จอมศาสตราพลิกดารา 191 ท่าทางเจ้าจะเข้าใจแล้ว

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 191 ท่าทางเจ้าจะเข้าใจแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อะไรนะ? ให้ข้าคุกเข่าที่นี่ เจ้า…กล้าหยามหมิ่นข้าอย่างนั้นรึ?” ผู้บัญชาการหนุ่มตวาดอย่างโมโห “ข้าคือเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิต้าฉิน ในกายของข้ามีสายเลือดราชวงศ์ไหลเวียน เจ้ากลับกล้าให้ข้า…”

เพียะ!

หลี่มู่ยกมือตบไปทีหนึ่ง

“วอนหาเรื่องใช่ไหม? ยังไม่รู้สถานการณ์อีก? ใต้อนุสาวรีย์แห่งนี้ วีรบุรุษที่ฝังอยู่ที่นี่ มีคนไหนบ้างไม่ใช่วีรบุรุษที่พลีชีพเพื่อปกป้องเชื้อพระวงศ์ต้าฉินและพิทักษ์ดินแดนจักรวรรดิต้าฉิน เจ้าก็เป็นแค่คนโง่คนบ้าที่อาศัยร่มเงาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ข้าให้เจ้าคุกเข่านั่นคือให้เกียรติเจ้า ต่อให้เป็นจักรพรรดิต้าฉินองค์ปัจจุบันมาทำความเคารพหน้าอนุสาวรีย์แห่งนี้ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผล”

หลี่มู่พูดถึงตรงนี้แล้วก็ก้มลงมองผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลิน กล่าวว่า “เจ้า จะคุกเข่าหรือไม่?”

“มีปัญญาเจ้าก็ฆ่าข้าเสียสิ” ฉินหลินเลือดกบปาก หัวเราะเยาะหยัน “ข้าไม่ได้กลัวคำขู่…”

หลี่มู่พยักหน้า

กร๊อบ กร๊อบ

เสียงกระดูกหักดังขึ้น

หลี่มู่เตะกระดูกขาของฉินหลินแหลกละเอียด ก่อนจะโยนเขาไปตรงหน้าอนุสาวรีย์ของเหล่าวีรบุรุษ

คนแบบนี้ไม่มีอะไรต้องพูดด้วย

“อ๊าก…อ๊ากกก…” ผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินเจ็บปวดจนร้องเสียงดัง ใบหน้าซีดขาว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคยถูกทรมานแบบนี้เสียที่ไหน ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว เขาใช้สองมือยันพื้นไว้ เหงื่อราวกับสายน้ำผสมปนเลือด ไหลนองอยู่บนพื้น

“ฮะๆ ฮะๆๆ ฮ่าๆๆๆ…” เขาหัวเราะบ้าคลั่งอย่างน่าสังเวช ประหนึ่งคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น ในดวงตาฉายประกายเคียดแค้น “ไอ้เศษสวะ วันนี้ทางที่ดีเจ้าฆ่าข้าเสีย มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเสียใจภายหลัง”

ผู้คนรอบๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสี

น้ำเสียงอาฆาตเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเคียดแค้นหลี่มู่จนถึงขีดสุดแล้ว

ความบ้าคลั่ง โหดเหี้ยม และดื้อดึงของผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลิน ทำให้ผู้มุงดูหน้าเปลี่ยนสี

ถูกคนเช่นนี้เคียดแค้น เห็นชัดว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ต่อให้เป็นชายหนุ่มผู้กล้าอย่างพวกอู๋เป่ยเฉิน ตอนนี้ก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างอดไม่ได้

ทว่าหลี่มู่กลับไม่สนใจลูกไม้นี้

“เจ้ากล้าพูดอีกคำหนึ่ง ข้าจะหักกระดูกเจ้าท่อนหนึ่ง หากไม่เชื่อละก็จะลองดูก็ได้” หลี่มู่ยืนอยู่ข้างหน้าอนุสาวรีย์เหล่าวีรบุรุษด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มองไปยังฉินหลินพูดทีละคำทีละประโยค “ถ้ากระดูกหักหมดแล้วเจ้ายังไม่หุบปาก เช่นนั้นข้าจะฉีกเนื้อของเจ้า…ข้าไม่ชอบใช้กำลัง แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะใช้”

“เจ้า…” ผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินตะคอก

กร๊อบ

กระดูกท่อนหนึ่งหักงออีก

หลี่มู่ยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ “ทางที่ดีเจ้าควรเลือกที่จะเชื่อ”

ฉินหลินเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก

เห็นสีหน้าของหลี่มู่ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย ในใจของเขาก็ค่อยๆ เกิดความหวาดกลัวขึ้นมารางๆ

หากตอนนี้หลี่มู่หัวเราะหยัน โมโห บ้าคลั่ง บางทีเขาอาจจะไม่กลัว แต่ใบหน้าของหลี่มู่กลับไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย ราวกับว่าทั้งหมดนี้สำหรับเขาแล้วเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไร้ความสำคัญจริงๆ นี่กลับทำให้หลินฉินหวาดกลัว

เขาแค่นเสียงหยัน ก้มหน้าลง แต่ในใจกลับสาบานสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่แค่นเสียงหัวเราะ มองไปยังอู๋เป่ยเฉินแล้วพูดขึ้น “เจ้าพาแม่เฒ่าไช่เข้าไปเซ่นไหว้เถอะ” เรื่องที่เขาจะทำต่อไปอาจบ้าระห่ำมาก ดังนั้นความจริงแล้วเขาไม่ค่อยอยากให้ทหารชายแดนหนุ่มเลือดร้อนฮึกเหิมเข้ามาพัวพันถลำลึก แม่เฒ่าไช่กับไช่ไช่น้อยก็เหตุผลเดียวกัน

พวกอู๋เป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพาแม่เฒ่าไช่ย่าหลานเข้าไปในสุสานทหาร

“พี่ชาย ท่านต้องระวังตัวนะ” ไช่ไช่หันกลับมา โบกมือให้หลี่มู่อย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง ใบหน้าที่ขาดสารอาหารเต็มไปด้วยคราบสกปรก ลูกตาดำขาวตัดกันชัดเจน ทำให้ดูผอมแห้งอ่อนแอทั้งยังดูจิตใจดี

หลี่มู่ยิ้มให้

โลกใบนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้อ่อนแอแต่จิตใจดียิ่งนัก

ผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินก้มหน้ากัดฟันกรอด ในใจลอบสบถสาบาน

วันนี้จัดการหลี่มู่แล้ว เขาจะเฉือนทหารชายแดนสมควรตายทั้งหกคนนั้นแล้วก็ย่าหลานยาจกทีละชิ้นๆ จนตาย ถึงจะระบายความคับแค้นในใจได้

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็ดังเข้ามา

จากที่ไกลๆ กองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งดุจคลื่นสีดำมาถึงในชั่วเสี้ยวพริบตา

ข้างหน้าสุดคือทหารม้ายี่สิบกว่านาย หนึ่งในนั้นขี่ม้าอูจุย[1] ร่างสวมเกราะเงิน อายุประมาณสี่สิบกว่าๆ หน้าตาเคร่งเครียด นั่นคือเจี่ยงปิ่งผู้นำแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตก คนที่ตามมาข้างหลังล้วนเป็นนายทหารคนสนิท ข้างหลังสุดคือทหารม้าชั้นยอดสามร้อยนายถ้วน

พลังเลือดร้อนฮึกเหิมกลุ่มหนึ่งปะทะเข้ามา ราวกับน้ำบ่าสีดำหอบม้วนมาหา

ทหารชั้นยอดของกองรักษาการณ์แข็งแกร่งกว่ากองกำลังเฝ้าสุสานเยอะนัก

“หยุด!”

ท่ามกลางเสียงคำสั่ง พวกเจี่ยงปิ่งมาถึงยังเบื้องหน้า

“ใครกัน กล้าก่อกวนสุสานทหาร?”

เจี่ยงปิ่งร่างไหววูบ กระโดดลงจากม้าอูจุยดุจดั่งสายฟ้าสีเงินก่อนตวาดถามเสียงดัง

นัยน์ตาของผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินฉายแววลิงโลด ชี้ไปยังหลี่มู่พลางครามอย่างโมโห “จับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้…”

ตอนนี้เจี่ยงปิ่งถึงค่อยสังเกตเห็นว่าคนที่เลือดท่วมตัวคุกเข่าอยู่หน้าอนุสาวรีย์ก็คือฉินหลินนั่นเอง ใจเขาหายวูบ ร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว จากนั้นรีบก้าวขึ้นไปสองสามก้าว บอกว่า “อ๋องน้อยฉิน ข้ามาช้าไป…รีบลุกขึ้นเถิด”

ขณะพูดก็พยุงฉินหลินให้ลุกขึ้นยืน

“ลุกขึ้น? วันนี้เขาลุกไม่ขึ้นแล้วแหละ” หลี่มู่เอ่ยปาก จับจ้องเจี่ยงปิ่ง

“เจ้าเป็นเป็นใคร?” วันนั้นเจี่ยงปิ่งไม่ได้ไปดูศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ดังนั้นจึงไม่รู้จักหลี่มู่ เมื่อสายตากวาดไปก็เห็นหลี่มู่สวมเสื้อผ้าธรรมดาขาดวิ่น ทั่วร่างไม่มีระลอกคลื่นกำลังภายใน จึงพูดขึ้นอย่างสบายๆ “ใครก็ได้ จับมันไว้”

หลี่มู่หัวเราะ “เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าคือเจี่ยงปิ่งผู้นำแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตก” เจี่ยงปิ่งท่าทางเหยียดหยาม “ยอมจับแต่โดยดีเสียเถอะ มิฉะนั้นจะสังหารโดยไม่ละเว้น”

“เจ้าจะไม่ถามว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นเลยหรือ?” หลี่มู่ถามขึ้นอีก

เจี่ยงปิ่งหัวเราะเสียงเย็น “แน่นอนว่าไม่ต้องถาม ในเมื่ออ๋องน้อยฉินบอกว่าจะจับเจ้า เช่นนั้นต่อให้เจ้ามีเหตุผลก็ต้องจับ ล่วงเกินท่านอ๋องน้อยแล้ว ต่อให้เจ้ามีเหตุผลหมื่นข้อก็สมควรตาย” พูดแล้วก็โบกมืออย่างรำคาญใจ ก่อนกล่าวกับทหารคนสนิทคนอื่น “มัวอึ้งอะไรอยู่ ไปจับมันมา”

วันนี้เป็นโอกาสที่เขาจะแสดงฝีมือให้ฉินหลินเห็น จะต้องทำให้ดี

ทหารเกราะดำห้าหกคนชักดาบที่เอว เดินประชิดเข้ามายังหลี่มู่

หลี่มู่ส่ายหน้า “เห็นทีจะตะเภาเดียวกัน ข้าก็ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว”

เขาโจมตีออกไปหนึ่งหมัด

ตูม!

พลังหมัดดุจคลื่น

ทหารชุดเกราะดำห้าหกคนดุจเปลือกข้าวในพายุ ไม่มีโอกาสให้ต่อต้านเลย หมัดโจมตีพวกเขากระเด็นลอยออกไป ล้มตัวอ่อนยวบลงกับพื้น

“เจ้า…” เจี่ยงปิ่งตกใจมาก

หลี่มู่พูด “หน้าอนุสาวรีย์แห่งนี้เจ้าก็ควรคุกเข่าด้วยเหมือนกัน” พูดแล้วก็ซัดออกไปฝ่ามือหนึ่ง

เจี่ยงปิ่งแผ่ระลอกกำลังภายใน ทั่วร่างกะพริบประกายแสง สนามกำลังภายในปะทุขึ้นมา เป็นพลังฝึกระดับสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ แข็งแกร่งยิ่งนัก เทียบกับไช่จือเจี๋ยนายพลกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกแล้วไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

แต่พลังเช่นนี้กลับไม่คณนามือเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่

ฝ่ามือของหลี่มู่ซัดลงไปราวกับภูเขาไท่ซานกดทับ เสมือนภูเขาพังทลาย เจี่ยงปิ่งรู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลปกคลุมเข้ามา และไม่ใช่พลังที่เขาต้านทานได้เลย เสียงกร๊อบดังขึ้น แขนทั้งสองหักโดยสิ้นเชิง เข่าสองข้างบิดงอ ก่อนคุกเข่าไปที่หน้าอนุสาวรีย์โดยไม่สมัครใจจนพื้นหินแตกละเอียด

“อ๊าก…” เจี่ยงปิ่งร้องอย่างอนาถ ตะโกนว่า “เจ้ากล้าลงมือกับข้าอย่างนั้นรึ เจ้า…”

หลี่มู่แค่นเสียงเย็นอย่างรำคาญ ปลายเท้าออกแรง

ฟิ้ว!

หินก้อนหนึ่งพุ่งออกไปทันที กระแทกฟันของฝ่ายตรงข้ามจนร่วงหมดปาก ริมฝีปากพลันฉีกเละ เจี่ยงปิ่งยังพูดไม่ทันจบก็ถูกทุ่มกลับไป

“คำพูดของพวกตัวประกอบไร้ค่า กลับไปกลับมาก็ไม่กี่ประโยคแค่นี้ หากไม่มีคำพูดที่มีประโยชน์อะไรก็อย่าได้พูดพร่ำ มิฉะนั้นมีแต่จะทำให้ตัวเองอับอาย”

หลี่มู่ก้มตัวลงมาจ้องเจี่ยงปิ่งที่หวาดกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ พูดเน้นทีละคำทีละประโยคจบแล้วก็ถามอีกครั้ง “เข้าใจแล้วหรือยัง?”

แน่นอนว่าเจี่ยงปิ่งไม่เข้าใจว่าตัวประกอบไร้ค่าหมายถึงอะไร แต่เขาเข้าใจความหมายในแววตาของหลี่มู่

หลังจากสูดลมหายใจ เขาที่ใจเย็นคิดให้ละเอียด สายตาเห็นฉินหลินที่คุกเข่าเงียบไม่ยอมพูดอยู่ข้างๆ ก็พลันเข้าใจอะไร มีความรู้สึกที่จู่ๆ ก็พลันกระจ่างแจ้ง บ้าจริง ตัวเองแสดงความสามารถผิดที่เสียแล้ว รีบร้อนเดินทางมาไม่ได้รู้สถานการณ์ แม้แต่ฉินหลินยังโดนทุบจนกลายเป็นหมูไปแล้ว อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจตำแหน่งอ๋องน้อยของฉินหลิน แล้วจะมาสนใจตัวเองที่เป็นขุนพลกองรักษาการณ์ตัวเล็กๆ หรือไร?

แต่ว่า ความกระจ่างในบันดลนี้เกิดขึ้นสายเกินไปจริงๆ

เจี่ยงปิ่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม ฝืนทนความเจ็บปวดที่แขน ไม่กล้าพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว

หลี่มู่พยักหน้าอย่างพอใจ “เอาละ ดูท่าเจ้าจะเข้าใจแล้ว”

จากนั้นเขาหันมามองฉินหลิน “ไพ่ตายใบแรกที่เจ้าหามาเหมือนจะไม่เท่าไหร่ ทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน”

ฉินหลินก้มหน้าต่ำ ไม่พูดอะไรสักคำ

หลี่มู่หัวเราะ “จับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้…อืม ทั้งหมดเจ็ดคำ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่หรือไม่?”

ในตาของฉินหลินฉายแววหวาดกลัวทันที

ฝ่ามือของหลี่มู่แตะไปบนพื้น ก้อนหินเจ็ดก้อนลอยขึ้นมา ยิงไปที่ร่างของฉินหลินในฉับพลัน

กร๊อบ กร๊อบ!

กระดูกเจ็ดท่อนหัก

ก่อนหน้านี้หลี่มู่พูดเอาไว้ หากฉินหลินพูดมากอีกหนึ่งคำก็จะหักกระดูกเขาหนึ่งท่อน

“อั้ก…” ฉินหลินคราง กัดฟันฝืนยืนหยัดไว้ กระทั่งว่าส่งเสียงร้องก็ยังไม่กล้า

ตอนนี้เขากลัวแล้วจริงๆ

เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเจอกับคนบ้า คนบ้าที่โหดเหี้ยมกว่าเขา แล้วเจ้าคนบ้าผู้นี้ก็ดันมีพลังสูงจนน่าครั่นคร้าม มาเจอกับคนแบบนี้ก็จนปัญญาจริงๆ หัวจะระเบิดอยู่แล้ว

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็ดังเป็นระลอกมาจากที่ไกลๆ

ทหารกองหนึ่งมารุดหน้ามาอย่างรีบร้อน

คนที่อยู่บนม้าศึกข้างหน้าสุดเป็นชายกำยำตัวโตราวเจดีย์เหล็ก ร่างกายสูงใหญ่ค่อนข้างน่ากลัว หากไม่ใช่ไช่จือเจี๋ยแห่งกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกแล้วจะเป็นใคร?

วันนี้ฉินหลินหวังว่าจะจัดการหลี่มู่เต็มที่และจะสำแดงพลังของตัวเอง ดังนั้นเมื่อครู่จึงสั่งให้คนถ่ายทอดคำสั่งเรียกขุนพลกองรักษาการณ์ประจำฝั่งเหนือ ใต้ ออก และตกมา พูดได้ว่านอกจากหลี่กังแล้ว สี่คนนี้คือคนที่มีอำนาจและกำลังทหารมากที่สุดของทั้งเมืองฉางอัน

หลี่มู่เห็นไช่จือเจี๋ยปรากฏตัวขึ้นก็หัวเราะเสียงเย็น

……………………………………………………

[1] ม้าอูจุย เป็นม้าของเซี่ยงอวี่ (ฉ้อปาอ๋อง) ว่ากันว่าเป็นม้าเทพ ในยุคของเซี่ยงอวี่ได้ชื่อว่าเป็นม้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 191 ท่าทางเจ้าจะเข้าใจแล้ว

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 191 ท่าทางเจ้าจะเข้าใจแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อะไรนะ? ให้ข้าคุกเข่าที่นี่ เจ้า…กล้าหยามหมิ่นข้าอย่างนั้นรึ?” ผู้บัญชาการหนุ่มตวาดอย่างโมโห “ข้าคือเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิต้าฉิน ในกายของข้ามีสายเลือดราชวงศ์ไหลเวียน เจ้ากลับกล้าให้ข้า…”

เพียะ!

หลี่มู่ยกมือตบไปทีหนึ่ง

“วอนหาเรื่องใช่ไหม? ยังไม่รู้สถานการณ์อีก? ใต้อนุสาวรีย์แห่งนี้ วีรบุรุษที่ฝังอยู่ที่นี่ มีคนไหนบ้างไม่ใช่วีรบุรุษที่พลีชีพเพื่อปกป้องเชื้อพระวงศ์ต้าฉินและพิทักษ์ดินแดนจักรวรรดิต้าฉิน เจ้าก็เป็นแค่คนโง่คนบ้าที่อาศัยร่มเงาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ข้าให้เจ้าคุกเข่านั่นคือให้เกียรติเจ้า ต่อให้เป็นจักรพรรดิต้าฉินองค์ปัจจุบันมาทำความเคารพหน้าอนุสาวรีย์แห่งนี้ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผล”

หลี่มู่พูดถึงตรงนี้แล้วก็ก้มลงมองผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลิน กล่าวว่า “เจ้า จะคุกเข่าหรือไม่?”

“มีปัญญาเจ้าก็ฆ่าข้าเสียสิ” ฉินหลินเลือดกบปาก หัวเราะเยาะหยัน “ข้าไม่ได้กลัวคำขู่…”

หลี่มู่พยักหน้า

กร๊อบ กร๊อบ

เสียงกระดูกหักดังขึ้น

หลี่มู่เตะกระดูกขาของฉินหลินแหลกละเอียด ก่อนจะโยนเขาไปตรงหน้าอนุสาวรีย์ของเหล่าวีรบุรุษ

คนแบบนี้ไม่มีอะไรต้องพูดด้วย

“อ๊าก…อ๊ากกก…” ผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินเจ็บปวดจนร้องเสียงดัง ใบหน้าซีดขาว ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเคยถูกทรมานแบบนี้เสียที่ไหน ความเจ็บปวดแสนสาหัสทำให้ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยว เขาใช้สองมือยันพื้นไว้ เหงื่อราวกับสายน้ำผสมปนเลือด ไหลนองอยู่บนพื้น

“ฮะๆ ฮะๆๆ ฮ่าๆๆๆ…” เขาหัวเราะบ้าคลั่งอย่างน่าสังเวช ประหนึ่งคนบ้าอย่างไรอย่างนั้น ในดวงตาฉายประกายเคียดแค้น “ไอ้เศษสวะ วันนี้ทางที่ดีเจ้าฆ่าข้าเสีย มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้ารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเสียใจภายหลัง”

ผู้คนรอบๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสี

น้ำเสียงอาฆาตเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเคียดแค้นหลี่มู่จนถึงขีดสุดแล้ว

ความบ้าคลั่ง โหดเหี้ยม และดื้อดึงของผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลิน ทำให้ผู้มุงดูหน้าเปลี่ยนสี

ถูกคนเช่นนี้เคียดแค้น เห็นชัดว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ต่อให้เป็นชายหนุ่มผู้กล้าอย่างพวกอู๋เป่ยเฉิน ตอนนี้ก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ อย่างอดไม่ได้

ทว่าหลี่มู่กลับไม่สนใจลูกไม้นี้

“เจ้ากล้าพูดอีกคำหนึ่ง ข้าจะหักกระดูกเจ้าท่อนหนึ่ง หากไม่เชื่อละก็จะลองดูก็ได้” หลี่มู่ยืนอยู่ข้างหน้าอนุสาวรีย์เหล่าวีรบุรุษด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มองไปยังฉินหลินพูดทีละคำทีละประโยค “ถ้ากระดูกหักหมดแล้วเจ้ายังไม่หุบปาก เช่นนั้นข้าจะฉีกเนื้อของเจ้า…ข้าไม่ชอบใช้กำลัง แต่ก็ไม่รังเกียจที่จะใช้”

“เจ้า…” ผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินตะคอก

กร๊อบ

กระดูกท่อนหนึ่งหักงออีก

หลี่มู่ยังคงมีใบหน้าไร้อารมณ์ “ทางที่ดีเจ้าควรเลือกที่จะเชื่อ”

ฉินหลินเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก

เห็นสีหน้าของหลี่มู่ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย ในใจของเขาก็ค่อยๆ เกิดความหวาดกลัวขึ้นมารางๆ

หากตอนนี้หลี่มู่หัวเราะหยัน โมโห บ้าคลั่ง บางทีเขาอาจจะไม่กลัว แต่ใบหน้าของหลี่มู่กลับไม่มีคลื่นอารมณ์แม้แต่น้อย ราวกับว่าทั้งหมดนี้สำหรับเขาแล้วเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยที่ไร้ความสำคัญจริงๆ นี่กลับทำให้หลินฉินหวาดกลัว

เขาแค่นเสียงหยัน ก้มหน้าลง แต่ในใจกลับสาบานสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง

หลี่มู่แค่นเสียงหัวเราะ มองไปยังอู๋เป่ยเฉินแล้วพูดขึ้น “เจ้าพาแม่เฒ่าไช่เข้าไปเซ่นไหว้เถอะ” เรื่องที่เขาจะทำต่อไปอาจบ้าระห่ำมาก ดังนั้นความจริงแล้วเขาไม่ค่อยอยากให้ทหารชายแดนหนุ่มเลือดร้อนฮึกเหิมเข้ามาพัวพันถลำลึก แม่เฒ่าไช่กับไช่ไช่น้อยก็เหตุผลเดียวกัน

พวกอู๋เป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพาแม่เฒ่าไช่ย่าหลานเข้าไปในสุสานทหาร

“พี่ชาย ท่านต้องระวังตัวนะ” ไช่ไช่หันกลับมา โบกมือให้หลี่มู่อย่างเป็นกังวลอยู่บ้าง ใบหน้าที่ขาดสารอาหารเต็มไปด้วยคราบสกปรก ลูกตาดำขาวตัดกันชัดเจน ทำให้ดูผอมแห้งอ่อนแอทั้งยังดูจิตใจดี

หลี่มู่ยิ้มให้

โลกใบนี้ไม่ยุติธรรมต่อผู้อ่อนแอแต่จิตใจดียิ่งนัก

ผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินก้มหน้ากัดฟันกรอด ในใจลอบสบถสาบาน

วันนี้จัดการหลี่มู่แล้ว เขาจะเฉือนทหารชายแดนสมควรตายทั้งหกคนนั้นแล้วก็ย่าหลานยาจกทีละชิ้นๆ จนตาย ถึงจะระบายความคับแค้นในใจได้

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็ดังเข้ามา

จากที่ไกลๆ กองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งดุจคลื่นสีดำมาถึงในชั่วเสี้ยวพริบตา

ข้างหน้าสุดคือทหารม้ายี่สิบกว่านาย หนึ่งในนั้นขี่ม้าอูจุย[1] ร่างสวมเกราะเงิน อายุประมาณสี่สิบกว่าๆ หน้าตาเคร่งเครียด นั่นคือเจี่ยงปิ่งผู้นำแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตก คนที่ตามมาข้างหลังล้วนเป็นนายทหารคนสนิท ข้างหลังสุดคือทหารม้าชั้นยอดสามร้อยนายถ้วน

พลังเลือดร้อนฮึกเหิมกลุ่มหนึ่งปะทะเข้ามา ราวกับน้ำบ่าสีดำหอบม้วนมาหา

ทหารชั้นยอดของกองรักษาการณ์แข็งแกร่งกว่ากองกำลังเฝ้าสุสานเยอะนัก

“หยุด!”

ท่ามกลางเสียงคำสั่ง พวกเจี่ยงปิ่งมาถึงยังเบื้องหน้า

“ใครกัน กล้าก่อกวนสุสานทหาร?”

เจี่ยงปิ่งร่างไหววูบ กระโดดลงจากม้าอูจุยดุจดั่งสายฟ้าสีเงินก่อนตวาดถามเสียงดัง

นัยน์ตาของผู้บัญชาการหนุ่มฉินหลินฉายแววลิงโลด ชี้ไปยังหลี่มู่พลางครามอย่างโมโห “จับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้…”

ตอนนี้เจี่ยงปิ่งถึงค่อยสังเกตเห็นว่าคนที่เลือดท่วมตัวคุกเข่าอยู่หน้าอนุสาวรีย์ก็คือฉินหลินนั่นเอง ใจเขาหายวูบ ร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว จากนั้นรีบก้าวขึ้นไปสองสามก้าว บอกว่า “อ๋องน้อยฉิน ข้ามาช้าไป…รีบลุกขึ้นเถิด”

ขณะพูดก็พยุงฉินหลินให้ลุกขึ้นยืน

“ลุกขึ้น? วันนี้เขาลุกไม่ขึ้นแล้วแหละ” หลี่มู่เอ่ยปาก จับจ้องเจี่ยงปิ่ง

“เจ้าเป็นเป็นใคร?” วันนั้นเจี่ยงปิ่งไม่ได้ไปดูศึกที่โรงฝึกยุทธ์กระบี่สวรรค์ ดังนั้นจึงไม่รู้จักหลี่มู่ เมื่อสายตากวาดไปก็เห็นหลี่มู่สวมเสื้อผ้าธรรมดาขาดวิ่น ทั่วร่างไม่มีระลอกคลื่นกำลังภายใน จึงพูดขึ้นอย่างสบายๆ “ใครก็ได้ จับมันไว้”

หลี่มู่หัวเราะ “เจ้าเป็นใคร?”

“ข้าคือเจี่ยงปิ่งผู้นำแห่งกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันตก” เจี่ยงปิ่งท่าทางเหยียดหยาม “ยอมจับแต่โดยดีเสียเถอะ มิฉะนั้นจะสังหารโดยไม่ละเว้น”

“เจ้าจะไม่ถามว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นเลยหรือ?” หลี่มู่ถามขึ้นอีก

เจี่ยงปิ่งหัวเราะเสียงเย็น “แน่นอนว่าไม่ต้องถาม ในเมื่ออ๋องน้อยฉินบอกว่าจะจับเจ้า เช่นนั้นต่อให้เจ้ามีเหตุผลก็ต้องจับ ล่วงเกินท่านอ๋องน้อยแล้ว ต่อให้เจ้ามีเหตุผลหมื่นข้อก็สมควรตาย” พูดแล้วก็โบกมืออย่างรำคาญใจ ก่อนกล่าวกับทหารคนสนิทคนอื่น “มัวอึ้งอะไรอยู่ ไปจับมันมา”

วันนี้เป็นโอกาสที่เขาจะแสดงฝีมือให้ฉินหลินเห็น จะต้องทำให้ดี

ทหารเกราะดำห้าหกคนชักดาบที่เอว เดินประชิดเข้ามายังหลี่มู่

หลี่มู่ส่ายหน้า “เห็นทีจะตะเภาเดียวกัน ข้าก็ไม่ต้องพูดให้มากความแล้ว”

เขาโจมตีออกไปหนึ่งหมัด

ตูม!

พลังหมัดดุจคลื่น

ทหารชุดเกราะดำห้าหกคนดุจเปลือกข้าวในพายุ ไม่มีโอกาสให้ต่อต้านเลย หมัดโจมตีพวกเขากระเด็นลอยออกไป ล้มตัวอ่อนยวบลงกับพื้น

“เจ้า…” เจี่ยงปิ่งตกใจมาก

หลี่มู่พูด “หน้าอนุสาวรีย์แห่งนี้เจ้าก็ควรคุกเข่าด้วยเหมือนกัน” พูดแล้วก็ซัดออกไปฝ่ามือหนึ่ง

เจี่ยงปิ่งแผ่ระลอกกำลังภายใน ทั่วร่างกะพริบประกายแสง สนามกำลังภายในปะทุขึ้นมา เป็นพลังฝึกระดับสูงสุดของขั้นปรมาจารย์ แข็งแกร่งยิ่งนัก เทียบกับไช่จือเจี๋ยนายพลกองรักษาการณ์เมืองฝั่งตะวันออกแล้วไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

แต่พลังเช่นนี้กลับไม่คณนามือเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่มู่

ฝ่ามือของหลี่มู่ซัดลงไปราวกับภูเขาไท่ซานกดทับ เสมือนภูเขาพังทลาย เจี่ยงปิ่งรู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลปกคลุมเข้ามา และไม่ใช่พลังที่เขาต้านทานได้เลย เสียงกร๊อบดังขึ้น แขนทั้งสองหักโดยสิ้นเชิง เข่าสองข้างบิดงอ ก่อนคุกเข่าไปที่หน้าอนุสาวรีย์โดยไม่สมัครใจจนพื้นหินแตกละเอียด

“อ๊าก…” เจี่ยงปิ่งร้องอย่างอนาถ ตะโกนว่า “เจ้ากล้าลงมือกับข้าอย่างนั้นรึ เจ้า…”

หลี่มู่แค่นเสียงเย็นอย่างรำคาญ ปลายเท้าออกแรง

ฟิ้ว!

หินก้อนหนึ่งพุ่งออกไปทันที กระแทกฟันของฝ่ายตรงข้ามจนร่วงหมดปาก ริมฝีปากพลันฉีกเละ เจี่ยงปิ่งยังพูดไม่ทันจบก็ถูกทุ่มกลับไป

“คำพูดของพวกตัวประกอบไร้ค่า กลับไปกลับมาก็ไม่กี่ประโยคแค่นี้ หากไม่มีคำพูดที่มีประโยชน์อะไรก็อย่าได้พูดพร่ำ มิฉะนั้นมีแต่จะทำให้ตัวเองอับอาย”

หลี่มู่ก้มตัวลงมาจ้องเจี่ยงปิ่งที่หวาดกลัวขึ้นมาเสียเฉยๆ พูดเน้นทีละคำทีละประโยคจบแล้วก็ถามอีกครั้ง “เข้าใจแล้วหรือยัง?”

แน่นอนว่าเจี่ยงปิ่งไม่เข้าใจว่าตัวประกอบไร้ค่าหมายถึงอะไร แต่เขาเข้าใจความหมายในแววตาของหลี่มู่

หลังจากสูดลมหายใจ เขาที่ใจเย็นคิดให้ละเอียด สายตาเห็นฉินหลินที่คุกเข่าเงียบไม่ยอมพูดอยู่ข้างๆ ก็พลันเข้าใจอะไร มีความรู้สึกที่จู่ๆ ก็พลันกระจ่างแจ้ง บ้าจริง ตัวเองแสดงความสามารถผิดที่เสียแล้ว รีบร้อนเดินทางมาไม่ได้รู้สถานการณ์ แม้แต่ฉินหลินยังโดนทุบจนกลายเป็นหมูไปแล้ว อีกฝ่ายเห็นได้ชัดว่าไม่สนใจตำแหน่งอ๋องน้อยของฉินหลิน แล้วจะมาสนใจตัวเองที่เป็นขุนพลกองรักษาการณ์ตัวเล็กๆ หรือไร?

แต่ว่า ความกระจ่างในบันดลนี้เกิดขึ้นสายเกินไปจริงๆ

เจี่ยงปิ่งคุกเข่าอยู่ที่เดิม ฝืนทนความเจ็บปวดที่แขน ไม่กล้าพูดอีกแม้แต่ประโยคเดียว

หลี่มู่พยักหน้าอย่างพอใจ “เอาละ ดูท่าเจ้าจะเข้าใจแล้ว”

จากนั้นเขาหันมามองฉินหลิน “ไพ่ตายใบแรกที่เจ้าหามาเหมือนจะไม่เท่าไหร่ ทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน”

ฉินหลินก้มหน้าต่ำ ไม่พูดอะไรสักคำ

หลี่มู่หัวเราะ “จับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้…อืม ทั้งหมดเจ็ดคำ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าใช่หรือไม่?”

ในตาของฉินหลินฉายแววหวาดกลัวทันที

ฝ่ามือของหลี่มู่แตะไปบนพื้น ก้อนหินเจ็ดก้อนลอยขึ้นมา ยิงไปที่ร่างของฉินหลินในฉับพลัน

กร๊อบ กร๊อบ!

กระดูกเจ็ดท่อนหัก

ก่อนหน้านี้หลี่มู่พูดเอาไว้ หากฉินหลินพูดมากอีกหนึ่งคำก็จะหักกระดูกเขาหนึ่งท่อน

“อั้ก…” ฉินหลินคราง กัดฟันฝืนยืนหยัดไว้ กระทั่งว่าส่งเสียงร้องก็ยังไม่กล้า

ตอนนี้เขากลัวแล้วจริงๆ

เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองเจอกับคนบ้า คนบ้าที่โหดเหี้ยมกว่าเขา แล้วเจ้าคนบ้าผู้นี้ก็ดันมีพลังสูงจนน่าครั่นคร้าม มาเจอกับคนแบบนี้ก็จนปัญญาจริงๆ หัวจะระเบิดอยู่แล้ว

ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าม้าก็ดังเป็นระลอกมาจากที่ไกลๆ

ทหารกองหนึ่งมารุดหน้ามาอย่างรีบร้อน

คนที่อยู่บนม้าศึกข้างหน้าสุดเป็นชายกำยำตัวโตราวเจดีย์เหล็ก ร่างกายสูงใหญ่ค่อนข้างน่ากลัว หากไม่ใช่ไช่จือเจี๋ยแห่งกองรักษาการณ์ฝั่งตะวันออกแล้วจะเป็นใคร?

วันนี้ฉินหลินหวังว่าจะจัดการหลี่มู่เต็มที่และจะสำแดงพลังของตัวเอง ดังนั้นเมื่อครู่จึงสั่งให้คนถ่ายทอดคำสั่งเรียกขุนพลกองรักษาการณ์ประจำฝั่งเหนือ ใต้ ออก และตกมา พูดได้ว่านอกจากหลี่กังแล้ว สี่คนนี้คือคนที่มีอำนาจและกำลังทหารมากที่สุดของทั้งเมืองฉางอัน

หลี่มู่เห็นไช่จือเจี๋ยปรากฏตัวขึ้นก็หัวเราะเสียงเย็น

……………………………………………………

[1] ม้าอูจุย เป็นม้าของเซี่ยงอวี่ (ฉ้อปาอ๋อง) ว่ากันว่าเป็นม้าเทพ ในยุคของเซี่ยงอวี่ได้ชื่อว่าเป็นม้าอันดับหนึ่งในใต้หล้า

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+