ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 1 6 โมงเย็นที่ไม่เหมือนเดิม

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 1 6 โมงเย็นที่ไม่เหมือนเดิม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1 6 โมงเย็นที่ไม่เหมือนเดิม

“วันที่ 2 กรกฎาคม มณฑลยูนนาน นครหนานเจียง ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง…ขณะเวลาสี่ทุ่มตรง เด็กผู้หญิงสามคนกำลังนั่งเล่นกระดานผีถ้วยแก้วอยู่ภายในห้องเรียนของพวกเธอ ต่อมา มีคนพบศพเด็กหญิงเอ นอนตายอยู่ภายในห้องเรียน ในขณะที่เด็กอีกสองคนถูกพบว่าเสียชีวิตภายในบ้านของตัวเองในวันถัดมา ก่อนที่พวกเธอจะเสียชีวิต ครอบครัวของเด็กหญิงบี ได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวของพวกเขา บอกว่ามีใครบางคนกำลังเดินอยู่ในบ้าน เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทั้งประตูและหน้าต่างล้วนถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา เด็กหญิงตรวจสอบมันจนแน่ใจและพบว่าไม่มีวี่แววของใครอื่นนอกจากตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเธอกลับได้ยินเสียงลมหายใจดังมาจากด้านหลังของตัวเอง”

“สองชั่วโมงก่อนที่ความตายจะมาถึงตัวเด็กหญิงซี ผู้เป็นพ่อก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกสาวของเขาด้วยข้อความที่แทบจะเหมือนกัน…มีใครบางคนอยู่ที่บ้าน ขณะที่เธอกำลังนั่งทำการบ้านของตัวเองอยู่ข้างหน้าต่าง จู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนกำลังมองเธออยู่จากอีกด้านหนึ่งของหน้าต่าง มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายจับจ้องสายตามาที่เธอโดยไม่ขยับไปไหนทั้ง ๆ ที่เธออาศัยอยู่ในชั้นที่ 6 หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ร่างไร้ชีวิตของเธอก็ถูกพบเข้า โดยที่ใบหน้าของศพแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังอยู่ในสภาวะหวาดกลัวสุดขีดก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลง”

เด็กหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่คม ร่างสมส่วนและใบหน้าคมคาย ผิวของเขาเรียบเนียนและดูอ่อนเยาว์ คิ้วคมเข้มรับกับรูปหน้าแต่ไม่ได้ดูหนาจนเกินไป ทรงผมธรรมดา ๆ ที่ผมด้านหน้ายาวลงมาเล็กน้อย ส่วนสูงประมาณ 175 เซนติเมตร

บนโต๊ะของเขามีหนังสือเล่มหนึ่งถูกกางค้างเอาไว้ เจ้าตัวไล่อ่านเนื้อหาข่าวในหน้าจอโทรศัพท์พร้อมกับนิ้วเรียวที่เลื่อนหน้าจอไปมาอย่างรวดเร็ว สายตายังคงจับจ้องไปที่โทรศัพท์ของตัวเองโดยที่ไม่ละไปไหน

“วันที่ 8 กรกฎาคม มณฑลกาน โรงเรียนมัธยมปลายเพาถง…เกิดเหตุการณ์ไฟดับขึ้นภายในห้องเรียนเป็นระยะเวลาสามนาที ไม่มีสถานที่ใกล้เคียงที่ไหนที่ประสบเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ และผลจากการสืบสวนก็เผยว่าระบบการจ่ายไฟไม่ได้เกิดปัญหาใด ๆ…แต่หลังจากจบวิชาแนะแนวในตอนเย็นเพียงแค่สามนาที เด็กนักเรียนเก้าคนก็ถูกพบว่าเป็นศพ โดยมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของพวกเขา”

“วันที่ 12 กรกฎาคม….”

ฟึ่บ!….โทรศัพท์ในมือของเขาถูกดึงออกไป ก่อนที่เขาจะอ่านเนื้อหาข่าวเรื่องถัดไปจบ ฉินเย่เงยหน้าขึ้นมามองรอบตัวเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่นั่งมาสักพัก

มณฑลเสฉวน นครเซียเจียง เมืองชิงซี โรงเรียนมัธยมชิงซี โรงเรียนมัธยมแห่งเดียวในเมือง บนกระดานดำที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของห้องเรียนถูกประดับประดาไปด้วยคำพูดมากมาย ยกตัวอย่างเช่น “อีก 365 วันจะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย” และยังข้อความอื่น ๆ ที่ถูกเขียนกระจัดกระจายเป็นทั่วทุกส่วนของกระดาน ย้ำเตือนให้เหล่านักเรียนมัธยมศึกษาปีสุดท้ายตั้งใจอ่านหนังสือ

โต๊ะเรียนในห้องเรียนค่อนข้างเก่าและล้าสมัย สีทาโต๊ะลอกออกมาเล็กน้อยเผยให้เห็นไม้สีน้ำตาลเข้มอยู่ด้านล่าง

ตอนนี้เป็นเวลา 5 โมงเย็นแล้ว คาบเรียนสุดท้ายของวันนี้เพิ่งจะจบลงไม่นาน ภายในห้อง มัธยมปลายห้อง 2 เหลือนักเรียนอยู่เพียงไม่กี่คน หากพูดกันตามตรง…นอกจากเขาแล้ว ยังมีนักเรียนอีกสองคนที่ยังนั่งทำงานอยู่ทางด้านขวามือของเขา

เด็กนักเรียนที่นั่งทางด้านซ้ายนั้นแต่งตัวราวกับนักเลงหัวไม้ เขาปลดกระดุมเสื้อนักเรียนเม็ดบนออกสามเม็ด เผยให้เห็นโซ่สีเงินราคาถูกที่มีความแวววาวเล็กน้อย ส่วนคนที่นั่งด้านขวานั้นสวมชุดนักเรียนเกรดพรีเมียม ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งกายดูดีและสูงส่ง แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายกลับดูโหดเหี้ยมและไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย แถมยังมีรอยยิ้มที่ดูเหมือนดูถูกคนทั้งโลกอีกด้วย เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสองคนคือคู่หูตัวร้าย

หัวใจของฉินเย่เต้นถี่จนได้ยินเสียงหัวใจเต้น ตึกตัก

จางอี้หลง และหวังเฉิงห่าว…ทั้งสองคนคือเด็กมีปัญหาชื่อดังในห้องของเขา พวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่างที่คุณจะคิดออก ตั้งแต่ต่อยตีจนไปถึงสูบบุหรี่และแกล้งพวกเด็กผู้หญิง ฉินเย่ทำตัวเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง [1] หลบเลี่ยงได้เขาก็จะหลบไปให้ไกลจากสองคนนี้ที่สุด แต่ในวินาทีที่กำลังสนใจกับข่าวบนหน้าจอโทรศัพท์ ทำให้เขาลืมดูเวลาจนไม่ได้กลับบ้านไปพร้อมกับเพื่อนคนอื่น ๆ

มันเป็นปัญหาที่พบเจอได้ในทุกโรงเรียนและทุกระดับชั้น เด็กอันธพาลพวกนี้มักจะสร้างปัญหาขึ้นมาโดยไร้เหตุผล และเด็กทั่วไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากกัดฟันและแอบสาปแช่งคนพวกนี้ในใจ ความรุนแรงภายในโรงเรียนคือจุดด่างพร้อยของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง

กริ๊ก!…ไฟแช็คพลาสติกราคาถูกถูกจุดขึ้นเพื่อจุดบุหรี่ราคาถูกยี่ห้อหนึ่ง กลิ่นฉุนของมันทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะสงบใจลงอีกครั้ง จางอี้หลงทำท่าทางอวดดี ก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างจงใจ จากนั้นเขาจึงหันไปมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของตนและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ติดจะดูถูกว่า “นี่นายโง่หรือไง?”

“ผีถ้วยแก้ว….นักเรียนหญิงเก้าคนเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ…หึหึหึ ไอ้พวกที่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ เรื่องพวกนี้มันเอามาทำข่าวได้ยังไงวะ พวกบรรณาธิการของสำนักพิมพ์หาข่าวที่มันดีกว่านี้มาไม่ได้เลยหรือไง?”

“ฉันได้ยินมาว่าที่บ้านนายขายอุปกรณ์งานศพนี่ใช่ไหม?” อี้หลงเหลือบตามองฉินเย่ แต่อีกฝ่ายก็ปิดปากแน่นและพูดแค่ว่า “เอาโทรศัพท์ฉันคืนมา”

“ไอ้นี่…./คืนเขาไปซะ” ก่อนที่อี้หลงจะพูดจบ หวังเฉิงห่าวก็เอ่ยแทรกขึ้นมา อีกฝ่ายกระโดดนั่งลงบนโต๊ะเรียนของเขา พาดขาไปที่บนเก้าอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองฉินเย่ “เดี๋ยวเขาก็โมโหหรอก…นายคิดว่าตัวเองเป็นใหญ่ที่สุดในห้องหรือไง? คิดว่าสั่งใครทำอะไรก็ได้หรือไง?”

“เหอะ!” อี้หลงพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าฉินเย่และหมุนตัวเดินจากไป โทรศัพท์ในมือถูกโยนลอยกลางอากาศเป็นแนววิถีโค้ง และเจ้าของเครื่องก็รีบรับมันเอาไว้อย่างงง ๆ

“นายต้องการอะไร?” หลังจากที่เก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้ว ฉินเย่ก็ถามออกมา ขณะที่พยายามข่มความกังวลในน้ำเสียงของตัวเอง

“ไม่มีอะไรหรอก…” หวังเฉิงห่าวมองฉินเย่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากโต๊ะและพาดแขนของตัวเองบนไหล่ของอีกฝ่าย และพูดว่า “มันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่นายก็เห็น..วันนี้อี้หลงกับฉันจะต้องทำเวร แต่พวกเรามีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องไปทำน่ะสิ นาย…ไม่อยากจะช่วยพวกเราหน่อยเหรอ?”

ฉินเย่มองไปรอบ ๆ ห้องเรียนด้วยดวงตาที่สั่นระริก ทุกอย่างเละเทะไปหมด แม้แต่กระดานดำก็ยังไม่ได้ถูกลบ

“พวกนายจะไปไหน?” เด็กหนุ่มเอ่ยต่อ “กฎของโรงเรียนเขียนเอาไว้ว่าทุกคนจะต้องกลับบ้านก่อน 6 โมงเย็น พวกนายไม่ได้ยินประกาศตลอดช่วงสามวันมานี้หรือไง? คนที่ฝ่าฝืนจะถูกไล่ออกทันที ฉันไม่มีเวลามาทำเรื่องไร้สาระพวกนี้หรอกนะ”

แต่ก่อนที่ฉินเย่จะพูดจบ แขนของหวังเฉิงห่าวก็รัดแน่นกว่าเดิม น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น “หืม?”

ฉินเย่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกต่อไป

หวังเฉิงห่าวเอนกายเข้าไปใกล้และพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าของฉินเย่ จนทำให้เด็กหนุ่มไอออกมาหลายครั้ง แต่หวังเฉิงห่าวก็ไม่ได้สนใจและเอ่ยต่ออย่างดูถูกว่า “ไม่เข้าใจหรือไง? นี่เพื่อนของฉันอุตส่าห์พูดกับนายดี ๆ แล้วนะ!”

“6 โมงเย็น…”

ก่อนที่จะได้พูดต่อ ฉินเย่ก็รู้สึกว่าแขนข้างที่พาดไหล่ของตัวเองอยู่นั้นรัดแน่นกว่าเดิมจนรัดคอของเขาเอาไว้ทั้งหมด ใบหน้าของเขาซีดเผือก ก่อนจะกลืนคำที่ตัวเองจะพูดลงท้องไปในทันที

จางอี้หลงเดินกลับมาพร้อมกับด้ามไม้กวาดในมือและยัดมันใส่มือของฉินเย่พร้อมกับเอ่ยบังคับ “กวาดซะ!”

เสียงของเขาดังก้องอยู่ภายในห้องเรียน ฉินเย่กัดฟันแน่ขณะที่พยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของหวังเฉิงห่าว จากนั้นจึงพูดอย่าไม่เต็มใจ “ฉันจะกวาดก็ได้ แต่พวกนายก็จะต้องช่วยด้วย ไม่อย่างนั้นฉันทำไม่เสร็จก่อน 6 โมงเย็นแน่ ๆ”

“นี่นายโง่จริง ๆ ใช่ไหม?” หวังเฉิงห่าวสูบบุหรี่จนเต็มปอดและพ่นควันออกมา “6 โมงเย็นมันทำไม? ถ้าจะกลับหลัง 6 โมงแล้วใครจะทำไม? แค่พวกเขาสั่งให้กลับนายก็กลับเนี่ยนะ โง่หรือเปล่า”

“อย่าทำตัวโง่ไปหน่อยเลยน่า…นายควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้ทำหน้าที่นี้! ที่ฉันบอกให้นายทำก็เพราะว่าฉันยอมรับนายนะ! ยังมัวแต่ยืนบื้ออยู่อีก?! กวาด!!”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “พวกนายไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ?”

“ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว จำนวนเรื่องเหนือธรรมชาติที่รายงานในข่าวเพิ่มขึ้นมาก..แต่มันกลับไม่มีใครเคยพูดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อน!”

“นอกจากนี้ แม้แต่กระทรวงศึกษาเองก็กำหนดให้ทุกชั้นเรียนสิ้นสุดสุดลงในเวลา 16.30 น. ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้…โรงเรียนทั่วไปมักจะเลิกเรียนเวลา 17.30 น.! แต่พวกเขาก็ปรับเวลาและเตือนให้ทุกคนเข้าบ้านก่อนจะ 6 โมงเย็น หรือต่อให้นายไม่ได้อยู่บ้าน นายก็ต้องอยู่รวมกับคนอื่น ๆ!”

“แล้วมันก็ยังมีประกาศที่เปิดวนซ้ำ ๆ ในโรงเรียนอีก นายคิดว่าพวกเขาแค่แกล้งหลอกพวกเราหรือไง?”

ภายในห้องเรียนตกอยู่ในความเงียบ

อี้หลงและหวังเฉิงห่าวจ้องมองไปที่ฉินเย่ราวกับเห็นผี จากนั้น พวกเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ฮ่า ๆๆๆ! นี่มันตลกเกินไปแล้ว!”

“นี่พวกเราอยู่สมัยไหนกันแล้ว? มันยังมีคนโง่ที่เชื่อเรื่องพวกนี้อยู่อีกเหรอ?….ฉัน…ฮ่า ๆๆ ให้ตายเถอะ ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้แล้วเนี่ย! กฎพวกนั้นก็แค่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำให้ข่าวพวกนั้นน่าสนใจขึ้น! ไอ้บ้าเอ้ย! ฉลาดดีแท้!”

ทั้งสองหัวเราะเสียงเหมือนกับคางคก และสูดลมหายใจเข้าขณะที่เอนตัวไปพิงโต๊ะเรียน ในขณะที่ฉินเย่มองคนทั้งคู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงพูดต่อว่า “วันที่ 15 เดือนกรกฎาคมตามปฏิทินจันทรคติ”

“นายต้องการจะพูดอะไร?” หวังเฉิงห่าวปาดน้ำตาและถาม

ฉินเย่ส่ายหัวและเอ่ยนิ่ง ๆ “กลางเดือนเจ็ด วิญญาณจะออกอาละวาด ประตูนรกเปิดออก และเหล่าภูตผีก็จะมีอิสระออกมาเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนนในเวลากลางคืน แถมมันยังบังเอิญไปตรงกับอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญในวันสารทจีนด้วย”

“อุ๊บ! ฮ่า ๆๆๆ!! วันสารทจีน ฮ่า ๆ ! ให้ตายเถอะ ฉันไม่ได้ยินชื่อนี้มานานมากเลยนะ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงเปิดร้านขายพวงหรีด!”

“หึหึ มันไม่ใช่ร้านขายพวงหรีดสักหน่อย มันคือร้านจัดงานศพต่างหาก! นายนี่ไม่รู้อะไรเลย…ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ ขำจะตายอยู่แล้วเนี่ย! ฮ่า ๆๆ!”

ฉินเย่ที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น

นอกเหนือจากความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาอยู่ในสายงานพวกนี้ เขาก็เลือกที่จะระมัดระวังอะไรแบบนี้ เพราะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง แต่ตอนนี้ล่ะ? มันยังมีคนอยู่อีกกี่คนที่ยังเชื่อเรื่องแบบนี้อยู่?

เขาเพียงแค่หยิบแปรงลบกระดานขึ้นมาและเริ่มลบกระดาน หวังเฉิงห่าวและอี้หลงยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเอง เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาไม่คิดที่จะช่วยเลยสักนิด ทั้งสองเพียงแค่หยิบบุหรี่มวนใหม่ออกมาและยังคงล้อสิ่งที่ฉินเย่พูดไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ยินคำพูดที่ไม่น่าสบอารมณ์อย่าง “ไอ้โง่” “หน้าอย่างกับผี…” และอะไรประมาณนั้น

เข็มนาฬิกายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉินเย่ไม่ได้คาดหวังว่าทั้งสองคนจะช่วยเขาเลยสักนิด ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เพราะว่ามันใกล้จะจบการศึกษาแล้ว ดังนั้นไม่เพียงแต่กระดานจะเต็มไปด้วยรอยขีดเขียนและเครื่องหมายต่าง ๆ แถมยังมีเศษกระดาษที่ใช้คิดเลขและทำแบบฝึกหัดต่าง ๆ กระจัดกระจายเต็มไปหมด ตลอดจนเศษซากดินสอ ขี้ยางลบและเครื่องเขียนอื่น ๆ เกลื่อนกลาดไปทั่ว เรียกได้ว่ามันรกสุด ๆ เลยก็ว่าได้

“เฮ้อ~” สุดท้าย…ฉินเย่ก็ยืดหลังตรงขึ้นเพื่อคลายความปวดเมื่อยหลังจากที่ก้มมาเป็นเวลานาน แต่อี้หลงกลับตะโกนเสียงดังว่า “แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือไง? แล้วจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน? แค่กวาดพื้นธรรมดา ๆ ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนี้?”

ทันทีที่เขาพูดจบมันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงประกาศในโรงเรียนดังขึ้นมา

“นักเรียนทุกคน ตอนนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว ทางโรงเรียนของแจ้งให้นักเรียนทั้งหมดออกจากบริเวณโรงเรียนภายในสิบนาที นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หากนักเรียนคนใดถูกจับได้ว่าฝ่าฝืนกฎจะถูกไล่ออกทันที และทางโรงเรียนขอปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งหมดที่เกิดขึ้นในกรณีที่นักเรียนฝ่าฝืนกฎ”

ฉินเย่ลุกขึ้น ทั้ง ๆ ที่เสียงประกาศดังก้องไปทั่วทุกมุมของโรงเรียน แต่หวังเฉิงห่าวและอี้หลงกลับไม่มีท่าทีสนใจอะไรเลยสักนิด

“สำหรับนักเรียนที่ยังอยู่ภายในอาคาร กรุณาออกจากบริเวณโรงเรียนภายในเวลา 18.10 นาที นอกจากนี้ โปรดหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีกระจกหรือห้องที่ไม่ได้เปิดใช้งานมาเป็นเวลานาน”

“ซึ่งนั่นรวมถึงห้ามเข้าไปใกล้อาคารเรียนเก่าด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้เรากำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ คำเตือนทั้งหมดนี้ล้วนเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง”

“บุคลากรที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อจะต้องอยู่รวมกลุ่มกันอย่างน้อยห้าคน….ทางโรงเรียนจะจ่ายไฟไว้ตลอดทั้งคืนจนถึงเวลาตี 5 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดจะต้องออกจากอาณาเขตของโรงเรียนทันที ไม่จำเป็นจะต้องอยู่เฝ้าเวรในตอนกลางคืนแต่อย่างใด”

สิ่งที่ฉินเย่และคนอื่น ๆ ไม่รู้ก็คือเสียงประกาศที่ว่านี้ ถูกประกาศออกไปทั่วทั้งประเทศจีน ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 23 มณฑล 661 นคร 1,636 เมือง และ 41,636 ตำบลและหมู่บ้าน

วินาทีนี้ ภายในประเทศที่มีประชากรกว่า 1 พันล้านคน นอกเหนือจากพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงแล้ว ทั้งรถแท็กซี่ รถยนต์ รถไฟ โทรทัศน์ วิทยุช่องต่าง ๆ ไม่ได้รายงานข่าวหรือเปิดเพลงอะไรทั้งนั้น แม้แต่นักแสดงและศิลปินที่ดังที่สุดในตอนนี้ต่างก็ให้ความสำคัญกับประกาศนี้ และห้านาทีต่อมา เสียงประกาศแบบเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ประกาศ…ประชาชนทุกคนโปรดทราบ กรุณางดออกจากบ้านหลังจาก 18.30 น. โปรดรักษาความปลอดภัยในบ้านของตัวเองให้ดี…”

“ประกาศ…เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของสำนักงานเขตทั้งหมด โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้อยู่ภายในสถานที่ที่เหมาะสมภายในเวลา 18.30 น. สำหรับผู้ที่อยู่ร่วมห้องกับคนอื่น…กรุณาตรวจสอบตัวตนของเพื่อนร่วมห้องของพวกคุณด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ โปรดทำให้แน่ใจว่าหลังจาก 18.30 น. ไปแล้วคุณไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง อย่างน้อยสุดก็ต้องจับกลุ่มสามคน…”

“ประกาศ..ชาวบ้านทุกคน….”

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง จู่ ๆ ฉินเย่ก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไล่ลงมาตามแผ่นหลังของเขา

จากนั้น…ทันทีที่เสียงประกาศจบลง พวกเขาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศโดยรอบเย็นลงอย่างกะทันหัน

มันเป็นความเย็นที่แตกต่างจากอุ่นภูมิปกติทั่วไป ความเย็นที่เกิดจากอากาศที่อยู่โดยรอบ แต่เป็นความเย็นยะเยือก ที่เหมือนกับว่าเย็นมาจากข้างใน ราวกับว่ามีร่างของศพที่ตายมานานแล้วกำลังโน้มหน้าเข้ามาใกล้ ๆ และผ่อนลมหายใจที่เย็นยะเยือกนั้นออกมาทางจมูกรดลงบริเวณลำคอ จนทำให้เขารู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่าง

“วิ่ง!!” ฉินเย่เอ่ยได้แค่นั้นแล้วหันไปคว้ากระเป๋าเรียนของตัวเองและเตรียมจะวิ่งออกไปทันที

แต่เหมือนว่ากระเป๋าเรียนของเขาถูกบางอย่างจับเอาไว้ มันยังคงนอนแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ ไม่สามารถขยับไปไหนได้

[1]น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง หมายถึง ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งซึ่งกันและกัน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด