ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 106: ศาสตร์แห่งนรก

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 106: ศาสตร์แห่งนรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 106: ศาสตร์แห่งนรก

ฉินเย่จมอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตัวเอง หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงหันบอกคนข้าง ๆ ว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่าสิทธิพิเศษที่ผู้เป็นอาจารย์ดีเด่นจะได้รับคืออะไร?”

เขาเพียงแค่ถามหลินฮั่นไปเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าหลินฮั่นจะรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่าชายหนุ่มด้านข้างกลับพยักหน้าและกระซิบว่า

“ฉันได้ยินมาว่าผู้ที่ได้คะแนนการสอนตั้งแต่ 90 คะแนนขึ้นไปจะได้รับการประเมินว่าเป็นอาจารย์ดีเด่น ทุกสาขาจะมีศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์อาวุโส และรองศาสตราจารย์ตำแหน่งละคนเท่านั้น มีเพียงผู้ที่ได้รับการประเมินว่าเป็นอาจารย์ดีเด่นเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้วย”

“แล้วฉันยังได้ยินมาอีกว่าศาสตราจารย์จะได้รับส่วนลดในการแลกหินวิญญาณกับทางสำนัก แต่ฉันไม่มั่นใจในรายละเอียดนัก แต่ได้ยินมาว่าแค่เป็นอาจารย์ดีเด่นก็ได้รับส่วนลด 10 % แล้ว”

ฉินเย่อ้าปากค้าง

10%…แล้วรองศาสตราจารย์ กับรองศาสตราจารย์อาวุโสไม่ได้รับส่วนลด 30% เลยหรือ? ยิ่งศาสตราจารย์เต็มตัวก็ได้ส่วนลดถึง 40% เลยหรือเปล่า?!

ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกล่อเขาให้แย่งชิงตำแหน่งราชาหมาป่าอยู่หรือ? นะ นี่….นี่ใช่เรื่องดีหรือเปล่านะ?

ฮัสกี้ฉินเย่มองฝูงหมาป่าที่นั่งอยู่รอบ ๆ ตัวเขาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะลอบเหยียดอุ้งเท้าของตัวเองออกมา…

อาร์ทิสทิ่มปลายกระดาษเข้าที่คอของเด็กหนุ่ม “ส่วนลด 10%! เจ้ามีทางเลือกอื่นนอกจากการเป็นเทพแห่งการสอนอีกหรือ? เจ้าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำสมบัติจากในคลังสมบัติของหน่วยสอบสวนพิเศษออกมาให้หมด ก่อนที่เจ้าจะพ้นจากตำแหน่งแดนมนุษย์นี้! เจ้ายังไม่เคยใช้หินวิญญาณเลยด้วยซ้ำ เมื่อยมโลกถูกจัดเตรียมไว้เสร็จสิ้น แล้วเจ้าไม่มีหินวิญญาณเพียงพอ ต่อให้เจ้าขายสมบัติหมดหน้าตักที่เจ้ามีก็ไม่เพียงพอ!”

ฮัสกี้ฉินเย่ระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนขึ้นในใจให้สงบลง

หากเขาจะต้องแย่งชิงตำแหน่งอาจารย์ดีเด่น มันไม่เพียงแต่เขาจะต้องเฝ้าระวังทุกการกระทำของตัวเองไปตลอดสองเดือน แต่เขายังต้องหาอีก 40 คะแนนที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่ามาจากไหนให้เจออีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากพูดกันตามตรง ตัวเขาเองก็ตั้งตารอที่จะมาที่เมืองไดซานเป็นอย่างมาก

เด็กหนุ่มยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เมื่อพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ฉินเย่เปิดปาก หลินฮั่นจึงเอนตัวไปทางฝั่งของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ “…ไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหม? ฉันเคยมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ และฉันก็รู้จักร้านที่ขายขนมเปี๊ยะที่ขึ้นชื่อของอันฮุ่ยกับเค้กเมล็ดงาด้วย รสชาติและกลิ่นหอมของมัน…..”

ฉินเย่ผลักศีรษะใหญ่ ๆ ของอีกฝ่ายออกไป “คุณช่วยคิดอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?”

หลินฮั่นกะพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจนัก “แต่นี่ก็เพื่อเป็นการตอบแทนคุณที่ยอมให้ฉันได้อันดับสูงสุดในการแข่งขันก่อนหน้านี้นะ”

นายช่วยอย่าเอาเรื่องนั้นกลับมาพูดอีกได้ไหม?!

รังสีเยือกเย็นยิงออกจากส่วนลึกของดวงตาของฉินเย่ราวกับต้องการจะทำให้หลินฮั่นกลายเป็นเพียงผุยผง เขากัดฟันแน่และเอ่ยลอดไรฟัน “…ขอละอย่าพูดอีกเลย”

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง รถบัสก็จอดลงบริเวณทางเข้าของวิทยาเขต ด้านหลังของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย นักศึกษายังคงเดินเข้าออกมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ร้านอาหารและโรงแรมมากมายตั้งอยู่ริมฝั่งถนน พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากวิทยาเขตสาขาที่รกร้างในเมืองเป่าอันเป็นอย่างมาก

การส่งมอบดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาทั้งหมดได้รับการจัดสรรให้อยู่ในหอพักที่มีสภาพค่อนข้างดี หนึ่งคนแต่หนึ่งห้อง ฉินเย่วางกระเป๋าเดินทางของเขาลง เด็กหนุ่มไม่ได้ไปข้างนอกกับซู่เฟิงและกลุ่มเพื่อนที่น่าสงสารของอีกฝ่ายในตอนบ่าย เขาเพียงแยกตัวออกจากฝูงชนและเดินไปตามถนนของเมืองไดซาน

เขาไม่ได้ใจดีพอที่จะบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับการแย่งชิงคะแนนสอน

หรือต่อให้คนอื่น ๆ จะรู้เรื่องนี้แล้ว ก็คงไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่ดี ดังนั้นทำไมเขาต้องเพิ่มคู่แข่งให้ตัวเองด้วยล่ะ?

เมืองไดซานนั้นเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองเป่าอันมาก สมชื่อกับการเป็นเมืองหลวง การจราจรติดขัด และทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า แม้แต่ร้านค้าของที่นี่ก็ได้รับการตกแต่งที่ดูดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของร้านและพนักงานต่างก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม ราวกับว่าพวกเขากำลังเฉลิมฉลองให้แก่ชัยชนะที่มีเหนือกองกำลังจากโลกใต้พิภพ ฉินเย่มองไปยังทิวทัศน์ด้านหน้าและเสียงของผู้คนในเมือง วินาทีนั้นเขารู้สึกภาคภูมิใจในมนุษยชาติขึ้นมาทันที

“มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ…” เขาถือแก้วชานมและยืนอยู่ตรงกลางของสวนสาธารณะ มองดูเหล่าผู้สูงวัยเดินเล่นไปมา มองคู่รักที่เดินเล่นกับสุนัขและผู้เกษียณอายุราชการเพลิดเพลินไปกับการนั่งอ่านหนังสือพิมพ์โดยมีกรงนกอยู่ด้านข้าง ภาพที่เห็นทำให้ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “นานแค่ไหนแล้วนะที่เราได้เห็นภาพที่เงียบสงบแบบนี้…”

นี่คือสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไดซาน มันเต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ที่โยกไหวสร้างร่มเงาให้กับผู้คน ริมฟุตบาทถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ยังไม่ได้ถูกเก็บกวาด ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายจากความวุ่นวายในเมืองได้ชั่วขณะ มีบางครั้งที่อาจสามารถมองเห็นเด็กหนุ่มหนึ่งถึงสองคนสวมหูฟัง และนั่งอยู่ที่ม้านั่งพร้อมกับหนังสือในมือ ทุกอย่างชี้ชัดให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งความสงบสุขในเมืองนี้

อาร์ทิสเกาะอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม นกกระเรียนกระดาษมีขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือของเขาเท่านั้น นางแทบจะไม่เป็นที่สังเกตเห็นจากผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด พูดขึ้นมาขณะฉินเย่เดินไปตามทางที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้

“ท่านคิดว่าข้าจะสามารถปลดเกษียณได้เมื่อไหร่?”

“ฝันไปเถอะ” อาร์ทิสเอ่ยเบา ๆ “ความเงียบสงบนั้นไม่เหมาะกับเจ้าเลยสักนิด เจ้าเหมาะกับการถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สีแดง สายลมแห่งยมโลก พร้อมกับมีนครเฟิงตูตั้งอยู่เป็นภาพพื้นหลัง ตลอดจนวิญญาณจำนวนมากที่ติดตามเจ้า ในขณะที่หัวของพวกมันคิดแต่จะหาวิธีในการโค่นล้มอาณาจักรของเจ้า”

….ภาพฝันอันสวยหรูของฉินเย่พลันสลายหายไปทันที

“…แค่เห็นข้ามีความสุขมันจะทำให้ท่านขาดใจตายหรือไร?” ฉินเย่กุมขมับ ความคิดของการจัดการกับกลุ่มประชากรวิญญาณในนรกทำให้เขาปวดหัวจริง ๆ

“ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น” อาร์ทิสจิกแก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ “เหล่าวิญญาณที่สัมผัสได้ถึงการก่อตั้งใหญ่ของยมโลกจะต้องมาถึงในอีกสามหรือสี่วันนี้แน่ หากเจ้ายังไม่คิดแผนรับมืออะไรสักอย่าง วิญญาณพวกนั้นก็จะไม่มีอะไรทำ…และอาจเกิดการปฏิวัติขึ้นได้”

ฉินเย่นั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง จิตใจที่เคยร่าเริงของเขาเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวทันที

“ให้ข้าไม่คิดเรื่องพวกนี้สักวินาทีได้หรือไม่?”

หากพูดกันตามความจริง สิ่งที่ทำให้ฉินเย่หวาดกลัวที่สุดก็คือหากวิญญาณธรรมดายังสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของยมโลกแห่งใหม่ได้ นั่นหมายความว่าราชาผีทั้งปวงเองก็อาจจะสามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน พวกเขาอาจจะส่งกลุ่มมัจจุราชแห่งยมโลกมาพร้อมกับคำสั่งค้นหาหรือทำลายนรกของเขาทันทีก็เป็นไปได้

หากเขาไม่สามารถวางรากฐานที่ดีพอ…ทางออกที่ดีที่สุดของเขาก็คงเป็นการขุดหลุมลึกลงไปในเมืองเป่าอันและภาวนาไม่ให้คนพวกนั้นหาเขาเจอ หรือไม่นั่นอาจทำให้เป็นชนวนสงครามระหว่างแดนมนุษย์กับกองกำลังใต้พิภพก็เป็นได้

อ้อ! เกือบลืม ยังมีตี้ทิงที่ยังนอนอยู่ด้านล่างของเขาอีกตัวด้วยนี่น่า

หากเขาไม่สามารถขยายยมโลกให้มีค่าพลังหยินสูงถึง 30 ล้านได้ทันก่อนที่ตี้ทิงจะตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาก็อาจจะจบสิ้นด้วยเหมือนกัน

ทันใดนั้นอาร์ทิสก็ดึงเขาออกจากห้วงความคิดของตัวเอง “หากพูดกันตามตรง การเดินทางมาเมืองไดซานในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดี”

“มันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำในยมโลก ข้ารู้ว่าเจ้าคงกำลังคิดเรื่องการหาคนมานั่งบนเก้าอี้ที่ว่างเปล่าพวกนั้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็เรื่องของทรัพยากรและเครื่องมือก่อสร้างต่าง ๆ”

“เจ้าจะซื้อทรัพยากรและเครื่องมือพวกนั้นในเมืองเป่าอันที่ทุกอย่างอยู่ภายใต้สถานการณ์ปิดตายพวกนี้ได้อย่างไร? และเจ้าจะเก็บมันไว้ที่ไหน? เจ้าจะอธิบายเกี่ยวกับการซื้อของพวกนี้ว่าอย่างไร? พื้นที่ของเมืองเป่าอันเล็กเช่นนี้ แม้แต่ข้าเองยังคิดเลยว่าเจ้าจะต้องถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด และถูกตรวจสอบจากหน่วยสอบสวนพิเศษเป็นแน่ เจ้าคิดว่าตัวเองจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้กับโจวเซียนหลงว่าอย่างไร? เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก ผู้ซึ่งอยู่ระดับเดียวกันกับข้า”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและสะบัดความคิดและอารมณ์ความรู้สึกมากมายภายในจิตใจของตนเองก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านกำลังจะบอกว่า…”

“ใช้ประโยชน์จากสองเดือนนี้ในการหาเครื่องมือและทรัพยากรในการก่อสร้างทั้งหมดในเมืองไดซาน ข้าแนะนำให้เจ้าหาหุ้นส่วนที่นี่ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าจะปลอดภัยหากเกิดถูกพบเข้าเสียก่อน!”

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “ข้าจำได้ว่าเจ้ายังไม่ได้รับเงินหนึ่งล้านหยวน ตอนเจ้าช่วยสะสางปัญหาในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยไม่ใช่หรือ? นี่คือโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับอาจารย์ใหญ่ของมหาวิทยาลัยด้วย และหากมันไม่ได้ผลหรือมีอะไรผิดพลาด เจ้าจะจบชีวิตหวังเฉิงห่าวเลยก็ยังได้…จากนั้นก็ชดเชยให้กับเขาโดยการให้ที่นั่งแก่เขาในยมโลก ด้วยวิธีนั้น เราจะสามารถตัดปัญหาเรื่องเงินและปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่นรกได้แล้ว ข้ามั่นใจว่าเขาคงไม่ว่าอะไรเราหรอก…ใช่หรือไม่?”

แววตาของฉินเย่เหม่อลอยมองไปด้านหน้า เขาระงับความมุ่งร้ายในจิตใจก่อนจะกลืนน้ำลอยอย่างละโมบ “ข้าเกรงว่า…เขาอาจจะไม่เต็มใจเท่าไหร่…”

“เจ้าจิตใจดีเกินไปแล้ว!” อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เหตุใดเจ้าถึง…ไม่ลองจีบเขาดูเล่า? เขาทั้งรูปหล่อและร่ำรวย นี่คือเพชรเม็ดงามที่หาได้ยากมาก”

ฉินเย่มองอาร์ทิสอย่างหวาดกลัว “นั่นเป็นคำแนะนำที่บ้าที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาจากท่านเลย”

“ไม่ว่าอย่างไรวิญญาณของเขาก็จะเป็นของเจ้าในไม่ช้าก็เร็วนี้แน่ หรืออาจจะหลังจากที่ตายไปแล้ว…ข้าขอพูดได้หรือไม่ว่าเจ้าช่างเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยสักนิด เขาเองก็ไม่ได้หน้าตาน่าเกลียดอะไร สูงโปร่ง ร่างกายกำยำ ราวกับประติมากรรมที่มีชีวิต นอกจากนี้เขายังรอที่จะได้รับมรดกหลายสิบล้านอีกด้วย เขาดีเกินไปสำหรับเจ้าด้วยซ้ำ!”

“…ที่รัก นี่มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมไม่ใช่หรือ….? ท่านไม่คิดหรือว่าผู้อ่านคงจะเริ่มสงสัยแล้วว่าหวังเฉิงห่าวไปทำอะไรมาถ้าซวยซ้ำซวยซ้อนเช่นนี้? ข้ายังต้องรักษาใบหน้าเล็ก ๆ ที่ยังเหลืออยู่ของตัวเอง!”

อาร์ทิสคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มต่ออีกนิด แต่ฉินเย่กลับแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “โอเค หัวข้อนี้มันน่าขนลุกเกินไป เรามาพูดเรื่องอื่นกันเถอะ…ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากข้าหมายถึงถ้าหากข้ามีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องจักรพวกนี้ ข้าจะนำมันกลับไปด้วยได้อย่างไร? ข้าจำเป็นจะต้องเผามันที่เมืองเป่าอันหรือเปล่า?”

อาร์ทิสเงียบไป

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พึมพำออกมาว่า “เจ้าย้ำถึงสองครั้งว่า ‘ถ้าหาก’….ยิ่งข้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยิ่งคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น…เพราะอย่างไรแล้ว ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์เหล่านี้ เจ้าก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้งไม่ใช่หรือ?…”

เส้นเลือดบริเวณขมับของฉินเย่เต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ “เข้าประเด็นเสียที!”

อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสมุดโบราณเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของฉินเย่

“มันคืออะไร?” ฉินเย่มองสมุดสีเหลืองเก่า ๆ ในมือตน มันมีบางคำเขียนอยู่บนหน้าปกด้วยลายมือที่สวยงาม

ศาสตร์แห่งนรก

สั้นและเข้าใจง่าย

แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที แน่นอนว่ายมโลกนั้นมีศาสตร์และวิชาของตัวเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสามารถควบคุมพวกวิญญาณร้ายในนรกได้อย่างไร? หากคุณไปดูเว็บไซต์ของนิยายเรื่องอื่น ๆ ตัวเองก็มักจะมีพลังพิเศษหรือวิชาเฉพาะ อย่างเช่น มหาวิถีแดนรกร้าง ทวาทศสุริยัน หรือศิลปะต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดล้วนเป็นวิชาที่เรียกพลังจากสายลมและสายฝนเพื่อใช้กำจัดกองกำลังของศัตรู สามารถทำได้แม้กระทั่งทำลายภูเขา หรือเปลี่ยนจากกลางคืนให้เป็นกลางวัน…

คำถามเพียงอย่างเดียวที่เขามีในตอนนี้ก็คือ ศาสตร์พวกนี้จะสุดยอดอย่างที่เคยอ่านหรือไม่

ในที่สุดเราก็เข้าสู่ช่วงแฟนตาซีของเรื่องนี้แล้วเหรอ….

เขาเปิดหน้าแรกของหนังสือ สายตาก็ปะทะเข้ากับตัวหนังสือขนาดใหญ่ตรงหน้า – สายลมร้อยลี้

“พวกเขาไม่ค่อยสร้างสรรค์เลยนะ เจ้าโง่ตัวไหนที่คิดชื่อนี้ขึ้นมากัน?” ฉินเย่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ชื่อของมันทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามันคือเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นเรื่องความเร็ว แต่ชื่อของมันไม่ได้บ่งบอกถึงการท้าทายสวรรค์หรือแม้แต่ทำให้โลกสะเทือนเลยสักนิด ขนาดชื่อยังฟังดูไม่ยิ่งใหญ่เลยด้วย

เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ท้าทายสวรรค์ไม่สามารถเป็นเคล็ดวิชาที่ดีได้!

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพึมพำออกมานิ่ง ๆ ว่า “เจ้าโง่ที่เจ้าพูดถึงก็คือข้าเอง”

………………………….……

ฉินเย่เลิกสนใจกับชื่อและรีบอ่านต่อไปทันที

คำอธิบายนั้นเรียบง่าย – เดินทางหนึ่งร้อยลี้ได้ภายในหนึ่งวัน ว่องไวดุจสายลม

ฉินเย่พลิกหน้าต่อไปด้วยสีหน้างงงัน

นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกองทัพวิญญาณที่วุ่นวาย และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตี้ทิงจะตื่นขึ้นจากการหลับใหลเมื่อใด! ที่สมุดเล่มนี้ต้องการจะบอกให้เขารีบถอยในขณะที่ยังสามารถถอยได้หรือเปล่า?

คนกล้าหาญอย่างเขาจะทำเรื่องน่าอับอายอย่างนั้นได้อย่างไร?

หน้า 2 – จักรวาลในแขนเสื้อ

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็มีสิ่งที่น่าสนใจเสียที

จักรวาลในแขนเสื้อ ถึงแม้ว่าชื่อของมันจะไม่ได้ฟังดูยิ่งใหญ่นัก แต่มันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกสนใจขึ้นมา คำอธิบายของมันก็น่าสนใจไม่แพ้กัน – ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถถูกเก็บไว้ภายในแขนเสื้อของผู้ใช้ ตราบใดที่ผู้ใช้มีความแข็งแกร่งมากพอ พวกเขาก็จะสามารถทำได้แม้กระทั่งเก็บเมืองทั้งเมืองไว้ในแขนเสื้อได้

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และอ่านต่อ

ดาบกำจัดวิญญาณ ผนึกราชันย์ หมื่นภูตผีกลืนกินดวงวิญญาณ…หลัง ๆ ล้วนเป็นเวทที่ทำให้เขาสามารถทำได้ด้วยมือเดียว แก้มของฉินเย่แดงก่ำอย่างตื่นเต้นขณะที่เขาพลิกมาถึงหน้าสุดท้าย

“เคล็ดวิชาก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของนรก ดังนั้นในตอนนี้ทุกอย่างจึงยังคงไร้ประโยชน์”

ประโยคดังกล่าวถูกเขียนด้วยตัวหนังสือหวัด ๆ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือลายมือของอาร์ทิส

ฉินเย่ตะลึงไปชั่วขณะ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ด้วยมุมปากที่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาถามอีกฝ่าย “ท่านอธิบายได้หรือไม่ว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร?”

“มันหมายความตามที่เขียน” นกกระเรียนกระดาษอ้าปากหาวเล็กน้อย

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว ลำดับขั้นสูงสุดของโลกนี้ก็คือกฎของสวรรค์ แดนมนุษย์และยมโลกก็มีกฎในตัวมันเองเช่นกัน เช่นเดียวกันกับการที่เคล็ดวิชาฝึกตนในแดนมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากกฎและหลักการบางอย่าง ศาสตร์และเคล็ดวิชาของนรกเองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้การมีอยู่ของยมโลกนั้นแทบจะไม่มี แล้วมันจะมีเคล็ดวิชาใดที่เจ้าจะสามารถใช้ได้กัน?”

“ไม่ใช่ว่าข้าสร้างมันขึ้นมาใหม่แล้วหรือ?!”

นกกระเรียนกระดาษบินไปอยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะพลิกหน้าหนังสือไปยังหน้า หน้าหนึ่ง “เจ้าสามารถเรียกหมู่บ้านขนาดเล็กเท่านั้นว่ายมโลกได้จริง ๆ น่ะหรือ? เอาเถอะ…จะเรียกมันว่าอะไรก็แล้วแต่ ด้วยอำนาจและระดับของกฎระเบียบแห่งนรก เจ้าสามารถใช้ได้เพียงเวทบทนี้เท่านั้น”

ฉินเย่อ่านชื่อของเวทดังกล่าวและรู้สึกเจ็บที่ตาขึ้นมาทันที

ทักษะ: เคลื่อนย้ายสิ่งของในอากาศ

ระยะ: สามเมตร

ข้อจำกัด: สิ่งของนั้นจะต้องมีน้ำหนักน้อยสิบกิโลกรัม

เขาจะอยากได้ไอ้เวทบ้านี่ไปทำไมไม่ทราบ?!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 106: ศาสตร์แห่งนรก

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 106: ศาสตร์แห่งนรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 106: ศาสตร์แห่งนรก

ฉินเย่จมอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตัวเอง หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงหันบอกคนข้าง ๆ ว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่าสิทธิพิเศษที่ผู้เป็นอาจารย์ดีเด่นจะได้รับคืออะไร?”

เขาเพียงแค่ถามหลินฮั่นไปเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังว่าหลินฮั่นจะรู้เรื่องนี้แต่อย่างใด ทว่าชายหนุ่มด้านข้างกลับพยักหน้าและกระซิบว่า

“ฉันได้ยินมาว่าผู้ที่ได้คะแนนการสอนตั้งแต่ 90 คะแนนขึ้นไปจะได้รับการประเมินว่าเป็นอาจารย์ดีเด่น ทุกสาขาจะมีศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์อาวุโส และรองศาสตราจารย์ตำแหน่งละคนเท่านั้น มีเพียงผู้ที่ได้รับการประเมินว่าเป็นอาจารย์ดีเด่นเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้วย”

“แล้วฉันยังได้ยินมาอีกว่าศาสตราจารย์จะได้รับส่วนลดในการแลกหินวิญญาณกับทางสำนัก แต่ฉันไม่มั่นใจในรายละเอียดนัก แต่ได้ยินมาว่าแค่เป็นอาจารย์ดีเด่นก็ได้รับส่วนลด 10 % แล้ว”

ฉินเย่อ้าปากค้าง

10%…แล้วรองศาสตราจารย์ กับรองศาสตราจารย์อาวุโสไม่ได้รับส่วนลด 30% เลยหรือ? ยิ่งศาสตราจารย์เต็มตัวก็ได้ส่วนลดถึง 40% เลยหรือเปล่า?!

ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกล่อเขาให้แย่งชิงตำแหน่งราชาหมาป่าอยู่หรือ? นะ นี่….นี่ใช่เรื่องดีหรือเปล่านะ?

ฮัสกี้ฉินเย่มองฝูงหมาป่าที่นั่งอยู่รอบ ๆ ตัวเขาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะลอบเหยียดอุ้งเท้าของตัวเองออกมา…

อาร์ทิสทิ่มปลายกระดาษเข้าที่คอของเด็กหนุ่ม “ส่วนลด 10%! เจ้ามีทางเลือกอื่นนอกจากการเป็นเทพแห่งการสอนอีกหรือ? เจ้าจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำสมบัติจากในคลังสมบัติของหน่วยสอบสวนพิเศษออกมาให้หมด ก่อนที่เจ้าจะพ้นจากตำแหน่งแดนมนุษย์นี้! เจ้ายังไม่เคยใช้หินวิญญาณเลยด้วยซ้ำ เมื่อยมโลกถูกจัดเตรียมไว้เสร็จสิ้น แล้วเจ้าไม่มีหินวิญญาณเพียงพอ ต่อให้เจ้าขายสมบัติหมดหน้าตักที่เจ้ามีก็ไม่เพียงพอ!”

ฮัสกี้ฉินเย่ระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนขึ้นในใจให้สงบลง

หากเขาจะต้องแย่งชิงตำแหน่งอาจารย์ดีเด่น มันไม่เพียงแต่เขาจะต้องเฝ้าระวังทุกการกระทำของตัวเองไปตลอดสองเดือน แต่เขายังต้องหาอีก 40 คะแนนที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่ามาจากไหนให้เจออีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากพูดกันตามตรง ตัวเขาเองก็ตั้งตารอที่จะมาที่เมืองไดซานเป็นอย่างมาก

เด็กหนุ่มยังคงจมอยู่ในความคิดของตัวเอง เมื่อพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ฉินเย่เปิดปาก หลินฮั่นจึงเอนตัวไปทางฝั่งของอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ “…ไปทานข้าวเย็นด้วยกันไหม? ฉันเคยมาเรียนมัธยมปลายที่นี่ และฉันก็รู้จักร้านที่ขายขนมเปี๊ยะที่ขึ้นชื่อของอันฮุ่ยกับเค้กเมล็ดงาด้วย รสชาติและกลิ่นหอมของมัน…..”

ฉินเย่ผลักศีรษะใหญ่ ๆ ของอีกฝ่ายออกไป “คุณช่วยคิดอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?”

หลินฮั่นกะพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจนัก “แต่นี่ก็เพื่อเป็นการตอบแทนคุณที่ยอมให้ฉันได้อันดับสูงสุดในการแข่งขันก่อนหน้านี้นะ”

นายช่วยอย่าเอาเรื่องนั้นกลับมาพูดอีกได้ไหม?!

รังสีเยือกเย็นยิงออกจากส่วนลึกของดวงตาของฉินเย่ราวกับต้องการจะทำให้หลินฮั่นกลายเป็นเพียงผุยผง เขากัดฟันแน่และเอ่ยลอดไรฟัน “…ขอละอย่าพูดอีกเลย”

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง รถบัสก็จอดลงบริเวณทางเข้าของวิทยาเขต ด้านหลังของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย นักศึกษายังคงเดินเข้าออกมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ร้านอาหารและโรงแรมมากมายตั้งอยู่ริมฝั่งถนน พลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากวิทยาเขตสาขาที่รกร้างในเมืองเป่าอันเป็นอย่างมาก

การส่งมอบดำเนินไปอย่างราบรื่น พวกเขาทั้งหมดได้รับการจัดสรรให้อยู่ในหอพักที่มีสภาพค่อนข้างดี หนึ่งคนแต่หนึ่งห้อง ฉินเย่วางกระเป๋าเดินทางของเขาลง เด็กหนุ่มไม่ได้ไปข้างนอกกับซู่เฟิงและกลุ่มเพื่อนที่น่าสงสารของอีกฝ่ายในตอนบ่าย เขาเพียงแยกตัวออกจากฝูงชนและเดินไปตามถนนของเมืองไดซาน

เขาไม่ได้ใจดีพอที่จะบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับการแย่งชิงคะแนนสอน

หรือต่อให้คนอื่น ๆ จะรู้เรื่องนี้แล้ว ก็คงไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่ดี ดังนั้นทำไมเขาต้องเพิ่มคู่แข่งให้ตัวเองด้วยล่ะ?

เมืองไดซานนั้นเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองเป่าอันมาก สมชื่อกับการเป็นเมืองหลวง การจราจรติดขัด และทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า แม้แต่ร้านค้าของที่นี่ก็ได้รับการตกแต่งที่ดูดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของร้านและพนักงานต่างก็มีใบหน้ายิ้มแย้ม ราวกับว่าพวกเขากำลังเฉลิมฉลองให้แก่ชัยชนะที่มีเหนือกองกำลังจากโลกใต้พิภพ ฉินเย่มองไปยังทิวทัศน์ด้านหน้าและเสียงของผู้คนในเมือง วินาทีนั้นเขารู้สึกภาคภูมิใจในมนุษยชาติขึ้นมาทันที

“มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ…” เขาถือแก้วชานมและยืนอยู่ตรงกลางของสวนสาธารณะ มองดูเหล่าผู้สูงวัยเดินเล่นไปมา มองคู่รักที่เดินเล่นกับสุนัขและผู้เกษียณอายุราชการเพลิดเพลินไปกับการนั่งอ่านหนังสือพิมพ์โดยมีกรงนกอยู่ด้านข้าง ภาพที่เห็นทำให้ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ “นานแค่ไหนแล้วนะที่เราได้เห็นภาพที่เงียบสงบแบบนี้…”

นี่คือสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไดซาน มันเต็มไปด้วยต้นไม้มากมาย ที่โยกไหวสร้างร่มเงาให้กับผู้คน ริมฟุตบาทถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ยังไม่ได้ถูกเก็บกวาด ทว่ามันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายจากความวุ่นวายในเมืองได้ชั่วขณะ มีบางครั้งที่อาจสามารถมองเห็นเด็กหนุ่มหนึ่งถึงสองคนสวมหูฟัง และนั่งอยู่ที่ม้านั่งพร้อมกับหนังสือในมือ ทุกอย่างชี้ชัดให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งความสงบสุขในเมืองนี้

อาร์ทิสเกาะอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม นกกระเรียนกระดาษมีขนาดใหญ่กว่านิ้วหัวแม่มือของเขาเท่านั้น นางแทบจะไม่เป็นที่สังเกตเห็นจากผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเลยสักนิด พูดขึ้นมาขณะฉินเย่เดินไปตามทางที่ถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้

“ท่านคิดว่าข้าจะสามารถปลดเกษียณได้เมื่อไหร่?”

“ฝันไปเถอะ” อาร์ทิสเอ่ยเบา ๆ “ความเงียบสงบนั้นไม่เหมาะกับเจ้าเลยสักนิด เจ้าเหมาะกับการถูกล้อมรอบไปด้วยต้นไม้สีแดง สายลมแห่งยมโลก พร้อมกับมีนครเฟิงตูตั้งอยู่เป็นภาพพื้นหลัง ตลอดจนวิญญาณจำนวนมากที่ติดตามเจ้า ในขณะที่หัวของพวกมันคิดแต่จะหาวิธีในการโค่นล้มอาณาจักรของเจ้า”

….ภาพฝันอันสวยหรูของฉินเย่พลันสลายหายไปทันที

“…แค่เห็นข้ามีความสุขมันจะทำให้ท่านขาดใจตายหรือไร?” ฉินเย่กุมขมับ ความคิดของการจัดการกับกลุ่มประชากรวิญญาณในนรกทำให้เขาปวดหัวจริง ๆ

“ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น” อาร์ทิสจิกแก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ “เหล่าวิญญาณที่สัมผัสได้ถึงการก่อตั้งใหญ่ของยมโลกจะต้องมาถึงในอีกสามหรือสี่วันนี้แน่ หากเจ้ายังไม่คิดแผนรับมืออะไรสักอย่าง วิญญาณพวกนั้นก็จะไม่มีอะไรทำ…และอาจเกิดการปฏิวัติขึ้นได้”

ฉินเย่นั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่ง จิตใจที่เคยร่าเริงของเขาเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวทันที

“ให้ข้าไม่คิดเรื่องพวกนี้สักวินาทีได้หรือไม่?”

หากพูดกันตามความจริง สิ่งที่ทำให้ฉินเย่หวาดกลัวที่สุดก็คือหากวิญญาณธรรมดายังสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งที่ตั้งของยมโลกแห่งใหม่ได้ นั่นหมายความว่าราชาผีทั้งปวงเองก็อาจจะสามารถทำแบบนั้นได้เช่นกัน พวกเขาอาจจะส่งกลุ่มมัจจุราชแห่งยมโลกมาพร้อมกับคำสั่งค้นหาหรือทำลายนรกของเขาทันทีก็เป็นไปได้

หากเขาไม่สามารถวางรากฐานที่ดีพอ…ทางออกที่ดีที่สุดของเขาก็คงเป็นการขุดหลุมลึกลงไปในเมืองเป่าอันและภาวนาไม่ให้คนพวกนั้นหาเขาเจอ หรือไม่นั่นอาจทำให้เป็นชนวนสงครามระหว่างแดนมนุษย์กับกองกำลังใต้พิภพก็เป็นได้

อ้อ! เกือบลืม ยังมีตี้ทิงที่ยังนอนอยู่ด้านล่างของเขาอีกตัวด้วยนี่น่า

หากเขาไม่สามารถขยายยมโลกให้มีค่าพลังหยินสูงถึง 30 ล้านได้ทันก่อนที่ตี้ทิงจะตื่นขึ้นอีกครั้ง เขาก็อาจจะจบสิ้นด้วยเหมือนกัน

ทันใดนั้นอาร์ทิสก็ดึงเขาออกจากห้วงความคิดของตัวเอง “หากพูดกันตามตรง การเดินทางมาเมืองไดซานในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดี”

“มันยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำในยมโลก ข้ารู้ว่าเจ้าคงกำลังคิดเรื่องการหาคนมานั่งบนเก้าอี้ที่ว่างเปล่าพวกนั้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหาเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็เรื่องของทรัพยากรและเครื่องมือก่อสร้างต่าง ๆ”

“เจ้าจะซื้อทรัพยากรและเครื่องมือพวกนั้นในเมืองเป่าอันที่ทุกอย่างอยู่ภายใต้สถานการณ์ปิดตายพวกนี้ได้อย่างไร? และเจ้าจะเก็บมันไว้ที่ไหน? เจ้าจะอธิบายเกี่ยวกับการซื้อของพวกนี้ว่าอย่างไร? พื้นที่ของเมืองเป่าอันเล็กเช่นนี้ แม้แต่ข้าเองยังคิดเลยว่าเจ้าจะต้องถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด และถูกตรวจสอบจากหน่วยสอบสวนพิเศษเป็นแน่ เจ้าคิดว่าตัวเองจะอธิบายเรื่องทั้งหมดนี้กับโจวเซียนหลงว่าอย่างไร? เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก ผู้ซึ่งอยู่ระดับเดียวกันกับข้า”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและสะบัดความคิดและอารมณ์ความรู้สึกมากมายภายในจิตใจของตนเองก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านกำลังจะบอกว่า…”

“ใช้ประโยชน์จากสองเดือนนี้ในการหาเครื่องมือและทรัพยากรในการก่อสร้างทั้งหมดในเมืองไดซาน ข้าแนะนำให้เจ้าหาหุ้นส่วนที่นี่ เพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าจะปลอดภัยหากเกิดถูกพบเข้าเสียก่อน!”

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “ข้าจำได้ว่าเจ้ายังไม่ได้รับเงินหนึ่งล้านหยวน ตอนเจ้าช่วยสะสางปัญหาในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยไม่ใช่หรือ? นี่คือโอกาสที่ดีที่จะได้พบกับอาจารย์ใหญ่ของมหาวิทยาลัยด้วย และหากมันไม่ได้ผลหรือมีอะไรผิดพลาด เจ้าจะจบชีวิตหวังเฉิงห่าวเลยก็ยังได้…จากนั้นก็ชดเชยให้กับเขาโดยการให้ที่นั่งแก่เขาในยมโลก ด้วยวิธีนั้น เราจะสามารถตัดปัญหาเรื่องเงินและปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่นรกได้แล้ว ข้ามั่นใจว่าเขาคงไม่ว่าอะไรเราหรอก…ใช่หรือไม่?”

แววตาของฉินเย่เหม่อลอยมองไปด้านหน้า เขาระงับความมุ่งร้ายในจิตใจก่อนจะกลืนน้ำลอยอย่างละโมบ “ข้าเกรงว่า…เขาอาจจะไม่เต็มใจเท่าไหร่…”

“เจ้าจิตใจดีเกินไปแล้ว!” อาร์ทิสเอ่ยด้วยน้ำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ จากนั้นจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “เหตุใดเจ้าถึง…ไม่ลองจีบเขาดูเล่า? เขาทั้งรูปหล่อและร่ำรวย นี่คือเพชรเม็ดงามที่หาได้ยากมาก”

ฉินเย่มองอาร์ทิสอย่างหวาดกลัว “นั่นเป็นคำแนะนำที่บ้าที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาจากท่านเลย”

“ไม่ว่าอย่างไรวิญญาณของเขาก็จะเป็นของเจ้าในไม่ช้าก็เร็วนี้แน่ หรืออาจจะหลังจากที่ตายไปแล้ว…ข้าขอพูดได้หรือไม่ว่าเจ้าช่างเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยสักนิด เขาเองก็ไม่ได้หน้าตาน่าเกลียดอะไร สูงโปร่ง ร่างกายกำยำ ราวกับประติมากรรมที่มีชีวิต นอกจากนี้เขายังรอที่จะได้รับมรดกหลายสิบล้านอีกด้วย เขาดีเกินไปสำหรับเจ้าด้วยซ้ำ!”

“…ที่รัก นี่มันเป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมไม่ใช่หรือ….? ท่านไม่คิดหรือว่าผู้อ่านคงจะเริ่มสงสัยแล้วว่าหวังเฉิงห่าวไปทำอะไรมาถ้าซวยซ้ำซวยซ้อนเช่นนี้? ข้ายังต้องรักษาใบหน้าเล็ก ๆ ที่ยังเหลืออยู่ของตัวเอง!”

อาร์ทิสคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มต่ออีกนิด แต่ฉินเย่กลับแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “โอเค หัวข้อนี้มันน่าขนลุกเกินไป เรามาพูดเรื่องอื่นกันเถอะ…ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากข้าหมายถึงถ้าหากข้ามีเงินมากพอที่จะซื้อเครื่องจักรพวกนี้ ข้าจะนำมันกลับไปด้วยได้อย่างไร? ข้าจำเป็นจะต้องเผามันที่เมืองเป่าอันหรือเปล่า?”

อาร์ทิสเงียบไป

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พึมพำออกมาว่า “เจ้าย้ำถึงสองครั้งว่า ‘ถ้าหาก’….ยิ่งข้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยิ่งคิดว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้น…เพราะอย่างไรแล้ว ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์เหล่านี้ เจ้าก็ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้งไม่ใช่หรือ?…”

เส้นเลือดบริเวณขมับของฉินเย่เต้นตุบ ๆ อย่างไม่สามารถควบคุมได้ “เข้าประเด็นเสียที!”

อาร์ทิสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นสมุดโบราณเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของฉินเย่

“มันคืออะไร?” ฉินเย่มองสมุดสีเหลืองเก่า ๆ ในมือตน มันมีบางคำเขียนอยู่บนหน้าปกด้วยลายมือที่สวยงาม

ศาสตร์แห่งนรก

สั้นและเข้าใจง่าย

แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที แน่นอนว่ายมโลกนั้นมีศาสตร์และวิชาของตัวเอง ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสามารถควบคุมพวกวิญญาณร้ายในนรกได้อย่างไร? หากคุณไปดูเว็บไซต์ของนิยายเรื่องอื่น ๆ ตัวเองก็มักจะมีพลังพิเศษหรือวิชาเฉพาะ อย่างเช่น มหาวิถีแดนรกร้าง ทวาทศสุริยัน หรือศิลปะต่อสู้ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดล้วนเป็นวิชาที่เรียกพลังจากสายลมและสายฝนเพื่อใช้กำจัดกองกำลังของศัตรู สามารถทำได้แม้กระทั่งทำลายภูเขา หรือเปลี่ยนจากกลางคืนให้เป็นกลางวัน…

คำถามเพียงอย่างเดียวที่เขามีในตอนนี้ก็คือ ศาสตร์พวกนี้จะสุดยอดอย่างที่เคยอ่านหรือไม่

ในที่สุดเราก็เข้าสู่ช่วงแฟนตาซีของเรื่องนี้แล้วเหรอ….

เขาเปิดหน้าแรกของหนังสือ สายตาก็ปะทะเข้ากับตัวหนังสือขนาดใหญ่ตรงหน้า – สายลมร้อยลี้

“พวกเขาไม่ค่อยสร้างสรรค์เลยนะ เจ้าโง่ตัวไหนที่คิดชื่อนี้ขึ้นมากัน?” ฉินเย่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ชื่อของมันทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามันคือเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่เน้นเรื่องความเร็ว แต่ชื่อของมันไม่ได้บ่งบอกถึงการท้าทายสวรรค์หรือแม้แต่ทำให้โลกสะเทือนเลยสักนิด ขนาดชื่อยังฟังดูไม่ยิ่งใหญ่เลยด้วย

เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ท้าทายสวรรค์ไม่สามารถเป็นเคล็ดวิชาที่ดีได้!

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพึมพำออกมานิ่ง ๆ ว่า “เจ้าโง่ที่เจ้าพูดถึงก็คือข้าเอง”

………………………….……

ฉินเย่เลิกสนใจกับชื่อและรีบอ่านต่อไปทันที

คำอธิบายนั้นเรียบง่าย – เดินทางหนึ่งร้อยลี้ได้ภายในหนึ่งวัน ว่องไวดุจสายลม

ฉินเย่พลิกหน้าต่อไปด้วยสีหน้างงงัน

นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?

ตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกองทัพวิญญาณที่วุ่นวาย และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตี้ทิงจะตื่นขึ้นจากการหลับใหลเมื่อใด! ที่สมุดเล่มนี้ต้องการจะบอกให้เขารีบถอยในขณะที่ยังสามารถถอยได้หรือเปล่า?

คนกล้าหาญอย่างเขาจะทำเรื่องน่าอับอายอย่างนั้นได้อย่างไร?

หน้า 2 – จักรวาลในแขนเสื้อ

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นอีกครั้ง ในที่สุดก็มีสิ่งที่น่าสนใจเสียที

จักรวาลในแขนเสื้อ ถึงแม้ว่าชื่อของมันจะไม่ได้ฟังดูยิ่งใหญ่นัก แต่มันก็ยังเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกสนใจขึ้นมา คำอธิบายของมันก็น่าสนใจไม่แพ้กัน – ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถถูกเก็บไว้ภายในแขนเสื้อของผู้ใช้ ตราบใดที่ผู้ใช้มีความแข็งแกร่งมากพอ พวกเขาก็จะสามารถทำได้แม้กระทั่งเก็บเมืองทั้งเมืองไว้ในแขนเสื้อได้

เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และอ่านต่อ

ดาบกำจัดวิญญาณ ผนึกราชันย์ หมื่นภูตผีกลืนกินดวงวิญญาณ…หลัง ๆ ล้วนเป็นเวทที่ทำให้เขาสามารถทำได้ด้วยมือเดียว แก้มของฉินเย่แดงก่ำอย่างตื่นเต้นขณะที่เขาพลิกมาถึงหน้าสุดท้าย

“เคล็ดวิชาก่อนหน้านี้ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากรากฐานของนรก ดังนั้นในตอนนี้ทุกอย่างจึงยังคงไร้ประโยชน์”

ประโยคดังกล่าวถูกเขียนด้วยตัวหนังสือหวัด ๆ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามันคือลายมือของอาร์ทิส

ฉินเย่ตะลึงไปชั่วขณะ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ด้วยมุมปากที่กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาถามอีกฝ่าย “ท่านอธิบายได้หรือไม่ว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร?”

“มันหมายความตามที่เขียน” นกกระเรียนกระดาษอ้าปากหาวเล็กน้อย

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว ลำดับขั้นสูงสุดของโลกนี้ก็คือกฎของสวรรค์ แดนมนุษย์และยมโลกก็มีกฎในตัวมันเองเช่นกัน เช่นเดียวกันกับการที่เคล็ดวิชาฝึกตนในแดนมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากกฎและหลักการบางอย่าง ศาสตร์และเคล็ดวิชาของนรกเองก็เช่นกัน แต่ตอนนี้การมีอยู่ของยมโลกนั้นแทบจะไม่มี แล้วมันจะมีเคล็ดวิชาใดที่เจ้าจะสามารถใช้ได้กัน?”

“ไม่ใช่ว่าข้าสร้างมันขึ้นมาใหม่แล้วหรือ?!”

นกกระเรียนกระดาษบินไปอยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่ม ก่อนจะพลิกหน้าหนังสือไปยังหน้า หน้าหนึ่ง “เจ้าสามารถเรียกหมู่บ้านขนาดเล็กเท่านั้นว่ายมโลกได้จริง ๆ น่ะหรือ? เอาเถอะ…จะเรียกมันว่าอะไรก็แล้วแต่ ด้วยอำนาจและระดับของกฎระเบียบแห่งนรก เจ้าสามารถใช้ได้เพียงเวทบทนี้เท่านั้น”

ฉินเย่อ่านชื่อของเวทดังกล่าวและรู้สึกเจ็บที่ตาขึ้นมาทันที

ทักษะ: เคลื่อนย้ายสิ่งของในอากาศ

ระยะ: สามเมตร

ข้อจำกัด: สิ่งของนั้นจะต้องมีน้ำหนักน้อยสิบกิโลกรัม

เขาจะอยากได้ไอ้เวทบ้านี่ไปทำไมไม่ทราบ?!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+