จังหวะรัก นักบัลเลต์ 10-1 ฝนฤดูร้อน รอยจูบ และ…

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 10-1 ฝนฤดูร้อน รอยจูบ และ… at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 10-1 ฝนฤดูร้อน รอยจูบ และ…

 

 

 

 

ถ้าจะให้ลองพูดเกี่ยวกับเพื่อนของฉันที่ชื่อว่า คิมเซจินล่ะก็ ฉันสามารถนิยามเธอได้ด้วยคำเพียงแค่คำเดียวเท่านั้น เธอคือผู้หญิงที่เป็นเหมือนกับหัวหอม ปิดบังร่างกายของตัวเองอย่างแข็งแกร่งอยู่ภายใต้เปลือกหลายต่อหลายชั้น และถ้าใครก็ตามที่ตั้งใจจะแกะดูเนื้อข้างใน ก็จะต้องโดนกลิ่นอันรุนแรงที่โชยออกมาเล่นงานจนน้ำมูกน้ำตาไหล นั่นแหละคือผู้หญิงที่เหมือนกับหัวหอม 

 

 

แต่แม้ว่าเซจินจะดูแข็งกระด้างแบบนั้น แต่ฉันรู้ว่าความจริงแล้วข้างในยังคงเป็นเพียงแค่เด็กสาวตัวน้อย ดังนั้นเธอจึงสร้างกำแพงแสนเย็นชาขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองจากบาดแผล ในขณะที่เธอพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังกังวาน เธอก็ซ่อนตัวตนของตัวเองไปด้วย 

 

 

ฉะนั้นในบางครั้งที่เซจินร้องไห้ออกมา ฉันก็จะอ่อนข้อให้เธอ และก็พร้อมที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เธอเสมอ เรื่องที่ทำให้เซจินสมัยเด็กนั้นเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก อย่างเช่น การที่เธอขอให้ช่วยจับแมลงหลายตัวที่เกาะอยู่ที่ขาให้หน่อย หรือการเฝ้ามองดูอยู่ข้างๆ เซจินที่ไม่ชอบนอนคนเดียว 

 

 

แต่ตอนนี้ถึงพวกเราสองคนจะโตขึ้นแล้ว ฉันก็ยังคงใจอ่อนให้กับเสียงร้องไห้ของเซจินอยู่ดี แต่อีเซที่เห็นฉันเป็นแบบนั้น มักจะชอบล้อว่าฉันเป็นพี่เลี้ยงของเซจินอยู่เสมอ 

 

 

ก็นะ ด้วยเหตุผลนั้นเลยทำให้วันนี้ฉันกำลังวิ่งไปที่โรงเรียนอย่างร้อนรนตั้งแต่เช้า เพราะข้อความฉบับหนึ่งที่เซจินส่งมาให้เมื่อคืน ที่จริงฉันก็ตั้งใจจะแยกไปซ้อมต่างหากอยู่หรอกนะ แต่การมาห้องซ้อมเต้นเพียงลำพังในตอนเช้ากลับทำให้ฉันรู้สึกกลัว 

 

 

เป็นเพราะเซจินขอให้มาโรงเรียนแต่เช้าอย่างกะทันหัน ฉันที่ยกเลิกการไปโรงเรียนกับรุ่นพี่ จึงมาถึงโรงเรียนโดยที่ปล่อยให้ผมซึ่งยังไม่ทันได้มัดให้ดีปลิวไสวไปตามลม 

 

 

คนอย่างเซจิน ปกติแล้วจะลุกยากมากในตอนเช้า เธอจึงมักจะมีปัญหากับการซ้อมตอนเช้าอยู่เสมอ และถึงจะไม่ใช่เรื่องนั้น แต่เพราะงานแสดงประจำฤดู เลยทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยจากตารางฝึกซ้อมที่เพิ่มขึ้นจนร้องออกมาเป็นบทเพลงกันเลยทีเดียว แล้วลมอะไรกันแน่ถึงได้หอบเธอมาเช้าขนาดนี้ ถึงจะรู้สึกงง แต่หมู่นี้เซจินดูท่าทางกังวลมาก ฉันก็เลยพลอยเป็นห่วงไปด้วย 

 

 

ฉันเช็คดูเข็มของนาฬิกาข้อมือที่ชี้บอกเวลานัดหมาย และกำลังก้าวเท้าเข้าไปในประตูด้านหน้าอย่างเหนื่อยหอบ แต่แล้วเสียงดนตรีของโรมิโอกับจูเลียตก็ดังลอดออกมาจากหน้าต่างห้องซ้อมเต้นหนึ่งที่เปิดแง้มอยู่ครึ่งหนึ่ง 

 

 

เซจินคงจะมาถึงแล้วสินะ ฉันจึงมองลอดช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่นั้นเข้าไปเพื่อดูภายในห้องซ้อมเต้น แต่น่าตกใจ คนที่ฉันมองเห็นกลับไม่ใช่เซจิน แต่เป็นซูฮยอนต่างหาก 

 

 

“เอ๋…” 

 

 

ฉันรู้สึกตกใจไม่น้อยกับบุคคลที่ไม่คาดคิด เข็มนาฬิกากำลังชี้ไปที่เลขหก และทั้งสนามโรงเรียน รวมไปถึงห้องซ้อมเต้นเองก็ยังตกอยู่ในความมืด  

 

 

นี่เรื่องจริงเหรอเนี่ย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เห็นซูฮยอนที่กำลังเต้นรำอยู่ในห้องซ้อมเต้นที่มืดสลัวในช่วงเวลาที่เช้าตรู่แบบนี้ 

 

 

ฉันจ้องมองดูซูฮยอนเต้นอย่างเหม่อลอย แต่แล้วเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด ฉันก็มองเห็นภาพของเซจินที่ยืนอยู่ข้างหลังประตูห้องซ้อมเต้น  

 

 

อึ่ก ฉันใช้ฝ่ามือสกัดกั้นลมหายใจที่พ่นออกมา ก่อนจะรีบก้มตัวลง แล้วเริ่มแอบมองดูสถานการณ์ภายในห้องซ้อม ความรู้สึกประหม่าอย่างประหลาดนั่นทำให้ริมฝีปากของฉันแห้งผาก 

 

 

ซูฮยอนซึ่งกำลังซ้อมอย่างขะมักเขม้นสุดๆ จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาหยุดยืนตรงแล้วหันหลังขวับกลับไป นั่นจึงทำให้เซจินรู้สึกตกใจจนต้องก้าวถอยหลัง 

 

 

“…มีอะไรงั้นเหรอ” 

 

 

เสียงเพลงที่ดังออกมาเงียบลง และห้องซ้อมเต้นก็กลับสู่ความเงียบงัน คำถามห้วนๆ นั้นเหมือนจะไม่ได้ใส่ความรู้สึกลงไปเลยสักนิด กลับทำให้ฉันรู้สึกกังวลใจจนอย่างกับว่ามีเหงื่อเย็นๆ ไหลออกมาบนแผ่นหลัง 

 

 

“…นายต่างหาก มาทำอะไรเวลานี้น่ะ” 

 

 

“ซ้อมไง แค่ดูไม่รู้เหรอ” 

 

 

ซูฮยอนที่ตอบออกมาแบบขอไปที ค่อยๆ หันกลับไป แล้วเดินไปยังเครื่องเล่นเพลง ก่อนจะดึงโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่ออยู่ออกมาถือ แล้วจึงสวมเสื้อยืดทับด้วยท่าทางเชื่องช้า เป็นท่าทางที่เหมือนจะทำเพื่อบอกว่าตัวเองไม่สนใจเซจิน ซูฮยอนคงน่าจะซ้อมมาได้สักพักแล้ว เส้นผมของเขาจึงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ 

 

 

“ฉันจะออกไปแล้ว เพราะงั้นเธอก็ใช้ไปเถอะ” 

 

 

“หือ?” 

 

 

แก้มทั้งสองข้างที่แดงระเรื่อเหมือนมะเขือเทศ และท่าทางเลิกลั่กที่ไม่สมกับเป็นเซจิน แม้ว่าจะอยู่ภายใต้ความมืด แต่มันก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน เป็นเพราะผิวขาวมากๆ แก้มที่แดงขึ้นมานั้นเลยดูแปลกอย่างกับกำลังแต่งหน้าเพื่อขึ้นเวที 

 

 

“ไม่ได้มาซ้อมหรือไง ฉันก็ให้เธอใช้ไงเล่า” 

 

 

“…คือว่า…” 

 

 

เซจินขยับปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ฉันเห็นเธอกำสายสะพายกระเป๋าเอาไว้แน่น เซจินไม่ตอบอะไรอยู่สักพักใหญ่ๆ และได้แต่กัดริมฝีปากล่างอยู่อย่างนั้น เธอดูประหม่าอย่างไม่มีสาเหตุ ตอนนั้นเองที่ซูฮยอนซึ่งลุกขึ้นหลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย แล้วหันกลับไปมองเซจิน 

 

 

“อะไร” 

 

 

“…” 

 

 

“…มีอะไรจะพูดกับฉันงั้นเหรอ” 

 

 

ถึงแม้จะยังคงเป็นน้ำเสียงแหลมคมที่เหมือนจะเชือดเฉือนผิวหนัง แต่ซูฮยอนก็ดูจะแตกต่างไปจากปกตินิดหน่อย จะว่าอย่างไรดีนะ ก่อนหน้านี้จะเป็นเสียงแบบที่ฟังแล้วไม่รู้สึกอะไรน่ะ 

 

 

ฉันกลั้นหายใจแล้วรอฟังคำพูดต่อไป แต่ว่าจู่ๆ ฉันก็เห็นเซจินค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ซูฮยอน วินาทีนั้นหัวใจของฉันเต้นรัว ดวงตาที่แข็งทื่อของฉันเหลือบไปเห็นริมฝีปากสีแดงระเรื่อของเซจิน ต้องกัดเข้าไปแรงขนาดไหนกันนะ ริมฝีปากถึงได้บวมแดงออกมาอย่างนั้น เซจินยังคงกัดริมฝีปากนั้นเหมือนกับกำลังลังเล ก่อนที่จะขยับปากอย่างฝืนใจ 

 

 

“ตอนนั้นฉันขอโทษ! ตั้งใจจะมาพูดแค่นี้แหละ” 

 

 

“…” 

 

 

“…ฉันขอโทษ ตอนนั้นฉันพูดแรงเกินไป” 

 

 

นี่มันเรื่องตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่กำลังขอโทษตอนนี้เนี่ย ให้ตายสิ ทำแบบนี้ สมกับเป็นเซจินเสียจนฉันยังต้องเผลอหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย ใบหูมนๆ ของเซจินเองก็แดงเทือกเช่นเดียวกับแก้ม ว่าแต่ว่า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะเนี่ยที่ได้เห็นเซจินยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองขนาดนี้ แล้วมาขอโทษคนอื่นน่ะ 

 

 

หรือตลอดมาที่ดูเป็นกังวลเสียหนักหนาเป็นเพราะเรื่องของซูฮยอนอย่างงั้นเหรอ นั่นสินะ ถึงจะโกรธ แต่ก็คงรู้สึกคาใจสินะ ฉันพอจะนึกภาพของเซจินที่กังวลอยู่กับตัวเองเป็นร้อยๆ รอบออก 

 

 

แต่ซูฮยอนที่ได้รับการขอโทษอย่างจริงจังยังคงมองเซจินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนที่จะหันขวับกลับไป พลางพึมพำเบาๆ 

 

 

“อือ” 

 

 

คำตอบสั้นๆ และหนักแน่นนั่นทำให้หูของเซจินที่แดงจนซีดเริ่มสั่นไหวอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นน้ำเสียงดุร้ายก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องซ้อมเต้น 

 

 

“หน็อย คนอื่นเขาขอโทษดีๆ แต่นายกลับตอบแค่นั้นเนี่ยนะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ช่างเหอะ ฉันจะไปหวังอะไรจากนายได้ งั้นฉันไปก่อนนะ” 

 

 

เซจินโบกมือด้วยท่าทางเอือมระอา ก่อนจะดันกระเป๋าที่ไหลลงไปกลับขึ้นมา แล้วจึงหันหลังเดินกลับไปทางประตูหลัง แต่ซูฮยอนก็ไม่ยอมขยับตัวแม้แต่นิดเดียว 

 

 

นี่ เจ้าทึ่ม! ฉันรู้สึกเคืองซูฮยอนที่แสดงท่าทีแบบนั้นออกมา พร้อมกับที่หมุนตัวกลับเพื่อจะไปคว้าตัวเซจินเอาไว้ แต่แล้วในตอนนั้นเอง เสียงของซูฮยอนก็ดังลอดออกมาจากหน้าต่างอีกครั้ง 

 

 

“คิมเซจิน เดี๋ยวก่อน” 

 

 

ฉันหูผึ่ง หยุดอยู่กับที่อีกครั้ง  

 

 

“ทำไม” 

 

 

“คือฉัน… หายโกรธแล้วน่ะ แต่แค่พอได้มาอยู่กับเธอสองต่อสองแบบนี้ มันก็เลยทำตัวไม่ถูกเท่านั้นเอง” 

 

 

“…” 

 

 

“ถ้าทำให้เธอรู้สึกไม่ดีก็ขอโทษด้วยแล้วกัน” 

 

 

เสียงของซูฮยอนที่ขอโทษออกมาอย่างง่ายดายทำให้ฉันรู้สึกเหลือเชื่อ จนถึงกับหัวเราะออกมา ขนาดขอโทษ ยังสมกับเป็นซูฮยอนเลย คือถ้าเป็นแบบนั้น ก่อนหน้านี้ก็แค่ตอบกลับไปดีๆ ก็ได้นี่นา 

 

 

จู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงสัยว่าเซจินจะแสดงท่าทางอย่างไรออกมา จึงก้มตัวลงแล้วหันกลับไปแอบมองตรงช่องหน้าต่างอีกครั้ง แล้วฉันก็เห็นเซจินที่ยืนหันไปทางซูฮยอน ขยับปากฉีกยิ้มขึ้นมา 

 

 

“…ช่างเถอะ ฉันไปก่อนนะ” 

 

 

ริมฝีปากของเซจินที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ กำลังกระตุกเบาๆ หายโกรธเขาแล้วแท้ๆ ยังจะ… ฉันแอบหัวเราะเงียบๆ เซจินเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ด้วยนิสัยที่ง่ายๆ และซื่อตรง ถ้ายอมขอโทษง่ายๆ แสดงว่าเธอก็จะหายโกรธโดยทันที 

 

 

แตกต่างจากเมื่อกี้ เซจินจงใจเดินกระทืบเท้าเสียงดัง แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางประตูหลัง ด้วยความรวดเร็วแต่เงียบเชียบ ฉันรีบลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะออกไปจากที่ตรงนั้น ที่จริงก็คิดจะทำอย่างนั้นอยู่หรอก แต่ฉันตกใจกับเสียง ปัง ที่ดังมาจากข้างหลัง ก็เลยเผลอลุกขึ้นยืนตรงอย่างไม่ตั้งใจ 

 

 

ฉันเห็นเซจินกำลังเอาหลังชนขอบประตูหลังที่เปิดอ้าอยู่ และข้างหน้านั่นก็คือ… แผ่นหลังกว้างๆ ของซูฮยอนที่ยืนแนบชิดเซจิน เสียงปังนั่น ดูเหมือนจะเป็นเสียงของเซจินที่ชนเข้ากับประตูหลังสินะ 

 

 

แต่เหตุผลที่เซจินไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาเลยสักแอ๊ะ นั่นเพราะว่าซูฮยอนใช้ริมฝีปากของตัวเองปิดปากของเซจินอยู่นั่นเอง ดวงตากลมโตของเซจินเบิกโตอย่างตกใจ แม้จะเป็นภายในความมืดของรุ่งอรุณก็ยังเห็นได้ชัดเจน แม้แต่ฉันเองก็ยังตกใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกัน 

 

 

ริมฝีปากของทั้งสองคนนั้นประกบกันนานแค่ไหนแล้วนะ ฉันค่อยๆ ก้มตัวอย่างระแวดระวัง พลางย่องไปทางหน้าประตู สุดท้ายกลายเป็นว่าฉันตกมาอยู่ในสภาพคลานอยู่ตรงโถงทางเดินแทน 

 

 

ฉากเด็ดของวันนี้ ฉันไม่เห็นนะ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแหละ ฉันท่องคาถาไร้สาระออกมา หัวใจของฉันที่พลอยเต้นตามไปด้วยไม่อาจสงบลงได้โดยง่าย พระเจ้าช่วย พระเจ้าช่วย ทำไมหน้าของฉันถึงได้ร้อนผ่าวอย่างนี้นะ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ไอร้อนที่ระอุขึ้นมาจากพื้นดินที่ร้อนผ่าวจนสามารถมองเห็นได้นั้น ทำให้รู้สึกอย่างกับว่าฤดูร้อนคงจะยาวนานเสียจนไม่มีวันสิ้นสุด ฤดูร้อนที่มีใบไม้เป็นสีเขียวมันวาวและท้องฟ้าก็เป็นสีน้ำเงินสุดลูกหูลูกตา และภายใต้ท้องฟ้านั้นก็เต็มไปด้วยเหล่าเด็กนักเรียนของโรงเรียนเราที่กำลังจดจ่ออยู่กับการซ้อมใหญ่สำหรับงานแสดงประจำฤดูใบไม้ร่วง 

 

 

การแสดงหลักของ Le Corsaires คือ การเต้นเดี่ยวอันงดงามไร้ที่ติที่สุดของทั้งสามคน อย่าง คอนราร์ด, อัลลี และเมโดรา ที่ผสมผสานเข้าด้วยกันเป็นการแสดงปาเดอทัว 

 

 

แต่โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบการแสดงปาเดอเดอของอัลลีกับเมโดรามากกว่า เหตุผลที่ฉันชอบเป็นเพราะว่าอัลลีของรุ่นพี่อีกงถูกสลักเอาไว้อย่างชัดเจนในหัวสมองของฉันเรียบร้อยแล้ว แต่เหตุผลอีกอย่างก็คือ การแสดงปาเดอเดอของอัลลีกับเมโดรา ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปจนไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ 

 

 

“ขอบใจมาก วันนี้พวกเราซ้อมถึงแค่นี้แหละ” 

 

 

เสียงเพลงของการแสดงปาเดอทัวจบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หลังจากที่รุ่นพี่อีกงปรบมือสองครั้ง เขาก็หันมามองที่ฉันและรุ่นพี่ฮยอนจุน 

 

 

“เหลือก็แค่ปรับท่าของรังเดมกับกัลแนร์สินะ” 

 

 

ฉันรีบวิ่งมาตรงกลางห้องซ้อม หลังจากที่ฉันสบตากับรุ่นพี่ฮยอนจุนแล้ว ฉันก็เริ่มตั้งท่าอย่างช้าๆ แล้วทันใดนั้นเสียงดนตรีก็ดังขึ้น 

 

 

ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่การเคลื่อนไหวร่างกายของฉันก็ต่อเนื่องกันอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเปรียบเทียบกับการซ้อมครั้งแรก ความรู้สึกปลื้มปีติเล็กๆ เอ่อล้นขึ้นมาข้างในอก แขนของรุ่นพี่ฮยอนจุนประคองตัวของฉันไว้ พวกเราทำท่าแอดทิทูทสลับกับการหมุนไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันฉันก็เพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ทุกส่วนของร่างกาย 

 

 

แต่ทว่าในตอนที่ฉันผละออกจากแขนของรุ่นพี่ฮยอนจุน แล้วแตะลงที่พื้นด้วยปลายรองเท้า ก่อนจะดันตัวขึ้นเพื่อทำพีเก้ เทิร์น[1] อยู่ๆ ข้อเท้าก็เกิดหมดแรงขึ้นมา ด้วยความตกใจ ฉันเสียหลักล้มหน้าคว่ำลงไปพร้อมกับข้อเท้าที่เคล็ด คงเป็นเพราะความเหนื่อยล้าสะสม เลยทำให้หมดแรงไปชั่วขณะ 

 

 

ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง ความคิดมากมายถาโถมเข้ามาภายในหัวของฉัน ทั้งความกระสับกระส่าย ความอาย และอื่นๆ มันผ่านไปอย่างกับภาพพาโนราม่า คนที่ช่วยพยุงเอวฉันที่ล้มลงไปอย่างหมดแรงก็คือรุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั่นเอง ฉันตกใจถึงขั้นตั้งสติไม่ได้ไปพักใหญ่ๆ ทั้งที่ร่างกายยังอยู่ในอ้อมกอดของรุ่นพี่ฮยอนจุน 

 

 

“เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ได้เจ็บตรงข้อเท้าใช่ไหม” 

 

 

สีหน้าตกใจของรุ่นพี่ฮยอนจุนอยู่ตรงหน้านี่เอง กลิ่นเหงื่อบางๆ ที่ลอยผ่านปลายจมูกทำให้ฉันรู้สึกอายกับระยะห่างของตัวเองกับรุ่นพี่ที่กำลังแนบชิดติดกันจนรู้สึกลนลาน ไม่รู้ว่าควรจะวางสายตาไว้ตรงไหนดี ความเขินอายที่ไม่เคยรู้สึกเลยสักนิดเมื่อเต้นไปตามเสียงเพลง มันค่อยๆ คืบคลานผ่านหลังขึ้นมา 

 

 

ฉันค่อยๆ แอบผลักแขนของรุ่นพี่ฮยอนจุนออกไปด้วยท่าทางเกร็งๆ แต่แล้วก็มีใครบางคนมาดึงแขนของฉันไป ฉันจึงแยกออกจากรุ่นพี่ฮยอนจุนในพริบตาเดียว หันกลับไปมองด้วยความตกใจกับแรงนั้นที่ทำให้แขนของฉันรู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ มือที่ดึงแขนของฉันออกมาอย่างแรงก็คือมือของรุ่นพี่อีกงนั่นเอง 

 

 

พอได้เห็นสีหน้าบูดบึ้งของรุ่นพี่ มันก็ทำให้ฉันเผลอห่อไหล่โดยไม่รู้ตัว เหลือเวลาอีกไม่มากก็จะถึงวันแสดงแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทำพลาดอีก เขาคงตั้งใจจะดุฉันสินะ ฉันยืนขึ้นด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ ส่วนรุ่นพี่ที่จ้องมองมาที่ฉันก็เปิดปากที่เคยปิดเอาไว้เงียบสนิทขึ้น 

 

 

“เธอน่ะ ไหนลองถอดรองเท้าสิ” 

 

 

ฉันรีบคลายเชือกรองเท้า แล้วถอดรองเท้าออกมา ตอนนั้นเองฉันถึงได้รู้ว่าทำไมรุ่นพี่ถึงสั่งให้ถอดรองเท้าออก ดูท่าคงจะเป็นเพราะความชื้นที่อัดแน่นอยู่ เลยทำให้ปลายรองเท้าบุบบี้ลงไปเล็กน้อย 

 

 

“คนอื่นๆ เองก็ตั้งใจฟังด้วยล่ะ เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ก็จะถึงวันแสดงแล้ว พี่รู้ว่าทุกคนคงยุ่งกันจนไม่มีสติ แต่อย่างน้อย ถ้าคิดว่ารองเท้าเหมือนจะอ่อนลงล่ะก็ ให้เปลี่ยนทันที จะได้ไม่บาดเจ็บก่อนวันแสดง หามาสำรองไว้แล้วก็เปลี่ยนเมื่อมีเวลาล่ะ” 

 

 

“…ครับ/ค่ะ” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่ที่เข้าสู่โหมดเสือทำให้รุ่นพี่ทั้งหมดที่อยู่ภายในห้องซ้อมเต้นหันมาจ้องมองรุ่นพี่อีกง พร้อมทั้งตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียง  

 

 

ส่วนฉัน อยากจะขุดรูแล้วมุดเข้าไปในรูซะเดี๋ยวนี้เลย แขนที่รุ่นพี่กำลังจับอยู่รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา 

 

 

“ฮวีกยอม เธอรีบไปเปลี่ยนรองเท้ามาซะ” 

 

 

น้ำเสียงกดดันของรุ่นพี่ดังเรียดไปบนพื้น ฉันก้มหัวพร้อมกับรีบวิ่งไปหยิบรองเท้าสำรอง เสียงโกรธของรุ่นพี่ที่ไม่ได้ยินมานานทำให้หัวใจของฉันเอาแต่วิ่งพล่านไปทั่ว ฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บนิดๆ จากข้อเท้าที่เคล็ด 

 

 

อยู่ดีๆ ปลายจมูกก็รู้สึกปวดตึงขึ้นมา ฉันจึงกัดริมฝีปากล่างไว้แน่น อย่าร้องนะ คิมฮวีกยอม เธอทำผิดเอง ฉันพูดอยู่ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลางสวมรองเท้าคู่ใหม่ ก่อนจะรีบมัดเชือก 

 

 

ฉันทำบาร์เวิร์คสอยู่สักพัก ขณะเดียวกันก็บรรเทาอาการเจ็บเท้าไปด้วย แต่ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในกระจกกลับแดงขึ้นมา เมื่อรุ่นพี่อีกงเรียก ฉันจึงเดินไปยืนตั้งท่าอยู่ตรงกลางห้องอีกครั้ง รุ่นพี่ฮยอนจุนที่ยืนอยู่ตรงข้ามมองฉันด้วยใบหน้าเป็นกังวล ทันใดนั้นดนตรีรื่นเริงก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องซ้อม ฉันกัดฟัน แล้วยกขาขึ้นอย่างช้าๆ 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] pique turn การที่ก้าวขาหนึ่งไปข้างหน้าในลักษณะงอระดับหัวเข่า และหมุนตัวสลับกันไปมา 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด