จอมศาสตราพลิกดารา 241 ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 241 ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าทำลายวิชาเวทของข้า?” ‘เฒ่าอัคคี’ ตั้งสติกลับมาได้ เอ่ยถามอย่างปากกล้าขาสั่น “เจ้าปีศาจ วันนี้ข้าจะให้เจ้าคืนร่างเดิมให้ได้”

เขาปักไม้เท้าเวทไว้ข้างหนึ่ง ถลกแขนเสื้อขึ้น โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยังจะเหลือท่าทางอย่างเทพเซียนเก่าแก่แบบก่อนหน้านี้เสียที่ไหน เขาล้วงเอากระจกฉลุลายเส้นเงินทองบานใหญ่ออกมา บนกระจกแบ่งเป็นห้าส่วน สัญลักษณ์เปลวเพลิงหนึ่งในนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า ฝ่ามือกดเอาไว้พลางกระตุ้นพลังจิตวิญญาณจดจ่อไปในกระจก สัญลักษณ์เปลวเพลิงหนึ่งส่วนลุกโชติช่วงขึ้นทันใด

อุณหภูมิรอบๆ พลันพุ่งสูงขึ้น

ยอดฝีมือหน่วยเลี้ยงรับรองสี่คนรู้สึกทั่วร่างร้อนระอุอย่างกับอยู่ในเตาไฟ ผมหยิกม้วนขึ้นมาแล้ว

หลิวเฉิงหลงก็รู้สึกเหมือนไฟแผดเผาเช่นกัน ร้อนระอุเหลือทน จึงรีบโคจรพลังต้านทานและถอยหลังไป เว้นระยะห่างประมาณห้าหกจั้ง ห่างออกมาจาก ‘เฒ่าอัคคี’ สองจั้ง ต้นไม้แห้งลุกเป็นไฟ ราวกับเป็นโลกแห่งเปลวเพลิงจริงๆ

‘นี่คงจะเป็นพลังที่แท้จริงของ ‘เฒ่าอัคคี’ วิชาเวทร้อนระอุอันน่ากลัว…’ หลิวเฉิงหลงคิดในใจ

‘เฒ่าอัคคี’ ผู้นี้คือผู้ฝึกไร้สังกัดขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอัน ตำแหน่งฐานะไม่ธรรมดา

โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกไร้สังกัดฝึกถึงขั้นฟ้าประทานได้ก็นับว่าเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งแล้ว หากไม่ใช่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก ก็ต้องมีโอกาสที่ดีเยี่ยม แต่ว่าคิดอยากจะทะลวงขั้นอีกนั้นยากมาก ต้องได้การช่วยเหลือจากสำนักหรือไม่ก็พลังภายนอก ดังนั้น หลังจากหลิวเฉิงหลงเผยความสัมพันธ์ของตนกับองค์ชายสองเล็กน้อย ‘เฒ่าอัคคี’ ก็ยอมรับข้อเสนอของตน ยินยอมรับใช้องค์ชายสองดังคาด

มาจับฮวาเสี่ยงหรงวันนี้ ก็เป็น ‘เฒ่าอัคคี’ เองที่เสนอตัว คิดอยากสร้างคุณูปการ

ก่อนหน้านี้สำแดงวิชาเวทติดกันสามกระบวนท่า ล้วนท่าดีทีเหลว ดูเหมือนมีพลังคุกคามมหาศาล แต่กลับไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของฮวาเสี่ยงหรง เขาดูผิวเผินไม่ค่อยจริงจัง แต่ว่าพอกระจกฉลุลายเส้นเงินทองปรากฏขึ้น พลังก็มากมหาศาล ไม่เสียชื่อผู้ฝึกไร้สังกัดขั้นฟ้าประทาน

“ปีศาจร้าย ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน กล้าชิงร่างมนุษย์ซ่อนตัวอยู่ในเมืองฉางอันก็สมควรตาย หลี่มู่นั่นสมคบคิดกับปีศาจ จะต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน โทษหนักมหันต์” ‘เฒ่าอัคคี’ ตวาดลั่น

หลังจากกระตุ้นกระจกกรอบฉลุลายเส้นเงินทอง ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้น มีท่าทางอย่างวีรบุรุษเยี่ยมยุทธ์ใครกล้าสู้ พลังจิตวิญญาณไหลวน กระตุ้นกระจกฉลุลายเส้นเงินทองราวแสงเทพ ส่วนสัญลักษณ์เปลวไฟส่งเพลิงประหลาดสีม่วงออกมา ทำท่าจะยิงไปทางหอผู้มีเกียรติหมายเลขสิบแปด

จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“เอ๋ นี่มันอาวุธเต๋าระดับล่างนี่?”

เสี้ยวขณะที่เสียงดังขึ้น ‘เฒ่าอัคคี’ ก็พลันรู้สึกว่ามือเบาโหวง กระจกกรอบฉลุลายเส้นเงินทองหายวับไป

เมื่อมองไปอีกครั้ง ร่างเงาสูงโปร่งสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูหอหมายเลขสิบแปดตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ของที่ถืออยู่ในมือก็คือกระจกฉลุลายเส้นเงินทองของตน ทั้งยังกำลังประเมินมันด้วยสีหน้าแปลกใจ

“เจ้า…เจ้าเป็นใคร? รีบคืนกระจกวิเศษของข้ามา” ‘เฒ่าอัคคี’ ตกใจ รีบร้อนตะโกนถาม

หลิวเฉิงหลงกลับหน้าเปลี่ยนสี “หลี่มู่…เจ้ากล้ากลับมา?”

เขารู้ว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินก็คือหลี่มู่นั่นเอง

“ทำไมถึงจะไม่กล้ากลับมา?” หลี่มู่ตอบอย่างขอไปที

เขาไม่เงยหน้าขึ้น ยังคงก้มมองกระจกกรอบฉลุลายเงินทองในมือ ประหลาดใจเป็นอย่างมาก พึมพำกับตัวเองว่า “แปลกแล้ว บนโลกใบนี้ทำไมถึงมีอาวุธเต๋าได้?” นี่มันคืออาวุธเต๋าที่ซินแสเฒ่าบอกไว้ชัดๆ ไม่ใช่ของล้ำค่าที่ใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุสายหลักของโลกนี้สร้างออกมาแน่นอน

หรือโลกใบนี้ก็จะมีการถ่ายทอดวิชาเต๋าเหมือนกัน?

หลี่มู่รู้สึกประหลาดใจ

วิชาเต๋ากับวิชาเวทเป็นสองแนวความคิด อย่างแรกเป็นถึงศาสตร์เซียน ส่วนอย่างหลังเป็นแค่ทักษะวิชา เป็นความเข้าใจผิวเผินในหลักการฟ้าดิน จึงเรียกได้แค่วิชาเท่านั้น

ส่วนอาวุธเต๋ามีเพียงวิชาเต๋าเท่านั้นถึงจะสร้างออกมาได้

วัตถุเหมือนมิติเก็บของหรือ ‘ระเบิดมือ’ จำพวกที่หลี่มู่สังเวยก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพียงแค่ทักษะระดับล่างอย่างหนึ่งของเต๋า ถือเป็นอาวุธเต๋าชั้นรอง ไม่สมบูรณ์แบบ แต่กระจกกรอบฉลุลายเส้นเงินทองที่ชิงมาจากมือ ‘เฒ่าอัคคี’ บานนี้ หลี่มู่ดูแล้วเป็นอาวุธเต๋าที่สมบูรณ์

ถึงแม้จะเป็นเพียงอาวุธเต๋าระดับล่าง แต่พลังของมันก็น่าตื่นตะลึงนัก

จากคำบรรยายของซินแสเฒ่า มีแค่ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นสามบริบูรณ์เท่านั้นถึงจะสังเวยอาวุธเต๋าระดับล่างอย่างสมบูรณ์แบบได้ และจากที่หลี่มู่ศึกษาในตอนนี้ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นสามบริบูรณ์ ก็แทบจะถึงขั้นทะลวงสวรรค์แล้วกระมัง?

“กระจกบานนี้เจ้าได้มาจากไหน?” หลี่มู่เงยหน้าถาม

‘เฒ่าอัคคี’ ตอบอย่างทั้งโกรธทั้งร้อนใจ “ของชิ้นนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลข้า เจ้าเป็นใคร รีบคืนข้ามา”

อันที่จริง กระจกบานนี้เขาแย่งมาจากมือนักพรตคนหนึ่งในวัดร้างโดยบังเอิญ เมื่อร้อยยี่สิบปีก่อน นักพรตผู้น่าสงสารคนนั้นช่วยเขาที่หิวจนเป็นลมกลางทางเอาไว้ ใครจะรู้ว่าเขากลับกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ลอบทำร้ายนักพรตคนนั้น ชิงเงินทองและเสบียงอาหารในวัดมา หนึ่งในนั้นก็มีกระจกบานนี้

ตอนนั้น เขาเป็นแค่ซิ่วไฉความจำเสื่อม หลังจากได้กระจกบานนี้มาก็บังเอิญพบว่าในนั้นแฝงด้วยวิชาเวทบางอย่าง เขาดีใจจนแทบคลั่ง กระนั้นแล้วเขาจึงขัดเกลาตัวเอง ค่อยๆ ฝึกฝนทีละก้าวๆ ใช้เวลาถึงร้อยยี่สิบปีเต็มถึงจะมีพลังฝึกเช่นในวันนี้

“มรดกตระกูล?” หลี่มู่แค่มองก็รู้ว่าตาแก่นี่โกหก

พลังแท้จริงของกระจกบานนี้ ‘เฒ่าอัคคี’ สำแดงออกมาไม่ได้หนึ่งในร้อยเลยด้วยซ้ำ

เมื่อครู่เขาตะโกนว่าจะสยบซ่างกวนอวี่ถิง ใส่ร้ายว่าตนสมคบคิดกับปีศาจ แล้วยังมากับหลิวเฉิงหลงอีก กว่าครึ่งเป็นสุนัขรับใช้ใต้บัญชาการขององค์ชายสอง ของวิเศษแบบนี้ตกอยู่ในมือเขา รังแต่จะเอาไปใช้ในทางที่ผิด ในเมื่อเอามาแล้ว แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องคืนให้ไป

“อามิตตาพุทธ ประสก ของชิ้นนี้มีวาสนาต่อข้า มิสู้ให้ข้ายืมศึกษาก่อนสักแปดเก้าร้อยปี…เป็นอย่างไร?” หลี่มู่พูดอย่างไร้ยางอาย

‘เฒ่าอัคคี’ ได้ยินก็โมโหทันที ก่อนธาตุแท้เผยออกมา สีหน้าถมึงทึง ข่มขู่ด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “หลี่มู่ รีบคืนกระจกของข้ามา มิฉะนั้นข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น แล้วสังหารคนข้างกายเจ้าและครอบครัวเจ้าให้สิ้น…เจ้ารู้ชื่อเสียงของข้าหรือไม่ ข้าคือ…”

หลี่มู่ไม่สนใจเขาเลย หันไปมองหลิวเฉิงหลงแล้วกล่าวว่า “คนแซ่หลิว ก่อนหน้านี้เจ้ากลั่นแกล้งคุกคามอวี่ถิงครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่ไปหาเจ้า เจ้าก็น่าจะกราบไหว้ฟ้ากราบดินแล้ว กลับยังกล้าพาคนมาอีก…อืม ท่าทางหากไม่ให้บทเรียนเจ้า เจ้าก็คงจะไม่สงบเสงี่ยมสินะ”

“เจ้าคิดจะทำอะไร…” หลิวเฉิงหลงรู้สึกสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว จึงรีบโคจรวิชาถอยหลังไปราวพายุหมุน

แต่ทว่า พลังของเขาก็แค่จุดสูงสุดขั้นปรมาจารย์เท่านั้น เทียบกับหลี่มู่แล้วยังห่างชั้นกันอีกไกล

หลี่มู่พลิกมือคว้ากลางอากาศ กำลังภายในขั้นฟ้าประทานแปรเปลี่ยนรูป หลอมรวมเป็นดาบที่แผ่ระลอกคลื่นเย็นยะเยือก แค่ฟันออกไปตามอารมณ์ ปราณดาบโปร่งแสงก็แหวกอากาศมา รวดเร็วดุจสายอัสนี ฟันท้องฟ้าราวมีดร้อนๆ ผ่าเนย จากนั้นแหวกคลื่นอากาศออก ก่อนกะพริบแล้วหายวับไป

หลิวเฉิงหลงแม้แต่จะหลบก็ยังไม่ทัน แขนซ้ายขาดสะบั้นทั้งแขน

“อ๊าก เจ้า…” เขาเจ็บจนใบหน้ากระตุกเกร็ง มือขวารับแขนข้างที่ขาดเอาไว้ แล้วกดกลับไปยังแขนซ้าย จากนั้นก็หันหลังบินทะยานหนีไปพร้อมคำรามอย่างโมโห “รอให้องค์ชายสองจับพวกตระกูลถังกลับมาได้ ก็จะเป็นวันตายของเจ้า หลี่มู่ เจ้าไม่มีทางมีชีวิตออกไปจากเมืองฉางอันได้”

เพียงชั่วพริบตา หลิวเฉิงหลงก็หนีไปไกล

เขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าหลี่มู่ทำอะไรไม่หวาดกลัวผู้ใด หากอยู่ต่อไปก็จะมีอันตรายจริงๆ ดังนั้นจึงไม่สนเรื่องอื่น หนีไปก่อนค่อยว่ากัน

หลี่มู่ได้ยินประโยคนี้ ใจก็กระตุกวูบ

องค์ชายสองไปไล่สังหารพวกถังฮูหยิน?

ก็แค่ภรรยาม่ายลูกสาวกำพร้าเท่านั้น เขาเป็นถึงองค์ชาย ทำไมถึงกัดไม่ปล่อยแบบนี้?

นี่มันไม่ค่อยปกตินัก

ก็ไม่รู้ว่าแผนต่อไปของพวกหวางเฉินจะเป็นอย่างไร จะหนีไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่

หลี่มู่คิดในใจพลางหันมามอง ‘เฒ่าอัคคี’ และถามไปว่า “อ้อ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? จะฆ่าข้าทั้งตระกูล?”

‘เฒ่าอัคคี’ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง

เขาเห็นแม้แต่หลิวเฉิงหลงคนสนิทขององค์ชายสองยังถูกฟันแขนขาด เช่นนั้นตนจะไม่…เขาคิดถึงเรื่องบ้าระห่ำของหลี่มู่ในเมืองฉางอันช่วงนี้ แม้แต่ผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋องยังสังหาร…หลังจากบุ่มบ่าม เขาก็สงบใจลงทันที

“เอ่อ ใต้เท้าหลี่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ ท่านต้องฟังผิดไปแล้วแน่ๆ ข้าไม่เคยพูดเด็ดขาด…ในเมื่อท่านชอบกระจกบานนี้ เช่นนั้นให้ท่านยืมก็ไม่เป็นไร วันหลังใช้เสร็จแล้วค่อยคืนให้ข้าก็พอ” เขาปวดใจนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก กระจกบานนี้เดิมก็ได้มาด้วยเล่ห์กล หลายปีมานี้เขาขุดเอาความลับข้างในมาหมดแล้ว นอกจากเอามาใช้เป็นอาวุธ ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเป็นพิเศษอีก ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่ก็ใช่ว่าจะยอมสละไม่ได้

พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป

“ขอบใจนะ” หลี่มู่โบกมือใต้แสงจันทร์ “คราวหน้ามีอะไรดีๆ ก็ส่งมาให้ข้าอีกได้”

‘เฒ่าอัคคี’ ที่ใช้วิชาเวทขี่วายุหลบหนีไปไกลพลันโซเซ เกือบจะตกมาจากกลางอากาศสูงกว่าสามจั้ง

“คนดีนี่นา” หลี่มู่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ

ซ่างกวนอวี่ถิงและซินเอ๋อร์ผลักประตูเดินออกมา

ซินเอ๋อร์เอ่ยอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “คุณชาย ในที่สุดท่านก็กลับมา คนเมื่อครู่พวกนั้นเหี้ยมโหดดุดันนัก”

หลี่มู่พูดกลั้วหัวเราะ “ไม่เป็นไร แค่พวกบริการส่งด่วนก็เท่านั้น”

“บริการส่งด่วน?” ซ่างกวนอวี่ถิงแปลกใจ “มันคืออะไร?”

“ก็คือ…อืม ก็คือหวังดีมาส่งของให้ เป็นพัสดุทั่วไป” หลี่มู่อวดกระจกฉลุลายเส้นเงินและทองในมือพลางเอ่ย “ดูสิ กระจกชั้นยอดบานหนึ่ง อีกเดี๋ยวจะทำให้หลายคนตกใจยกใหญ่ทีเดียว” เมื่อครู่หลี่มู่ดูอย่างละเอียด ก็มองความอัศจรรย์ของกระจกบานนี้ออกแล้ว น่าจะเป็นกระจกเต๋าห้าธาตุ สามารถโคจรพลังทั้งห้าธาตุและโจมตีศัตรู มีประโยชน์ในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้วิชาเต๋าอย่างพิสดาร

เขาส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปในอักษรเต๋าบนกระจก หลังจากสัมผัสอย่างละเอียด ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มตื่นเต้นยินดี

สมบูรณ์กว่าที่คิดเอาไว้

นี่ไม่ใช่กระจก แต่เป็น ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’

ในตรานี้แฝงด้วยอักษรเต๋าห้าธาตุ สามารถเปลี่ยนพลังฟ้าดินให้เป็นวิชาเต๋าห้าธาตุ ยามสู้กับศัตรูจะเหนือชั้นเป็นที่สุด นี่เป็นของชั้นยอดในบรรดาอาวุธเต๋าระดับล่างที่ทั้งโจมตีและป้องกันได้

หลี่มู่ลบตราประทับจิตวิญญาณของ ‘เฒ่าอัคคี’ ในตรานี้ทิ้ง จากนั้นก็หลอมพลังจิตวิญญาณของตนเข้าไป และเริ่มทดลองควบบคุมตราประทับเต๋านี้

แกรก แกรก

ตราประทับเต๋าเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที มันเปลี่ยนรูปร่างไปราวกับเครื่องกลไก

……………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

จอมศาสตราพลิกดารา 241 ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา

Now you are reading จอมศาสตราพลิกดารา Chapter 241 ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าทำลายวิชาเวทของข้า?” ‘เฒ่าอัคคี’ ตั้งสติกลับมาได้ เอ่ยถามอย่างปากกล้าขาสั่น “เจ้าปีศาจ วันนี้ข้าจะให้เจ้าคืนร่างเดิมให้ได้”

เขาปักไม้เท้าเวทไว้ข้างหนึ่ง ถลกแขนเสื้อขึ้น โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยังจะเหลือท่าทางอย่างเทพเซียนเก่าแก่แบบก่อนหน้านี้เสียที่ไหน เขาล้วงเอากระจกฉลุลายเส้นเงินทองบานใหญ่ออกมา บนกระจกแบ่งเป็นห้าส่วน สัญลักษณ์เปลวเพลิงหนึ่งในนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า ฝ่ามือกดเอาไว้พลางกระตุ้นพลังจิตวิญญาณจดจ่อไปในกระจก สัญลักษณ์เปลวเพลิงหนึ่งส่วนลุกโชติช่วงขึ้นทันใด

อุณหภูมิรอบๆ พลันพุ่งสูงขึ้น

ยอดฝีมือหน่วยเลี้ยงรับรองสี่คนรู้สึกทั่วร่างร้อนระอุอย่างกับอยู่ในเตาไฟ ผมหยิกม้วนขึ้นมาแล้ว

หลิวเฉิงหลงก็รู้สึกเหมือนไฟแผดเผาเช่นกัน ร้อนระอุเหลือทน จึงรีบโคจรพลังต้านทานและถอยหลังไป เว้นระยะห่างประมาณห้าหกจั้ง ห่างออกมาจาก ‘เฒ่าอัคคี’ สองจั้ง ต้นไม้แห้งลุกเป็นไฟ ราวกับเป็นโลกแห่งเปลวเพลิงจริงๆ

‘นี่คงจะเป็นพลังที่แท้จริงของ ‘เฒ่าอัคคี’ วิชาเวทร้อนระอุอันน่ากลัว…’ หลิวเฉิงหลงคิดในใจ

‘เฒ่าอัคคี’ ผู้นี้คือผู้ฝึกไร้สังกัดขั้นฟ้าประทานในเมืองฉางอัน ตำแหน่งฐานะไม่ธรรมดา

โดยปกติแล้ว ผู้ฝึกไร้สังกัดฝึกถึงขั้นฟ้าประทานได้ก็นับว่าเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่งแล้ว หากไม่ใช่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก ก็ต้องมีโอกาสที่ดีเยี่ยม แต่ว่าคิดอยากจะทะลวงขั้นอีกนั้นยากมาก ต้องได้การช่วยเหลือจากสำนักหรือไม่ก็พลังภายนอก ดังนั้น หลังจากหลิวเฉิงหลงเผยความสัมพันธ์ของตนกับองค์ชายสองเล็กน้อย ‘เฒ่าอัคคี’ ก็ยอมรับข้อเสนอของตน ยินยอมรับใช้องค์ชายสองดังคาด

มาจับฮวาเสี่ยงหรงวันนี้ ก็เป็น ‘เฒ่าอัคคี’ เองที่เสนอตัว คิดอยากสร้างคุณูปการ

ก่อนหน้านี้สำแดงวิชาเวทติดกันสามกระบวนท่า ล้วนท่าดีทีเหลว ดูเหมือนมีพลังคุกคามมหาศาล แต่กลับไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของฮวาเสี่ยงหรง เขาดูผิวเผินไม่ค่อยจริงจัง แต่ว่าพอกระจกฉลุลายเส้นเงินทองปรากฏขึ้น พลังก็มากมหาศาล ไม่เสียชื่อผู้ฝึกไร้สังกัดขั้นฟ้าประทาน

“ปีศาจร้าย ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน กล้าชิงร่างมนุษย์ซ่อนตัวอยู่ในเมืองฉางอันก็สมควรตาย หลี่มู่นั่นสมคบคิดกับปีศาจ จะต้องไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน โทษหนักมหันต์” ‘เฒ่าอัคคี’ ตวาดลั่น

หลังจากกระตุ้นกระจกกรอบฉลุลายเส้นเงินทอง ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้น มีท่าทางอย่างวีรบุรุษเยี่ยมยุทธ์ใครกล้าสู้ พลังจิตวิญญาณไหลวน กระตุ้นกระจกฉลุลายเส้นเงินทองราวแสงเทพ ส่วนสัญลักษณ์เปลวไฟส่งเพลิงประหลาดสีม่วงออกมา ทำท่าจะยิงไปทางหอผู้มีเกียรติหมายเลขสิบแปด

จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“เอ๋ นี่มันอาวุธเต๋าระดับล่างนี่?”

เสี้ยวขณะที่เสียงดังขึ้น ‘เฒ่าอัคคี’ ก็พลันรู้สึกว่ามือเบาโหวง กระจกกรอบฉลุลายเส้นเงินทองหายวับไป

เมื่อมองไปอีกครั้ง ร่างเงาสูงโปร่งสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูหอหมายเลขสิบแปดตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ ของที่ถืออยู่ในมือก็คือกระจกฉลุลายเส้นเงินทองของตน ทั้งยังกำลังประเมินมันด้วยสีหน้าแปลกใจ

“เจ้า…เจ้าเป็นใคร? รีบคืนกระจกวิเศษของข้ามา” ‘เฒ่าอัคคี’ ตกใจ รีบร้อนตะโกนถาม

หลิวเฉิงหลงกลับหน้าเปลี่ยนสี “หลี่มู่…เจ้ากล้ากลับมา?”

เขารู้ว่าคนสวมหน้ากากผียิ้มสีเงินก็คือหลี่มู่นั่นเอง

“ทำไมถึงจะไม่กล้ากลับมา?” หลี่มู่ตอบอย่างขอไปที

เขาไม่เงยหน้าขึ้น ยังคงก้มมองกระจกกรอบฉลุลายเงินทองในมือ ประหลาดใจเป็นอย่างมาก พึมพำกับตัวเองว่า “แปลกแล้ว บนโลกใบนี้ทำไมถึงมีอาวุธเต๋าได้?” นี่มันคืออาวุธเต๋าที่ซินแสเฒ่าบอกไว้ชัดๆ ไม่ใช่ของล้ำค่าที่ใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุสายหลักของโลกนี้สร้างออกมาแน่นอน

หรือโลกใบนี้ก็จะมีการถ่ายทอดวิชาเต๋าเหมือนกัน?

หลี่มู่รู้สึกประหลาดใจ

วิชาเต๋ากับวิชาเวทเป็นสองแนวความคิด อย่างแรกเป็นถึงศาสตร์เซียน ส่วนอย่างหลังเป็นแค่ทักษะวิชา เป็นความเข้าใจผิวเผินในหลักการฟ้าดิน จึงเรียกได้แค่วิชาเท่านั้น

ส่วนอาวุธเต๋ามีเพียงวิชาเต๋าเท่านั้นถึงจะสร้างออกมาได้

วัตถุเหมือนมิติเก็บของหรือ ‘ระเบิดมือ’ จำพวกที่หลี่มู่สังเวยก่อนหน้านี้ ก็เป็นเพียงแค่ทักษะระดับล่างอย่างหนึ่งของเต๋า ถือเป็นอาวุธเต๋าชั้นรอง ไม่สมบูรณ์แบบ แต่กระจกกรอบฉลุลายเส้นเงินทองที่ชิงมาจากมือ ‘เฒ่าอัคคี’ บานนี้ หลี่มู่ดูแล้วเป็นอาวุธเต๋าที่สมบูรณ์

ถึงแม้จะเป็นเพียงอาวุธเต๋าระดับล่าง แต่พลังของมันก็น่าตื่นตะลึงนัก

จากคำบรรยายของซินแสเฒ่า มีแค่ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นสามบริบูรณ์เท่านั้นถึงจะสังเวยอาวุธเต๋าระดับล่างอย่างสมบูรณ์แบบได้ และจากที่หลี่มู่ศึกษาในตอนนี้ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นสามบริบูรณ์ ก็แทบจะถึงขั้นทะลวงสวรรค์แล้วกระมัง?

“กระจกบานนี้เจ้าได้มาจากไหน?” หลี่มู่เงยหน้าถาม

‘เฒ่าอัคคี’ ตอบอย่างทั้งโกรธทั้งร้อนใจ “ของชิ้นนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลข้า เจ้าเป็นใคร รีบคืนข้ามา”

อันที่จริง กระจกบานนี้เขาแย่งมาจากมือนักพรตคนหนึ่งในวัดร้างโดยบังเอิญ เมื่อร้อยยี่สิบปีก่อน นักพรตผู้น่าสงสารคนนั้นช่วยเขาที่หิวจนเป็นลมกลางทางเอาไว้ ใครจะรู้ว่าเขากลับกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา ลอบทำร้ายนักพรตคนนั้น ชิงเงินทองและเสบียงอาหารในวัดมา หนึ่งในนั้นก็มีกระจกบานนี้

ตอนนั้น เขาเป็นแค่ซิ่วไฉความจำเสื่อม หลังจากได้กระจกบานนี้มาก็บังเอิญพบว่าในนั้นแฝงด้วยวิชาเวทบางอย่าง เขาดีใจจนแทบคลั่ง กระนั้นแล้วเขาจึงขัดเกลาตัวเอง ค่อยๆ ฝึกฝนทีละก้าวๆ ใช้เวลาถึงร้อยยี่สิบปีเต็มถึงจะมีพลังฝึกเช่นในวันนี้

“มรดกตระกูล?” หลี่มู่แค่มองก็รู้ว่าตาแก่นี่โกหก

พลังแท้จริงของกระจกบานนี้ ‘เฒ่าอัคคี’ สำแดงออกมาไม่ได้หนึ่งในร้อยเลยด้วยซ้ำ

เมื่อครู่เขาตะโกนว่าจะสยบซ่างกวนอวี่ถิง ใส่ร้ายว่าตนสมคบคิดกับปีศาจ แล้วยังมากับหลิวเฉิงหลงอีก กว่าครึ่งเป็นสุนัขรับใช้ใต้บัญชาการขององค์ชายสอง ของวิเศษแบบนี้ตกอยู่ในมือเขา รังแต่จะเอาไปใช้ในทางที่ผิด ในเมื่อเอามาแล้ว แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องคืนให้ไป

“อามิตตาพุทธ ประสก ของชิ้นนี้มีวาสนาต่อข้า มิสู้ให้ข้ายืมศึกษาก่อนสักแปดเก้าร้อยปี…เป็นอย่างไร?” หลี่มู่พูดอย่างไร้ยางอาย

‘เฒ่าอัคคี’ ได้ยินก็โมโหทันที ก่อนธาตุแท้เผยออกมา สีหน้าถมึงทึง ข่มขู่ด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “หลี่มู่ รีบคืนกระจกของข้ามา มิฉะนั้นข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น แล้วสังหารคนข้างกายเจ้าและครอบครัวเจ้าให้สิ้น…เจ้ารู้ชื่อเสียงของข้าหรือไม่ ข้าคือ…”

หลี่มู่ไม่สนใจเขาเลย หันไปมองหลิวเฉิงหลงแล้วกล่าวว่า “คนแซ่หลิว ก่อนหน้านี้เจ้ากลั่นแกล้งคุกคามอวี่ถิงครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่ไปหาเจ้า เจ้าก็น่าจะกราบไหว้ฟ้ากราบดินแล้ว กลับยังกล้าพาคนมาอีก…อืม ท่าทางหากไม่ให้บทเรียนเจ้า เจ้าก็คงจะไม่สงบเสงี่ยมสินะ”

“เจ้าคิดจะทำอะไร…” หลิวเฉิงหลงรู้สึกสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว จึงรีบโคจรวิชาถอยหลังไปราวพายุหมุน

แต่ทว่า พลังของเขาก็แค่จุดสูงสุดขั้นปรมาจารย์เท่านั้น เทียบกับหลี่มู่แล้วยังห่างชั้นกันอีกไกล

หลี่มู่พลิกมือคว้ากลางอากาศ กำลังภายในขั้นฟ้าประทานแปรเปลี่ยนรูป หลอมรวมเป็นดาบที่แผ่ระลอกคลื่นเย็นยะเยือก แค่ฟันออกไปตามอารมณ์ ปราณดาบโปร่งแสงก็แหวกอากาศมา รวดเร็วดุจสายอัสนี ฟันท้องฟ้าราวมีดร้อนๆ ผ่าเนย จากนั้นแหวกคลื่นอากาศออก ก่อนกะพริบแล้วหายวับไป

หลิวเฉิงหลงแม้แต่จะหลบก็ยังไม่ทัน แขนซ้ายขาดสะบั้นทั้งแขน

“อ๊าก เจ้า…” เขาเจ็บจนใบหน้ากระตุกเกร็ง มือขวารับแขนข้างที่ขาดเอาไว้ แล้วกดกลับไปยังแขนซ้าย จากนั้นก็หันหลังบินทะยานหนีไปพร้อมคำรามอย่างโมโห “รอให้องค์ชายสองจับพวกตระกูลถังกลับมาได้ ก็จะเป็นวันตายของเจ้า หลี่มู่ เจ้าไม่มีทางมีชีวิตออกไปจากเมืองฉางอันได้”

เพียงชั่วพริบตา หลิวเฉิงหลงก็หนีไปไกล

เขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าหลี่มู่ทำอะไรไม่หวาดกลัวผู้ใด หากอยู่ต่อไปก็จะมีอันตรายจริงๆ ดังนั้นจึงไม่สนเรื่องอื่น หนีไปก่อนค่อยว่ากัน

หลี่มู่ได้ยินประโยคนี้ ใจก็กระตุกวูบ

องค์ชายสองไปไล่สังหารพวกถังฮูหยิน?

ก็แค่ภรรยาม่ายลูกสาวกำพร้าเท่านั้น เขาเป็นถึงองค์ชาย ทำไมถึงกัดไม่ปล่อยแบบนี้?

นี่มันไม่ค่อยปกตินัก

ก็ไม่รู้ว่าแผนต่อไปของพวกหวางเฉินจะเป็นอย่างไร จะหนีไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่

หลี่มู่คิดในใจพลางหันมามอง ‘เฒ่าอัคคี’ และถามไปว่า “อ้อ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? จะฆ่าข้าทั้งตระกูล?”

‘เฒ่าอัคคี’ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างบ้าคลั่ง

เขาเห็นแม้แต่หลิวเฉิงหลงคนสนิทขององค์ชายสองยังถูกฟันแขนขาด เช่นนั้นตนจะไม่…เขาคิดถึงเรื่องบ้าระห่ำของหลี่มู่ในเมืองฉางอันช่วงนี้ แม้แต่ผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋องยังสังหาร…หลังจากบุ่มบ่าม เขาก็สงบใจลงทันที

“เอ่อ ใต้เท้าหลี่แห่งอำเภอขาวพิสุทธิ์ ท่านต้องฟังผิดไปแล้วแน่ๆ ข้าไม่เคยพูดเด็ดขาด…ในเมื่อท่านชอบกระจกบานนี้ เช่นนั้นให้ท่านยืมก็ไม่เป็นไร วันหลังใช้เสร็จแล้วค่อยคืนให้ข้าก็พอ” เขาปวดใจนัก แต่ก็ไม่กล้าพูดมาก กระจกบานนี้เดิมก็ได้มาด้วยเล่ห์กล หลายปีมานี้เขาขุดเอาความลับข้างในมาหมดแล้ว นอกจากเอามาใช้เป็นอาวุธ ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเป็นพิเศษอีก ถึงแม้จะเจ็บปวด แต่ก็ใช่ว่าจะยอมสละไม่ได้

พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป

“ขอบใจนะ” หลี่มู่โบกมือใต้แสงจันทร์ “คราวหน้ามีอะไรดีๆ ก็ส่งมาให้ข้าอีกได้”

‘เฒ่าอัคคี’ ที่ใช้วิชาเวทขี่วายุหลบหนีไปไกลพลันโซเซ เกือบจะตกมาจากกลางอากาศสูงกว่าสามจั้ง

“คนดีนี่นา” หลี่มู่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ

ซ่างกวนอวี่ถิงและซินเอ๋อร์ผลักประตูเดินออกมา

ซินเอ๋อร์เอ่ยอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “คุณชาย ในที่สุดท่านก็กลับมา คนเมื่อครู่พวกนั้นเหี้ยมโหดดุดันนัก”

หลี่มู่พูดกลั้วหัวเราะ “ไม่เป็นไร แค่พวกบริการส่งด่วนก็เท่านั้น”

“บริการส่งด่วน?” ซ่างกวนอวี่ถิงแปลกใจ “มันคืออะไร?”

“ก็คือ…อืม ก็คือหวังดีมาส่งของให้ เป็นพัสดุทั่วไป” หลี่มู่อวดกระจกฉลุลายเส้นเงินและทองในมือพลางเอ่ย “ดูสิ กระจกชั้นยอดบานหนึ่ง อีกเดี๋ยวจะทำให้หลายคนตกใจยกใหญ่ทีเดียว” เมื่อครู่หลี่มู่ดูอย่างละเอียด ก็มองความอัศจรรย์ของกระจกบานนี้ออกแล้ว น่าจะเป็นกระจกเต๋าห้าธาตุ สามารถโคจรพลังทั้งห้าธาตุและโจมตีศัตรู มีประโยชน์ในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้วิชาเต๋าอย่างพิสดาร

เขาส่งพลังจิตวิญญาณเข้าไปในอักษรเต๋าบนกระจก หลังจากสัมผัสอย่างละเอียด ใบหน้าก็ฉายรอยยิ้มตื่นเต้นยินดี

สมบูรณ์กว่าที่คิดเอาไว้

นี่ไม่ใช่กระจก แต่เป็น ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’

ในตรานี้แฝงด้วยอักษรเต๋าห้าธาตุ สามารถเปลี่ยนพลังฟ้าดินให้เป็นวิชาเต๋าห้าธาตุ ยามสู้กับศัตรูจะเหนือชั้นเป็นที่สุด นี่เป็นของชั้นยอดในบรรดาอาวุธเต๋าระดับล่างที่ทั้งโจมตีและป้องกันได้

หลี่มู่ลบตราประทับจิตวิญญาณของ ‘เฒ่าอัคคี’ ในตรานี้ทิ้ง จากนั้นก็หลอมพลังจิตวิญญาณของตนเข้าไป และเริ่มทดลองควบบคุมตราประทับเต๋านี้

แกรก แกรก

ตราประทับเต๋าเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที มันเปลี่ยนรูปร่างไปราวกับเครื่องกลไก

……………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+