จอมศาสตราพลิกดารา 211 เชิญหลี่มู่สามครั้ง

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 211 เชิญหลี่มู่สามครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งฉุนเจี้ยนตรวจสอบได้ชัดเจนขนาดนี้ แน่นอนว่าเตรียมการมาบ้างแล้ว

จะให้คนที่หลี่มู่สนับสนุนตกรอบในการแข่งขันไม่ได้ มิฉะนั้นจะทำให้หลี่มู่ขายหน้าเอา

หลี่มู่พยักหน้า

เขียนกลอนหรือ ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

กลอนของเซียนกวีเทพกวียุคโบราณเหล่านั้นบนโลกถูกขับขานต่อมาพันปี มีไม่รู้ต่อกี่บท ลอกมาทีละบทๆ ก็มากพอจะลอกได้เป็นสิบๆ ปีแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้สึกผิดอะไร เช่นนี้ไม่ได้ทำชั่วฆ่าคน ข่มขืน หรือวางเพลิงเสียหน่อย

‘พรรคพวก นี่คือการกระจายเชื้อไฟแห่งอารยธรรมหวาเซี่ย[1]ของดาวโลกให้กับต่างดาวที่ป่าเถื่อนดวงนี้ ข้านี่ทูตวัฒนธรรมชัดๆ’

คนบางคนปลอบตัวเองในใจอย่างไร้ยางอายมาก

เวลาผ่านไป

ไม่นานนัก การประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็เริ่มขึ้นในที่สุด

จับฉลากกำหนดลำดับเรียบร้อยแล้ว

นอกห้องส่วนตัวมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เจิ้งฉุนเจี้ยนหมุนตัวออกไป เพียงครู่เดียวก็เข้ามา รายงานว่า “แม่นางฮวาจับฉลากได้ลำดับที่สิบขอรับ”

หลี่มู่พยักหน้า

ความรู้สึกที่ข้างกายมีลิ่วล้อคอยติดตามมันช่างเยี่ยมยอดจริงๆ

ทุกอย่างไม่ต้องลงมือเอง ดื่มสุราไปด้วยดูสาวงามไปด้วย เรื่องต่างๆ ล้วนมีคนจัดการเรียบร้อย

เสียงดนตรีเสนาะหูลอยมาจากทางเวทีเบื้องล่าง

นางคณิกาชื่อดังคนแรกขึ้นมาบนเวที สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองแกมเขียว เดินขึ้นมาอย่างเนิบช้า

“ข้าน้อยซืออวี้หวาแห่ง ‘หอหยกละมุน’ ”

ภายใต้การเสริมพลังจากค่ายกลเวทขยายเสียง เสียงของนางคณิกาคนนี้ดังไปทั่วถนนกลิ่นกำจาย ทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน

ครั้งนี้หน่วยเลี้ยงรับรองทุ่มเทแรงใจ เชิญจอมเวทมาวางค่ายกลเล็กๆ รอบเวที จะต้องให้เสียงขับขานของนางคณิกาดังไปทั่วท้องถนนกลิ่นกำจาย

เมื่อซืออวี้หวาขึ้นเวที บนถนนกลิ่นกำจายก็ดังก้องไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี

หอหยกละมุนอยู่บนถนนกลิ่นกำจายก็นับว่าเป็นหนึ่งในหอคณิกามีชื่อเสียง ไม่ด้อยไปกว่าหอสดับเซียนเลย ซืออวี้หวาคนนี้คือนางคณิกาหมายเลขหนึ่งของหอหยกละมุน มีสมญาว่า ‘เซียนดนตรี’ เชี่ยวชาญด้านการขับขานเป็นที่สุด ได้ชื่อว่าขับขานบทเพลงหนึ่งจบ เสียงเสนาะยังคงดังวนเวียนสามวันไม่หยุด นับเป็นหนึ่งในนางคณิกาที่มีชื่อเสียงของเมืองฉางอันเช่นกัน

ในฐานะนางคณิกาคนแรกที่ขึ้นเวที ซืออวี้หวาดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายทันที

รวมถึงหลี่มู่ด้วย

ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง แต่ด้วยสายตาของหลี่มู่ในวันนี้ก็เหมือนอยู่ต่อหน้า ‘เซียนดนตรี’ ร่างสูงโปร่งคนนี้มีส่วนโค้งเว้าวิจิตร ผิวขาวราวหิมะ คิ้วตาดั่งภาพวาด เป็นสาวงามที่หนึ่งในที่หนึ่ง กล่าวได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าฮวาเสี่ยงหรงในตอนที่ยังไม่ได้ฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เลย

อย่างไรเสียนางก็เคยเป็นคณิกาคนดังที่มีชื่อเสียงเคียงคู่กับฮวาเสี่ยงหรง

สาวงามที่หนึ่งในที่หนึ่งเชียวนะ หากเอาไปไว้บนโลก พวกแมวมองจะต้องไปควานหาตัวมา ก่อนจะกลายเป็นดาราดังที่เป็นที่รักของคนนับหมื่นนับพัน แต่น่าเสียดายที่โลกนี้ ตำแหน่งของนางคณิกาไม่ได้สูงส่งอะไร ทำอะไรดั่งใจไม่ได้ ดูไปแล้วก็แค่สาวน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปด ชะตาชีวิตในวันข้างหน้าจะมีใครหยั่งรู้ได้?

ใต้แสงจันทรา ซืออวี้หวาร่ายรำอย่างเข้าถึงอารมณ์ ชายแขนเสื้อพลิ้วไหว รูปร่างงดงาม ตัวอ่อนราวไร้กระดูก ท่วงท่าร่ายรำงามชดช้อยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้ชมรอบๆ ด้านล่างโห่ร้องดังไปทั่ว

“ร่ายรำจนจันทราลาลับ ขับขานจนพัดดอกท้อไร้แรงลม…”

ซืออวี้หวาเริ่มขับขาน เสียงร้องดุจเสียงสวรรค์ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ชวนให้คนรู้สึกเวิ้งว้างและเศร้าสร้อย เหมือนกับจอกแหนที่ลอยไปตามระลอกคลื่น อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ค่อยๆ ลอยจากไปไกลบนแม่น้ำที่เงียบสงัด

กลอนบทนั้นที่นางขับร้อง เป็นบทกลอนซึ่งบัณฑิตมีชื่อในวงการวรรณกรรมคนหนึ่งแต่งให้ กลอนบทนี้ก็เคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งในเมืองฉางอันเช่นกัน

หลี่มู่ถอนใจ

น้ำเสียงและการร่ายรำเช่นนี้ ฆ่าดาราสาวสวยบนโลกพวกนั้นได้ในพริบตาเลยนะเนี่ย

นางคณิกาคนดังของโลกใบนี้ หากพูดว่าดีเลิศทั้งรูปโฉมและความสามารถก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ สตรีที่ถูกขนานนามว่าเป็นนางคณิกาชื่อดัง ถึงไม่กล่าวว่ามีความรู้มาก แต่ก็นับว่าท่วงทำนองกวีสูงส่งงดงาม ในท้องเต็มไปด้วยน้ำหมึก[2]ทั้งนั้น

เพลงหนึ่งขับร้องร่ายรำจบ ทั่วทั้งถนนล้วนส่งเสียงให้กำลังใจ

เสียงร้องยินดีราวคลื่นน้ำ

สำหรับคนทั่วไปมากมาย ได้ดูการแสดงของนางคณิกาคนดังชั้นยอดแบบนี้คือความสุขดุจความฝันแน่นอน

ด้านหน้าของเวทีหลักมีโต๊ะของแขกผู้เกียรติ สามารถจุได้สามร้อยกว่าคน ‘กลุ่มกรรมการ’ และบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองฉางอันทั้งหลายล้วนนั่งอยู่ที่นี่ ตะกร้าดอกไม้หนึ่งร้อยตำลึงเงินนั่นโดยพื้นฐานแล้วคนธรรมดาให้ไม่ไหว มีแค่บุคคลชื่อดังที่นั่งอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะเป็นกำลังหลักผลาญเงินอย่างแท้จริง

การแสดงของซืออวี้หวาเสร็จสิ้น นางยืนอยู่กลางเวทีย่อตัวขอบคุณอย่างงดงาม ข้างๆ มีผู้ดูแลของหน่วยเลี้ยงรับรองหลายคนกำลังแจ้งจำนวนตะกร้าเสียงดัง นางคณิกาอันดับหนึ่งของ ‘หอหยกละมุน’ คนนี้ จวบจนกระทั่งการแสดงจบสิ้นลง ได้รับตะกร้าดอกไม้ไปทั้งสิ้นสามหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยตะกร้า จำนวนน่าตกใจยิ่งนัก

จากนั้น นางคณิกาคนที่สองก็ขึ้นแสดงบนเวที

เวลาเคลื่อนผ่านไป

บนถนนกลิ่นกำจายมีเสียงโห่ร้องต่างๆ

รอบด้านบนถนน บนต้นไม้ บนกำแพง บนหลังคา ทุกที่ล้วนมีคนอยู่

คำสั่งห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืนของเมืองฉางอัน คืนนี้ก็ผ่อนปรนให้เป็นพิเศษ

เพียงพริบตาเดียวก็มีนางคณิกาห้าหกคนแสดงเสร็จสิ้นไปแล้ว ผลลัพธ์แตกต่างกันไป แต่สำหรับหลี่มู่ การขับร้องร่ายรำของซืออวี้หวานางคณิกาอันดับหนึ่งจาก ‘หอหยกละมุน’ ดีเยี่ยมที่สุด

“แม่นางซือแห่งหอหยกละมุนก็มีคนสนับสนุนเช่นกัน ได้ยินว่า ‘กระบี่กลางเมฆา’ หลิวอู๋เฟิงหนึ่งในสี่ก้งเฟิ่งของจวนเจิ้นซีอ๋อง หลายวันมานี้ก็อยู่ที่หอหยกละมุน เขาเคยบอกว่าสนับสนุนแม่นางซือขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

หลี่มู่พยักหน้า ชมการร่ายรำต่อ

เขาเข้าใจความหมายของเจิ้งฉุนเจี้ยน อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงซืออวี้หวา แต่กำลังเตือน กำลังของเจิ้นซีอ๋องมาถึงเมืองฉางอันแล้ว อีกทั้งมาถึงก่อนหน้านี้นานแล้วด้วย น่ากลัวว่าคงกำลังแอบเตรียมการอะไร

ทว่าสำหรับหลี่มู่แล้ว พวกฝ่ายต่อต้านล้วนเป็นเสือกระดาษกันทั้งนั้น

ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาสำเร็จขั้นต้นแล้ว คนพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

……

เยื้องหอเซียนโบยบินไปคือหอโอบจันทร์

บนถนนกลิ่นกำจาย มีสี่หอใหญ่ที่เป็นถึงภัตตาคารชั้นยอดซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนาน มีรากฐานมาสองร้อยปี ในหอไม่มีนางคณิกา มีเพียงสุราอาหาร ไม่อาศัยความงาม อาศัยอาหารเลิศรสก็มีชื่อไปทั่วเมืองฉางอัน พูดได้ว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

หอเซียนโบยบินเป็นหนึ่งในนั้น

หอโอบจันทร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

ชั้นสองของหอโอบจันทร์ ห้องส่วนตัวชั้นเลิศทางทิศตะวันตกเป็นจุดชมการแสดงหันหน้าเข้าเวทีหลักที่ดีที่สุด ตอนนี้แสงโคมในห้องส่องสว่าง องค์ชายสองผู้สง่างดงามนั่งอยู่ข้างหน้าต่างคนเดียว

ข้างหลังเขามีกุนซือคนสนิทยืนอยู่สิบกว่าคน

หนึ่งในนั้นมีคนผู้หนึ่งร่างผอมสูง เครื่องหน้างดงาม หน้าขาวไร้หนวดเครา สีหน้าขาวซีด บนร่างมีกลิ่นเครื่องสำอาง สวมชุดคลุมยาวสีเข้ม กลิ่นอายแปลกประหลาดนัก เขาคือหลิวเฉิงหลงผู้กุมอำนาจหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันที่แท้จริงนั่นเอง

คนที่ยืนอยู่ข้างกายหลิวเฉิงหลงก็คือจอมยุทธ์วัยกลางคนที่ส่งเทียบเชิญให้หลี่มู่คนนั้น

“พูดแบบนี้ หลี่มู่ปฏิเสธอีกแล้ว?” องค์ชายสองเอาสองมือเท้าคาง นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ไม่มีลักษณะอย่างองค์ชายแม้แต่น้อย สายตาจับจ้องไปที่เวทีหลักข้างนอก เหมือนเคลิบเคลิ้มอยู่ในการแสดงของนางคณิกาทั้งเก้า และก็เหมือนกำลังขบคิดเรื่องราว สรุปแล้วท่าทางดูเหม่อลอยเล็กน้อย

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมโน้มน้าวหลี่มู่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้กระหม่อมเกรงใจมากๆ แล้ว” ชายวัยกลางคนก้มหน้า ในใจหวาดกลัว พูดต่อไปว่า “ขอองค์ชายโปรดลงโทษด้วย” วันนี้ตอนเช้าเขาไปเชิญหลี่มู่อีกรอบ ท่าทีอ่อนน้อมยิ่ง คำพูดคำจาก็เกรงใจเป็นพิเศษ

แต่ไม่มีประโยชน์

หลี่มู่ยังคงโยนเขาออกมาจากหอสดับเซียนอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” องค์ชายสองโบกมือ สีหน้าอ่อนโยน ไม่เห็นความโมโหเลยสักนิด “ตามที่เจ้าพูดมา จากปฏิกิริยาของหลี่มู่ก็ดูออกว่าต่อให้เป็นข้าไปด้วยตัวเอง เชิญติดกันสามครั้ง เขาก็ไม่มีทางมารับใช้ข้า”

ยอดฝีมือวัยกลางคนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

เหล่าชนชั้นสูงและกุนซือคนอื่นๆ ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่กลับแอบดีใจ หลี่มู่ไม่มา ตำแหน่งของพวกเขาก็จะไม่ถูกคุกคาม

หลิวเฉิงหลงมองเห็นสีหน้าท่าทางของคนพวกนี้ ในใจนึกเหยียดหยาม

พวกหนูสกปรกสายตาสั้น จิตใจคับแคบ คนแบบนี้อยู่ข้างกายองค์ชายรังแต่จะเป็นภัยร้ายและอุปสรรค องค์ชายเป็นคนฉลาด แต่ไม่รู้ทำไม่ถึงต้องเลี้ยงพวกคนไร้ความสามารถแบบนี้เอาไว้

“ตอนนี้ในเมืองฉางอันคงรู้เรื่องที่ข้าเชิญหลี่มู่สามรอบแต่ถูกปฏิเสธทั้งสามรอบกันหมดแล้ว หึๆ พวกเจ้าว่าผู้คนจะมองเรื่องนี้อย่างไร?” องค์ชายสองถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงแววขำขันคล้ายเยาะหยันตัวเอง

“หลี่มู่ไม่รักดี ลบหลู่พระเกียรติขององค์ชาย”

“หลี่มู่หยามศักดิ์ศรีองค์ชาย จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”

“หลี่มู่กำเริบเสิบสาน หยามหมิ่นองค์ชาย หากปล่อยคนคนนี้ไปอีก เกรงว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะเอาได้”

“ชื่อเสียงขององค์ชายถูกหลี่มู่ทำให้เสื่อมเกียรติจนถึงขีดสุดแล้วจริงๆ จะวางมือไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่ากุนซือคว้าโอกาส ต่างพากันทักท้วง ท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจคับแค้นเต็มอก

องค์ชายสองพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไร เขาหันกลับมา สายตาหยุดอยู่ที่หลิวเฉิงหลงหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรอง แล้วจึงถาม “เฉิงหลง เมื่อหกปีก่อนเจ้าถูกเนรเทศมายังหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันเพราะมีเรื่องกระมัง”

หลิวเฉิงหลงพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “ตอนนั้นเฉิงหลงแต่เดิมมีโทษถึงตาย โชคดีที่ได้บุญคุณขององค์ชาย ถึงมีชีวิตรอดต่อมาได้ แล้วยังอยู่ดีมีสุข ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน บุญคุณขององค์ชายเฉิงหลงไม่มีวันลืม ต่อให้พลีชีพจนตัวตายก็ยากจะตอบแทนแม้กระผีก”

“เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว เจ้าบอกซิว่าเจ้าคิดอย่างไรเรื่องหลี่มู่?” องค์ชายสองแย้มยิ้มเอื้อนเอ่ย

หลิวเฉิงหลงตอบ “องค์ชายเชิญหลี่มู่สามครั้ง เป็นการให้ความสำคัญกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตมากพอแล้ว หากเล่าลือออกไปตอนนี้ คนทั่วแผ่นดินจะต้องชื่นชมจิตใจและความอาจหาญขององค์ชายแน่นอน ดูผิวเผินแล้วเหมือนเสียพระเกียรติ แต่ที่จริงกลับได้ใจผู้คน บัณฑิตที่มีความสามารถพวกนั้นจะต้องยินดีรับใช้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชาย ส่วนหลี่มู่ดูแล้วเหมือนเหยียบย่ำชื่อเสียงและบารมีของพระองค์ แต่อันที่จริงกลับได้ชื่อว่าหัวแข็งดื้อรั้น ต่อให้บางคนมีใจอยากจะใช้งานเขาก็ต้องถอยห่างแน่ ถึงแม้เป็นอัจฉริยะที่ดีเด่นเพียงไร หากเย่อหยิ่งอวดดีควบคุมยากก็เหมือนม้าพยศที่ไม่เชื่องตัวหนึ่ง ไม่อาจอยู่บนสนามรบสังหารข้าศึกได้ กลับจะเป็นภัยร้ายแทน”

ดวงตาองค์ชายสองวาววาบ

เขาโบกมือพลางเอ่ย “เฉิงหลงอยู่ต่อ คนอื่นออกไปเถอะ”

กุนซือคนสนิทพวกนั้นแอบเคร่งเครียดในใจ รู้ว่าพูดผิดไปแล้ว จึงไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรอีกไม่ได้ ทำได้แค่ออกจากห้องส่วนตัวทั้งหมด เดินไปดื่มกินในห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งข้างๆ ที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว

……………………………………………………

[1] หวาเซี่ย คือชนชาติต้นกำเนิดของชาวฮั่น และเป็นชื่อเรียกประเทศจีนในสมัยโบราณ

[2] ในท้องเต็มไปด้วยน้ำหมึก เปรียบเปรยถึงผู้มีความสามารถด้านกลอนกวี สามารถเขียนกลอนหรือบทความได้ดี

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 211 เชิญหลี่มู่สามครั้ง

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 211 เชิญหลี่มู่สามครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งฉุนเจี้ยนตรวจสอบได้ชัดเจนขนาดนี้ แน่นอนว่าเตรียมการมาบ้างแล้ว

จะให้คนที่หลี่มู่สนับสนุนตกรอบในการแข่งขันไม่ได้ มิฉะนั้นจะทำให้หลี่มู่ขายหน้าเอา

หลี่มู่พยักหน้า

เขียนกลอนหรือ ไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

กลอนของเซียนกวีเทพกวียุคโบราณเหล่านั้นบนโลกถูกขับขานต่อมาพันปี มีไม่รู้ต่อกี่บท ลอกมาทีละบทๆ ก็มากพอจะลอกได้เป็นสิบๆ ปีแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่รู้สึกผิดอะไร เช่นนี้ไม่ได้ทำชั่วฆ่าคน ข่มขืน หรือวางเพลิงเสียหน่อย

‘พรรคพวก นี่คือการกระจายเชื้อไฟแห่งอารยธรรมหวาเซี่ย[1]ของดาวโลกให้กับต่างดาวที่ป่าเถื่อนดวงนี้ ข้านี่ทูตวัฒนธรรมชัดๆ’

คนบางคนปลอบตัวเองในใจอย่างไร้ยางอายมาก

เวลาผ่านไป

ไม่นานนัก การประกวดนางคณิกาอันดับหนึ่งก็เริ่มขึ้นในที่สุด

จับฉลากกำหนดลำดับเรียบร้อยแล้ว

นอกห้องส่วนตัวมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เจิ้งฉุนเจี้ยนหมุนตัวออกไป เพียงครู่เดียวก็เข้ามา รายงานว่า “แม่นางฮวาจับฉลากได้ลำดับที่สิบขอรับ”

หลี่มู่พยักหน้า

ความรู้สึกที่ข้างกายมีลิ่วล้อคอยติดตามมันช่างเยี่ยมยอดจริงๆ

ทุกอย่างไม่ต้องลงมือเอง ดื่มสุราไปด้วยดูสาวงามไปด้วย เรื่องต่างๆ ล้วนมีคนจัดการเรียบร้อย

เสียงดนตรีเสนาะหูลอยมาจากทางเวทีเบื้องล่าง

นางคณิกาชื่อดังคนแรกขึ้นมาบนเวที สวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองแกมเขียว เดินขึ้นมาอย่างเนิบช้า

“ข้าน้อยซืออวี้หวาแห่ง ‘หอหยกละมุน’ ”

ภายใต้การเสริมพลังจากค่ายกลเวทขยายเสียง เสียงของนางคณิกาคนนี้ดังไปทั่วถนนกลิ่นกำจาย ทั้งนุ่มนวลและอ่อนหวาน

ครั้งนี้หน่วยเลี้ยงรับรองทุ่มเทแรงใจ เชิญจอมเวทมาวางค่ายกลเล็กๆ รอบเวที จะต้องให้เสียงขับขานของนางคณิกาดังไปทั่วท้องถนนกลิ่นกำจาย

เมื่อซืออวี้หวาขึ้นเวที บนถนนกลิ่นกำจายก็ดังก้องไปด้วยเสียงโห่ร้องยินดี

หอหยกละมุนอยู่บนถนนกลิ่นกำจายก็นับว่าเป็นหนึ่งในหอคณิกามีชื่อเสียง ไม่ด้อยไปกว่าหอสดับเซียนเลย ซืออวี้หวาคนนี้คือนางคณิกาหมายเลขหนึ่งของหอหยกละมุน มีสมญาว่า ‘เซียนดนตรี’ เชี่ยวชาญด้านการขับขานเป็นที่สุด ได้ชื่อว่าขับขานบทเพลงหนึ่งจบ เสียงเสนาะยังคงดังวนเวียนสามวันไม่หยุด นับเป็นหนึ่งในนางคณิกาที่มีชื่อเสียงของเมืองฉางอันเช่นกัน

ในฐานะนางคณิกาคนแรกที่ขึ้นเวที ซืออวี้หวาดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายทันที

รวมถึงหลี่มู่ด้วย

ถึงแม้จะอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง แต่ด้วยสายตาของหลี่มู่ในวันนี้ก็เหมือนอยู่ต่อหน้า ‘เซียนดนตรี’ ร่างสูงโปร่งคนนี้มีส่วนโค้งเว้าวิจิตร ผิวขาวราวหิมะ คิ้วตาดั่งภาพวาด เป็นสาวงามที่หนึ่งในที่หนึ่ง กล่าวได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าฮวาเสี่ยงหรงในตอนที่ยังไม่ได้ฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เลย

อย่างไรเสียนางก็เคยเป็นคณิกาคนดังที่มีชื่อเสียงเคียงคู่กับฮวาเสี่ยงหรง

สาวงามที่หนึ่งในที่หนึ่งเชียวนะ หากเอาไปไว้บนโลก พวกแมวมองจะต้องไปควานหาตัวมา ก่อนจะกลายเป็นดาราดังที่เป็นที่รักของคนนับหมื่นนับพัน แต่น่าเสียดายที่โลกนี้ ตำแหน่งของนางคณิกาไม่ได้สูงส่งอะไร ทำอะไรดั่งใจไม่ได้ ดูไปแล้วก็แค่สาวน้อยอายุสิบเจ็ดสิบแปด ชะตาชีวิตในวันข้างหน้าจะมีใครหยั่งรู้ได้?

ใต้แสงจันทรา ซืออวี้หวาร่ายรำอย่างเข้าถึงอารมณ์ ชายแขนเสื้อพลิ้วไหว รูปร่างงดงาม ตัวอ่อนราวไร้กระดูก ท่วงท่าร่ายรำงามชดช้อยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผู้ชมรอบๆ ด้านล่างโห่ร้องดังไปทั่ว

“ร่ายรำจนจันทราลาลับ ขับขานจนพัดดอกท้อไร้แรงลม…”

ซืออวี้หวาเริ่มขับขาน เสียงร้องดุจเสียงสวรรค์ ภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง ชวนให้คนรู้สึกเวิ้งว้างและเศร้าสร้อย เหมือนกับจอกแหนที่ลอยไปตามระลอกคลื่น อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ค่อยๆ ลอยจากไปไกลบนแม่น้ำที่เงียบสงัด

กลอนบทนั้นที่นางขับร้อง เป็นบทกลอนซึ่งบัณฑิตมีชื่อในวงการวรรณกรรมคนหนึ่งแต่งให้ กลอนบทนี้ก็เคยเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่งในเมืองฉางอันเช่นกัน

หลี่มู่ถอนใจ

น้ำเสียงและการร่ายรำเช่นนี้ ฆ่าดาราสาวสวยบนโลกพวกนั้นได้ในพริบตาเลยนะเนี่ย

นางคณิกาคนดังของโลกใบนี้ หากพูดว่าดีเลิศทั้งรูปโฉมและความสามารถก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ สตรีที่ถูกขนานนามว่าเป็นนางคณิกาชื่อดัง ถึงไม่กล่าวว่ามีความรู้มาก แต่ก็นับว่าท่วงทำนองกวีสูงส่งงดงาม ในท้องเต็มไปด้วยน้ำหมึก[2]ทั้งนั้น

เพลงหนึ่งขับร้องร่ายรำจบ ทั่วทั้งถนนล้วนส่งเสียงให้กำลังใจ

เสียงร้องยินดีราวคลื่นน้ำ

สำหรับคนทั่วไปมากมาย ได้ดูการแสดงของนางคณิกาคนดังชั้นยอดแบบนี้คือความสุขดุจความฝันแน่นอน

ด้านหน้าของเวทีหลักมีโต๊ะของแขกผู้เกียรติ สามารถจุได้สามร้อยกว่าคน ‘กลุ่มกรรมการ’ และบุคคลมีชื่อเสียงในเมืองฉางอันทั้งหลายล้วนนั่งอยู่ที่นี่ ตะกร้าดอกไม้หนึ่งร้อยตำลึงเงินนั่นโดยพื้นฐานแล้วคนธรรมดาให้ไม่ไหว มีแค่บุคคลชื่อดังที่นั่งอยู่ที่นี่เท่านั้นถึงจะเป็นกำลังหลักผลาญเงินอย่างแท้จริง

การแสดงของซืออวี้หวาเสร็จสิ้น นางยืนอยู่กลางเวทีย่อตัวขอบคุณอย่างงดงาม ข้างๆ มีผู้ดูแลของหน่วยเลี้ยงรับรองหลายคนกำลังแจ้งจำนวนตะกร้าเสียงดัง นางคณิกาอันดับหนึ่งของ ‘หอหยกละมุน’ คนนี้ จวบจนกระทั่งการแสดงจบสิ้นลง ได้รับตะกร้าดอกไม้ไปทั้งสิ้นสามหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยตะกร้า จำนวนน่าตกใจยิ่งนัก

จากนั้น นางคณิกาคนที่สองก็ขึ้นแสดงบนเวที

เวลาเคลื่อนผ่านไป

บนถนนกลิ่นกำจายมีเสียงโห่ร้องต่างๆ

รอบด้านบนถนน บนต้นไม้ บนกำแพง บนหลังคา ทุกที่ล้วนมีคนอยู่

คำสั่งห้ามออกจากเคหสถานยามค่ำคืนของเมืองฉางอัน คืนนี้ก็ผ่อนปรนให้เป็นพิเศษ

เพียงพริบตาเดียวก็มีนางคณิกาห้าหกคนแสดงเสร็จสิ้นไปแล้ว ผลลัพธ์แตกต่างกันไป แต่สำหรับหลี่มู่ การขับร้องร่ายรำของซืออวี้หวานางคณิกาอันดับหนึ่งจาก ‘หอหยกละมุน’ ดีเยี่ยมที่สุด

“แม่นางซือแห่งหอหยกละมุนก็มีคนสนับสนุนเช่นกัน ได้ยินว่า ‘กระบี่กลางเมฆา’ หลิวอู๋เฟิงหนึ่งในสี่ก้งเฟิ่งของจวนเจิ้นซีอ๋อง หลายวันมานี้ก็อยู่ที่หอหยกละมุน เขาเคยบอกว่าสนับสนุนแม่นางซือขอรับ” เจิ้งฉุนเจี้ยนอยู่ด้านข้าง จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

หลี่มู่พยักหน้า ชมการร่ายรำต่อ

เขาเข้าใจความหมายของเจิ้งฉุนเจี้ยน อีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงซืออวี้หวา แต่กำลังเตือน กำลังของเจิ้นซีอ๋องมาถึงเมืองฉางอันแล้ว อีกทั้งมาถึงก่อนหน้านี้นานแล้วด้วย น่ากลัวว่าคงกำลังแอบเตรียมการอะไร

ทว่าสำหรับหลี่มู่แล้ว พวกฝ่ายต่อต้านล้วนเป็นเสือกระดาษกันทั้งนั้น

ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาสำเร็จขั้นต้นแล้ว คนพวกนี้ไม่อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

……

เยื้องหอเซียนโบยบินไปคือหอโอบจันทร์

บนถนนกลิ่นกำจาย มีสี่หอใหญ่ที่เป็นถึงภัตตาคารชั้นยอดซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนาน มีรากฐานมาสองร้อยปี ในหอไม่มีนางคณิกา มีเพียงสุราอาหาร ไม่อาศัยความงาม อาศัยอาหารเลิศรสก็มีชื่อไปทั่วเมืองฉางอัน พูดได้ว่ามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

หอเซียนโบยบินเป็นหนึ่งในนั้น

หอโอบจันทร์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

ชั้นสองของหอโอบจันทร์ ห้องส่วนตัวชั้นเลิศทางทิศตะวันตกเป็นจุดชมการแสดงหันหน้าเข้าเวทีหลักที่ดีที่สุด ตอนนี้แสงโคมในห้องส่องสว่าง องค์ชายสองผู้สง่างดงามนั่งอยู่ข้างหน้าต่างคนเดียว

ข้างหลังเขามีกุนซือคนสนิทยืนอยู่สิบกว่าคน

หนึ่งในนั้นมีคนผู้หนึ่งร่างผอมสูง เครื่องหน้างดงาม หน้าขาวไร้หนวดเครา สีหน้าขาวซีด บนร่างมีกลิ่นเครื่องสำอาง สวมชุดคลุมยาวสีเข้ม กลิ่นอายแปลกประหลาดนัก เขาคือหลิวเฉิงหลงผู้กุมอำนาจหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันที่แท้จริงนั่นเอง

คนที่ยืนอยู่ข้างกายหลิวเฉิงหลงก็คือจอมยุทธ์วัยกลางคนที่ส่งเทียบเชิญให้หลี่มู่คนนั้น

“พูดแบบนี้ หลี่มู่ปฏิเสธอีกแล้ว?” องค์ชายสองเอาสองมือเท้าคาง นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ไม่มีลักษณะอย่างองค์ชายแม้แต่น้อย สายตาจับจ้องไปที่เวทีหลักข้างนอก เหมือนเคลิบเคลิ้มอยู่ในการแสดงของนางคณิกาทั้งเก้า และก็เหมือนกำลังขบคิดเรื่องราว สรุปแล้วท่าทางดูเหม่อลอยเล็กน้อย

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมโน้มน้าวหลี่มู่ไม่สำเร็จ ครั้งนี้กระหม่อมเกรงใจมากๆ แล้ว” ชายวัยกลางคนก้มหน้า ในใจหวาดกลัว พูดต่อไปว่า “ขอองค์ชายโปรดลงโทษด้วย” วันนี้ตอนเช้าเขาไปเชิญหลี่มู่อีกรอบ ท่าทีอ่อนน้อมยิ่ง คำพูดคำจาก็เกรงใจเป็นพิเศษ

แต่ไม่มีประโยชน์

หลี่มู่ยังคงโยนเขาออกมาจากหอสดับเซียนอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” องค์ชายสองโบกมือ สีหน้าอ่อนโยน ไม่เห็นความโมโหเลยสักนิด “ตามที่เจ้าพูดมา จากปฏิกิริยาของหลี่มู่ก็ดูออกว่าต่อให้เป็นข้าไปด้วยตัวเอง เชิญติดกันสามครั้ง เขาก็ไม่มีทางมารับใช้ข้า”

ยอดฝีมือวัยกลางคนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

เหล่าชนชั้นสูงและกุนซือคนอื่นๆ ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่กลับแอบดีใจ หลี่มู่ไม่มา ตำแหน่งของพวกเขาก็จะไม่ถูกคุกคาม

หลิวเฉิงหลงมองเห็นสีหน้าท่าทางของคนพวกนี้ ในใจนึกเหยียดหยาม

พวกหนูสกปรกสายตาสั้น จิตใจคับแคบ คนแบบนี้อยู่ข้างกายองค์ชายรังแต่จะเป็นภัยร้ายและอุปสรรค องค์ชายเป็นคนฉลาด แต่ไม่รู้ทำไม่ถึงต้องเลี้ยงพวกคนไร้ความสามารถแบบนี้เอาไว้

“ตอนนี้ในเมืองฉางอันคงรู้เรื่องที่ข้าเชิญหลี่มู่สามรอบแต่ถูกปฏิเสธทั้งสามรอบกันหมดแล้ว หึๆ พวกเจ้าว่าผู้คนจะมองเรื่องนี้อย่างไร?” องค์ชายสองถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงแววขำขันคล้ายเยาะหยันตัวเอง

“หลี่มู่ไม่รักดี ลบหลู่พระเกียรติขององค์ชาย”

“หลี่มู่หยามศักดิ์ศรีองค์ชาย จะปล่อยไปไม่ได้เด็ดขาด”

“หลี่มู่กำเริบเสิบสาน หยามหมิ่นองค์ชาย หากปล่อยคนคนนี้ไปอีก เกรงว่าผู้คนจะหัวเราะเยาะเอาได้”

“ชื่อเสียงขององค์ชายถูกหลี่มู่ทำให้เสื่อมเกียรติจนถึงขีดสุดแล้วจริงๆ จะวางมือไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่ากุนซือคว้าโอกาส ต่างพากันทักท้วง ท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจคับแค้นเต็มอก

องค์ชายสองพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไร เขาหันกลับมา สายตาหยุดอยู่ที่หลิวเฉิงหลงหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรอง แล้วจึงถาม “เฉิงหลง เมื่อหกปีก่อนเจ้าถูกเนรเทศมายังหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอันเพราะมีเรื่องกระมัง”

หลิวเฉิงหลงพูดด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “ตอนนั้นเฉิงหลงแต่เดิมมีโทษถึงตาย โชคดีที่ได้บุญคุณขององค์ชาย ถึงมีชีวิตรอดต่อมาได้ แล้วยังอยู่ดีมีสุข ได้รับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน บุญคุณขององค์ชายเฉิงหลงไม่มีวันลืม ต่อให้พลีชีพจนตัวตายก็ยากจะตอบแทนแม้กระผีก”

“เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว เจ้าบอกซิว่าเจ้าคิดอย่างไรเรื่องหลี่มู่?” องค์ชายสองแย้มยิ้มเอื้อนเอ่ย

หลิวเฉิงหลงตอบ “องค์ชายเชิญหลี่มู่สามครั้ง เป็นการให้ความสำคัญกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตมากพอแล้ว หากเล่าลือออกไปตอนนี้ คนทั่วแผ่นดินจะต้องชื่นชมจิตใจและความอาจหาญขององค์ชายแน่นอน ดูผิวเผินแล้วเหมือนเสียพระเกียรติ แต่ที่จริงกลับได้ใจผู้คน บัณฑิตที่มีความสามารถพวกนั้นจะต้องยินดีรับใช้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชาย ส่วนหลี่มู่ดูแล้วเหมือนเหยียบย่ำชื่อเสียงและบารมีของพระองค์ แต่อันที่จริงกลับได้ชื่อว่าหัวแข็งดื้อรั้น ต่อให้บางคนมีใจอยากจะใช้งานเขาก็ต้องถอยห่างแน่ ถึงแม้เป็นอัจฉริยะที่ดีเด่นเพียงไร หากเย่อหยิ่งอวดดีควบคุมยากก็เหมือนม้าพยศที่ไม่เชื่องตัวหนึ่ง ไม่อาจอยู่บนสนามรบสังหารข้าศึกได้ กลับจะเป็นภัยร้ายแทน”

ดวงตาองค์ชายสองวาววาบ

เขาโบกมือพลางเอ่ย “เฉิงหลงอยู่ต่อ คนอื่นออกไปเถอะ”

กุนซือคนสนิทพวกนั้นแอบเคร่งเครียดในใจ รู้ว่าพูดผิดไปแล้ว จึงไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับพูดอะไรอีกไม่ได้ ทำได้แค่ออกจากห้องส่วนตัวทั้งหมด เดินไปดื่มกินในห้องส่วนตัวอีกห้องหนึ่งข้างๆ ที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว

……………………………………………………

[1] หวาเซี่ย คือชนชาติต้นกำเนิดของชาวฮั่น และเป็นชื่อเรียกประเทศจีนในสมัยโบราณ

[2] ในท้องเต็มไปด้วยน้ำหมึก เปรียบเปรยถึงผู้มีความสามารถด้านกลอนกวี สามารถเขียนกลอนหรือบทความได้ดี

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+