จังหวะรัก นักบัลเลต์ 15-1

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 15-1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ในที่สุดงานแสดงประจำฤดูที่ถูกเลื่อนออกไปก็มาถึง ห้องพักแน่นขนัดโดยไม่มีที่ให้เหยียบเท้าลงไปแม้แต่น้อยตั้งแต่เช้าตรู่ ถึงจะทั้งวอร์มอัพ แล้วก็นั่งแต่งหน้าอยู่ในห้องพัก ฉันก็ยังคงรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ดี ตึกตัก ตึกตัก ถึงจะแค่เบาๆ แต่อย่างไรหัวใจก็ยังเต้นตามปกติ ความกังวลดูจะทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งตัวตึงเกินความจำเป็น 

 

 

“นี่ คิมเซจิน!” 

 

 

ขณะที่ฉันกำลังนั่งจ้องหน้าตัวเองอยู่ข้างหน้ากระจกที่ติดโคมไฟเอาไว้จนแทบจะทะลุเข้าไป ฉันก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกชื่อของเซจินด้วยน้ำเสียงยินดี 

 

 

ฉันรีบหันหน้าไปดู แล้วก็พบว่าเซจินกำลังเดินเข้ามาจากประตูห้องพักที่เปิดอยู่ ต่อจากนั้นฉันก็อุทานสั้นๆ ออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว เซจินในชุดกระโปรงที่ดูพลิ้วไหวกำลังแผ่ออร่าความบริสุทธิ์ออกมามากกว่าปกติ 

 

 

“ดีขึ้นแล้วเหรอ สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะแสดงสินะ” 

 

 

“ค่ะ ซูฮยอนเองก็บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ที่ผ่านมาก็ซ้อมเพิ่มมากขึ้นด้วยค่ะ” 

 

 

พอรุ่นพี่คนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เซจินก็ยิ้มบางๆ พลางตอบออกมาอย่างสุขุม หลังจากที่เซจินตอบคำถามของเหล่ารุ่นพี่ที่ถามไถ่ด้วยใบหน้าเป็นห่วงอยู่สักพัก เธอก็มายืนอยู่ข้างๆ ฉัน ฉันจับมือเซจินไว้โดยไม่พูดอะไร 

 

 

“ตื่นเต้นไหม” 

 

 

“…นิดหน่อยน่ะ” 

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก เธอทำได้อยู่แล้ว” 

 

 

ฉันลูบหัวของเซจินเบาๆ เธอจึงส่งยิ้มที่ดูอ่อนแรงกลับมา ความจริงแล้ว พวกอาจารย์คัดค้านที่จะให้เซจินกับซูฮยอนกลับมายืนบนเวทีอีกครั้ง นอกจากเซจินจะรู้สึกหนักใจแล้ว เหตุผลจริงๆ ก็คือสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยสู้ดีของซูฮยอนต่างหาก แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้เกี่ยวข้องทั้งสองคนก็ยังคงหวังที่จะได้ไปยืนบนเวทีอยู่ดี 

 

 

 

 

 

‘ตอนนี้ ถ้าหนูไม่สามารถเอาชนะสิ่งนี้ไปได้ ในวันข้างหน้า หนูอาจจะไม่สามารถไปยืนอยู่บนเวทีได้อีกเลยก็ได้นะคะ’ 

 

 

 

 

 

ใบหน้าของเซจินที่พูดออกมาแบบนั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดูร้อนรนเป็นอย่างมาก ในงานแสดงประจำฤดูของโรงเรียนเรานั้น แม้ว่าจะเป็นแค่งานโรงเรียน แต่มันเป็นการแสดงที่สืบทอดต่อกันมา เป็นงานระดับที่มีผู้ที่เกี่ยวข้องทางด้านสาขาการเต้นรำมาเข้าร่วมงานอยู่มากมาย สำหรับศักดิ์ศรีของเซจินแล้ว เธออาจจะคิดก็ได้ว่า การไม่ได้ไปยืนอยู่บนเวทีนี้ก็เท่ากับว่าเธอพ่ายแพ้ให้กับตัวเอง 

 

 

ฉันกอดเซจินที่กำลังตัวสั่นนิดๆ เอาไว้แน่น พลางให้กำลังใจเธออยู่เงียบๆ ขอโทษนะที่ฉันช่วยเธอได้แค่นี้น่ะ คำพูดของฉันทำให้เซจินส่งยิ้มที่ดูงดงามกว่าทุกครั้งกลับมา พร้อมกับส่ายหัวเล็กๆ 

 

 

“วันนี้เธอสวยจัง” 

 

 

“…เธอก็ด้วย” 

 

 

พวกเรามอบพลังให้แก่กันผ่านทางมือที่จับกันเอาไว้แน่นในขณะที่หลับตานิ่ง 

 

 

“ใกล้จะเริ่มแสดงแล้วนะ!” 

 

 

พอเสียงตะโกนของใครบางคนดังขึ้น ห้องพักที่เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวก็เงียบลงในชั่วพริบตา คนที่กำลังเร่งมือแต่งหน้าอย่างรีบร้อน คนที่กำลังเช็คท่าเต้นอย่างไม่หยุดพักหายใจ คนที่พนมมือสวดภาวนาอยู่เงียบๆ… บางทีหัวใจของทุกคนคงรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันในตอนนี้  

 

 

ฉันเห็นพวกเด็กนักเรียนแผนกมัธยมต้นที่ต้องแสดงเปิดเวทีกำลังต่อแถวกันขึ้นไปบนเวทีที่ปิดไฟอยู่ ฉันกุมมือเซจินเอาไว้แน่นกว่าเดิม ฉันทำได้ ฉันต้องทำได้สิ ในตอนนี้มีแต่คำนั้นเกิดขึ้นอยู่ภายในใจ 

 

 

 

 

 

ในไม่ช้าการแสดงในระดับมัธยมปลายครั้งแรกของพวกเราก็เริ่มขึ้นท่ามกลางเสียงปรบมือและแสงไฟแสบตา การแสดงลำดับแรกของแผนกมัธยมปลายคือเรื่อง Romeo and Juliet ซึ่งเป็นการแสดงหลักของนักเรียนชั้นปีที่หนึ่ง โดยหนึ่งในนั้นคือการแสดงปาเดอเดอที่ระเบียงของตัวเอกทั้งสอง 

 

 

แม้ว่าเซจินจะเคยแต่รับบทที่ดูมีชีวิตชีวา ที่เอาแต่กระโดดไปมาซะเป็นส่วนใหญ่ในช่วงมัธยมต้น แต่เธอในตอนนี้ที่กลายมาเป็นจูเลียตและกำลังยืนอยู่ด้วยกันกับซูฮยอนนั้น กลับกลายเป็นสาวน้อยผู้บอบบางและเศร้าสร้อยจนฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอคือเซจินที่ฉันรู้จัก 

 

 

ท่าเต้นที่สง่างามและนุ่มนวลของเซจินได้เริ่มต้นขึ้น การเต้นที่ราวกับจะวาดเส้นดนตรีขึ้นมากลางอากาศทำให้ฉันหยุดยืนอยู่กับที่ พร้อมกับกำหมัดไว้แน่นด้วยพลังทั้งหมดที่มี  

 

 

การเต้นของทั้งสองคนดูเข้ากันอย่างลงตัว และในที่สุดส่วนที่เป็นปัญหาก็มาถึง ช่วงที่เคยเกิดอุบัติเหตุขึ้น 

 

 

ความกังวลที่ทำให้หายใจไม่สะดวก ทำให้ฝ่ามือของฉันที่กำเอาไว้แน่นมีเหงื่อออกจนรู้สึกได้ มันคือตอนนี้เนี่ยแหละ ตอนที่ซูฮยอนกำลังจะยกเซจินขึ้นมาในท่าลิฟท์ ร่างกายของเซจินก็สะดุ้งและสั่นไปทั่วทั้งตัว 

 

 

“อ๊ะ…!” 

 

 

ฉันรีบกลืนคำอุทานที่หลุดปากออกมาโดยไม่รู้ตัวกลับเข้าไป เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สายตาของซูฮยอนและเซจินก็มาบรรจบกันกลางอากาศจนฉันเองก็ยังรู้สึกได้ แต่แล้วทันใดนั้น เมื่อฉันได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนราวกับโกหกของซูฮยอน มือทั้งสองข้างของฉันก็ถูกยกขึ้นมาปิดปากที่อ้าค้างไว้ 

 

 

ซูฮยอนประคองเอวของเซจินไว้อย่างมั่นคงด้วยแววตาจริงจัง ขณะที่จ้องมองไปยังเซจิน รอยยิ้มที่ซูฮยอนผู้เย็นชาส่งไปนั้น มันดูทั้งอบอุ่นและทำให้รู้สึกสบายใจจนยากที่จะเชื่อสายตาตัวเอง เพราะอย่างนั้นสินะ วินาทีที่ใบหน้าของทั้งสองกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง รอยยิ้มบางๆ จึงแต่งแต้มอยู่ที่ริมฝีปากของเซจินเช่นกัน 

 

 

“สุดยอดไปเลย ชเวซูฮยอน” 

 

 

เหล่าอาจารย์ที่กำลังยืนดูทั้งสองคนด้วยสีหน้าเป็นกังวลที่ข้างหลังเวทีนั้นต่างก็พูดคุยกันด้วยท่าทางตกตะลึง 

 

 

“ดูท่าทางการนำของเซจินสิ ไม่ว่อกแว่กเลยสักนิดนะเนี่ย” 

 

 

“ปกติก็ไม่ใช่คนที่ใจแข็งอะไรแท้ๆ” 

 

 

ฉันค่อยๆ คลายหมัดที่กำลังกำเอาไว้แน่นจนแทบจะฝังเล็บเข้าไป ฝ่ามือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อยังคงหลงเหลือร่องรอยของเล็บที่จิกจนลึก พอได้เห็นแล้ว ไม่รู้ทำไมความรู้สึกอบอุ่นมันถึงเอ่อล้นขึ้นมาตรงส่วนส่วนลึกที่สุดข้างในจิตใจ  

 

 

“…ฉันเองก็จะทำให้ดีที่สุดเหมือนกัน” 

 

 

ฉันพูดพลางหันไปทางสองคนนั้น ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องพักอย่างเงียบๆ ต่อไปก็ถึงตาเวทีของ Le Corsaires จริงๆ ล่ะนะ ภาพความทรงจำเกี่ยวกับการเต้นรำตลอดช่วงฤดูร้อนอันแสนจะร้อนรุ่มเป็นพิเศษไหลผ่านเข้ามาภายในหัวราวกับเป็นภาพพาโนราม่า 

 

 

ฉันเหลือบมองภาพของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในบานกระจกมากมายซึ่งแขวนอยู่บนผนังห้องพัก ผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้า และกระโปรงบัลเลต์ระยิบระยับ  

 

 

ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางยกแขนขึ้นช้าๆ ทันทีที่หลับตาลงแล้วตั้งสมาธิ เสียงดนตรีของกัลแนร์ก็ดังขึ้นมาในหัวโดยอัตโนมัติ 

 

 

“ถ้าจะซ้อมก็ออกไปซ้อมข้างนอกสิ” 

 

 

ตอนนั้นเองที่เสียงแหลมๆ ดังขึ้นมาจากข้างหลังของฉัน ด้วยความตกใจ ฉันจึงหยุดอยู่กับที่แล้วหันไปมอง 

 

 

“สะ สวัสดีค่ะ” 

 

 

ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะโค้งหัว คนที่ยืนจ้องฉันเขม็งอยู่ข้างหลังก็คือรุ่นพี่โซยอนนั่นเอง รุ่นพี่โซยอนในชุดสีขาวระยิบระยับจนแสบตานั่น ต้องบอกตามตรงว่า ถึงจะเคืองหน่อยๆ แต่ก็สวยมากๆ เลยล่ะ เป็นเมโดรา ทาสสาวที่มีใบหน้าโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด  

 

 

รุ่นพี่โซยอนยืนกอดอกพร้อมกับมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้มอย่างดูถูกพลางจิ๊ปาก 

 

 

“เพิ่งจะมาซ้อมเอาป่านนี้ คิดเหรอว่ามันจะได้อะไรขึ้นมาน่ะ” 

 

 

คำพูดพึมพำเบาๆ ของรุ่นพี่โซยอนทำให้หัวใจของฉันเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ฉันกัดริมฝีปากไว้แน่น ก่อนจะเดินออกมาจากห้องพัก บนเวทีกำลังถึงบทสรุปของการแสดง Romeo and Juliet แล้ว 

 

 

ฉันเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่โถงทางเดินสักพัก ก่อนจะค่อยๆ ย่องไปทางด้านหลังของหอประชุมที่ถูกกั้นเอาไว้ด้วยผ้าม่านสีดำ เพื่อวางแผนที่จะซ้อมในที่ลับตาคน  

 

 

ตอนนั้นเอง ขณะที่ฉันกำลังยืนหันหลังเพื่อเอื้อมมือไปปิดผ้าม่านสีดำอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ก็มีใครบางคนโผเข้ามากอดเอวของฉันเอาไว้แน่น 

 

 

“กรี๊ด!” 

 

 

พอฉันกรีดร้องออกมาอย่างไม่รู้ตัว มืออุ่นๆ ก็เอื้อมมาปิดปากของฉันเอาไว้ อ้า รู้สึกเหมือนเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ อีกอย่าง มือนี่มัน… 

 

 

“ในที่สุดก็เจอสักที” 

 

 

เสียงหวานๆ ที่กระซิบพลางหัวเราะสั้นๆ ทำให้ฉันค่อยๆ หันหน้ากลับไปมองด้วยใบหน้ามึนงง โชคดีที่มีแสงลอดผ่านช่องผ้าม่านเข้ามา จึงเห็นใบหน้าของรุ่นพี่อีกงอย่างชัดเจนแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด หลังจากที่กลืนน้ำลายลงคอเพื่อทำให้คอที่แห้งผากชุ่มชื้นขึ้น ฉันก็ยืนเหม่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของรุ่นพี่ 

 

 

“อ๊ะ ลืมไปเดี๋ยวเสื้อยับหมด” 

 

 

รุ่นพี่อุทานออกมา พลางรีบปล่อยตัวฉัน เสียงเสียดสีกับกระโปรงบัลเลต์ดังขึ้นในตอนที่รุ่นพี่ขยับตัวผ่าน 

 

 

“…รุ่นพี่ ทำไมมาอยู่ที่นี่คะ” 

 

 

“มาซ้อมน่ะ แต่ดูเหมือนจะมารอเจอเธอมากกว่า หรือนี่จะเป็นพลังจิตกันนะ” 

 

 

เสียงหัวเราะคิกคักพลางหยอกล้อของรุ่นพี่ทำให้ฉันเผลอหัวเราะตามไปด้วย หลังจากนั้นมือของรุ่นพี่ก็ยื่นมาใกล้ๆ ก่อนจะลูบหัวฉันอย่างเบามือ ผ้าคลุมที่คลุมตั้งแต่บนหัวลงมาจนถึงบนใบหน้าจึงสั่นเบาๆ และมีเสียงถูกันดังออกมา 

 

 

“แล้วเป็นไงบ้าง” 

 

 

“ก็ ตื่นเต้นนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” 

 

 

“โล่งอกไปที” 

 

 

“แล้วรุ่นพี่ล่ะคะ” 

 

 

ทั้งที่เป็นคำถามที่ถามขึ้นมาอย่างไม่คิดอะไร แต่ไม่รู้ทำไมรุ่นพี่ถึงไม่ตอบอะไรกลับมาเลยสักนิด เอ๋ ฉันที่รู้สึกประหม่าจึงรีบจับแขนของรุ่นพี่เอาไว้  

 

 

นี่ฉันกังวลเกินไปหรือเปล่านะ หรือว่ารุ่นพี่ไม่สบายตรงไหน ด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ฉันจึงยกมือขึ้นไปทาบที่หน้าผากของรุ่นพี่ ในตอนนั้นเองที่รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของรุ่นพี่ 

 

 

“ที่จริงพี่กังวลหน่อยๆ น่ะ” 

 

 

“…รุ่นพี่น่ะเหรอคะ” 

 

 

“ทำไมล่ะ พี่ดูเหมือนจะไม่กังวลงั้นเหรอ” 

 

 

น้ำเสียงหยอกล้อของรุ่นพี่ดูเนือยๆ อย่างบอกไม่ถูก และเสียงขรึมเล็กน้อยนั่นก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นโครมครามอีกครั้ง ฉันลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่เองก็จับมือฉันตอบกลับมาเช่นกัน อุ่นจัง ฉันเองก็อยากจะให้กำลังใจรุ่นพี่อยู่หรอก แต่ดูเหมือนเป็นฉันซะมากกว่าที่ได้รับกำลังใจจากความอบอุ่นนี้ 

 

 

“กอดพี่หน่อยสิ” 

 

 

“…ตอนนี้เหรอคะ” 

 

 

“อือ กอดหน่อย พี่จะได้มีกำลังใจไงล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่งึมงำเหมือนกับเด็ก ก่อนจะอ้าแขนทั้งสองข้างออก พร้อมทั้งทอดสายตามองมาทางฉัน เป็นเพราะมีเพียงแค่เสื้อนักเรียนเท่านั้นที่คลุมอยู่บนร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า กล้ามเนื้อหน้าท้องแน่นๆ ของรุ่นพี่จึงเผยออกมาอย่างเด่นชัด โดยไม่มีอะไรปิดบัง ใบหน้าของฉันที่ร้อนผ่าวขึ้นมาทำให้ฉันไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้ ๆรุ่นพี่ และได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่สักพัก 

 

 

“กยอมกยอม พี่หนาวจังเลย” 

 

 

เสียงกระซิบปนกับเสียงหัวเราะเบาๆ ของรุ่นพี่ทำให้ฉันรู้สึกวาบหวิวไปหมด จนสุดท้ายฉันก็ยอมเข้าไปกอดรุ่นพี่แบบหลวมๆ ถึงจะเข้าหาอย่างระมัดระวัง แต่เป็นเพราะส่วนสูงที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ใบหน้าของฉันจึงทาบอยู่ตรงหน้าอกเปลือยเปล่าของรุ่นพี่ อ๊ะ ฉันได้ยินเสียงหัวใจของรุ่นพี่เต้นรัวเลยล่ะ 

 

 

รุ่นพี่โอบไหล่ฉันเอาไว้ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะผละออกจากฉันอย่างช้าๆ มันรู้สึกอย่างกับว่าเลือดหมุนเวียนอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งร่างกายในคราวเดียว บางทีตอนนี้หัวใจของฉันอาจจะกำลังเต้นเร็วยิ่งกว่ารุ่นพี่ซะอีก 

 

 

“พะ พวกเราไปกันเถอะค่ะ” 

 

 

ฉันพึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ เพราะความเขินอาย พลางก้าวถอยหลัง แต่จู่ๆ รุ่นพี่ก็ยื่นมือออกมาจับหน้าของฉันเอาไว้เบาๆ ริมฝีปากของฉันร้อนผ่าวไปหมดเพราะรู้สึกเกร็ง 

 

 

รุ่นพี่ค่อยๆ เปิดผ้าคลุมหน้าที่ปิดบังใบหน้าของฉันอย่างช้าๆ ใบหน้าของรุ่นพี่ที่ฉันได้เห็นในตอนที่ไม่มีอะไรมาบดบังสายตา และร่างกายเปลือยเปล่าที่เผยออกมาระหว่างชายเสื้อก็ยิ่งมองเห็นได้ชัดมากขึ้น  

 

 

ฉันไม่กล้ามองรุ่นพี่ตรงๆ จึงได้แต่หลบตา แต่แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็เอาชายเสื้อขึ้นมาทาบไว้บนริมฝีปากของฉัน แล้วในชั่วพริบตา ริมฝีปากของรุ่นพี่ก็ประทับลงมาบนนั้น 

 

 

ฉันยืนนิ่งแข็งเป็นหินโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ เสื้อนักเรียนที่กั้นกลางระหว่างริมฝีปากนั้น บางจนสามารถส่งผ่านลมหายใจและไออุ่นมาได้ สัมผัสหวิวๆ ที่ถูกส่งมาทั้งอย่างนั้นทำให้ตาทั้งสองข้างของฉันปิดลงในที่สุด ลิ้นของรุ่นพี่ที่เลียลงบนริมฝีปากที่แนบชิดกันอย่างนุ่มนวล ไม่สิ บนชายเสื้อนั่น มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน 

 

 

“ก็ทำลิปสติกเลอะ ไม่ได้นี่เนอะ” 

 

 

หลังจากนั้น ก็มีเสียงกระซิบเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ผละออกไปอย่างช้าๆ ฉันพยายามประคับประคองสติที่เหลืออยู่อย่างเลือนราง พลางเบือนหน้าหนี ทันทีที่ชายเสื้อของรุ่นพี่ที่เคยทาบอยู่บนริมฝีปากร่วงลงไป มันก็รู้สึกโหวงๆ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างหายไป 

 

 

รุ่นพี่แอบหัวเราะเงียบๆ กับท่าทางไปไม่เป็นของฉัน ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ 

 

 

“สู้ๆ นะ พี่เอาใจช่วย” 

 

 

เสียงปรบมือของผู้ชมดังออกมาจากหลังม่าน ดูท่าการแสดง Romeo and Juliet จะจบลงแล้ว ลำดับต่อไปก็คือ Le Corsaires ซึ่งก็คือการแสดงของพวกเรานั่นเอง 

 

 

“ไปกันเถอะ” 

 

 

รุ่นพี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงรื่นหู แล้วจึงยื่นมือมาให้ฉัน มนต์สะกดที่ไม่ว่าฟังเมื่อไหร่ก็รู้สึกสบายใจ ฉันจับมือรุ่นพี่ที่ยื่นมาให้อย่างระมัดระวัง ตึกตัก ตึกตัก หัวใจที่เงียบสงบลงกลับมาสั่นไหวเหมือนคลื่นทะเลอีกครั้ง 

 

 

 

 

 

* * * 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด