จังหวะรัก นักบัลเลต์ 5-2 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 5-2 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 5-2 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก

 

 

 

 

ทั้งที่เป็นคำถามทั่วไปที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงไม่สามารถตอบมันออกมาได้ง่ายๆ แขนของรุ่นพี่ที่ยังคงหันหลังให้ขณะที่ค้นของในกระเป๋าอยู่นั้น ดูจะเล็กลงกว่าเดิมนิดหน่อย 

 

 

“มีนัดหรือเปล่า” 

 

 

“…มะ ไม่มีค่ะ” 

 

 

“ถ้างั้นไปสวนสนุกกับพี่ไหม” 

 

 

อ๊ะ เจอแล้ว รุ่นพี่หยิบตั๋วเข้าสวนสนุกที่ยับยู่ยี่สองใบขึ้นมาจากกระเป๋า พร้อมหันมาส่งยิ้มให้ฉัน ฉันจึงจ้องมองใบหน้าของรุ่นพี่สลับกับตั๋วนั่นในสภาพร่างไร้วิญญาณ หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็หรี่ตาจนแทบจะเป็นเส้นตรง พลางทำท่าทางสงสัย 

 

 

“ไม่ชอบเหรอ” 

 

 

“ไม่ค่ะ! จะไม่ชอบได้ยังไงล่ะคะ…” 

 

 

“โล่งอกไปที” 

 

 

พอได้จ้องมองดูใบหน้าเบิกบานนั้นของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอย่างแสบตาแล้ว คำพูดที่ซุกซ่อนไว้ภายในส่วนลึกสุดของหัวใจก็เหมือนกับจะพรั่งพรูออกมา 

 

 

“ฝนตกคงจะรู้สึกหดหู่มากเลยสินะ” 

 

 

รุ่นพี่เอากระเป๋ามาทำเป็นหมอนพลางล้มตัวลงนอน ก่อนจะพึมพำอะไรบางอย่างเหมือนเป็นการถอนหายใจ ฉันจับชายกระโปรงตูตูที่ใส่อยู่ แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ รุ่นพี่ พร้อมทั้งพยักหน้า ภายในห้องซ้อมที่มีเพียงแค่เราสองคนมันช่างเงียบมากเสียจนเหมือนกับว่ารุ่นพี่น่าจะได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจเบาๆ ของฉัน 

 

 

ฉันจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของรุ่นพี่กำลังหลับตาอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้รุ่นพี่มากกว่าเดิม ลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ทำให้เส้นผมของรุ่นพี่ปลิวไปมา ไม่รู้ว่ารุ่นพี่รู้สึกคันตรงหน้าผากที่มีผมปลิวไปมาอยู่หรือเปล่า รุ่นพี่จึงขมวดคิ้ว 

 

 

ฉันยื่นมือออกไปอย่างเงียบๆ แล้วจัดเส้นผมของรุ่นพี่อย่างเบามือ แต่อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็ลืมตาโพลงขึ้นมา แล้วมองจ้องฉัน ในตอนที่เผลอสบตากับรุ่นพี่โดยไม่ทันตั้งตัว ฉันจึงรีบชักมือที่เอื้อมไปกลับ 

 

 

ใบหน้าตื่นๆ ของฉันที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคมเข้มของรุ่นพี่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ไม่รู้ทำไม ฉันกลับรู้สึกมึนหัวเสียจนไม่สามารถตั้งสติเอาไว้ได้ กลิ่นอาคาเซียเฉียดผ่านปลายจมูกไป แล้วใบหน้าของรุ่นพี่ก็ขยับเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจของรุ่นพี่ที่รดลงบนใบหน้าของฉัน  

 

 

“กลิ่นแตงโม” 

 

 

รุ่นพี่หยุดนิ่งอยู่ตรงจุดที่ปลายจมูกของพวกเราทั้งสองแทบจะสัมผัสกัน พร้อมกันนั้น เขาก็หรี่ตาลง แล้วพูดพึมพำอยู่คนเดียวด้วยเสียงเบาๆ ต่อจากนั้นในชั่วพริบตา ฉันก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรนิ่มๆ แตะลงบนริมฝีปากของฉัน รอบๆ หูของฉันมีแต่เสียงวิ้งๆ ลอยวนอยู่ในอากาศอย่างกับเสียงไซเรน 

 

 

ขนตาของรุ่นพี่ลดต่ำลงมาใกล้จนเกือบจะแตะเข้าที่แก้มของฉัน เส้นผมที่เลื่อนลงมาปรกหน้าผากของรุ่นพี่ต้องลมจนปลิวไปมาอย่างกับภาพสโลว์โมชั่น ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

ตอนนี้รุ่นพี่กำลัง… 

 

 

“คิมฮวีกยอม” 

 

 

หลังจากนั้นสักพัก ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ผละออกจากริมฝีปากของฉันก็เผยอออกมาอย่างช้าๆ พร้อมกับเรียกชื่อฉันออกมา เสียงหนักแน่นที่เหมือนกับอากาศในฤดูร้อน  

 

 

หัวใจที่ถูกบีบคั้นจนทำให้หายใจติดขัดกับความอายที่ถาโถมเข้ามา เล่นเอาฉันสะดุ้งถอยหลัง แต่มือของรุ่นพี่คว้าท้ายทอยของฉันเอาไว้เสียก่อน จนฉันไม่อาจจะหันซ้ายขวาหรือหันหลังไปได้  

 

 

ด้วยสภาพแบบนั้นแหละที่ฉันถูกรุ่นพี่… คือฉันหมายถึงริมฝีปากของรุ่นพี่ แล้วก็ลิ้นนุ่มๆ นั่นสัมผัสลงบนริมฝีปากของฉันอีกครั้ง เป็นเพราะฉันไม่กล้ามองใบหน้าของรุ่นพี่ที่แนบชิดสนิทกับหน้าของฉันได้อีกต่อไป ฉันจึงหลับตาพร้อมกับกำมือไว้แน่น เล็บจิกเข้าไปที่ฝ่ามือซึ่งเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนรู้สึกเจ็บ 

 

 

มันเกิดอะไรขึ้น ริมฝีปากของรุ่นพี่มีสัมผัสยังไง ริมฝีปากของฉันกำลังขยับเป็นรูปร่างแบบไหน ฉันไม่อาจสัมผัสถึงมันได้เลย ได้แต่กลั้นหายใจจนใบหน้าแทบจะระเบิดออกมา นี่มันอะไรกันแน่เนี่ย 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

“…” 

 

 

“ได้ยินไหม คิมฮวีกยอม” 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่อีกงที่ผละออกมาได้สักพักแล้ว ขยับเพื่อเรียกชื่อของฉันอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ตอบออกไป ลิ้นของรุ่นพี่ก็แทรกเข้ามาระหว่างริมฝีปากที่แยกออกจากกันอย่างไม่ลังเล ลิ้นนั้นทั้งอุ่นและนุ่มกำลังซุกซนอยู่ภายในปากอย่างตั้งใจ  

 

 

ฉันเผลอขย้ำไหล่ของรุ่นพี่อย่างสุดแรง จนรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อล้ำของรุ่นพี่กำลังเกร็งอยู่ มือของรุ่นพี่ที่ออกแรงจับท้ายทอยของฉันมากขึ้นกำลังร้อนวูบขึ้นมา  

 

 

ทำยังไงดี จะทำยังไงดีนะ อย่างกับว่าน้ำตาจะไหลออกมา ระหว่างนั้น รุ่นพี่ก็… ริมฝีปากของรุ่นพี่ รวมไปถึงสัมผัสของลิ้นที่เข้ามาพัวพัน สัมผัสนั้นทำฉันรู้สึกดีจนเกินจะต้านทานได้อีกต่อไป เหมือนน้ำตามันกำลังจะเอ่อออกมา สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนว่าเป็นเรื่องจริงเลยสักนิด นี่เป็นแค่ฝันเท่านั้น เป็นแค่ฝันแน่ๆ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ดีวีดีเรื่อง Le Corsaire กำลังฉายซ้ำอยู่บนจอ แต่ฉันที่เอาแต่คิดถึงเรื่องอื่นอยู่จึงไม่อาจรับรู้ได้ถึงภาพบนหน้าจอและเสียงดนตรีที่ได้ยิน อากาศของคืนในฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยความชื้นลอยผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ฉันนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่นอกหน้าต่าง 

 

 

‘ฮวีกยอม…’ 

 

 

สุดท้ายฉันก็ร้องไห้ออกมา ดวงตาของรุ่นพี่ที่กำลังปลอบฉันที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่นั้น ช่างดูเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก รุ่นพี่ทำสีหน้ายุ่งเหยิง พร้อมกับลูบแก้มของฉันอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับพึมพำ 

 

 

‘ขอโทษนะ’ 

 

 

ในน้ำเสียงของรุ่นพี่ ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วนอย่างชัดเจน เป็นเพราะอะไรถึงได้ร้องไห้ขนาดนั้นกันนะ พอลองมาคิดดูอีกครั้งแล้ว ความรู้สึกอับอายข้างในจิตใจไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย อายจนอยากจะเอาจมูกจุ่มลงไปในถ้วยที่ใส่น้ำอยู่ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง 

 

 

รุ่นพี่โซยอนที่เข้ามายังห้องซ้อมตรงเวลา รู้สึกทำตัวไม่ถูกจนถึงกับต้องเดินกลับออกไป ส่วนรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่ตามหลังเข้ามาก็ถามปนต่อว่ารุ่นพี่ว่าดุฉันอีกแล้วอย่างงั้นเหรอ 

 

 

‘พี่คงจะหยอกเล่นแรงไปหน่อยสินะ’ 

 

 

รุ่นพี่อีกงยิ้มแห้งๆ พลางพึมพำออกมาเบาๆ สุดท้ายฉันก็ซ้อมต่อไม่ได้ จึงวิ่งหนีกลับบ้านไป  

 

 

ฉันที่ตั้งใจจะตั้งสติที่เหลืออยู่อย่างน้อยนิดเอาไว้ จึงยืนอยู่ใต้ฝักบัวที่เปิดน้ำเย็นฉ่ำสักพักก่อนจะออกมา ความเย็นนั้นทำเอาขนลุกจนสั่นไปหมดทั้งตัว แม้ว่าจะเปิดดีวีดีเรื่อง Le Corsaire ขึ้นมาดูซ้ำๆ อย่างที่ทำเป็นกิจวัตร แต่ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ฉันกลับไม่ได้คิดอะไรเลยสักนิด 

 

 

ล้อเล่น หยอกเล่นงั้นเหรอ เสียงของรุ่นพี่ดังสะท้อนอยู่รอบๆ ภายในหัวมันยุ่งเหยิงไปหมดในขณะที่ฉันกรีดร้องออกมาอย่างไม่มีเสียง แล้วจู่ๆ ฉันก็เอามือมาสัมผัสที่ริมฝีปากอย่างแผ่วเบา คงเป็นเพราะอารมณ์พาไป เลยทำให้หน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ไม่สิ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ก็มันเป็นเรื่องเพ้อฝันไม่ใช่เหรอ 

 

 

ฉันหลับตาแน่นพลางถอนหายใจออกมาอย่างหมดแรง ถูหน้าไปมา แก้มที่ฝ่ามือลูบผ่านร้อนวาบขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกตัว 

 

 

“ทั้งที่เป็นจูบแรกแท้ๆ” 

 

 

รุ่นพี่แค่แกล้งเท่านั้นจริงๆ เหรอ ข้างในจิตใจรู้สึกอย่างกับว่ามีอะไรบางอย่างพรั่งพรูขึ้นมา ฉันจึงเอาหน้ามุดลงไปที่หมอน พร้อมกับดิ้นพล่านไปมา  

 

 

พอเงยหน้าขึ้นมาหลังจากที่มุดหน้าอยู่นาน หัวก็เหมือนหมุนติ้วอย่างกับตอนที่หมุนท่าชาเน่(chaines) นั่นเป็นตอนที่อัลลีกำลังเต้นอยู่ในจอซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือพอดี 

 

 

ฉันเผลอหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงขึ้นมา สติกเกอร์ที่รุ่นพี่ติดใหยังคงส่องแสงเป็นประกายในความมืด ฉันลูบคลำสติกเกอร์นั้นอยู่สักพัก พลางนึกถึงรุ่นพี่อีกงขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“ทั้งที่ฉันชอบแท้ๆ” 

 

 

ฉันชอบรุ่นพี่จริงๆ นะคะ 

 

 

‘พี่คงจะหยอกเล่นแรงไปหน่อยสินะ’ 

 

 

แล้วน้ำเสียงลำบากใจของรุ่นพี่ก็ดังกังวานอยู่ภายในหู จนท้ายที่สุด ฉันก็เขวี้ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งเพราะอารมณ์เสีย ก่อนจะซุกหน้ากลับลงไปที่หมอนตามเดิม 

 

 

พรุ่งนี้จะมองหน้ารุ่นพี่อย่างไรดีนะ ฉันจะไปโรงเรียนกับรุ่นพี่ได้อีกหรือเปล่า ความคิดวุ่นวายเริ่มผุดขึ้นมาในหัวไม่ขาดสาย 

 

 

“โอ๊ยยยยยย” 

 

 

เสียงเพลงของอัลลีที่ดังออกมาจากลำโพงแทรกเข้ามาในหูอย่างชัดเจน เสียงถอนหายใจยังคงดังออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับพูดพร่ำคนเดียวว่า ยัยบ้า ยัยโง่ คิมฮวีกยอม 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ยัยโง่ ถึงจะโง่อย่างไร แต่ก็ไม่ควรจะโง่ขนาดนี้สิ ฉันตื่นขึ้นมาด้วยสติที่เลือนราง จ้องมองไปยังนาฬิกา พร้อมกับเขกหน้าผากตัวเองจนเจ็บ แม้ว่าเซจินจะชอบบ่นว่าให้ฉันแก้นิสัยที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่นี่น่ะ ไม่ใช่การทำร้ายตัวเอง แต่เป็นการยืนยันว่านี่คือ ‘เรื่องจริง’ ต่างหากล่ะ 

 

 

“เอาแต่เหม่ออยู่ตลอดสิน่า คิมฮวีกยอม” 

 

 

ต่อให้เป็นฤดูร้อน แต่นี่ก็เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเมื่อคืนฉันเอาแต่อาบน้ำเย็นอย่างตื่นเต้นไปหน่อย ก็เลยเป็นไข้ขึ้นมาแทน ภายใต้สติที่เริ่มจางหายไปจากความร้อนของพิษไข้ คุณป้าเปิดประตูเข้ามาแล้วเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่หลังจากนั้น ภายในหัวก็ขาวโผลน และฉันก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย 

 

 

หลังจากที่พยายามลืมตาขึ้นมาได้ นาฬิกาก็ชี้บอกเวลาสี่โมงเย็น ที่หน้าผากของฉันมีผ้าขนหนูที่หายเย็นแล้ววางอยู่ 

 

 

“หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยนะเนี่ย” 

 

 

ฉันถอนหายใจแล้วพลิกตัว มีเสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกเขวี้ยงทิ้งไปเมื่อวานอยู่ตรงไหนสักที่ตรงหัวเตียง เซจินหรือเปล่านะ ฉันหยุดชะงักลงทันทีในตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปเพื่อเช็คโทรศัพท์ 

 

 

หรือว่า รุ่นพี่อีกงจะติดต่อมา พอคิดถึงตรงนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็แวบขึ้นมาในหัว ฉันเลยไม่มีความกล้าแม้แต่จะเช็คดูโทรศัพท์มือถือ 

 

 

รุ่นพี่จะต้องโกรธมากแน่ๆ ซ้อมก็ไม่ซ้อมดีๆ ไหนจะโดดออกมาเหมือนหนีซ้อมอีก แถมวันนี้ยังไม่ออกไปเจอตามนัดโดยไม่บอกไม่กล่าวอีก หรือว่าเขาจะรอนะ หรือว่าคุณป้าจะติดต่อไปที่โรงเรียน ถ้าเซจินบอกรุ่นพี่ด้วยก็คงจะดีน่ะสิ 

 

 

ระหว่างที่เอาแต่คิดถึงเรื่องต่างๆ มากมาย โทรศัพท์ก็ยังคงร้องอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนสุดท้ายฉันจึงต้องแกะเอาแบตเตอรี่ออกมาแทน 

 

 

“โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว” 

 

 

ฉันห่มผ้าห่มขึ้นมาจนมิดหัว อาจเป็นเพราะอุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนผ่าวขึ้นมา ทำให้แม้ว่าจะนอนอยู่ก็ยังรู้สึกมึนหัวอย่างหนักอยู่ดี ทำไมนะ อย่างกับไข้มันยิ่งหนักขึ้นเลยแฮะ 

 

 

ฉันจับหัวที่มีเสียงวิ้งๆ ดังออกมาเอาไว้แน่น พร้อมกับร้องโอดโอย และพยายามพยุงตัวขึ้นมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่ถือผ้าขนหนูอุ่นๆ เดินออกไปข้างนอก ฉันก็ได้เห็นว่ามีโน้ตที่คุณป้าเขียนถูกทิ้งเอาไว้บนโต๊ะในห้องครัว 

 

 

 

 

 

‘เซจินบอกว่าจะมาหาน่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมาที่บริษัทป้านะ’ 

 

 

 

 

 

คุณป้าคงไปทำงานสายเพราะมัวแต่คอยดูแลฉัน ตัวหนังสือของคุณป้าเลยดูตวัดจนเหมือนกับจะบินออกไป พอเห็นอย่างนั้น ความรู้สึกผิดก็พุ่งขึ้นมา ฉันมันเป็นได้แค่ตัวปัญหา ทั้งกับคุณป้า ทั้งกับเซจิน แล้วก็ทีม Le Corsaire ด้วย 

 

 

ฉันวางกระดาษโน้ตของคุณป้าลงพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะไปทำให้ผ้าขนหนูเย็นอีกครั้ง แล้วแปะมันกลับไปที่หน้าผาก หลังจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามาในห้อง บนโต๊ะหนังสือมีเครื่องดื่มเกลือแร่และถุงยาที่เหมือนคุณป้าจะเป็นคนซื้อมาให้วางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด