จอมศาสตราพลิกดารา 227 ขึ้นเวที

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 227 ขึ้นเวที at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ธิดาคนโตของถังฉงขุนพลเจิ้นกั๋ว สาวพรหมจรรย์อายุสิบหก รูปโฉมพริ้มเพรา มีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ อดีตเป็นดอกไม้ล้ำค่าในบรรดาชนชั้นสูงเมืองฉิน ผู้เกี้ยวพามีมากมาย…” ผู้ดำเนินการประมูลบรรยายคุณสมบัติเสียงดัง “เริ่มประมูลที่สองแสนตำลึงทอง ทุกครั้งประมูลเพิ่มไม่ต่ำกว่าสองหมื่นตำลึงทอง”

ได้ยินราคาเริ่มประมูล ทั้งหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายก็ดังระงมไปด้วยเสียงฮือฮาอย่างห้ามไม่อยู่

นี่สิถึงจะเป็นราคาสูงลิ่วที่แท้จริง

อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ตรงที่นั่งแขกผู้มีเกียรติทั่วไปก็ไม่มีกำลังทรัพย์ไปแข่งประมูลด้วย

งานประมูลดำเนินมาถึงขั้นนี้ โดยพื้นฐานแล้วถึงเวลาละเล่นของแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดที่แท้จริงแล้ว

คนรับใช้หญิงวัยกลางคนร่างกำยำ หน้าตาดุร้ายน่ากลัว จัดท่าทางถังถังในแบบต่างๆ บนโครงเหล็กกากบาทอย่างไร้ยางอาย หลังผ้าโปร่งบางนั้นจะมองเห็นร่างขาวเนียนดุจหยกที่แทบจะเปลือยเปล่าได้ชัดเจน ไม่ว่าเป็นสตรีประวัติดีคนใด นี่คือความอัปยศอย่างหนึ่งโดยแท้

……

ในหอหมายเลขสิบแปด ใบหน้าของซ่างกวนอวี่ถิงเผยความเหลือทน

แต่ว่านางก็ไม่ร่วมประมูลอย่างรู้ความ

หนึ่งเพราะราคาของถังมี่สูงเกินไป สองเพราะนางก็พอรู้อยู่เลาๆ ว่าลูกสาวคนโตของถังฉงเกี่ยวพันกับการแก่งแย่งในราชสำนักจักรวรรดิ หากร่วมประมูลด้วยเกรงว่าจะนำปัญหามาให้หลี่มู่…และเรื่องใดก็ตามแต่ที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา ซ่างกวนอวี่ถิงไม่มีทางเข้าร่วมเด็ดขาด

แต่ว่า หลี่มู่ในตอนนี้กลับขมวดคิ้วเบาๆ

หน่วยเลี้ยงรับรองจะทำเกินไปแล้ว เห็นชัดว่ากำลังหยามหมิ่นถังถัง เด็กสาวประวัติดีถูกจัดท่าทางน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าธารกำนัล ไม่ว่าจุดจบในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร แต่ความบริสุทธิ์ก็นับว่าถูกทำลายลงแล้ว

“ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”

หลี่มู่สวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน สวมชุดคลุมมีหมวก หยิบเสื้อคลุมอีกตัวก่อนจะออกไปจากหอ

……

“สองแสนหกหมื่นตำลึงทอง เอาละ แขกผู้มีเกียรติจากหอหมายเลขสิบห้าเสนอราคาสองแสนหกหมื่นตำลึงทอง…”

ค้อนในมือที่ยกไปมาของผู้ดำเนินการประมูลกำลังสั่นเทา ราคานี้เกินกว่าสถิติการประมูลของหน่วยเลี้ยงรับรองในอดีต สถิติใหม่กำลังจะเกิดในมือของเขา

ส่วนหญิงรับใช้ที่ชั่วร้ายสองคนนั้นก็ยังคงพลิกจัดท่าทางของถังถังที่แขนขาถูกตรึงอยู่บนโครงเหล็กรูปกากบาทราวกับจัดท่าตุ๊กตา ให้ผู้แข่งประมูลรอบๆ เห็นกันอย่างชัดเจน

ในดวงตาสาวน้อยผู้ตกยาก มีหยาดน้ำตาแห่งความอัปยศและความโกรธแค้นดุจจะสังหารคนวาววับ แต่ก็ไร้ประโยชน์อันใด

“อย่าใช้สายตาแบบนั้นมองข้า จะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าที่ซวยเอง” หญิงรับใช้วัยกลางคนคนหนึ่งกระซิบ หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมข้างหูนาง จากนั้นก็จงใจเลิกเสื้อผ้าโปร่งบางของถังถังขึ้น เผยให้เห็นหน้าท้องและสะดือขาวเนียน

“อือๆ อือๆๆ…” ถังถังดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่ปากถูกอุดไว้ด้วยแพรขาว ทำให้นางไม่อาจพูดได้

ทันใดนั้น รอบข้างมีเสียงตื่นตกใจดังไปทั่วอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ

กลุ่มคนบนถนนกลิ่นกำจายเหมือนเห็นเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

หญิงรับใช้ชั่วร้ายคนนั้นหันไป ก็เห็นคนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินพิลึกมายืนอยู่ด้านหลังตนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงเย็นเยียบสองสายพุ่งออกมาจากช่องตาของหน้ากากราวกับดาบสองเล่ม ประหนึ่งจะแทงนางให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้า…”

หญิงรับใช้ยังพูดประโยคแรกไม่ทันจบ ก็รู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ทั้งตัวลอยออกไป

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินยกมือตบลงไปอีก ซัดหญิงรับใช้วัยกลางที่ยืนอึ้งอยู่อีกด้านหนึ่งกระเด็นไปไหนไม่รู้

ฝูงชนรอบๆ ร้องตกใจอย่างยากจะอดไว้

คราแรก พวกเขายังคิดว่าการปรากฏตัวของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเป็นรายการเพิ่มสีสันที่หน่วยเลี้ยงรับรองเตรียมเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าไม่ใช่ ที่แท้มีคนมาก่อกวน

ผู้ดำเนินการประมูลของหน่วยเลี้ยงรับรองตกใจยกใหญ่ ถอยหลังไปอย่างหวาดระแวง ตวาดถามว่า “เจ้าเป็นใคร กล้ามาก่อกวนงานประมูลอย่างนั้นรึ?”

คนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินไม่ตอบ ทว่านิ่งเงียบ คลุมชุดคลุมตัวกว้างลงบนร่างของถังถังซึ่งถูกหยามหมิ่นไม่เหลือชิ้นดี ปกปิดกายขาวเนียนเกือบเปล่าเปลือยของนางไว้ จากนั้นยื่นมือจัดผมยาวที่ยุ่งกระเซิงให้

“ก็แค่งานประมูล ทำไมต้องหมิ่นเกียรตินางถึงเพียงนี้? ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของขุนพลเจิ้นกั๋ว ขุนพลถังเป็นแม่ทัพที่เคยสร้างคุณูปการให้กับจักรวรรดิฉินตะวันตก ลูกหลานของเขาไม่ควรโดนดูหมิ่นแบบนี้”

เสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากใต้หน้ากากหน้าผียิ้มสีเงิน

เสียงไม่ดังมาก แต่กลับดังไปทั่วถนนกลิ่นกำจาย

ฝูงชนเงียบงัน

ผู้ดำเนินรายการประมูลคนนั้นตั้งสติกลับมาได้ ก็พูดอย่างทั้งตกใจทั้งโมโห “เจ้า…เจ้ากล้ามาก่อกวนหรือ? บังอาจนัก กล้าทำลายงานของหน่วยเลี้ยงรับรอง…ใครก็ได้…ใครก็ได้…” เขาแหกปากตะโกน

อันที่จริงไม่ต้องให้เขาตะโกน ก็มีเงาหลายร่างตรงมายังเวทีหลักดุจสายฟ้าท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ และล้อมคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเอาไว้

ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นยอดปรมาจารย์ที่หน่วยเลี้ยงรับรองเชิญมารักษาความสงบเรียบร้อยในคืนนี้

“จับมัน”

คำสั่งดังขึ้น ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์สิบกว่าคนลงมือพร้อมกันทันทีโดยไม่ให้โอกาสอธิบาย

กระแสอากาศแผ่ระลอก แรงกดดันกำลังภายในโหมซัด เหมือนจะฉีกคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินในพริบตา

“ฮี่ๆๆๆ…” เสียงหัวเราะประหลาดเหมือนนกฮูกดังขึ้นมา คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ขั้นปรมาจารย์ของหน่วยเลี้ยงรับรองรู้สึกแค่เบื้องหน้าพร่าเลือน ข้อมือสั่น ดาบยาวในมือถูกชิงไปแล้ว

ฟุ่บ!

ประกายดาบสีขาวสายหนึ่งสะท้อนประกายกลางอากาศ

ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ของหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งหมดรู้สึกเพียงตรงอกสะเทือน ปราณดาบที่แข็งแกร่งไร้ใดเทียมประชิดมา หมายจะฟันพวกเขาลอยออกไปทั้งหมด เมื่อก้มลงมองก็เห็นชุดเกราะแหลกละเอียด แต่เนื้อตัวไม่ได้รับบาดเจ็บ

“หากยังไม่รู้จักดีชั่ว ก็อย่าโทษว่าดาบข้าไม่ปรานี”

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินยืนอยู่ข้างกายถังถัง มือถือดาบ เสียงของเขาราวปีศาจรัตติกาลที่คอยเกี่ยววิญญาณยามค่ำคืน เย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเสียดกระดูก

ปราณดาบน่าอัศจรรย์ขยับวูบวาบ เปล่งประกายอยู่บนปลายดาบ

“ฟ้าประทาน?”

ยอดฝีมือหน่วยเลี้ยงรับรองต่างหน้าถอดสี

ประกายดาบนั่นแปลงมาจากปราณแท้ฟ้าประทานนี่เอง

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

คราวนี้ จิตกระหายต่อสู้ของยอดฝีมือฝั่งหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งหมดหายวับไปทันที อย่าเห็นว่าพวกเขานับเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งในสายตาของคนในยุทธจักร แต่เมื่อเจอกับผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน ไม่ว่าจำนวนคนจะมากเท่าไหร่ก็เป็นได้แค่ฝ่ายโดนเชือดเท่านั้น

……

“หืม? ใครกัน?”

ในหอหมายเลขสิบ ใบหน้าของหวางเฉินฉายแววยินดี

สายตาขององค์หญิงฉินเจินที่จ้องมองคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเผยความซาบซึ้ง นางย่อมรู้ว่าการหยามหมิ่นแบบนั้นหมายถึงอะไรสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง นางก็อยากไปช่วยถังถังแบบคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน ช่วยคลุมเสื้อ ปกปิดเรือนร่างให้ ทว่านางทำไม่ได้

เพราะหากบุ่มบ่าม เช่นนั้นต่อไปอยากช่วยถังฮูหยินก็จะลำบากขึ้นอีกมาก

ระหว่างช่วยคนกับศักดิ์ศรี นางทำได้แค่เลือกอย่างหน้า

การปรากฏตัวของคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินเป็นเรื่องน่ายินดีจากสวรรค์จริงๆ

จอมยุทธ์ดาบขั้นฟ้าประทาน เป็นใครกัน?

หากคนผู้นี้ช่วยจากใจจริง หรือเป็นจอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมละก็ เช่นนั้นอัตราความสำเร็จของแผนช่วยภรรยาและบุตรสาวของขุนพลถังในคืนนี้ก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว

……

“จอมยุทธ์ดาบขั้นฟ้าประทานโผล่มาจากไหนกัน?”

ในหอหมายเลขสิบห้า พวกไป๋หย่วนหานเฝ่ยหรานมองหน้ากัน

ด้วยฐานะและตำแหน่งของพวกเขา ยอดยุทธ์ทั่วไปยากจะทำให้พวกเขารู้สึกตึงมือได้ แต่เห็นได้ชัดว่ายังหวาดเกรงขั้นฟ้าประทานที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่หน่อยๆ

“ฟังแล้วเหมือนจะเป็นพรรคพวกของถังฉง?” เหลียงอี้เฟยลูบคาง

หานเฝ่ยหรานส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ พรรคพวกของถังฉง หากเป็นขั้นฟ้าประทานล้วนไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ราชสำนักจัดการทีเดียวไปตั้งนานแล้ว ไม่มีทางหลุดรอดมาได้ เจ้านี่น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ถังฉง เหอะ รนหาที่ตายจริงๆ”

จิตสังหารฉายวาบในดวงตาของจินเซวียน “ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกจอมยุทธ์พวกนี้ สมควรตายทั้งหมด”

“ดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน หากกล้าแย่งหญิงงามของพวกเรา เช่นนั้นก็ส่งมันไปลงนรก” เหลียงอี้เฟยลุกขึ้น สั่งองครักษ์ข้างกายตนให้ไปเตรียมการบางอย่าง

……

ในหอหมายเลขหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?” องค์ชายสองลุกขึ้นยืน มองไปยังเวทีหลัก ในดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยมีไอเย็นวาบผ่าน

หลิวเฉิงหลงเหงื่อซึมชื้นเต็มหน้าผาก

คืนนี้ ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้?

“ข้าจะไปส่งมันลงนรก” ชายชราจมูกงุ้มหนึ่งในคนที่เหมือนผีดิบชุดคลุมสีเทาลุกขึ้นมา ไอเย็นสีขาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยวนทั่วร่าง น้ำเสียงอวดดีนัก เหมือนการฆ่าขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งง่ายเหมือนฆ่าลูกไก่

องค์ชายสองส่ายหน้า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น…เฉิงหลง เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน”

หลิวเฉิงหลงรีบรับคำสั่ง

……

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การประมูลก็ดำเนินต่อ

ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้หลายคนประหลาดใจ

แต่เดิมคิดว่าการต่อสู้คงเลี่ยงไม่ได้แน่แล้ว แต่คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินกลับโยนดาบในมือทิ้ง แล้วยืนข้างกายถังถังอย่างสงบ ไม่ได้ลงมืออะไรอีก

หลิวเฉิงหลงกลับหอหมายเลขหนึ่งมารายงาน

“คนผู้นั้นแค่ไม่ให้หน่วยเลี้ยงรับรองหยามหมิ่นถังถัง ไม่ได้มาชิงตัวคน ขอแค่ให้นางสวมเสื้อผ้า เขาก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรอีก” หลิวเฉิงหลงรายงาน

เขาแอบรู้สึกว่าโชคดีอยู่บ้าง การประมูลนับว่าดำเนินต่อไปได้แล้ว

องค์ชายสองถามเสียงเรียบ “มองออกหรือไม่ว่าเป็นใคร?”

หลิวเฉิงหลงส่ายหน้า “ขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอันข้ารู้จักหมด เขาไม่ใช่คนใดคนหนึ่งในนั้น จอมยุทธ์ดาบ…ข้าน้อยจำได้ว่าหลี่มู่ก็ฝึกวิชาดาบเป็นหลักเหมือนกัน แต่การต่อสู้ของหลี่มู่อาศัยกำลังกายปะทุพลังมาตลอด เหมือนจะไม่เคยเปิดเผยปราณแท้ฟ้าประทานออกมาให้เห็น” เขาคาดเดาไม่ถูก

องค์ชายสองพยักหน้า หันไปพูดกับชายจมูกงุ้มหนึ่งในชายชราผีดิบชุดคลุมยาวสีเทาทั้งสอง “ผู้อาวุโสโยว ท่านจับตาดูสักหน่อย ตามคนคนนี้ไป วันหลังช่วยข้ากำจัดมันทิ้ง” หากไม่ใช่เพราะจะแหวกหญ้าให้งูตื่นละก็ เขาจัดการคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินไปนานแล้ว จะโอนอ่อนให้ได้อย่างไร ใครที่ทำให้เขาไม่มีความสุขล้วนสมควรตายทั้งนั้น

ชายชราผีดิบจมูกงุ้มพยักหน้ารับคำ “น้อมรับบัญชา”

……

ระหว่างนั้น สนามประมูลด้านนอก ราคาเสนอประมูลของถังถังถูกปั่นจนถึงห้าแสนตำลึงทองแล้ว สองฝ่ายที่แข่งประมูลคือหอหมายเลขสิบและสิบห้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เห็นชัดว่าจะประมูลมาให้ได้

บนถนนกลิ่นกำจาย ฝูงชนคลุ้มคลั่งกันยิ่งนัก

ฉากแบบนี้เห็นได้ชัดว่าร้อยปียังเห็นสักครั้งได้ยาก

“ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงทอง” ในหอหมายเลขสิบห้า ไป๋หย่วนกัดฟันเสนอราคานี้ไป

ในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินกำลังจะเสนอราคาตาม แต่ตอนนี้ด้านนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผู้ดูแลของหน่วยเลี้ยงรับรองคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังอยู่ข้างนอกอย่างมีมารยาท “แขกผู้มีเกียรติ ขออภัยอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งท่าน ตั๋วค้ำประกันเงินทุนที่ก่อนนี้ท่านแสดงกับหน่วยเลี้ยงรับรองถึงขีดจำกัดแล้ว จำต้องมอบตั๋วเงินใหม่อีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีทุนเสนอราคา ถึงจะแข่งประมูลต่อไปได้…”

หวางเฉินนิ่งอึ้ง

เงินไม่พอ

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดบังเกิดขึ้นแล้ว

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 227 ขึ้นเวที

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 227 ขึ้นเวที at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ธิดาคนโตของถังฉงขุนพลเจิ้นกั๋ว สาวพรหมจรรย์อายุสิบหก รูปโฉมพริ้มเพรา มีพรสวรรค์ด้านยุทธ์ อดีตเป็นดอกไม้ล้ำค่าในบรรดาชนชั้นสูงเมืองฉิน ผู้เกี้ยวพามีมากมาย…” ผู้ดำเนินการประมูลบรรยายคุณสมบัติเสียงดัง “เริ่มประมูลที่สองแสนตำลึงทอง ทุกครั้งประมูลเพิ่มไม่ต่ำกว่าสองหมื่นตำลึงทอง”

ได้ยินราคาเริ่มประมูล ทั้งหน่วยเลี้ยงรับรองบนถนนกลิ่นกำจายก็ดังระงมไปด้วยเสียงฮือฮาอย่างห้ามไม่อยู่

นี่สิถึงจะเป็นราคาสูงลิ่วที่แท้จริง

อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ตรงที่นั่งแขกผู้มีเกียรติทั่วไปก็ไม่มีกำลังทรัพย์ไปแข่งประมูลด้วย

งานประมูลดำเนินมาถึงขั้นนี้ โดยพื้นฐานแล้วถึงเวลาละเล่นของแขกผู้มีเกียรติชั้นยอดที่แท้จริงแล้ว

คนรับใช้หญิงวัยกลางคนร่างกำยำ หน้าตาดุร้ายน่ากลัว จัดท่าทางถังถังในแบบต่างๆ บนโครงเหล็กกากบาทอย่างไร้ยางอาย หลังผ้าโปร่งบางนั้นจะมองเห็นร่างขาวเนียนดุจหยกที่แทบจะเปลือยเปล่าได้ชัดเจน ไม่ว่าเป็นสตรีประวัติดีคนใด นี่คือความอัปยศอย่างหนึ่งโดยแท้

……

ในหอหมายเลขสิบแปด ใบหน้าของซ่างกวนอวี่ถิงเผยความเหลือทน

แต่ว่านางก็ไม่ร่วมประมูลอย่างรู้ความ

หนึ่งเพราะราคาของถังมี่สูงเกินไป สองเพราะนางก็พอรู้อยู่เลาๆ ว่าลูกสาวคนโตของถังฉงเกี่ยวพันกับการแก่งแย่งในราชสำนักจักรวรรดิ หากร่วมประมูลด้วยเกรงว่าจะนำปัญหามาให้หลี่มู่…และเรื่องใดก็ตามแต่ที่จะสร้างปัญหาให้กับเขา ซ่างกวนอวี่ถิงไม่มีทางเข้าร่วมเด็ดขาด

แต่ว่า หลี่มู่ในตอนนี้กลับขมวดคิ้วเบาๆ

หน่วยเลี้ยงรับรองจะทำเกินไปแล้ว เห็นชัดว่ากำลังหยามหมิ่นถังถัง เด็กสาวประวัติดีถูกจัดท่าทางน่าอับอายแบบนี้ต่อหน้าธารกำนัล ไม่ว่าจุดจบในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร แต่ความบริสุทธิ์ก็นับว่าถูกทำลายลงแล้ว

“ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา”

หลี่มู่สวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน สวมชุดคลุมมีหมวก หยิบเสื้อคลุมอีกตัวก่อนจะออกไปจากหอ

……

“สองแสนหกหมื่นตำลึงทอง เอาละ แขกผู้มีเกียรติจากหอหมายเลขสิบห้าเสนอราคาสองแสนหกหมื่นตำลึงทอง…”

ค้อนในมือที่ยกไปมาของผู้ดำเนินการประมูลกำลังสั่นเทา ราคานี้เกินกว่าสถิติการประมูลของหน่วยเลี้ยงรับรองในอดีต สถิติใหม่กำลังจะเกิดในมือของเขา

ส่วนหญิงรับใช้ที่ชั่วร้ายสองคนนั้นก็ยังคงพลิกจัดท่าทางของถังถังที่แขนขาถูกตรึงอยู่บนโครงเหล็กรูปกากบาทราวกับจัดท่าตุ๊กตา ให้ผู้แข่งประมูลรอบๆ เห็นกันอย่างชัดเจน

ในดวงตาสาวน้อยผู้ตกยาก มีหยาดน้ำตาแห่งความอัปยศและความโกรธแค้นดุจจะสังหารคนวาววับ แต่ก็ไร้ประโยชน์อันใด

“อย่าใช้สายตาแบบนั้นมองข้า จะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าที่ซวยเอง” หญิงรับใช้วัยกลางคนคนหนึ่งกระซิบ หัวเราะอย่างโหดเหี้ยมข้างหูนาง จากนั้นก็จงใจเลิกเสื้อผ้าโปร่งบางของถังถังขึ้น เผยให้เห็นหน้าท้องและสะดือขาวเนียน

“อือๆ อือๆๆ…” ถังถังดิ้นรนสุดฤทธิ์ แต่ปากถูกอุดไว้ด้วยแพรขาว ทำให้นางไม่อาจพูดได้

ทันใดนั้น รอบข้างมีเสียงตื่นตกใจดังไปทั่วอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ

กลุ่มคนบนถนนกลิ่นกำจายเหมือนเห็นเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

หญิงรับใช้ชั่วร้ายคนนั้นหันไป ก็เห็นคนใส่หน้ากากผียิ้มสีเงินพิลึกมายืนอยู่ด้านหลังตนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงเย็นเยียบสองสายพุ่งออกมาจากช่องตาของหน้ากากราวกับดาบสองเล่ม ประหนึ่งจะแทงนางให้ทะลุอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้า…”

หญิงรับใช้ยังพูดประโยคแรกไม่ทันจบ ก็รู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ทั้งตัวลอยออกไป

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินยกมือตบลงไปอีก ซัดหญิงรับใช้วัยกลางที่ยืนอึ้งอยู่อีกด้านหนึ่งกระเด็นไปไหนไม่รู้

ฝูงชนรอบๆ ร้องตกใจอย่างยากจะอดไว้

คราแรก พวกเขายังคิดว่าการปรากฏตัวของคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเป็นรายการเพิ่มสีสันที่หน่วยเลี้ยงรับรองเตรียมเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าไม่ใช่ ที่แท้มีคนมาก่อกวน

ผู้ดำเนินการประมูลของหน่วยเลี้ยงรับรองตกใจยกใหญ่ ถอยหลังไปอย่างหวาดระแวง ตวาดถามว่า “เจ้าเป็นใคร กล้ามาก่อกวนงานประมูลอย่างนั้นรึ?”

คนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินไม่ตอบ ทว่านิ่งเงียบ คลุมชุดคลุมตัวกว้างลงบนร่างของถังถังซึ่งถูกหยามหมิ่นไม่เหลือชิ้นดี ปกปิดกายขาวเนียนเกือบเปล่าเปลือยของนางไว้ จากนั้นยื่นมือจัดผมยาวที่ยุ่งกระเซิงให้

“ก็แค่งานประมูล ทำไมต้องหมิ่นเกียรตินางถึงเพียงนี้? ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของขุนพลเจิ้นกั๋ว ขุนพลถังเป็นแม่ทัพที่เคยสร้างคุณูปการให้กับจักรวรรดิฉินตะวันตก ลูกหลานของเขาไม่ควรโดนดูหมิ่นแบบนี้”

เสียงแหบแห้งเล็กน้อยดังมาจากใต้หน้ากากหน้าผียิ้มสีเงิน

เสียงไม่ดังมาก แต่กลับดังไปทั่วถนนกลิ่นกำจาย

ฝูงชนเงียบงัน

ผู้ดำเนินรายการประมูลคนนั้นตั้งสติกลับมาได้ ก็พูดอย่างทั้งตกใจทั้งโมโห “เจ้า…เจ้ากล้ามาก่อกวนหรือ? บังอาจนัก กล้าทำลายงานของหน่วยเลี้ยงรับรอง…ใครก็ได้…ใครก็ได้…” เขาแหกปากตะโกน

อันที่จริงไม่ต้องให้เขาตะโกน ก็มีเงาหลายร่างตรงมายังเวทีหลักดุจสายฟ้าท่ามกลางเสียงแหวกอากาศ และล้อมคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเอาไว้

ทั้งหมดเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นยอดปรมาจารย์ที่หน่วยเลี้ยงรับรองเชิญมารักษาความสงบเรียบร้อยในคืนนี้

“จับมัน”

คำสั่งดังขึ้น ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์สิบกว่าคนลงมือพร้อมกันทันทีโดยไม่ให้โอกาสอธิบาย

กระแสอากาศแผ่ระลอก แรงกดดันกำลังภายในโหมซัด เหมือนจะฉีกคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินในพริบตา

“ฮี่ๆๆๆ…” เสียงหัวเราะประหลาดเหมือนนกฮูกดังขึ้นมา คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ขั้นปรมาจารย์ของหน่วยเลี้ยงรับรองรู้สึกแค่เบื้องหน้าพร่าเลือน ข้อมือสั่น ดาบยาวในมือถูกชิงไปแล้ว

ฟุ่บ!

ประกายดาบสีขาวสายหนึ่งสะท้อนประกายกลางอากาศ

ยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ของหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งหมดรู้สึกเพียงตรงอกสะเทือน ปราณดาบที่แข็งแกร่งไร้ใดเทียมประชิดมา หมายจะฟันพวกเขาลอยออกไปทั้งหมด เมื่อก้มลงมองก็เห็นชุดเกราะแหลกละเอียด แต่เนื้อตัวไม่ได้รับบาดเจ็บ

“หากยังไม่รู้จักดีชั่ว ก็อย่าโทษว่าดาบข้าไม่ปรานี”

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินยืนอยู่ข้างกายถังถัง มือถือดาบ เสียงของเขาราวปีศาจรัตติกาลที่คอยเกี่ยววิญญาณยามค่ำคืน เย็นยะเยือกจนทำให้รู้สึกหนาวเหน็บเสียดกระดูก

ปราณดาบน่าอัศจรรย์ขยับวูบวาบ เปล่งประกายอยู่บนปลายดาบ

“ฟ้าประทาน?”

ยอดฝีมือหน่วยเลี้ยงรับรองต่างหน้าถอดสี

ประกายดาบนั่นแปลงมาจากปราณแท้ฟ้าประทานนี่เอง

คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายขั้นฟ้าประทานแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย

คราวนี้ จิตกระหายต่อสู้ของยอดฝีมือฝั่งหน่วยเลี้ยงรับรองทั้งหมดหายวับไปทันที อย่าเห็นว่าพวกเขานับเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งในสายตาของคนในยุทธจักร แต่เมื่อเจอกับผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน ไม่ว่าจำนวนคนจะมากเท่าไหร่ก็เป็นได้แค่ฝ่ายโดนเชือดเท่านั้น

……

“หืม? ใครกัน?”

ในหอหมายเลขสิบ ใบหน้าของหวางเฉินฉายแววยินดี

สายตาขององค์หญิงฉินเจินที่จ้องมองคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินเผยความซาบซึ้ง นางย่อมรู้ว่าการหยามหมิ่นแบบนั้นหมายถึงอะไรสำหรับเด็กสาวคนหนึ่ง นางก็อยากไปช่วยถังถังแบบคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงิน ช่วยคลุมเสื้อ ปกปิดเรือนร่างให้ ทว่านางทำไม่ได้

เพราะหากบุ่มบ่าม เช่นนั้นต่อไปอยากช่วยถังฮูหยินก็จะลำบากขึ้นอีกมาก

ระหว่างช่วยคนกับศักดิ์ศรี นางทำได้แค่เลือกอย่างหน้า

การปรากฏตัวของคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินเป็นเรื่องน่ายินดีจากสวรรค์จริงๆ

จอมยุทธ์ดาบขั้นฟ้าประทาน เป็นใครกัน?

หากคนผู้นี้ช่วยจากใจจริง หรือเป็นจอมยุทธ์ผู้ผดุงความยุติธรรมละก็ เช่นนั้นอัตราความสำเร็จของแผนช่วยภรรยาและบุตรสาวของขุนพลถังในคืนนี้ก็เพิ่มขึ้นมากแล้ว

……

“จอมยุทธ์ดาบขั้นฟ้าประทานโผล่มาจากไหนกัน?”

ในหอหมายเลขสิบห้า พวกไป๋หย่วนหานเฝ่ยหรานมองหน้ากัน

ด้วยฐานะและตำแหน่งของพวกเขา ยอดยุทธ์ทั่วไปยากจะทำให้พวกเขารู้สึกตึงมือได้ แต่เห็นได้ชัดว่ายังหวาดเกรงขั้นฟ้าประทานที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่หน่อยๆ

“ฟังแล้วเหมือนจะเป็นพรรคพวกของถังฉง?” เหลียงอี้เฟยลูบคาง

หานเฝ่ยหรานส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ พรรคพวกของถังฉง หากเป็นขั้นฟ้าประทานล้วนไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียง ราชสำนักจัดการทีเดียวไปตั้งนานแล้ว ไม่มีทางหลุดรอดมาได้ เจ้านี่น่าจะเป็นจอมยุทธ์ที่ทวงคืนความยุติธรรมให้ถังฉง เหอะ รนหาที่ตายจริงๆ”

จิตสังหารฉายวาบในดวงตาของจินเซวียน “ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกจอมยุทธ์พวกนี้ สมควรตายทั้งหมด”

“ดูสถานการณ์ไปก่อนค่อยว่ากัน หากกล้าแย่งหญิงงามของพวกเรา เช่นนั้นก็ส่งมันไปลงนรก” เหลียงอี้เฟยลุกขึ้น สั่งองครักษ์ข้างกายตนให้ไปเตรียมการบางอย่าง

……

ในหอหมายเลขหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?” องค์ชายสองลุกขึ้นยืน มองไปยังเวทีหลัก ในดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อยมีไอเย็นวาบผ่าน

หลิวเฉิงหลงเหงื่อซึมชื้นเต็มหน้าผาก

คืนนี้ ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดนี้?

“ข้าจะไปส่งมันลงนรก” ชายชราจมูกงุ้มหนึ่งในคนที่เหมือนผีดิบชุดคลุมสีเทาลุกขึ้นมา ไอเย็นสีขาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าลอยวนทั่วร่าง น้ำเสียงอวดดีนัก เหมือนการฆ่าขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งง่ายเหมือนฆ่าลูกไก่

องค์ชายสองส่ายหน้า “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น…เฉิงหลง เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน”

หลิวเฉิงหลงรีบรับคำสั่ง

……

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การประมูลก็ดำเนินต่อ

ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้หลายคนประหลาดใจ

แต่เดิมคิดว่าการต่อสู้คงเลี่ยงไม่ได้แน่แล้ว แต่คนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินกลับโยนดาบในมือทิ้ง แล้วยืนข้างกายถังถังอย่างสงบ ไม่ได้ลงมืออะไรอีก

หลิวเฉิงหลงกลับหอหมายเลขหนึ่งมารายงาน

“คนผู้นั้นแค่ไม่ให้หน่วยเลี้ยงรับรองหยามหมิ่นถังถัง ไม่ได้มาชิงตัวคน ขอแค่ให้นางสวมเสื้อผ้า เขาก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรอีก” หลิวเฉิงหลงรายงาน

เขาแอบรู้สึกว่าโชคดีอยู่บ้าง การประมูลนับว่าดำเนินต่อไปได้แล้ว

องค์ชายสองถามเสียงเรียบ “มองออกหรือไม่ว่าเป็นใคร?”

หลิวเฉิงหลงส่ายหน้า “ขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอันข้ารู้จักหมด เขาไม่ใช่คนใดคนหนึ่งในนั้น จอมยุทธ์ดาบ…ข้าน้อยจำได้ว่าหลี่มู่ก็ฝึกวิชาดาบเป็นหลักเหมือนกัน แต่การต่อสู้ของหลี่มู่อาศัยกำลังกายปะทุพลังมาตลอด เหมือนจะไม่เคยเปิดเผยปราณแท้ฟ้าประทานออกมาให้เห็น” เขาคาดเดาไม่ถูก

องค์ชายสองพยักหน้า หันไปพูดกับชายจมูกงุ้มหนึ่งในชายชราผีดิบชุดคลุมยาวสีเทาทั้งสอง “ผู้อาวุโสโยว ท่านจับตาดูสักหน่อย ตามคนคนนี้ไป วันหลังช่วยข้ากำจัดมันทิ้ง” หากไม่ใช่เพราะจะแหวกหญ้าให้งูตื่นละก็ เขาจัดการคนสวมหน้ากากหน้าผียิ้มสีเงินไปนานแล้ว จะโอนอ่อนให้ได้อย่างไร ใครที่ทำให้เขาไม่มีความสุขล้วนสมควรตายทั้งนั้น

ชายชราผีดิบจมูกงุ้มพยักหน้ารับคำ “น้อมรับบัญชา”

……

ระหว่างนั้น สนามประมูลด้านนอก ราคาเสนอประมูลของถังถังถูกปั่นจนถึงห้าแสนตำลึงทองแล้ว สองฝ่ายที่แข่งประมูลคือหอหมายเลขสิบและสิบห้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน เห็นชัดว่าจะประมูลมาให้ได้

บนถนนกลิ่นกำจาย ฝูงชนคลุ้มคลั่งกันยิ่งนัก

ฉากแบบนี้เห็นได้ชัดว่าร้อยปียังเห็นสักครั้งได้ยาก

“ห้าแสนห้าหมื่นตำลึงทอง” ในหอหมายเลขสิบห้า ไป๋หย่วนกัดฟันเสนอราคานี้ไป

ในหอหมายเลขสิบ หวางเฉินกำลังจะเสนอราคาตาม แต่ตอนนี้ด้านนอกกลับมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ผู้ดูแลของหน่วยเลี้ยงรับรองคนหนึ่งเอ่ยเสียงดังอยู่ข้างนอกอย่างมีมารยาท “แขกผู้มีเกียรติ ขออภัยอย่างยิ่งที่ต้องแจ้งท่าน ตั๋วค้ำประกันเงินทุนที่ก่อนนี้ท่านแสดงกับหน่วยเลี้ยงรับรองถึงขีดจำกัดแล้ว จำต้องมอบตั๋วเงินใหม่อีกครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีทุนเสนอราคา ถึงจะแข่งประมูลต่อไปได้…”

หวางเฉินนิ่งอึ้ง

เงินไม่พอ

ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดบังเกิดขึ้นแล้ว

………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+