จังหวะรัก นักบัลเลต์ 13-3

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 13-3 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

น้ำเสียงของรุ่นพี่เจือไปด้วยเสียงหัวเราะลอยเข้ามาในหูของฉัน น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่ทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่น และอุณหภูมิอุ่นๆ ของรุ่นพี่ที่โอบกอดร่างกายของฉัน ให้ความรู้สึกอย่างกับว่ามีผ้าห่มขนแกะนุ่มๆ มาพันอยู่รอบตัว  

 

 

นี่สินะที่เขาเรียกว่าสำลักความสุขจนเกือบตายน่ะ น้ำตามันเหมือนจะไหลออกมา และทั่วร่างกายก็รู้สึกวูบวาบไปหมด หน้าอกก็ร้อนอย่างกับมีไฟมาสุมอยู่ตอนนี้ 

 

 

“ชอบไหม” 

 

 

พอฉันพยักหน้าให้กับเสียงของรุ่นพี่ที่แผ่วเบาลงอย่างไม่มีสาเหตุ รุ่นพี่ก็หัวเราะคิกคัก พร้อมกับจับแก้มฉันให้หันมาทางตัวเองด้วยมือทั้งสองข้าง ฉันรู้สึกอายกับใบหน้าของตัวเองที่น่าจะกลายเป็นสีแดงแจ๋ไปแล้ว จนไม่สามารถมองหน้ารุ่นพี่ได้ตรงๆ เลยได้แต่หลบสายตา แต่รุ่นพี่กลับยิ้มกริ่ม แล้วกระซิบกลับมาเบาๆ 

 

 

“งั้นจุ๊บพี่เป็นการตอบแทนสักครั้งสิ” 

 

 

ต่อจากนั้นท่าทางของรุ่นพี่ที่เอานิ้วมาจิ้มๆ ตรงริมฝีปากของฉัน ก็เล่นเอาซะฉันรู้สึกร้อนวูบวาบไปจนถึงใบหู น้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมาทางหางตาไหลกลับเข้าไปอีกครั้ง ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของฉันคงจะดูน่าขัน เลยทำให้รุ่นพี่หัวเราะเสียงดังออกมา 

 

 

“เร็วๆ สิครับ คุณกยอมกยอม” 

 

 

ฉันลังเลอยู่สักพัก และไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้เลยแม้แต่นิด รุ่นพี่จับแก้มของฉันเพื่อทำให้ฉันเงยหน้า หลังจากนั้นเขาก็ยื่นปากมาด้วยท่าทางตลกๆ พร้อมกับเร่งอย่างออดอ้อน  

 

 

สุดท้าย ฉันก็ทำใจแข็ง จับชายเสื้อของรุ่นพี่ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ 

 

 

“จุ๊บครั้งเดียวถึงกับต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ” 

 

 

ถึงรุ่นพี่จะพูดปนหัวเราะ แต่ภายในหัวของฉันก็เกิดการชะงักเหมือนกับนาฬิกาตายที่หยุดเดิน ฉันไม่อาจจะมองข้ามการพูดเล่นของรุ่นพี่ไปได้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิ ถึงจะเป็นปกติก็คงทำไม่ได้อยู่ดี 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่วาดเป็นเส้นโค้งละมุนอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันกลั้นหายใจที่จุกอยู่ที่คอ แล้วหลับตาลงทั้งสองข้าง 

 

 

ใช่แล้ว เรื่องเล็กน้อยน่า ก็แค่หลับตา แล้วก็ประกบปากกันก็พอแล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำนี่นา ฉันปลอบใจตัวเองอยู่แบบนั้น ก่อนจะคิดขึ้นมาว่า ‘ไม่รู้ด้วยแล้ว’ แล้วจึงประกบริมฝีปากตัวเองเข้ากับริมฝีปากของรุ่นพี่  

 

 

วินาทีนั้น ความรู้สึกนุ่มๆ อุ่นๆ มันชัดเจนมากกว่าปกติ ฉันที่รู้สึกตกใจจึงรีบขยับตัวถอยไปข้างหลัง แต่ก่อนที่ริมฝีปากจะแยกออกจากกันดี มือของรุ่นพี่ที่กุมใบหน้าของฉันอยู่ก็เลื่อนลงมาจับตรงท้ายทอยอย่างรีบร้อน 

 

 

“…!” 

 

 

ตาของฉันเบิกโพลงเพราะตกใจที่ริมฝีปากของฉันกับรุ่นพี่กลับมาแนบชิดติดกันอีกครั้ง ลิ้นของรุ่นพี่ที่แทรกเข้ามาในปากอย่างเร่าร้อน ทำให้ร่างกายของฉันไม่อาจจะทรงตัวได้ไหว ตอนนั้นเองที่ฉันหลับตาทั้งสองข้างเอาไว้แน่น  

 

 

แผ่นหลังของฉันถูกผลักให้ถอยหลังไปจนติดกับกำแพงเย็นๆ โดยไม่รู้ตัว หัวใจมันเต้นเสียงดังโครมครามอย่างกับว่าจะหลุดออกมา 

 

 

แม้ว่าฉันจะจับไหล่ของรุ่นพี่เอาไว้แน่นก่อนจะผลักออก แต่รุ่นพี่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด ถึงจะเคยจูบอยู่ไม่กี่ครั้ง แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าการรับเอาทั้งหมดของรุ่นพี่มานั้นเป็นเรื่องที่เกินกำลังตัวเองเกินไป แต่ในอีกมุมหนึ่ง เวลาในตอนนี้มันช่างหอมหวานจนเหมือนกับว่าร่างกายจะละลายหายไป 

 

 

แต่ละครั้งที่ริมฝีปากผละออกจากกัน ลมหายใจที่ออกมาก็จะร้อนผ่าว แล้วพอรุ่นพี่เอาฟันมาขบลงบนริมฝีปากของฉันเล็กน้อย มันก็ทำให้ฉันสะดุ้งจนตัวเริ่มสั่นนิดๆ ทั่วทั้งตัวร้อนระอุขึ้นมาจนเหมือนกับจะระเบิดเสียให้ได้  

 

 

ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับลิ้นที่แทรกตัวเข้ามาพัวพันในปากอีกครั้ง ความสับสนในใจทำให้ฉันคว้าไหล่ของรุ่นพี่เอาไว้อย่างสุดชีวิตเพื่อยื้อไม่ให้สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไป จูบอันเร่าร้อนนี้ที่ดูแตกต่างไปจากเดิมยังคงดำเนินต่อไป 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรงจนเริ่มรู้สึกแสบร้อนริมฝีปาก ทำให้ฉันครางออกมาอย่างเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว ต่อจากนั้นริมฝีปากอุ่นๆ ของรุ่นพี่จึงผละออกจากริมฝีปากฉันช้าๆ 

 

 

“…ให้ตายสิ” 

 

 

สีหน้าที่ออกอาการทนไม่ไหวอย่างชัดเจนแสดงออกพร้อมกับเสียงพึมพำเบาๆ ของรุ่นพี่ ฉันควบคุมลมหายใจที่เหนื่อยหอบ พลางลืมตาอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันรุ่นพี่ก็กำลังกัดริมฝีปากล่างเบาๆ พลางมองตรงมาที่ฉัน 

 

 

ฉันมองเหม่อเข้าไปในดวงตาของรุ่นพี่ พร้อมกับความรู้สึกจางๆ ที่ยังคงไม่หายไปไหน แต่แล้วในชั่วพริบตา ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรเย็นๆ มาอยู่ตรงสีข้าง 

 

 

ในตอนนั้นเอง ฉันจึงได้รู้ว่ามือของรุ่นพี่ล้วงเข้ามาข้างในชุดนักเรียนของฉัน และกำลังสัมผัสกับผิวเปล่าเปลือยนั่นอยู่ ฉันแสดงท่าทีกระวนกระวายใจเมื่อไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี  

 

 

เวลานั้น ลมหายใจมันแน่นขนัดจนฉันต้องรีบผลักตัวรุ่นพี่ออก ฉันพยายามควบคุมร่างกายที่สั่นเทาด้วยการกัดฟันเอาไว้ ตรงส่วนที่มือของรุ่นพี่สัมผัสถูกมันร้อนอย่างกับโดนไฟเผา 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

รุ่นพี่ยังคงทำสีหน้าเหมือนอดกลั้นอะไรบางอย่าง แล้วเรียกชื่อฉันออกมาอย่างสุดเสียง ขาของฉันไร้เรี่ยวแรงเสียจนถ้าแขนของรุ่นพี่ไม่ประคองเอาไว้ล่ะก็ ฉันคงจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นในทันที มือของฉันที่จับแขนของรุ่นพี่เอาไว้กำลังสั่นอย่างหนัก 

 

 

“…ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งจะทำแบบนี้นะ” 

 

 

นิ้วมือของรุ่นพี่ทัดเส้นผมของฉันที่ตกลงมาไว้ที่หลังหูอย่างระมัดระวัง จนทำให้ฉันเผลอสะดุ้ง พลางเดินถอยหลัง ไม่รู้ทำไมเส้นประสาททั่วทั้งตัวถึงเหมือนกับถูกทิ่มแทงอยู่ แม้เพียงแค่สัมผัสที่โฉบผ่านไปอย่างเบามือ ร่างกายของฉันก็จะรู้สึกเกร็งขึ้นมา 

 

 

ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงถอยห่างออกจากฉันด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วจึงเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นเหนือบ่า เป็นความหมายว่าจะไม่สัมผัสไปมากกว่านี้อีกแล้ว ฉันก้มหน้าพลางกอดเอวของตัวเองเอาไว้ด้วยมือสั่นเทา 

 

 

“…พี่จะไม่จับแล้ว สัญญา” 

 

 

“…” 

 

 

“เพราะงั้นอย่ากลัวไปเลยนะ ถ้าเธอเป็นแบบนี้ พี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องทำตัวยังไงน่ะสิ” 

 

 

เสียงของรุ่นพี่นั้นแฝงความเจ็บปวดออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ฉันกลั้นใจเงยหน้าขึ้นมามองหน้ารุ่นพี่ ดวงตาสีดำของรุ่นพี่กำลังสั่นจนรู้สึกได้ รุ่นพี่กำลังกัดริมฝีปากอยู่พร้อมกับใบหน้าซีดเผือด 

 

 

พอได้เห็นท่าทางกระวนกระวายของรุ่นพี่แล้ว มันก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ฉันก็แค่ตกใจเท่านั้นเอง ทำไมถึงได้ดูเหมือนว่าฉันจงใจปฏิเสธรุ่นพี่แทนล่ะ 

 

 

“…โกรธเหรอ” 

 

 

ฉันส่ายหัวให้กับคำถามของรุ่นพี่ที่ถามกลับมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังจากได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ รุ่นพี่ก็ค่อยๆ ลดมือลงช้าๆ พลางจับที่ปกเสื้อของฉัน 

 

 

“พี่ไปส่งที่บ้านนะ” 

 

 

น้ำเสียงแผ่วเบาของรุ่นพี่ดูหดหู่และหนักอึ้ง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

รุ่นพี่ไม่ยอมพูดอะไร อีกทั้งยังเดินรักษาระยะห่างกับฉัน ความเงียบที่ทำให้รู้สึกแปลกๆ ยังคงดำเนินต่อไป แต่ฉันก็ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะต้องชวนคุยเรื่องอะไรออกไปดี 

 

 

หัวใจที่ตื่นตระหนกได้สงบลงแล้ว แต่ตรงกันข้าม มันได้กลายมาเป็นความรู้สึกอึดอัดใจที่ตัวเองทำให้รุ่นพี่ต้องเป็นทุกข์ ทั้งที่ก็เป็นมือที่สัมผัสถูกผิวหนังเปลือยเปล่าอยู่บ่อยๆ ตอนที่เต้นแท้ๆ แต่ฉันกลับตัวสั่นเทาจนเกินปกติไปซะได้ ฉันส่ายหัวอย่างแรงเพื่อขจัดความรู้สึกที่ซับซ้อน แต่จู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ว่าสายตาของรุ่นพี่มองจ้องมาที่ฉัน 

 

 

“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ” 

 

 

รุ่นพี่พูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ฉันก็ไม่สามารถตอบกลับไปได้ ได้แต่จ้องหน้ารุ่นพี่ 

 

 

“เพราะว่าวันนี้เป็นวันเกิดเธอ พี่เลยอยากทำให้เธอดีใจแท้ๆ แต่ดันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจแทนเสียนี่” 

 

 

รุ่นพี่พูดขึ้นมาพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนแรง จู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ว่าหน้าอกเจ็บแปล๊บขึ้นมา สร้อยคอที่รุ่นพี่สวมให้ฉันส่ายเบาๆ ไปพร้อมกับจังหวะก้าวเดิน ฉันส่ายหัวแรงๆ อีกครั้ง พร้อมกับขยับริมฝีปากที่หนักอึ้ง 

 

 

“ไม่หรอกค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เพราะงั้นเลิกขอโทษเถอะนะคะ” 

 

 

ฉันเกร็งคอเพื่อเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะเลื่อนมือที่กำสายกระเป๋าอยู่ ลงมาจับนิ้วมือของรุ่นพี่ไว้ สัมผัสที่เย็นยะเยือกนั่น ฉันรู้สึกได้ว่ารุ่นพี่สะดุ้งเฮือกเมื่อมือของฉันสัมผัสถูก 

 

 

“ก็แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ที่รุ่นพี่สัมผัสน่ะ… ฉันไม่ได้รังเกียจหรอกนะคะ” 

 

 

ฉันรวบรวมความกล้าแล้วพูดความในใจออกไป แม้ว่าจะมีบางครั้งที่รู้สึกว่ามันเกินจะต้านทานไหว แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจสัมผัสของรุ่นพี่หรอกนะ ไม่สิ ตรงกันข้ามมันกลับรู้สึกหอมหวานซะอีก ทั้งริมฝีปากที่ประกบเข้ามาจนแทบจะทำให้หายใจไม่ออก หรือแขนอันแข็งแรงที่โอบกอดจนแทบจะทำให้ทรงตัวไม่อยู่นั่นก็ด้วย ความรู้สึกดีๆ อันแสนอบอุ่นและหวานละมุนนั่น ทำให้ฉันจมลงสู่ความสุขที่เรียกว่าความรักจนเหมือนจะสำลักตาย 

 

 

“เพราะฉะนั้น ไม่ต้องขอโทษหรอกนะคะ” 

 

 

พอคำพูดที่พูดขึ้นมาลอยๆ ของฉันจบลง รุ่นพี่ก็จับมือตอบกลับมาอย่างระวัง สัมผัสของฝ่ามือที่ประสานกันอย่างแนบชิดทำให้ความทรงในอดีตผุดขึ้นมา ความทรงจำของคืนกลางฤดูร้อน ฉันจึงค่อยๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวังไม่ให้รุ่นพี่จับได้ เพื่อทำให้ฝ่ามือของฉันแนบชิดกับฝ่ามือรุ่นพี่ 

 

 

“…เข้าไปข้างในดีๆ ล่ะ” 

 

 

พวกเรามาหยุดยืนกันอยู่ที่หน้าบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รุ่นพี่โบกมือลาฉันด้วยสีหน้าที่เหมือนจะดูดีขึ้นกว่าเมื่อกี้นี้ ฉันเก้ๆ กังๆ อยู่สักพักขณะที่จ้องหน้ารุ่นพี่พลางโค้งตัวไปทางรุ่นพี่ที่ทำท่าทางสงสัย เพื่อเป็นการบอกลา ก่อนจะพูดคำที่จุกอยู่ใต้ลำคอออกมา 

 

 

“ขอบคุณนะคะที่อวยพรวันเกิดให้ฉัน” 

 

 

“…” 

 

 

“วันนี้เป็นเพราะรุ่นพี่ ฉันเลยมีความสุขมากๆ เลยล่ะค่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ฉันค่อยๆ ยืดตัวตรงแล้วจ้องมองไปที่รุ่นพี่ อ๊ะ ก่อนจะอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ รุ่นพี่กำลังยิ้มกว้างจนแสบตาแบบสุดๆ  

 

 

ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตึกตัก หัวใจกลับมาเต้นรัวอีกครั้ง และข้างในหัวก็เริ่มมีสัญญาณเตือนดังขึ้นมา 

 

 

ท่าทางของรุ่นพี่ที่เอาหลังมือปิดปากเอาไว้เล็กน้อย ไม่อาจจะซ่อนใบหน้าแห่งความสุขไว้ได้มิด ดูๆ ไปแล้วก็คล้ายเด็กน้อยเลยล่ะ ใบหน้าที่เหมือนกับเด็กน้อยที่กำลังดีใจเพราะได้รับคำชมนั่น ทำให้ฉันกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ 

 

 

“รีบเข้าไปได้แล้ว” 

 

 

พอฉันหัวเราะหึๆ ออกมา รุ่นพี่ก็กระแอมเบาๆ พลางพยายามทำให้ปากที่กระตุกอยู่ปิดสนิท ก่อนจะพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น 

 

 

รุ่นพี่ผู้งามสง่า รุ่นพี่ผู้น่ารักน่าชัง แล้วก็ยังเป็นแฟนที่น่าเอ็นดูอย่างที่สุดของฉันอีกด้วย 

 

 

ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปหารุ่นพี่ รุ่นพี่ดูจะตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ ฉันเดินมาจนถึงตรงข้างหน้ารุ่นพี่ แล้วจับแขนของรุ่นพี่ดึงลงมาข้างล่าง 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่เลื่อนต่ำลงมาตามแรงดึง ฉันจับแก้มที่แดงแจ๋ขึ้นมานั่นด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเบามือ แล้วจึงยืนเขย่งปลายเท้า ตามด้วยจุ๊บเบาๆ ลงตรงหน้าผากของรุ่นพี่ ทั่วทั้งร่างกายมันสั่นขึ้นมาราวกับโดนไฟฟ้าช็อต 

 

 

“…ฮวีกยอม เธอ” 

 

 

รุ่นพี่ทำหน้าเอ๋อ พร้อมกับมองมาที่ฉันด้วยแววตาตกใจอยู่สักพัก ก่อนจะขยับปากช้าๆ 

 

 

“ต่อไปนี้ ก่อนจะทำอะไรแบบนี้ช่วยบอกพี่ไว้ก่อนล่วงหน้านะ พี่คงจะต้องใช้เวลาเตรียมใจน่ะ” 

 

 

“…ทำไมล่ะคะ” 

 

 

“ไม่งั้น พี่คงไม่สามารถรับปากได้ว่าพี่จะทำอะไรลงไปน่ะสิ” 

 

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำของรุ่นพี่ทำให้ใบหน้าของฉันแดงขึ้นมาในพริบตา ตอนที่จุ๊บหน้าผากรุ่นพี่เมื่อกี้นี้ก็ยังรู้สึกปกติดีอยู่เลย แต่ตอนนี้มันร้อนขึ้นมาจนเหมือนกับจะระเบิดเสียเดี๋ยวนี้ 

 

 

“พี่เตือนเธอแล้วนะ” 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มร่า พร้อมกับยื่นมือมาขยี้หัวฉัน ใบหน้าของฉันที่ร้อนผ่าวขึ้นมานั้นเหมือนกับจะส่งเสียงร้องออกมาราวกับกาต้มน้ำร้อนที่เดือดปุดๆ 

 

 

ฉันกลอกตาไปมาด้วยใบหน้างุนงง แต่รุ่นพี่กลับเอานิ้วมาเคาะที่แก้มของฉัน แล้วส่งยิ้มบางๆ มาให้ พร้อมกับกระซิบเบาๆ 

 

 

“วันนี้ก็ Good Night นะ” 

 

 

ไปนะ รุ่นพี่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป ฉันไม่อาจละสายตาไปจากแผ่นหลังกว้างๆ ของรุ่นพี่ได้เลย จึงทำได้เพียงแค่ยืนเหม่อมองอยู่อย่างนั้น ภาพด้านหลังของรุ่นพี่ที่สวมชุดนักเรียนที่ยับเล็กน้อยทับเอาไว้ส่องแสงเป็นประกายสีขาวท่ามกลางแสงไฟถนน 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด