จังหวะรัก นักบัลเลต์ 6-3 ปรัสเซียนบลู

Now you are reading จังหวะรัก นักบัลเลต์ Chapter 6-3 ปรัสเซียนบลู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 6-3 ปรัสเซียนบลู

 

 

 

 

พวกเราเริ่มเดินออกจากซอยไปยังสวนสาธารณะ ความรู้สึกจั๊กจี้เกิดขึ้นเมื่อนิ้วมือของอีกฝ่ายเฉียดผ่านไปเบาๆ กลางอากาศ เสียงฮึมฮัมเพลงของรุ่นพี่วนเวียนอยู่ในหูของฉัน แต่แล้วมือของรุ่นพี่ที่แกว่งร่มพับอันเล็กๆ อยู่ก็หยุดกลางอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนมาคว้าหมับเข้าที่มือของฉันเอาซะดื้อๆ 

 

 

อ่า ช่วงเวลานี้ช่างมีความสุขมากเหลือเกิน อุณหภูมิร่างกายอุ่นๆ ของรุ่นพี่ ฝ่ามือที่เปียกเหงื่อเล็กๆ แล้วก็ความรู้สึกจั๊กจี้ที่เกิดจากนิ้วมืออันแข็งแรงของรุ่นพี่แทรกตัวมาอยู่ระหว่างนิ้วมือของฉัน 

 

 

ด้วยความรู้สึกที่อยากเข้าไปอยู่ใกล้มากกว่านี้ ทำให้ฉันแอบเขยิบตัวเข้าไปข้างๆ นาฬิกาข้อมือที่รุ่นพี่สวมอยู่จึงแนบติดอยู่กับข้อมือของฉัน 

 

 

หลังจากวันนั้น พวกเราก็ยังคงไปโรงเรียนด้วยกัน ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนไป นั่นก็คงเป็นการที่รุ่นพี่มายืนรอฉันอยู่ที่หน้าบ้านนั่นเอง 

 

 

ไข้หวัดที่มาคอยรังควานฉันอยู่ตลอดทั้งวัน ได้หายไปในชั่วพริบตาราวกับเป็นเรื่องโกหก ฉันได้กลับมาซ้อม Le Corsaire อีกครั้ง และเป็นเพราะฉันชอบใบหน้าของรุ่นพี่อีกงตอนที่ยิ้มอย่างพึงพอใจขณะดู Le Corsaire ที่เป็นไปได้ด้วยดี เลยทำให้ฉันยิ่งมุ่งมั่นและจริงจังกับการซ้อมมากขึ้นไปอีก ฤดูร้อนยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“วันเสาร์แล้วเหรอเนี่ย” 

 

 

“นั่นน่ะสิคะ” 

 

 

“ถ้าพรุ่งนี้อากาศดีก็ดีสิ” 

 

 

“ใช่! จริงด้วยค่ะ” 

 

 

“พี่ไม่ได้ไปสวนสนุกมานานแล้วน่ะ ก็เลยตื่นเต้นสุดๆ” 

 

 

รุ่นพี่ยกฝ่ามือขึ้นไปวางทาบที่หน้าอกข้างซ้าย แล้วยิ้มราวกับเด็กๆ พรุ่งนี้ก็จะถึงวันที่เคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวสวนสนุกกับรุ่นพี่อีกงแล้ว 

 

 

“ฮวีกยอมเล่นเครื่องเล่นเก่งไหม” 

 

 

“อืม ก็ประมาณหนึ่งค่ะ” 

 

 

“ว้าว แต่พี่เล่นไม่เก่งเลยน่ะสิ” 

 

 

“เอ๋ จริงเหรอคะ” 

 

 

“อือ” 

 

 

“แล้วทำไมถึงได้…” 

 

 

ฉันที่ตั้งใจจะถามว่า แล้วทำไมถึงได้ชวนไปสวนสนุกล่ะคะ เลือกที่จะปิดปากเงียบไว้ เพราะกลัวว่าถ้าถามคำถามนั้นไป รุ่นพี่อาจจะยกเลิกนัดแทน 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะด้วยเสียงที่ดังและร่าเริง เขากุมมือของฉันแน่นยิ่งขึ้น พร้อมทั้งแกว่งไปมาหน้าหลังอย่างสนุกสนาน นั่นเลยทำให้กระโปรงชุดนักเรียนของฉันสะบัดพริ้วอย่างกับคลื่นในน้ำ 

 

 

“เรามาสนุกกันจนกว่าเขาจะเปิดรอบกลางคืนเลยแล้วกันนะ!” 

 

 

“เอ่อ ค่ะ!” 

 

 

“ไปดูดอกไม้ไฟด้วย แล้วก็ถ่ายรูปด้วย” 

 

 

รุ่นพี่อีกงเอาแต่พูดคำพูดที่เหมือนกับอยู่ในฝัน พลางส่งยิ้มมาให้ แก้มของรุ่นพี่ที่กลายเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความร้อนดูน่ารักเสียจนฉันหลุดยิ้มออกมา  

 

 

ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อที่จะก้าวให้ทันรุ่นพี่ที่เดินเร็วขึ้นมาเล็กน้อย ฝ่ามือของรุ่นพี่ที่แตะกัน แล้วก็ผละห่างจากกันอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ กำลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ความร้อนจากมือของฉันที่ถูกกุมอยู่ในมือของรุ่นพี่ ทำให้ฉันรู้สึกผิดจนตั้งใจจะขยับมือออก แต่รุ่นพี่กลับรั้งนิ้วมือของฉันที่เกี่ยวกันอย่างแนบแน่นเอาไว้ พร้อมกับเอาฝ่ามือมาแนบชิดติดกันอีกครั้ง 

 

 

“อย่าปล่อยนะ” 

 

 

ฉันตกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมาเพราะน้ำเสียงจริงจังของรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่ก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงมือฉันไปข้างหน้า แล้วจู่ๆ ก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้น 

 

 

“ระ รุ่นพี่คะ!” 

 

 

“ถ้าไม่รีบวิ่งพวกเราจะสายเอานะ” 

 

 

กระเป๋าที่สะพายอยู่ที่ไหล่เด้งไปมาอยู่บนหลัง ระหว่างที่วิ่งอย่างตะลีตะลานเพื่อก้าวตามให้ทันรุ่นพี่ ฉันก็ได้ยินเสียงเม็ดทรายที่ถูกพื้นรองเท้าผ้าใบเตะ กลิ้งตกลงเนินเขาไป 

 

 

กว่าพวกเราจะมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ก็เล่นเอาหายใจจนเหนื่อยหอบขึ้นมาถึงคอ รุ่นพี่ถึงกับโค้งตัวหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ก่อนที่จะยืดตัวขึ้นมา แล้วเริ่มหัวเราะราวกับกำลังสนุกและสดชื่นแบบสุดๆ พอได้ฟังเสียงหัวเราะนั้นแล้ว แม้แต่ฉันก็ยังหลุดหัวเราะออกมาด้วย 

 

 

พวกเราจับมือของกันและกันอยู่อย่างนั้น พร้อมกับเริ่มหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าพวกเด็กๆ ที่เดินผ่านไปมาจะเหลือบมองมา แต่ฉันและรุ่นพี่ก็ยังคงหัวเราะร่าโดยไม่สนใจใคร จนต้องถึงกับเช็ดรอบดวงตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา พลางจ้องตากัน รูปตายาวๆ ของรุ่นพี่ที่มีดวงตาสีดำเข้มราวกับเม็ดหมากล้อมกำลังโก่งเป็นเส้นโค้ง 

 

 

จู่ๆ ระหว่างมือที่จับกันอยู่ก็มีลมเบาๆ พัดผ่าน ตึกตัก หัวใจเต้นเหมือนจะหลุดออกมา รุ่นพี่ก้มลงมาจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับฉัน ก่อนที่จะใช้หลังมือของตัวเองบรรจงเช็ดเหงื่อที่เปียกอยู่ที่หน้าผากของฉัน แต่พอคิดถึงใบหน้าที่แดงแจ๋ขึ้นมาเพราะตั้งใจวิ่งอย่างเต็มที่ในวันที่อากาศร้อน มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอายขึ้นมาหน่อยๆ 

 

 

“พี่ต้องแวะห้องพักครูก่อนน่ะ ไปก่อนเถอะ” 

 

 

“ค่ะ” 

 

 

“ไว้เจอกันนะ กยอมกยอม!” 

 

 

รุ่นพี่ฉีกยิ้มกว้าง พร้อมกับเรียกฉันด้วยชื่อเล่นที่เซจินตั้งให้ต่อท้าย ก่อนจะโบกมือให้แล้วเริ่มวิ่งไปทางห้องพักครู ฉันจ้องมองดูเสื้อนักเรียนของรุ่นพี่ที่สะบัดพริ้ว พลางขย้ำชายเสื้อนักเรียนของตัวเองอยู่อย่างนั้น อย่างกับว่าที่ฝ่ามือยังคงมีเหงื่อและอุณหภูมิของรุ่นพี่หลงเหลืออยู่ 

 

 

“กยอมกยอม” 

 

 

ฉันนึกถึงน้ำเสียงของรุ่นพี่ แล้วก็ลองออกเสียงตามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แม้ว่านี่จะเป็นชื่อเล่นที่ฉันเคยบ่นกับเซจินว่า อย่าเรียกเหมือนชื่อหมาสิ แต่ฉันก็กลับเผลอยืนยิ้มอยู่คนเดียวอย่างเขินอาย 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ตรงนี้ต้องออกแรงให้เป๊ะๆ แล้วค่อยผ่อนสิ ถ้าขืนหมุนไปอีกรอบ จังหวะมันก็จะช้าไป” 

 

 

หลังจากที่เสียงดนตรีของปาเดอทัว[1]ที่เล่นอยู่ถูกปิดไป คำวิจารณ์ของรุ่นพี่อีกงก็ดังขึ้น คอนราดซึ่งคือรุ่นพี่ซอจุน และเมโดราที่รุ่นพี่โซยอนรับบทแสดงรีบหยุดการเคลื่อนไหว แล้วหันกลับมาฟังรุ่นพี่อีกงอย่างตั้งใจ 

 

 

“แค่หมุนให้น้อยกว่านี้หน่อยก็น่าจะพอ แล้วก็โฟกัสไว้ อย่าให้หลุดจากพอยต์…” 

 

 

“รุ่นพี่อีกง วันนี้มีเรื่องดีๆ อะไรเหรอครับ” 

 

 

คนที่จู่ๆ ก็ถามตัดบทรุ่นพี่อีกงขึ้นมาเบาๆ ก็คือรุ่นพี่ซอจุนนั่นเอง ด้วยน้ำเสียงของรุ่นพี่ซอจุนที่ถามด้วยคำพูดเชิงหยอกล้อปนรอยยิ้ม ทำให้สายตาของฉันรวมไปถึงคนอื่นๆ จับจ้องไปที่รุ่นพี่อีกง รุ่นพี่อีกงเบิกตากลมโตเหมือนกับจะบอกว่ากำลังรู้สึกกระอักกระอ่วน แล้วจึงเอียงคอทำท่าสงสัย 

 

 

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามแบบนั้นล่ะ” 

 

 

“ก็บนหน้ามันเขียนว่า แฮปปี้สุดๆ อยู่น่ะสิครับ” 

 

 

รุ่นพี่ซอจุนยักคิ้วมาทางพวกเรา พร้อมกับทำสีหน้าเหมือนกับจะขอความเห็นด้วย ต่อจากนั้นใบหน้าของรุ่นพี่อีกงก็แดงแจ๋ขึ้นมา พวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่เห็นท่าทางแบบนั้นเข้าจึงผลัดกันรับส่งอย่างสนุกสนาน ขณะที่รุมล้อมรุ่นพี่อีกงอยู่ 

 

 

“หมู่นี้เปิดโหมดเสืออยู่ทุกวัน แล้วอยู่ดีๆ มีเรื่องอะไรกันนะ จู่ๆ ถึงได้กลายมาเป็นคนอ่อนโยนแบบนี้” 

 

 

“เพราะอีกเดี๋ยวก็ปิดเทอมแล้วไง ใช่ไหมล่ะ ปิดเทอมน่ะ” 

 

 

“หือ ใช่เหรอครับ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องทำหน้ามีความสุขนี่นา” 

 

 

“หน็อย เจ้าเด็กพวกนี้ จริงๆ เลย” 

 

 

ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับการซักไซ้หยอกล้อของพวกรุ่นพี่ที่ยังคงดำเนินต่อไป จึงได้แต่สังเกตสีหน้าของพวกรุ่นพี่ พอเป็นปีหนึ่งคนเดียว ก็เลยถูกนับรวมเป็นพวกเดียวกันไปด้วย นั่นเลยกลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่สามารถห้ามพวกรุ่นพี่ได้ แต่เพราะรุ่นพี่อีกงเองก็ดูจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ นั่นแหละ มันเลยทำให้ฉันเองก็พลอยรู้สึกสงสัยไปด้วย 

 

 

“ที่ตอนนี้พวกนายทำแบบนี้ เพราะขี้เกียจซ้อมสินะ” 

 

 

“โห ตั้งใจจะเบี่ยงประเด็นเลยมาใส่ร้ายพวกเรางั้นเหรอครับ” 

 

 

“เกินไปแล้วนะคะ!” 

 

 

“โอเคๆ ก็ได้ ไอ้เรื่องดีๆ น่ะมันก็มีอยู่หรอก” 

 

 

“ก็แล้วเรื่องดีๆ ที่ว่ามันคืออะไรล่ะครับ” 

 

 

ทันทีที่พวกรุ่นพี่ที่ปกติแทบจะไม่พูดอะไรต่างขึ้นเสียงสูงถามรุ่นพี่อีกง รุ่นพี่ที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงกลางวงด้วยสีหน้าเลิ่กลั่กนั้น สุดท้ายก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นพลางตอบ 

 

 

“พรุ่งนี้ฉันมีนัดเดต มีเดตน่ะ!” 

 

 

“เฮ้ย รุ่นพี่ จริงดิ!” 

 

 

คนที่ตกใจเสียยิ่งกว่าพวกรุ่นพี่ก็คือฉันต่างหากล่ะ เพราะตกใจมากจริงๆ ฉันเลยยืนทำปากพะงาบๆ ด้วยท่าทางลังเล พอดีกับที่รุ่นพี่หันมาสบตากับฉันเข้าพอดี รุ่นพี่หรี่ตาเป็นเส้นตรง แล้วทำปากจู๋พลางกระซิบเสียง ชู่ว์ ออกมาเบาๆ 

 

 

สุดท้ายฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำปากอุบอิบ แล้วก็หลบสายตาของรุ่นพี่ เดต คำๆ นั้นวนเวียนอยู่ภายในหัวจนรู้สึกจั๊กจี้ และใบหน้าก็ร้อนวูบวาบไปหมด 

 

 

ไม่รู้ว่าพวกรุ่นพี่ต้องการจะหาข้ออ้างเพื่อหยุดการซ้อมอย่างต่อเนื่องนี้ หรือว่าอยากรู้เรื่องการเดตของรุ่นพี่อีกงกันแน่ พวกรุ่นพี่จึงเข้ามาเกาะแกะรุ่นพี่อีกง แล้วจึงเริ่มรุกถามขึ้น 

 

 

“รุ่นพี่มีแฟนแล้วเหรอ” 

 

 

“แล้วเป็นคนแบบไหน” 

 

 

“คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว” 

 

 

ขอโทษนะคะที่ฉันไม่ใช่แฟนน่ะ ฉันเอาแต่ลูบคลำนิ้วมืออยู่อย่างนั้น พลางทำปากจู๋แล้วบ่นพึมพำเบาๆ พอเห็นรุ่นพี่ที่ยืนเหงื่อตกกับคำถามที่ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่องไม่จบสิ้น ไม่รู้ทำไม แต่มันทำให้ฉันคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว 

 

 

ในตอนที่ฉันกำลังจะอ้าปากพูดขึ้นมาว่า มาซ้อมกันเถอะ อยู่ๆ ฉันก็ไปสะดุดตาเข้ากับรุ่นพี่โซยอนที่กำลังนั่งอยู่ที่พื้น รุ่นพี่โซยอนปล่อยผมที่เคยถูกมัดเอาไว้ ก่อนที่จะผูกมันกลับเข้าไปใหม่ เธอปักหลักอยู่ตรงที่เดิม แล้วทำท่าพอยต์กับเพลกซ์ไปมาซ้ำๆ 

 

 

“พวกเรามาซ้อมกันเถอะ” 

 

 

เสียงแหลมสูงที่ไม่สมกับเป็นรุ่นพี่โซยอนทำให้รุ่นพี่คนอื่นๆ หันหน้ามาด้วยความตกใจ รุ่นพี่โซยอนที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี จึงได้แต่ปิดปากเงียบด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาแล้วเดินมาทางฉันอย่างช้าๆ ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงยิ้มแห้งๆ ให้ฉัน แล้วยื่นมือมาพร้อมกับชวนว่า พวกเรามาลองเต้นด้วยกันไหม 

 

 

ฉันที่ถูกลากไปอยู่ตรงกลางห้องซ้อมเต้นที่เงียบลงในชั่วพริบตา มองพวกรุ่นพี่ที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายกับรุ่นพี่โซยอนสลับกันไปมาด้วยสีหน้างุนงง อุณหภูมิอุ่นๆ จากร่างกายของรุ่นพี่โซยอนที่มาจับมือของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆ 

 

 

“ใช่ๆ รีบซ้อม แล้วรีบกลับกันเถอะ เปิดเพลงสิ” 

 

 

พอรุ่นพี่ตะโกนเสียงดังออกมา พลางตบมือเพื่อจัดการสถานการณ์ให้เข้าที่เข้าทาง รุ่นพี่ซอจุนก็รีบเดินตรงไปยังเครื่องเล่นซีดี ในไม่ช้าเสียงดนตรีก็ดังออกมาจากลำโพง 

 

 

ฉันเริ่มวาดท่าที่คุ้นเคยด้วยร่างกายคุ้นชิน พลางจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของรุ่นพี่โซยอนที่กำลังแข็งทื่อต่างไปจากปกติ เหมือนฉันจะเข้าใจถึงความรู้สึกของรุ่นพี่โซยอนได้อย่างไรก็ไม่รู้ 

 

 

แต่ถึงแม้ว่าฉันจะคิดว่า ควรจะบอกรุ่นพี่เรื่องนัดของฉันที่เป็นแค่รุ่นน้อง ไม่ได้เป็นฟงเป็นแฟนอะไรออกไปดีไหม แต่สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะส่ายหัวเบาๆ แทน ดนตรีที่ล่องลอยมาอย่างนุ่มนวล จู่ๆ ก็ค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]  pas de trois : การเต้นสามคน 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด