรกันเนี่ย” สหายอับจนซึ่งคำพูด

“หึ อย่างไรข้าก็คิดแบบนี้” เห็นได้ชัดว่าเหลยอินอินกลายเป็นสาวกที่ได้มาตรฐานที่สุดของหลี่มู่ไปแล้ว

เพื่อพิสูจน์คำพูดของตน นางตบบ่าหนุ่มแปลกหน้าคนข้างๆ ถามว่า “สหาย เจ้าว่าข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่?”

เด็กหนุ่มสวมชุดธรรมดา ข้างกายมีเสือดาวเบญจมาศตาบอดข้างหนึ่งอยู่ด้วย ได้ยินดังนั้นแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ “นั่นแน่นอน หน้าตาคือความยุติธรรม หน้าตาเปรียบดั่งพลัง หน้าตาของยอดปรมาจารย์หลี่มู่เหนือกว่าธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์นั่นแน่ จะต้องชนะแน่นอน”

เหลยอินอินลิงโลด ทำหน้าตาราวได้เจอกับคนรู้ใจ “สหาย เจ้าพูดได้ดีมาก ถูกต้องเป็นที่สุด…นี่ หน้าตา หมายถึงรูปโฉมรึ? เจ้าเคยเจอยอดปรมาจารย์หลี่มู่?”

เด็กหนุ่มพูดอย่างลึกลับ “ย่อมเคยเห็น ถึงแม้จะเคยเห็นไกลๆ แค่แวบเดียว แต่กลับตื่นตะลึงเพราะความสง่างามของเขา เขาคือเด็กหนุ่มหล่อที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นในชีวิตนี้ รูปร่างสง่างาม รูปโฉมหล่อเหลา ดูโดดเด่นไร้มลทินราวกับราชาเทพจุติลงมายังโลกมนุษย์ เป็นชายรูปงามที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกนี้ ไม่มีใครสู้เขาได้เลย”

“ว้าว จริงหรือๆ?” เหลยอินอินกระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ข้าว่าแล้ว ยอดปรมาจารย์หลี่มู่สมบูรณ์พร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ จะต้องเป็นคนงดงามไร้ที่ติแน่นอน พวกเจ้ายังไม่เชื่ออีก” พูดถึงตรงนี้ สาวน้อยก็หันไปท้าทายเหล่าสหายด้วยใบหน้าได้ใจ “เห็นไหมเล่า มีคนพิสูจน์คำพูดของข้าแล้ว พวกเจ้าเชื่อกันได้แล้วหรือยัง”

บัณฑิตหนุ่มสาวคนอื่นๆ ล้วนมองเหลยอินอินและเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน

สาวกผู้เลื่อมใสสองคนมาเจอกันเสียแล้ว

เหลยอินอินลากเด็กหนุ่มคนนั้นมา พูดคุยเรื่องราวของยอดปรมาจารย์หลี่มู่ด้วยกันอย่างตื่นเต้น

และเด็กหนุ่มคนนี้ก็เหมือนจะเข้าใจในตัวหลี่มู่เป็นอย่างดี เล่าข่าวลือต่างๆ ออกมาเป็นฉากๆ อีกทั้งยังเล่าเรื่องลับเฉพาะอีกมากมายเกี่ยวกับหลี่มู่ ทำให้นางยืนยันมั่นใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นผู้บูชาคลั่งไคล้ยอดปรมาจารย์หลี่มู่เหมือนกับตนแน่นอน

จากคำพูดของเด็กหนุ่ม ยอดปรมาจารย์หลี่มู่ก็คือคำสรรพนามของความสมบูรณ์แบบ

“พูดจริงๆ นะ ข้าเองก็ไม่กล้าเชื่อเหมือนกันว่าบนโลกใบนี้จะมีคนที่ไร้ที่ติเช่นเขา” เด็กหนุ่มเอ่ยสรุป

ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาประลองแล้ว

บนเวทีชมการต่อสู้ด้านตะวันออก ผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากแต่ละแห่งนั่งประจำที่แล้ว

หนึ่งในนั้นมี ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิงหัวหน้าโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์คนปัจจุบัน

แน่นอน เขาไม่ใช่แขกที่มีอำนาจที่สุดในเวทีชมการประลอง

เพราะสิ่งที่ใครหลายคนคาดคิดไม่ถึงก็คือ เจ้าเมืองผู้ปกครองเมืองฉางอันจะปรากฏกายขึ้น ใต้เท้ากองรักษาการณ์เขตเมืองฝั่งเหนือ ใต้ ออก ตก อีกทั้งผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ส่วนใหญ่จากจวนขุนนาง ทุกคนล้วนมาอยู่ที่นี่ โจวอีหลิงที่พ่ายแพ้ให้กับหลี่มู่ในวันนั้นก็อยู่ด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้น ผู้กุมอำนาจพรรคหรือสำนักขนาดใหญ่ต่างๆ ในเมืองฉางอัน พ่อค้าคหบดีที่ติดอันดับ รวมถึงผู้ฝึกไร้สังกัดที่พลังแข็งแกร่งบางคน เจ้าสำนักบัณฑิตเสียงวิหคสวรรค์เฝิงฟางหวา เจ้าสำนักบัณฑิตเขาเหมันต์เถี่ยจ้าน ประธานสมาพันธ์การค้าสมบูรณ์ผลโจวเต๋อเต้าก็อยู่ที่นี่

ขุนพลใหญ่หนิงหรูซานที่น้อยครั้งจะเข้าร่วมเหตุการณ์เช่นนี้ก็อยู่บนเวทีด้วย

ข้างกายขุนพลผู้เฒ่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มคิ้วเข้มตาโตหน้าตาซื่อๆ หญิงสาวใบหน้างดงามสะอาดบริสุทธิ์ดุจหิมะ เป็นคู่สามีภรรยาบุตรอนุหนิงจิ้งและตงเสวี่ยนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาติดตามหนิงหรูซานออกงานแบบนี้ รวมกับว่าเป็นห่วงหลี่มู่ ดังนั้นสีหน้าของทั้งสองจึงเคร่งเครียด

เพียงชั่วพริบตา ห่างจากเวลาประลองไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาแล้ว

“ทำไมยังไม่มาอีก”

“ใกล้จะเริ่มอยู่แล้ว”

“คู่ประลองเล่า?”

ฝูงชนรอบๆ เริ่มค่อยๆ กระวนกระวาย

บนเวทีชมการประลอง แขกที่ฐานะสูงส่งคนหนึ่งเผยสีหน้าประหลาดใจ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เห็นเวลาท้าประลองใกล้จะเริ่มแล้ว แต่ผู้ประลองทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครปรากฏตัวขึ้นเลย หรือว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น? หรือจะบอกว่ารอจนถึงอึดใจสุดท้ายถึงจะขึ้นมาบนเวที?

บางคนมองไปยัง ‘กระบี่เทพเบิกฟ้า’ จางเฉิงเฟิง

“ท่านบรรพชนใกล้จะปรากฏตัวแล้ว” สีหน้าของจางเฉิงเฟิงมั่นใจ “แต่ว่ายอดปรมาจารย์หนุ่มคนนั้นจะไม่สู้แล้วหนีไปหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้”

ท่านเจ้าเมืองมีสีหน้าเรียบเฉย นั่งเงียบๆ ไม่แสดงท่าทีอะไร

เจิ้งฉุนเจี้ยนยืนอยู่ข้างหลังของเขา

เพียงชั่วพริบตา ก็ห่างจากเวลานัดไม่ถึงยี่สิบอึดใจ

ฟิ้ว!

แสงกระบี่วาววับพุ่งออกมาจากทางเรือนด้านหลังของโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ เงามายาของกระบี่เทพเล่มมหึมาที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแหวกท้องฟ้ามา ต่อให้เป็นคนที่ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวเกินต้านทานปกคลุมทั่วโรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ในพริบตา ทำให้คนใจสั่นสะท้าน

เงากระบี่ยักษ์สีแดงอ่อนยาวกว่าสามสิบจั้ง กว้างสามจั้ง คล้ายเจดีย์หลังหนึ่ง รางเลือนคล้ายภาพจริงคล้ายมายา มีพลังอำนาจที่บรรยายไม่ถูก เหมือนเหล่าทวยเทพยังต้องกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้กระบี่เล่มนี้

กระบี่สวรรค์!

ทันใดนั้น เงากระบี่มายาก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีแดงเข้ม เพียงกะพริบวาบก็มาอยู่เหนือเวทีประลอง

ทุกคนต่างรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน

บนเวทีประลองมีคนเพิ่มขึ้นมาแล้วหนึ่งคน

ชายชราผู้หนึ่ง

กายของเขากำยำดุจสิงโตตัวผู้ โครงกระดูกใหญ่กว้าง ใบหน้าอิ่มเอิบมีเลือดฝาด สูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ผมยาวสีแดงเข้ม คิ้วแดงหนวดแดง สวมเกราะแดงเพลิง มือถือกระบี่ยาวสี่แฉกไร้คมเอาไว้เล่มหนึ่ง ยืนอยู่บนเวทีคล้ายเปลวเพลิงที่ลุกโหมร้อนแรง ทรงพลังจนถึงขีดสุด

ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์

ผ่านไปยี่สิบปี ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีกครั้งก็ยังคงทรงอำนาจไร้เทียมทานเช่นเดิม

รอบข้างส่งเสียงฮือฮากันอย่างอดไม่ได้

คนที่พลังค่อนข้างต่ำกระทั่งว่าไม่กล้ามองชายชราน่าเกรงขามดุจเปลวเพลิงคนนี้ตรงๆ ดวงตาปวดแสบปวดร้อนราวถูกลวก หากฝืนมองตาอาจจะบอดเอาก็เป็นได้

รัศมีอำนาจและพลังของคนคนหนึ่งแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้ได้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

บุคคลรุ่นอาวุโสหลายคนมองเห็นธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ปรากฏตัวขึ้น ในใจก็ตื่นตะลึง และค้นพบอะไรได้อย่างเศร้าใจ ตัวประหลาดที่ยิ่งใหญ่ในอดีต สังหารผู้แข็งแกร่งมีชื่อไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ พลังยกระดับขึ้นอีกขั้นแล้ว อีกทั้งดูจากสภาพยังเหมือนจะอ่อนวัยกว่าเดิม หรือเจ้าคนนี้จะเป็นตัวประหลาด ไยจึงยิ่งอยู่ยิ่งหนุ่ม?

“หลี่มู่อยู่หรือไม่ ปรากฏกายออกมาประลอง”

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+