ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 110: จิงเกอร์เบล

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 110: จิงเกอร์เบล at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 110: จิงเกอร์เบล

ฉินเย่เดินเข้าไปด้านใน

ภายในร้านไม่ได้ถูกตกแต่งอย่างดีมากนัก หากพูดกันตามจริง ร้านกาแฟร้านนี้ทรุดโทรมเป็นอย่างมาก โปสเตอร์ละครโรงเรียนถูกติดอยู่เต็มผนังร้านสีเหลือง ในขณะที่พื้นซึ่งทำจากไม้กระดานส่งกลิ่นเหม็นที่แปลกประหลาดผสมปนเปกับกลิ่นของกาแฟจาง ๆ และหลอดไฟเหนือศีรษะที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นก็ส่องแสงสลัว ๆ

เสียงเดินของเขาทำให้ไม้กระดานบนพื้นส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา เมื่อฉินเย่เปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่เขาเห็นก็คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีผมสีบลอนด์กำลังตะคอกใส่โทรศัพท์ของตัวเองเสียงดัง “ฉันคือ เทพผู้รู้แจ้ง ฆ่าหมายเลข 2 อยากมาถามฉันว่าทำไมฉันถึงเลือกเขา มันเป็นสิทธิของฉันที่จะเลือกใครก็ได้ หมายเลข 8 โกหก…อ้าว…สวัสดีครับ”

ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่คาดคิดว่าจะมีคนเข้ามาในร้าน เขารีบปิดโทรศัพท์ตัวเองทันที “ต้องการอะไรหรือเปล่าครับ?”

ฉันให้คะแนนในการบริการของนาย 1 คะแนน จาก 5 คะแนน!

ฉินเย่ไม่ได้ตอบ กลับกันเขาถูกมือของตนขณะที่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามว่า “ร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมงเหรอครับ?”

“ใช่แล้ว เดี๋ยวจะมีคนมาเปลี่ยนกะตอนหกโมง” เมื่อเห็นว่าฉินเย่ไม่ได้มีท่าทีว่าจะสั่งเครื่องดื่ม ชายหนุ่มจึงเหลือบไปมองโทรศัพท์ของตัวเองเป็นครั้งคราว ฉินเย่ค่อนข้างไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้มีคนหล่อ ๆ อย่างเขายืนอยู่ตรงหน้า แต่อีกฝ่ายกลับยังมีอารมณ์มาเล่นเกมมนุษย์หมาป่าอีกเนี่ยนะ? [1]

ไม่สบอารมณ์เลยสักนิด

“คุณมีเมนูหรือเปล่า?” ฉินเย่ถามพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ร้าน

“ไม่มี”

“…เค้กล่ะ?”

“ไม่มี”

“… น้ำชา?”

“นี่มันร้านกาแฟ…” สายตาของผู้ดูแลร้านยังคงจับจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์และพบว่าคนอื่น ๆ ได้เริ่มโยนข้อกล่าวหาต่าง ๆ นานามาที่ตนแล้ว เขากัดฟันแน่นและตะโกนเสียงดัง “บะหมี่กุ้ง บะหมี่เกาเหลา ซุปเนื้อ เรามีทุกอย่าง”

เร็วสิ รีบสั่งเร็วเข้า!

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปฉันจะแพ้แล้วนะ!

ฉินเย่กระแอมเบา ๆ “คุณเพิ่งพูดว่านี่คือร้านกาแฟไม่ใช่เหรอ…ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าคุณกำลังขายอะไรบางอย่างที่แตกต่างจากที่ฉันคาดคิดเอาไว้อย่างสิ้นเชิง…บะหมี่เกาเหลาคืออะไร? ช่วยอธิบายให้ฟังสั้น ๆ ทีได้หรือเปล่า? ฉันไม่เคยได้ยินชื่อบะหมี่กุ้งมาก่อนเหมือนกัน….”

จะบอกว่าคุณภาพของมันแย่สุด ๆ เลยก็ได้!

ผู้ดูแลร้ายปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตนอย่างเหนื่อยหน่าย “บะหมี่เกาเหลาก็คือ….”

“ผมขอบะหมี่กุ้งหนึ่งชามก็แล้วกัน” ทันทีที่ฉินเย่เห็นว่าอีกฝ่ายปิดหน้าจอโทรศัพท์ไปแล้ว เขาก็รีบสั่งออกไปทันที

เยี่ยม

ผู้ดูแลร้านจำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดของตัวเองและจ้องหน้าฉินเย่เขม็ง น้องชาย…นี่มันพฤติกรรมของพวกเกลียดการเข้าสังคมชัด ๆ …นายกำลังหาเรื่องฉันอย่างนั้นเหรอ…

“เอากี่ตัว?!” เขาถามลอดไรฟันเสียงดัง

“สอง…” ฉินเย่ยิ้มขณะที่มองหาโต๊ะเบอร์ 4 เมื่อผู้ดูแลหันกลับไป เขาก็ตะโกนไปในห้องครัวเสียงดัง “กุ้งสองตัว!” จากนั้นเมื่อหันกลับมา เขาก็พบว่าฉินเย่กำลังจะนั่งลงที่โต๊ะเบอร์ 4 ชายผมบลอนด์จึงรีบตะโกนห้ามอีกฝ่ายทันที “ห้ามนั่งตรงนั้น!”

ฉินเย่ชะงักไป

“ทำไมนั่งไม่ได้?”

อีกฝ่ายดูอึ้งไปเล็กน้อย ๆ กับคำถาม ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้ดูแลร้านก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะลังเล “มีคน…จองโต๊ะนั้นแล้ว…”

“แต่เขายังไม่มาเลยไม่ใช่หรือ?” ฉินเย่ยิ้มและนั่งลง จู่ ๆ เขารู้สึกว่าผู้ดูแลร้านคนนี้มีใบหน้าที่น่ารักและมีเสเน่ห์ไม่เบา

“น้องชาย!” อย่างไม่คาดคิด อีกฝ่ายรีบวิ่งมาหาเขาและดึงเขาให้ลุกจากที่นั่ง “นายนั่งตรงนี้ไม่ได้จริง ๆ…เดี๋ยวฉันจะหาที่ที่ดีกว่านี้ให้นั่งเอง โต๊ะเบอร์ 6 เป็นไง? มันมีโซฟาเล็ก ๆ ให้นั่งสบาย ๆ ด้วย”

ครืด…ทันใดนั้น บานประตูถูกเปิดออกเบา ๆ ผู้ดูแลร้านอ้าปากค้างและพุ่งตัวไปหลบอยู่ด้านหลังของเคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว

ตึก…ตึก…เสียงเคาะเป็นจังหวะดังขึ้นทำให้ทั่วทั้งร้านตกอยู่ในความเงียบอยู่ชั่วขณะ ไม่กี่วินาทีต่อมา เงาของร่างๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตู หากประเมินจากป้ายโฆษณาที่ติดอยู่ สามารถบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายเป็นคนตัวสูงมาก

เอี๊ยดดดดด…พร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่ดังขึ้น บานประตูถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ชายที่ดูแปลกประหลาดคนหนึ่งก็เดินเข้ามา

เขาสวมเสื้อขนสัตว์ หมวก แว่นกันแดด และหน้ากาก แถมมือทั้งสองข้างของเขายังสวมถุงมือหนังไว้อีกด้วย แทบจะไม่มีส่วนไหนของร่างกายเลยที่เปิดเผยให้เห็น

ท่าทางของเขาดูไม่คล่องตัวนัก อาศัยการสนับสนุนจากไม้เท้ายาว เขาค่อย ๆ เดินไปหาทางด้านฉินเย่

ตึก….พื้นจมลงเล็กน้อย และร่างที่น่าจะสูงประมาณ 1.85 เมตรก็เดินเข้ามาในร้าน เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งจนน่าเหลือเชื่อ “ใช่คุณ…หรือเปล่า?”

“วันนี้ผมเห็นคำตอบกลับใหม่” ชายร่างสูงยืนหันหลังให้กับแสงไฟและชี้ไปยังที่นั่งซึ่งอยู่ตรงข้าม “เชิญ ๆ วันนี้ผมเลี้ยงเอง”

ผู้ดูแลร้านพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อที่จะส่งสัญญาณให้กับฉินเย่ทางสายตา น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่สนใจเขา และหันไปยิ้มให้กับคนตัวสูงก่อนจะนั่งลง

น่าสนใจ

ร่างของชายคนนี้ไม่มีพลังหยินหรือพลังจากซากศพเลยแม้แต่น้อย ทว่าในขณะเดียวกัน ร่างของเขาก็ไม่มีร่องรอยของการมีชีวิตเช่นกัน

มันเหมือนกับว่าเขาคือศพเดินได้ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผิวหนังของมนุษย์ไม่มีผิด

ชายตรงหน้าสวมเสื้อคลุมเก่า ๆ ที่ผิวหนังถูกปกคลุมไปด้วยผ้าพันแผลอีกที ร่างกายของเขาดูเหมือนจะไม่แข็งแรงนัก เพราะเพียงนั่งลงเขาก็เริ่มหอบ อีกฝ่ายหันไปสั่งน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว จากนั้นจึงหันกลับมามองหน้าฉินเย่ผ่านแว่นตากันแดดของตน

“ดูเหมือนว่าคุณจะกำลัง…รอคนอยู่?” ฉินเย่เป็นฝ่ายแรกที่เอ่ยออกมา

ผู้ดูแลร้านรีบยกแก้วน้ำมาให้ร่างสูงก่อนจะรีบหลบไปไกล ๆ ฉินเย่จ้องเข้าไปในแววตาของอีกฝ่ายนิ่ง และไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ชายร่างสูงค่อย ๆ วางไม้เท้าของตนลงและหยิบแก้วน้ำขึ้นมา แต่เขากลับไม่ได้ดื่มมัน หลังจากกลับมาหายใจด้วยจังหวะปกติแล้ว เขาก็เอ่ยตอบในเวลาต่อมา “ใช่แล้ว…ผมกำลังรอ….”

“ทุก ๆ วินาทีในแต่ละวัน ผมคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีใครบางคนมาตอบโพสต์และยอมรับงานนี้” เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดโรย “ดังนั้นผมจึงมาที่นี่เร็วเป็นพิเศษหลังจากที่ได้เห็นคำตอบกลับของคุณ หวังที่จะได้พบกับคุณอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“ผมชื่อหลี่เจียนคัง อายุ 48 ปี ผมอาศัยอยู่ที่ตลาดอาหารทะเลเทียนซี”

“ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนั้น” ฉินเย่หันไปมองรอบ ๆ และพบว่าผู้ดูแลร้านกำลังจะมาเสิร์ฟอาหารให้ตน ดังนั้นเขาจึงโบกมือปฏิเสธเพื่อบอกว่าเขายังไม่ต้องการอาหารในตอนนี้ จากนั้นฉินเย่จึงกลับมามองที่แว่นกันแดดของคนตรงหน้าและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อพวกเราต่างก็ไม่มีเวลามากนัก ทำไมเราไม่เข้าเรื่องกันเลยล่ะ?”

ตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังตามหาอีก 40 คะแนนการสอนที่ลึกลับ ในเมื่อเขากำลังนำอยู่แล้ว เขาก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ตัวเองได้นำหน้าคนเหล่านั้นต่อไป

ราวกับตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของฉินเย่ ทั่วทั้งร้านถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบทันที

“นี่คือสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้เท่านั้น…” หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ หลี่เจียนคังก็เอ่ยขึ้นว่า “ผมอาศัยอยู่ในตลาดอาหารทะเลเทียนซีนี้ตัวคนเดียว ผู้อยู่อาศัยที่นี่เหลืออยู่ไม่มากนักเนื่องจากมีการรื้อถอนในละแวกใกล้เคียง”

“ผมเลี้ยงแมวอยู่ตัวหนึ่ง มันชื่อว่าจิงเกอร์เบลมันเป็นแมวดำที่น่ารักตัวหนึ่ง นอกจากนี้มันก็เชื่องมากด้วย และไม่เคยทำเสียงดังเลยสักครั้ง แต่…ในปีนี้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มัน…ก็เปลี่ยนไป”

แก้วในมือของคนตัวสูงสั่นเล็กน้อย เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งว่า “ผมไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ในทันที แต่เมื่อเวลาผ่านไปประมาณสิบวันหรือมากกว่านั้น มันจะเอาแต่นั่งอยู่ด้านนอก ไม่ยอมเข้ามาในบ้าน จากนั้นประมาณ 23.50 น. มันก็จะเริ่มร้องครางและร้องไห้ออกมาอย่างไม่สามารถหยุดได้”

“คุณเชื่อหรือไม่…มันทำอย่างนี้ทุกวันเมื่อถึงเวลา 23.50 น….ผมมั่นใจว่ามันไม่ได้อยู่ในฤดูติดสัดแน่นอน เพราะผมทำหมันให้มันไปแล้ว ปฏิกิริยาของมันเหมือนกับว่า…มีอะไรบางอย่างในบ้านกำลังคืบคลานเข้ามา จนทำให้มัน…ไม่กล้าเข้ามาในบ้าน”

กริ๊ง…มือของเขาสั่นเทาจนน้ำในแก้วหกออกมา ชายสูงวัยวางแก้วน้ำลงและเอนหลังพิงกับพนักที่นั่นเพื่อข่มอาการสั่นของตัวเอง

“จากนั้น ในคืนหนึ่งของช่วงกลางเดือนกันยายน…จิงเกอร์เบลก็เดินกลับเข้ามาในบ้านเป็นครั้งแรก”

เขาหลับตาลงและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มือจับแขนของเก้าอี้ไว้แน่นจนเห็นข้อขาว “ผมยังจำลักษณะของมันในคืนนั้นได้ดี ลำตัวของมันโก่งงอ ขนทั้งหมดบนร่างตั้งชันขึ้น มันจ้องมาที่ผมอย่างระแวงด้วยดวงตาสีเขียวของมัน และมันก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาผมช้า ๆ….”

“จากนั้น… มันก็กัดผม”

เขาลุกขึ้นยืนและจ้องหน้าฉินเย่ราวกับกำลังหวาดกลัวบางอย่าง “คุณรู้อะไรไหม? ตอนนั้นจิงเกอร์เบลทำตัวเหมือนกับอสูรคลั่ง ผะ… ผมมีความรู้สึกว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะกัดผม แต่…มันตั้งใจจะฝังเขี้ยวของมันไปที่สิ่งอื่น…สิ่งอื่นที่อยู่ข้าง ๆ ผม…อะไรบางอย่างที่มันพุ่งมาหาผม!”

“ผมสัมผัสได้ว่ามันอยู่ที่แค่ข้างไหล่ของผมเอง ไม่ ผมไม่ได้คิดไปเอง!!” หลี่เจียนคังดวงตาเบิกกว้างราวกับคนคลั่ง และหอบหายใจอย่างหนักหน่วง

อกของเขากระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่ถี่รัว

เสียงของเขาดังขึ้นจนสูงกว่าก่อนหน้านี้มาก หลังจากหยุดพูดไปประมาณสิบนาที ชายร่างสูงก็เงยหน้าขึ้นและดึงถุงมือตัวเองออก เผยให้เห็นรอยแผลลึกที่ซ่อนอยู่ภายใน เสียงพูดของเขาเบาลงอีกครั้ง และเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ

“รอยกัดมันลึกมากจนทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนมือของผม ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปที่โรงพยาบาล แต่ผมก็ต้องขับรถส่งของตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตี 5 ทุกวัน ดังนั้นผมเลยขอให้เพื่อนคนหนึ่งมาช่วยดูแลร้านแทน…”

เสียงของเขากลับมาสั่นเทาอีกครั้งราวกับตัวผู้พูดกำลังข่มความกลัวที่อยู่ในน้ำเสียงของตัวเอง “ตะ…แต่…”

ฉินเย่เปิดเปลือกตาขึ้นและหมุนดินสอเล่นบนโต๊ะ “เขาตาย?”

ไร้ซึ่งเสียงตอบ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เจียนคังจึงเอ่ยออกมาในที่สุด “เขาตาย”

“เขาตายยังไง?” ฉินเย่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรขณะถามต่อ

“เขาถูกกัดจนตาย…” ร่างของชายสูงวัยสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขากอดแขนของตัวเองแน่นและเอ่ยต่อเสียงสั่น “มันเป็นการเสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ…รอยกัดบนร่างของเขาบ่งบอกว่าเป็นรอยกัดของสัตว์ร้ายตัวใหญ่ แต่รู้อะไรไหม…”

เสียงของเขาเจือไปด้วยความสยดสยองขณะที่จ้องหน้าฉินเย่อย่างสะพรึงกลัว “ผมถามเพื่อนที่เรียนนิติเวชแล้ว ร่างของเขาถูกตะปบและดึงทึ้งเหมือนกับที่สัตว์ใหญ่พุ่งเข้าจู่โจมมนุษย์ แต่รอยฟัน…มันเป็นรอยที่เกิดขึ้นจากฝีมือของมนุษย์!”

“มัน…มันเกิดจากฝีมือมนุษย์!!”

“ประตูถูกล็อกสนิท! หน้าต่างทุกบานยังไม่ถูกเปิดด้วยซ้ำ! เพื่อนของผมคนนั้น…อยู่ในบ้านของผมในตอนที่เขา…ถูกมนุษย์กัดจนตาย!!!”

หลี่เจียนคังตะโกนสุดเสียง มันเป็นหลักฐานได้อย่างชัดเจนว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้กำลังพลุ่งพล่านอย่างมาก ผู้ดูแลร้านหลบตัวไปหลังร้าน ตั้งแต่ชายตัวสูงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว

ในเวลานี้ มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่เหลืออยู่ในร้าน เสียงของหลี่เจียนคังดังก้องไปทั่วร้าน

แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องเข้าไปในร้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองจนทำให้มองเห็นฝุ่นที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นเอง ความเย็นยะเยือกที่แปลกประหลาดก็เข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่

“มีอะไรอีกหรือเปล่า?” ฉินเย่ถามตา

ร่างของชายตัวสูงยังคงสั่นเทา “ตอนที่ผมกลับไปถึง ผมเห็นรอยรอยข่วนปรากฏไปทั่วทุกที่ ตั้งแต่เตียงไปจนถึงฝาผนัง! รอยพวกนั้นจะต้องถูกทิ้งไว้โดยคนแน่ ๆ! จะมันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ! เขาถูกกัดบริเวณนี้…”

เขาชี้ไปที่ลำคอของตัวเอง “คอของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง…แต่มันกลับไม่มีเลือดเลยสักนิด…”

“ทั่วทั้งห้องไม่มีรอยเลือดเลยแม้แต่รอยเดียว ร่างของเพื่อนของผมดูเหมือนกับถูก….ดูดเลือดจนแห้งเหี่ยว…”

มันยังคงเป็นเวลากลางวัน แต่หลี่เจียนคังกลับสั่นเทา มันแทบจะเหมือนกับว่า…มีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาจากด้านหลัง เขาดึงผ้าพันคอของตัวเองออกและเช็ดเหงื่อบริเวณหน้าผากของตัวเอง ฉินเย่เพียงเคาะนิ้วของตัวเองลงบนโต๊ะเบา ๆ “คุณมีภรรยาหรือลูกหรือเปล่า?”

“พวกเขาเสียแล้ว” ชายร่างสูงเอ่ยตอบอย่างโศกเศร้า “พวกเขาเสียไปตั้งแต่หลายปีที่แล้ว…”

“คุณเคยขอให้ใครช่วยมาก่อนหรือเปล่า?”

[1] เกมมนุษย์หมาป่าหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า เกมWerewolf ผู้เล่นจะต้องหาตัวมนุษย์หมาป่าที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านและฆ่าเขาก่อนที่เขาจะฆ่าคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีตัวละครอื่นๆที่มีพลังอย่างเช่น ผู้รู้แจ้ง ผู้ที่มีความสามารถในการตรวจสอบบทบาทของผู้เล่นคนอื่นๆได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด