ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 142: การประชุมใหญ่ของนรก (3)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 142: การประชุมใหญ่ของนรก (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 142: การประชุมใหญ่ของนรก (3)

ในขณะที่ชายวัยกลางคนนั่งลงและเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยติดอ่างด้วยความตื่นเต้น “นะ นะ นายท่าน! แล้วอุตสาหกรรมเกมเล่า? ยมโลกจะนำเข้าเกมที่มีวางจำหน่ายในแดนมนุษย์ไหมครับ? แล้วการแข่งขันเกมระดับประเทศอีก? พวกเราจะได้เห็นผู้เล่นหรือทีมดัง ๆ บ้างไหม?”

ฉินเย่ควบคุมตัวเองไม่ให้ระเบิดลง ก่อนที่เขาจะกัดฟันแล้วตอบออกไปตามความเป็นจริง “ไม่ต้องห่วง….เมื่อใดที่พวกเขาเสียชีวิต พวกเขาจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงรอคอยการมาถึงของพวกเขาเท่านั้น…”

และรอวันที่พวกเจ้าจะไม่สามารถเล่นเกมต่อได้โดยไม่ผูกบัญชีของเจ้ากับเกมด้วย….

เวลาสิบนาทีผ่านไปในชั่วพริบตา ขณะที่ฉินเย่กำลังจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเดินจากไป ชายสูงวัยที่ยังไม่มีโอกาสได้ถามคำถามของตนก็ลุกขึ้นยืนและตะโกนถามสุดเสียง “นายท่าน…ย่านที่อยู่อาศัยในอนาคตจะเป็นเช่นนี้เลยไหม? มันจะงดงามเหมือนอย่างสวนจี้ชั่งเมื่อตอนเริ่มแรกเลยหรือเปล่า?”

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ชายสูงวัยคนอื่น ๆ เองก็ลุกขึ้นยืนและมองไปยังฉินเย่ด้วยประกายไฟที่ลุกโชนในดวงตาของพวกเขา

ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไม่ สวนจี้ชั่งเมื่อตอนเริ่มแรก เราเอาไว้ตั้งเป็นเกณฑ์มาตรฐานเท่านั้น งานก่อสร้างส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการที่พักอาศัยปกติ”

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง…” ชายสูงวัยถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้น ขณะที่ฉินเย่กำลังจะเดินลงจากเวที ชายสูงวัยก็เอ่ยขึ้นว่า “สองล้าน”

“สองล้านหยวน สกุลเงินของแดนมนุษย์ ฉันอยากจะได้ห้องหมายเลข 111 ของชั้นที่ 1”

ว่าไงนะ?!

ทั่วทั้งสถานที่ตกสู่ความเงียบ ฉินเย่จ้องมองไปยังชายคนดังกล่าวราวกับเขาเพิ่งเห็นผี

เจ้าสามารถทำอะไรเช่นนั้นได้ด้วยหรือ?

สิ่งแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับใครได้ง่าย ๆ แม้แต่หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดเองก็งงงันไปเช่นกัน อาร์ทิสกะพริบตาปริบ ๆ อย่างเหม่อลอย ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอย่างสมบูรณ์

ไม่ใช่ว่าเหมือนเขาเปิดประมูลซื้อบ้านแล้วหรอกนะ?

ไม่…เราไม่ควรส่งเสริมหรืออนุญาตให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บกำไรในนรก…ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อราคาของสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้น?…เหล่าวิญญาณที่ไม่สามารถจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสมจะไม่ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตึกเลยอย่างนั้นหรือ?

“เจ้า…” แม้จะมีความคิดเช่นนั้น แต่ภายในใจของฉินเย่กลับดีใจเป็นอย่างมาก ให้ตายเถอะ…นี่แทบจะรู้สึกเหมือนกับมีคนยื่นหมอนนุ่ม ๆ มาให้ในขณะที่เขากำลังจะหลับ…

ใช้แล้ว เขาอาจจะเริ่มต้นระยะแรกของโครงการก่อสร้างในนรกไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะต้องเสียเงินลงทุนไปอีกมากเท่าไหร่ในอนาคต? เงินที่ต้องใช้ในการสร้างย่านที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งนั้นต้องใช้เงินอย่างน้อยร้อยล้านหยวน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เงินสองล้านที่เขาเสริมเข้าไปในโครงการแรกนั้นเทียบไม่ติดเลยสักนิด และนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึงอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมายที่เขาต้องหามาเพื่อโครงการในอนาคตอีก

เขาอาจจะต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรอื่น ๆ อีกก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ? จากนั้นมันก็ยังต้องมีที่เอาไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์และเครื่องจักรพวกนี้อีก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่สามารถให้คนมาคอยเก็บอุปกรณ์และเคลื่อนย้ายมันไปมาในทุกครั้งที่ฝนตกได้ ถูกหรือไม่?

และจากนั้นมันก็ยังมีเรื่องการจัดการวัสดุสำหรับการก่อสร้างอีก….ทุกอย่างอาจจะดูเรียบร้อยในตอนนี้ แต่ผู้ใดจะรู้กันว่าในอนาคตรายการวัสดุพวกนี้จะยาวเป็นหางว่าวมากเพียงใด? เขาจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์พวกนี้จะยังสามารถใช้งานได้อยู่หลังจากที่ผ่านไปอีกสักสองสามเดือน?!

ด้วยเหตุนี้….ยาจกฉินเย่จึงเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ฉันเพียงแต่มอบข้อเสนอทางธุรกิจเท่านั้น” ชายชราเหลือบสายตาไปมองรอบ ๆ และเอ่ยต่อ “ทุกท่านครับ ผมไม่ได้กำลังพยายามทำตัวอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด มันก็แค่…ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นผู้สูงวัยไม่ใช่เหรอ?”

“จากประชากรวิญญาณหนึ่งหมื่นตน ประมาณสองในสามสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นผู้สูงอายุ แล้วพวกเรา ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอและเสียชีวิตในช่วงอายุมาก จะสามารถแข่งขันกับประชากรหนุ่มสาวได้ยังไง? ฉันเองก็อยากที่จะสมัครเข้าบริษัทก่อสร้างหยินเช่นกันหากสามารถทำได้ แต่ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องงานก่อสร้างเลยแม้แต่น้อย แล้วนอกจากนี้ หากฉันอาสาสมัครเข้าไป พวกท่านจะยินดีรับหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

เขาโค้งคำนับซ้ำ ๆ หลายครั้งขณะที่เอ่ยต่อ “ตอนนี้พวกท่านทั้งหลายอาจจะรู้แล้วว่าสภาพร่างกายของเราในตอนนี้สะท้อนถึงสุขภาพของเราในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ พวกเราจะไม่ตายจากความแก่ชราอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเราไม่สามารถออกแรงได้มากเท่าเหล่าหนุ่มสาว และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าเราไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง และจำเป็นจะต้องหยุดพักบ่อยกว่าพวกหนุ่มสาว นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับสุดท้ายท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดหรอกหรือ?”

“โชคดีที่ฉันตายมาแล้วหลายสิบปีแล้ว ฉันตายก่อนจะเกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเสียอีก และฉันเองก็พอจะมีเงินออมบางส่วนที่ยังฝังอยู่ใต้ดินและยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมา นายท่าน ท่านเองก็กำลังดิ้นรนกับการทำธุรกรรมในแดนมนุษย์ แล้วท่านไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินในการทำธุรกรรมพวกนั้นอย่างนั้นเลยเหรอ? ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเสนอว่าผู้ที่มีกำลังและความแข็งแกร่งควรพยายามอย่างเต็มที่ ในขณะที่ผู้ที่มีเงินมากพอก็สามารถมีส่วนร่วมในรูปแบบของตนเองได้เช่นกัน นี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย”

“ขอเวลาให้พวกเราหารือกันเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของเจ้าสักครู่” อาร์ทิสหันไปมองหน้าฉินเย่อย่างรู้กันก่อนที่วิญญาณตนอื่นจะได้เอ่ยอะไร ทันทีที่ฉินเย่เอ่ยจบ เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น

“รีบตกลงไปซะ! อย่าประเมินข้อเสนอสองล้านของเขาต่ำเกินไป ของแบบนี้….ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ”

“แต่มันน้อยเกินไป” ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง “หากอิงตามราคาตลาด อพาร์ทเมนต์แต่ละห้องของอาคารนี้ควรจะขายได้อย่างน้อย 7-8 ล้านหยวนด้วยซ้ำ”

“แต่ก็อย่างที่เจ้าว่า นี่เป็นเพียงราคาตลาดเท่านั้น!” อาร์ทิสเอ่ยเสียงฮึดฮัด “ที่นี่คือนรก มีไม่กี่คนหรอกนะที่สามารถนำเงินในแดนมนุษย์ติดตัวมาด้วยได้ เจ้าจะต้องรับมันไว้! มูลค่าของสกุลหยวนในนรกนั้นไม่เหมือนกับสกุลหยวนในแดนมนุษย์ มันมีมูลค่าสูงกว่ากันมาก!”

แต่ก่อนที่พวกเขาจะปรึกษากันจนจบ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ห้องหมายเลข 111….นั่นคือห้องที่หันหน้าไปทางสระน้ำใช่หรือไม่? ช่างบังเอิญเสียจริง เพราะตาแก่ผู้นี้เองก็สนใจห้องบริเวณนั้นเช่นกัน”

และก็เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงอันน่ารังเกียจของพวกคนรวยดังขึ้นให้ได้ยิน ฝูงชนทั้งหมดแยกออกจากกันเล็กน้อย และชายชราที่ถือลูกวอลนัทสองลูกไว้ในมือก็เดินออกมาอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างมีเลือดฝาด แทบจะไม่เหมือนคนที่ตายแล้วเลยสักนิด “สิบล้านหยวน ฉันขอซื้อสองห้อง ฉันอยากจะเตรียมอีกห้องหนึ่งไว้ให้กับภรรยาของตัวเองเมื่อเธอมาที่ยมโลกเหมือนกัน”

ทันทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดก็เป็นประกายขึ้นในทันที ซ่งหมิงรีบเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของฉินเย่และกระซิบเสียงเบาว่า “เจ้าสัวแห่งอุตสาหกรรมกระจก! หวงเลี่ยงชวน ชายผู้เดียวที่ครองอุตสาหกรรมกระจกของทั่วทั้งแผ่นดินจีน! เขาเริ่มจากการเปิดร้านเล็ก ๆ และขยายกิจการของตนไปสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ! เขาโตขึ้นมาในเมืองไดซานในเขตของมณฑลอันฮุ่ย และเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในยุคของเขา ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจมากจนน่าเหลือเชื่อ บริษัทก่อสร้างที่พวกเราทั้งหมดนี้ล้วนเคยสั่งกระจกจากบริษัทของเขามาแล้วทั้งนั้น!”

“ติดอันดับที่ 148 ของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศเมื่อปีที่แล้ว เขาคือ…มหาเศรษฐีที่แท้จริง! ”

ฉินเย่เริ่มสับสนไปหมด

มีหลายอย่างที่คนเรากว่าจะตระหนักได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ประสบกับมันด้วยตัวเองอย่างเช่นฉินเย่ในตอนนี้เขางงไปหมดแล้วว่าเมื่อกี้เขาจะพูดอะไรออกไปกันแน่

และก็เป็นตอนนี้เองที่เขารู้สึกอยากจะตบหน้าของตัวเองแรง ๆ สักที

ทำไมเขาถึงไม่บอกให้อาร์ทิสวาดเป็นภาพหมึกกันนะ?! นี่มันคือการลงทุน! ท่านคิดว่าคนพวกนี้ขาดวิจารณญาณหรือไง? คิดว่าพวกเขาจะดูไม่ออกจริง ๆ สวนจี้ชั่งเมื่อตอนเริ่มแรกเป็นสถานที่แบบไหนกันน่ะ?

หากวางเรื่องอื่น ๆ ลง พวกเขาเพียงต้องถามแค่ว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ว่าเหล่าผู้นำของบริษัทก่อสร้างหยินจะไม่ได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้! เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาร์ทิสจะอาศัยอยู่ที่นั่น? แล้วนายท่านฉินเล่า?

พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก?

พวกเขาก็ต้องอยู่ที่สวนจี้ชั่งอยู่แล้วสิ!

นอกจากนี้ เงินสิบล้านนั้นถือว่าน้อยนิดมากสำหรับผู้ที่เป็นมหาเศรษฐี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันจะทำให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเหล่าผู้นำของนรกและโอกาสต่าง ๆ มากมาย

ซ่งหมิงเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาป่วยหนัก และหุ้นของตระกูลหวงก็ดิ่งลงอย่างกะทันหันเพราะผลจากเรื่องนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาไม่ประกาศการตายของเขาให้แก่สาธารณชนได้ทราบ พวกเขาคงจะกลัวว่าหุ้นบริษัทจะตกฮวบลง…นายท่าน นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ เงินสิบล้านจะทำให้พวกเราสามารถซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักรอื่น ๆ ได้มากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน!”

ฉินเย่พยักหน้า เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว และเขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรตัดสินใจอะไรไปโดยพลการ

เช่นเดียวกับรัฐบาลอื่น ๆ พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาในการ ‘พิจารณา’ เรื่องนี้

และพิจารณาเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติม

จากนั้น ท้ายที่สุด พวกเขาก็ยอมทำตามคำขอไปอย่างไม่เต็มใจในแบบที่เย็นชาและห่างเหิน และทั้งหมดนี่ก็เพื่อที่จะบอกเพียงอย่างเดียว ข้ายอมเห็นแก่หน้าเจ้าโดยการตกลงรับคำขอนี้ นี่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะได้รับการปล่อยตัวไป

“เดี๋ยวเรามาทบทวนเรื่องนี้กันใหม่” ฉินเย่มองไปยังความวุ่นวายที่เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงคนและรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขายังไม่มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเลยสักหน่วย…และแม้ว่าเขาจะมีอำนาจที่จะระงับความไม่สงบได้ทันทีที่เกิดขึ้น แต่เขาจะมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ? หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือเขาจะยอมให้เชื่อใจกับกลุ่มผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งดูแลเรื่องการรักษาความสงบและความเรียบร้อยของกฎหมายที่นี่อย่างนั้นหรือ?

อืม…ประชากรผู้สูงอายุเองก็เป็นปัญหาหนึ่งที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข และไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ พวกเราจะต้องให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้ว…ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขายังสามารถทำงานต่อไปได้นั้นยังคงอยู่…

ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งกังวลกับอนาคตของยมโลกมากขึ้นเท่านั้น….

เสียงระฆังที่ดังก้องบ่งบอกถึงการจบลงของการประชุมใหญ่ ฉินเย่กลับไปยังโถงย่อยทันที เขาจำเป็นจะต้องเรียงลำดับความคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้

อาร์ทิสและหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดเองก็อยู่ภายในห้องด้วยเช่นกัน สีหน้าของคนทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่แทบจะระเบิดออกมา

นี่คือความรู้สึกของการมีอำนาจอย่างแท้จริง

“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ” ฉินเย่ยังคงรักษาบุคลิกที่เย็นชาและห่างเหินขณะที่เอ่ยกับคนทั้งหมดด้วยรอยยิ้มบางเบา “นับว่าก้าวแรกของเราเริ่มต้นได้ดีพอสมควร แต่มันก็ยังมีปัญหาอีกมากมายที่จะต้องการได้รับการแก้ไขหลังจากนี้”

“อาร์ทิสและข้าได้หารือกันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่”

“ประการแรก การจัดการชุมชน” ฉินเย่ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ชุมชนจะต้องหนาแน่นไปด้วยผู้คน ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนที่นี่คงจะสามารถนึกถึงชุมชนที่อยู่อาศัยที่อยู่ในแดนมนุษย์ได้ มันไม่จำเป็นจะต้องสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในราคาซื้อขั้นต่ำ เราจำเป็นจะต้องนึกถึง เราอาจจะต้องจัดหาสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่นห้องสันทนาการ และในเรื่องนี้ ข้าตั้งใจที่จะตรงไปที่แดนมนุษย์และระบบและอุปกรณ์สร้างความบันเทิงมา เพราะไม่ว่าอย่างไร…ประชากรสูงวัยก็ไม่สามารถใช้งานหนักได้อยู่แล้ว”

ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่งขณะที่ข่มความตื่นเต้นภายในใจของตน จ้าวกวงเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มันไม่เพียงเท่านั้น พวกเราควรก่อตั้งแผนกการเงินขึ้นมาให้ได้โดยเร็วที่สุด เราไม่สามารถทำงานการกุศลได้ตลอดเวลา ในอดีต…นรกแห่งเก่าจะต้องมีระบบการเงินบางอย่างอยู่แน่นอน”

“และมันยังมีเรื่องของการรักษาความปลอดภัยอีก” เฉียนเทียนอี้เอ่ยต่อ “ด้วยจำนวนของประชากรนับหมื่น พวกเราไม่สามารถมองข้ามเรื่องความปลอดภัยไปได้ หากเราต้องการหยุดหรือระงับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เหมือนอย่างเหตุการณ์ของเกาต้าหู พวกเราจำเป็นจะต้องจัดตั้งกองกำลังที่อยู่ภายใต้การสั่งการของท่านโดยตรง เพราะท้ายที่สุดแล้ว อำนาจนั้นขยายออกไปจากปลายกระบอกปืน กฎหมายนั้นไร้ค่าหากปราศจากการบังคับใช้”

“จดเนื้อหาพวกนี้เอาไว้ด้วย” ฉินเย่หันไปด้านหลังและสั่งผู้จดบันทึกการประชุมที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขา

ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “เราจำเป็นจะต้องตรวจสอบและสำรวจพื้นที่ทั้งหมดเพื่อหาเวลาที่ดีที่สุดในการเปิดตัวสมาคม ด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะสามารถรักษาเสถียรภาพของจำนวนผู้สูงอายุที่ไม่อาจตายได้อีก…อะแฮ่ม…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกพวกเขานะ ข้าเพียงเอ่ยตามจริง….”

เขาเอ่ยต่อ “เมื่อมีการลงทะเบียนงานอดิเรกของผีผู้สูงอายุแล้ว ฝ่ายบริหารชุมชนจะสามารถเริ่มการจัดหาบุคลากรเพื่อจัดการกับพวกเขา โดยเฉพาะกับตอนที่พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการก่อสร้างของนรกได้ ส่วนเรื่องระบบการเงิน…รัฐมนตรีอาร์ทิส ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

วันนี้อาร์ทิสแต่งตัวเป็นทางการมาก

ก่อนหน้านี้นางได้เผยร่างที่แท้จริงของตัวเองไปเมื่ออยู่ในร่างของยมทูต และลิ้นนางก็ห้อยย้อยลงมาจนถึงพื้น อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของนางในตอนนี้ก็ยังคงเป็นตุ๊กตายางที่สวมทับด้วยชุดของสาวออฟฟิศอีกที และนางดู…ดู…ภูมิฐานเป็นอย่างมาก

“มันไม่จำเป็นจะต้องมีระบบการเงินตราบใดที่นรกยังมีขนาดเพียงแค่หมู่บ้าน… หากพูดกันตามตรง นรกจะสามารถมีระบบการเงินได้ก็ต่อเมื่อมันขยายขนาดเป็นเมืองแล้วเท่านั้น หากพูดให้เจาะจงมากกว่าเดิมก็คือมีเพียงตอนนั้นเท่านั้นที่พลังหยินในนรกจะสามารถรองรับโครงสร้างพิเศษที่ระบบการเงินของนรกถูกสร้างขึ้นอย่างธนาคารสวรรค์อเวจีได้”

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด “เมื่อมันถูกก่อตั้งขึ้น เจ้าจึงจะสามารถทำให้สังคมในนรกปกติได้ นอกจากนี้ ไฟฟ้า น้ำ และช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่สร้างระบบการเงินแล้วเท่านั้น หรือถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือจำนวนพลังหยินโดยรวมในนรกขนาดหมู่บ้านนั้นยังถือว่าห่างไกลจากโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถส่งผลกระทบต่อนรกอยู่มาก….”

“เดี๋ยวนะ…” ฉินเย่รู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ยินอะไรผิดไป “ไฟฟ้า? น้ำ? ท่านแน่ใจหรือว่าในอดีตตัวเองสามารถเข้าถึงสิ่งพวกนั้นได้?”

อาร์ทิสกลอกตาใส่อีกฝ่าย “น่าแปลกตรงไหน? นรกเองก็ต้องปรับตัวตามกาลเวลาเช่นกัน ภาพของจู้หรง ราชันอัคคีแห่งทิศทักษิณเองก็เป็นเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตกาล เมื่อนรกแห่งเก่าล่มสลาย ท่านจู้หรงได้ชื่อว่าเป็น ‘ประธานบริษัทพลังงานไฟฟ้าแห่งยมโลก’ หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของแหล่งจ่ายไฟใต้พิภพ ส่วนประธานบริษัทสายธารแห่งยมโลกก็คือรุ่นที่ 3,242 ของผู้ที่สืบสายเลือดมาจากพระแม่ธรณี บริษัทที่อื่น ๆ แทบจะล่มสลายลงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทบำบัดน้ำเสียอื่น ๆ โชคดีที่ท่านจ้าวนรกคนก่อนคำนึงถึงคุณงามความดีของพระแม่ธรณีที่เปลี่ยนร่างของนางให้เป็นกงล้อแห่งสังสารวัฏ ไม่เช่นนั้นบริษัทน้ำแห่งยมโลกคงจะกลายเป็นอดีตไปนานแล้ว”

นี่มันอะไรกัน…

คนทั้งหมดตาเบิกกว้างขณะที่มองหน้ากันและกันอย่างอึดอัด

นรกแห่งเก่า…ปรับตัวตามกาลเวลาจริง ๆ….

“เมื่อนรกขยายใหญ่ขึ้น มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เจ้าจะได้เห็นการเจริญเติบโตของหอการค้าและบริษัทต่าง ๆ เจ้าจะสามารถมองเห็นถึงเส้นขนานระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าเสียดายที่นรกแห่งเก่าล่มสลายไปก่อนที่มันจะสามารถพัฒนาอินเทอร์เน็ตขึ้นมาได้….อะไร? เหตุใดพวกเจ้าจึงจ้องข้าแบบนั้น? เหล่าผู้คิดค้นอินเทอร์เน็ตในแผ่นดินจีนเองก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเมื่อพวกเขามาถึงที่ยมโลกเชียวนะ และก็มีจำนวนมากด้วยที่ได้รับเงินเดือนที่สูงจนน่าทึ่งขณะที่พวกเขาเริ่มวางสายเคเบิลไว้ใต้ดิน ผู้ใดจะไปคิดว่าจู่ ๆ พระกษิติครรภโพธิสัตว์จะทรงตรัสรู้ก่อนที่พวกเราจะได้ลองใช้งานอินเทอร์เน็ตจริง ๆ….”

ไม่มีเสียงตอบ

สุดยอดมาก ยมโลก…..

เหตุใดเขาจึงรู้สึกถึงคำพูดมากมายที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจกันนะ…

คุณแม่ครับ นรกไม่เหมือนกับที่ผมคิดเลย ผมจะทำอย่างไรดี?

ทันใดนั้นเอง ซูตงเซวี่ยก็เดินเข้ามาในโถงย่อยและโค้งคำนับอย่างสง่างาม “นายท่าน กลุ่มวิญญาณห้าตนที่เรียกตนว่า ‘กลุ่มสนับสนุนตะวันสีชาด’ กำลังนั่งอยู่ที่ทางเข้า พวกเขาเรียกร้องที่จะพบกับท่าน”

“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่รู้สึกได้ว่าสมองของเขากำลังเต้นตุบ ๆ ด้วยความเจ็บปวด นี่มันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมจู่ ๆ ถึงมีกลุ่มสนับสนุนเกิดขึ้นในนรกแล้วล่ะ? นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่นาทีเองนะ…แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไรว่านั่งอยู่หน้าทางเข้าแล้ว? นี่พวกเขาเรียนรู้ที่จะประท้วงเป็นแล้วอย่างนั้นหรือ?

พวกเจ้านี่ชอบสร้างปัญหาจริง ๆ รู้ตัวหรือไม่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 142: การประชุมใหญ่ของนรก (3)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 142: การประชุมใหญ่ของนรก (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 142: การประชุมใหญ่ของนรก (3)

ในขณะที่ชายวัยกลางคนนั่งลงและเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยติดอ่างด้วยความตื่นเต้น “นะ นะ นายท่าน! แล้วอุตสาหกรรมเกมเล่า? ยมโลกจะนำเข้าเกมที่มีวางจำหน่ายในแดนมนุษย์ไหมครับ? แล้วการแข่งขันเกมระดับประเทศอีก? พวกเราจะได้เห็นผู้เล่นหรือทีมดัง ๆ บ้างไหม?”

ฉินเย่ควบคุมตัวเองไม่ให้ระเบิดลง ก่อนที่เขาจะกัดฟันแล้วตอบออกไปตามความเป็นจริง “ไม่ต้องห่วง….เมื่อใดที่พวกเขาเสียชีวิต พวกเขาจะต้องมาที่นี่อย่างแน่นอน สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงรอคอยการมาถึงของพวกเขาเท่านั้น…”

และรอวันที่พวกเจ้าจะไม่สามารถเล่นเกมต่อได้โดยไม่ผูกบัญชีของเจ้ากับเกมด้วย….

เวลาสิบนาทีผ่านไปในชั่วพริบตา ขณะที่ฉินเย่กำลังจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกและเดินจากไป ชายสูงวัยที่ยังไม่มีโอกาสได้ถามคำถามของตนก็ลุกขึ้นยืนและตะโกนถามสุดเสียง “นายท่าน…ย่านที่อยู่อาศัยในอนาคตจะเป็นเช่นนี้เลยไหม? มันจะงดงามเหมือนอย่างสวนจี้ชั่งเมื่อตอนเริ่มแรกเลยหรือเปล่า?”

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ชายสูงวัยคนอื่น ๆ เองก็ลุกขึ้นยืนและมองไปยังฉินเย่ด้วยประกายไฟที่ลุกโชนในดวงตาของพวกเขา

ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ไม่ สวนจี้ชั่งเมื่อตอนเริ่มแรก เราเอาไว้ตั้งเป็นเกณฑ์มาตรฐานเท่านั้น งานก่อสร้างส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการที่พักอาศัยปกติ”

“เป็นเช่นนั้นนี่เอง…” ชายสูงวัยถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้น ขณะที่ฉินเย่กำลังจะเดินลงจากเวที ชายสูงวัยก็เอ่ยขึ้นว่า “สองล้าน”

“สองล้านหยวน สกุลเงินของแดนมนุษย์ ฉันอยากจะได้ห้องหมายเลข 111 ของชั้นที่ 1”

ว่าไงนะ?!

ทั่วทั้งสถานที่ตกสู่ความเงียบ ฉินเย่จ้องมองไปยังชายคนดังกล่าวราวกับเขาเพิ่งเห็นผี

เจ้าสามารถทำอะไรเช่นนั้นได้ด้วยหรือ?

สิ่งแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นกับใครได้ง่าย ๆ แม้แต่หัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดเองก็งงงันไปเช่นกัน อาร์ทิสกะพริบตาปริบ ๆ อย่างเหม่อลอย ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอย่างสมบูรณ์

ไม่ใช่ว่าเหมือนเขาเปิดประมูลซื้อบ้านแล้วหรอกนะ?

ไม่…เราไม่ควรส่งเสริมหรืออนุญาตให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็บกำไรในนรก…ไม่เช่นนั้น พวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อราคาของสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้น?…เหล่าวิญญาณที่ไม่สามารถจัดหาที่อยู่ที่เหมาะสมจะไม่ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตึกเลยอย่างนั้นหรือ?

“เจ้า…” แม้จะมีความคิดเช่นนั้น แต่ภายในใจของฉินเย่กลับดีใจเป็นอย่างมาก ให้ตายเถอะ…นี่แทบจะรู้สึกเหมือนกับมีคนยื่นหมอนนุ่ม ๆ มาให้ในขณะที่เขากำลังจะหลับ…

ใช้แล้ว เขาอาจจะเริ่มต้นระยะแรกของโครงการก่อสร้างในนรกไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะต้องเสียเงินลงทุนไปอีกมากเท่าไหร่ในอนาคต? เงินที่ต้องใช้ในการสร้างย่านที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่งนั้นต้องใช้เงินอย่างน้อยร้อยล้านหยวน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เงินสองล้านที่เขาเสริมเข้าไปในโครงการแรกนั้นเทียบไม่ติดเลยสักนิด และนี่ก็ยังไม่ได้พูดถึงอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมายที่เขาต้องหามาเพื่อโครงการในอนาคตอีก

เขาอาจจะต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรอื่น ๆ อีกก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ? จากนั้นมันก็ยังต้องมีที่เอาไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์และเครื่องจักรพวกนี้อีก เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่สามารถให้คนมาคอยเก็บอุปกรณ์และเคลื่อนย้ายมันไปมาในทุกครั้งที่ฝนตกได้ ถูกหรือไม่?

และจากนั้นมันก็ยังมีเรื่องการจัดการวัสดุสำหรับการก่อสร้างอีก….ทุกอย่างอาจจะดูเรียบร้อยในตอนนี้ แต่ผู้ใดจะรู้กันว่าในอนาคตรายการวัสดุพวกนี้จะยาวเป็นหางว่าวมากเพียงใด? เขาจะสามารถแน่ใจได้อย่างไรว่าเครื่องจักรและอุปกรณ์พวกนี้จะยังสามารถใช้งานได้อยู่หลังจากที่ผ่านไปอีกสักสองสามเดือน?!

ด้วยเหตุนี้….ยาจกฉินเย่จึงเริ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“ฉันเพียงแต่มอบข้อเสนอทางธุรกิจเท่านั้น” ชายชราเหลือบสายตาไปมองรอบ ๆ และเอ่ยต่อ “ทุกท่านครับ ผมไม่ได้กำลังพยายามทำตัวอยู่เหนือกฎหมายแต่อย่างใด มันก็แค่…ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นผู้สูงวัยไม่ใช่เหรอ?”

“จากประชากรวิญญาณหนึ่งหมื่นตน ประมาณสองในสามสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นผู้สูงอายุ แล้วพวกเรา ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอและเสียชีวิตในช่วงอายุมาก จะสามารถแข่งขันกับประชากรหนุ่มสาวได้ยังไง? ฉันเองก็อยากที่จะสมัครเข้าบริษัทก่อสร้างหยินเช่นกันหากสามารถทำได้ แต่ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องงานก่อสร้างเลยแม้แต่น้อย แล้วนอกจากนี้ หากฉันอาสาสมัครเข้าไป พวกท่านจะยินดีรับหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

เขาโค้งคำนับซ้ำ ๆ หลายครั้งขณะที่เอ่ยต่อ “ตอนนี้พวกท่านทั้งหลายอาจจะรู้แล้วว่าสภาพร่างกายของเราในตอนนี้สะท้อนถึงสุขภาพของเราในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ พวกเราจะไม่ตายจากความแก่ชราอีกต่อไป แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเราไม่สามารถออกแรงได้มากเท่าเหล่าหนุ่มสาว และมันก็ไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงที่ว่าเราไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง และจำเป็นจะต้องหยุดพักบ่อยกว่าพวกหนุ่มสาว นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับสุดท้ายท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดหรอกหรือ?”

“โชคดีที่ฉันตายมาแล้วหลายสิบปีแล้ว ฉันตายก่อนจะเกิดการปฏิวัติทางวัฒนธรรมเสียอีก และฉันเองก็พอจะมีเงินออมบางส่วนที่ยังฝังอยู่ใต้ดินและยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมา นายท่าน ท่านเองก็กำลังดิ้นรนกับการทำธุรกรรมในแดนมนุษย์ แล้วท่านไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินในการทำธุรกรรมพวกนั้นอย่างนั้นเลยเหรอ? ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเสนอว่าผู้ที่มีกำลังและความแข็งแกร่งควรพยายามอย่างเต็มที่ ในขณะที่ผู้ที่มีเงินมากพอก็สามารถมีส่วนร่วมในรูปแบบของตนเองได้เช่นกัน นี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย”

“ขอเวลาให้พวกเราหารือกันเกี่ยวกับข้อเสนอแนะของเจ้าสักครู่” อาร์ทิสหันไปมองหน้าฉินเย่อย่างรู้กันก่อนที่วิญญาณตนอื่นจะได้เอ่ยอะไร ทันทีที่ฉินเย่เอ่ยจบ เสียงเล็ก ๆ ก็ดังขึ้น

“รีบตกลงไปซะ! อย่าประเมินข้อเสนอสองล้านของเขาต่ำเกินไป ของแบบนี้….ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ”

“แต่มันน้อยเกินไป” ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่ง “หากอิงตามราคาตลาด อพาร์ทเมนต์แต่ละห้องของอาคารนี้ควรจะขายได้อย่างน้อย 7-8 ล้านหยวนด้วยซ้ำ”

“แต่ก็อย่างที่เจ้าว่า นี่เป็นเพียงราคาตลาดเท่านั้น!” อาร์ทิสเอ่ยเสียงฮึดฮัด “ที่นี่คือนรก มีไม่กี่คนหรอกนะที่สามารถนำเงินในแดนมนุษย์ติดตัวมาด้วยได้ เจ้าจะต้องรับมันไว้! มูลค่าของสกุลหยวนในนรกนั้นไม่เหมือนกับสกุลหยวนในแดนมนุษย์ มันมีมูลค่าสูงกว่ากันมาก!”

แต่ก่อนที่พวกเขาจะปรึกษากันจนจบ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “ห้องหมายเลข 111….นั่นคือห้องที่หันหน้าไปทางสระน้ำใช่หรือไม่? ช่างบังเอิญเสียจริง เพราะตาแก่ผู้นี้เองก็สนใจห้องบริเวณนั้นเช่นกัน”

และก็เป็นอีกครั้งที่น้ำเสียงอันน่ารังเกียจของพวกคนรวยดังขึ้นให้ได้ยิน ฝูงชนทั้งหมดแยกออกจากกันเล็กน้อย และชายชราที่ถือลูกวอลนัทสองลูกไว้ในมือก็เดินออกมาอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าของเขาแดงก่ำอย่างมีเลือดฝาด แทบจะไม่เหมือนคนที่ตายแล้วเลยสักนิด “สิบล้านหยวน ฉันขอซื้อสองห้อง ฉันอยากจะเตรียมอีกห้องหนึ่งไว้ให้กับภรรยาของตัวเองเมื่อเธอมาที่ยมโลกเหมือนกัน”

ทันทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดก็เป็นประกายขึ้นในทันที ซ่งหมิงรีบเดินไปหยุดอยู่ด้านข้างของฉินเย่และกระซิบเสียงเบาว่า “เจ้าสัวแห่งอุตสาหกรรมกระจก! หวงเลี่ยงชวน ชายผู้เดียวที่ครองอุตสาหกรรมกระจกของทั่วทั้งแผ่นดินจีน! เขาเริ่มจากการเปิดร้านเล็ก ๆ และขยายกิจการของตนไปสู่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ! เขาโตขึ้นมาในเมืองไดซานในเขตของมณฑลอันฮุ่ย และเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใหญ่ที่สุดในยุคของเขา ถือว่าเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจมากจนน่าเหลือเชื่อ บริษัทก่อสร้างที่พวกเราทั้งหมดนี้ล้วนเคยสั่งกระจกจากบริษัทของเขามาแล้วทั้งนั้น!”

“ติดอันดับที่ 148 ของผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศเมื่อปีที่แล้ว เขาคือ…มหาเศรษฐีที่แท้จริง! ”

ฉินเย่เริ่มสับสนไปหมด

มีหลายอย่างที่คนเรากว่าจะตระหนักได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้ประสบกับมันด้วยตัวเองอย่างเช่นฉินเย่ในตอนนี้เขางงไปหมดแล้วว่าเมื่อกี้เขาจะพูดอะไรออกไปกันแน่

และก็เป็นตอนนี้เองที่เขารู้สึกอยากจะตบหน้าของตัวเองแรง ๆ สักที

ทำไมเขาถึงไม่บอกให้อาร์ทิสวาดเป็นภาพหมึกกันนะ?! นี่มันคือการลงทุน! ท่านคิดว่าคนพวกนี้ขาดวิจารณญาณหรือไง? คิดว่าพวกเขาจะดูไม่ออกจริง ๆ สวนจี้ชั่งเมื่อตอนเริ่มแรกเป็นสถานที่แบบไหนกันน่ะ?

หากวางเรื่องอื่น ๆ ลง พวกเขาเพียงต้องถามแค่ว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ว่าเหล่าผู้นำของบริษัทก่อสร้างหยินจะไม่ได้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้! เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาร์ทิสจะอาศัยอยู่ที่นั่น? แล้วนายท่านฉินเล่า?

พวกเขาจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก?

พวกเขาก็ต้องอยู่ที่สวนจี้ชั่งอยู่แล้วสิ!

นอกจากนี้ เงินสิบล้านนั้นถือว่าน้อยนิดมากสำหรับผู้ที่เป็นมหาเศรษฐี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันจะทำให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเหล่าผู้นำของนรกและโอกาสต่าง ๆ มากมาย

ซ่งหมิงเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาป่วยหนัก และหุ้นของตระกูลหวงก็ดิ่งลงอย่างกะทันหันเพราะผลจากเรื่องนี้ ข้าไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาไม่ประกาศการตายของเขาให้แก่สาธารณชนได้ทราบ พวกเขาคงจะกลัวว่าหุ้นบริษัทจะตกฮวบลง…นายท่าน นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ เงินสิบล้านจะทำให้พวกเราสามารถซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักรอื่น ๆ ได้มากขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน!”

ฉินเย่พยักหน้า เขาได้ตัดสินใจไปแล้ว และเขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่ควรตัดสินใจอะไรไปโดยพลการ

เช่นเดียวกับรัฐบาลอื่น ๆ พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาในการ ‘พิจารณา’ เรื่องนี้

และพิจารณาเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติม

จากนั้น ท้ายที่สุด พวกเขาก็ยอมทำตามคำขอไปอย่างไม่เต็มใจในแบบที่เย็นชาและห่างเหิน และทั้งหมดนี่ก็เพื่อที่จะบอกเพียงอย่างเดียว ข้ายอมเห็นแก่หน้าเจ้าโดยการตกลงรับคำขอนี้ นี่จะเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่เจ้าจะได้รับการปล่อยตัวไป

“เดี๋ยวเรามาทบทวนเรื่องนี้กันใหม่” ฉินเย่มองไปยังความวุ่นวายที่เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงคนและรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขายังไม่มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเลยสักหน่วย…และแม้ว่าเขาจะมีอำนาจที่จะระงับความไม่สงบได้ทันทีที่เกิดขึ้น แต่เขาจะมีเวลามาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ? หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือเขาจะยอมให้เชื่อใจกับกลุ่มผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งดูแลเรื่องการรักษาความสงบและความเรียบร้อยของกฎหมายที่นี่อย่างนั้นหรือ?

อืม…ประชากรผู้สูงอายุเองก็เป็นปัญหาหนึ่งที่จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข และไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ พวกเราจะต้องให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ของตัวเองเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้ว…ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขายังสามารถทำงานต่อไปได้นั้นยังคงอยู่…

ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งกังวลกับอนาคตของยมโลกมากขึ้นเท่านั้น….

เสียงระฆังที่ดังก้องบ่งบอกถึงการจบลงของการประชุมใหญ่ ฉินเย่กลับไปยังโถงย่อยทันที เขาจำเป็นจะต้องเรียงลำดับความคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นวันนี้

อาร์ทิสและหัวหน้าแผนกทั้งเจ็ดเองก็อยู่ภายในห้องด้วยเช่นกัน สีหน้าของคนทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่แทบจะระเบิดออกมา

นี่คือความรู้สึกของการมีอำนาจอย่างแท้จริง

“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ” ฉินเย่ยังคงรักษาบุคลิกที่เย็นชาและห่างเหินขณะที่เอ่ยกับคนทั้งหมดด้วยรอยยิ้มบางเบา “นับว่าก้าวแรกของเราเริ่มต้นได้ดีพอสมควร แต่มันก็ยังมีปัญหาอีกมากมายที่จะต้องการได้รับการแก้ไขหลังจากนี้”

“อาร์ทิสและข้าได้หารือกันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสิ่งที่พวกเรากำลังเผชิญหน้าอยู่”

“ประการแรก การจัดการชุมชน” ฉินเย่ชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว “ชุมชนจะต้องหนาแน่นไปด้วยผู้คน ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทุกคนที่นี่คงจะสามารถนึกถึงชุมชนที่อยู่อาศัยที่อยู่ในแดนมนุษย์ได้ มันไม่จำเป็นจะต้องสนใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในราคาซื้อขั้นต่ำ เราจำเป็นจะต้องนึกถึง เราอาจจะต้องจัดหาสิ่งต่าง ๆ อย่างเช่นห้องสันทนาการ และในเรื่องนี้ ข้าตั้งใจที่จะตรงไปที่แดนมนุษย์และระบบและอุปกรณ์สร้างความบันเทิงมา เพราะไม่ว่าอย่างไร…ประชากรสูงวัยก็ไม่สามารถใช้งานหนักได้อยู่แล้ว”

ทุกคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่งขณะที่ข่มความตื่นเต้นภายในใจของตน จ้าวกวงเหลียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มันไม่เพียงเท่านั้น พวกเราควรก่อตั้งแผนกการเงินขึ้นมาให้ได้โดยเร็วที่สุด เราไม่สามารถทำงานการกุศลได้ตลอดเวลา ในอดีต…นรกแห่งเก่าจะต้องมีระบบการเงินบางอย่างอยู่แน่นอน”

“และมันยังมีเรื่องของการรักษาความปลอดภัยอีก” เฉียนเทียนอี้เอ่ยต่อ “ด้วยจำนวนของประชากรนับหมื่น พวกเราไม่สามารถมองข้ามเรื่องความปลอดภัยไปได้ หากเราต้องการหยุดหรือระงับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เหมือนอย่างเหตุการณ์ของเกาต้าหู พวกเราจำเป็นจะต้องจัดตั้งกองกำลังที่อยู่ภายใต้การสั่งการของท่านโดยตรง เพราะท้ายที่สุดแล้ว อำนาจนั้นขยายออกไปจากปลายกระบอกปืน กฎหมายนั้นไร้ค่าหากปราศจากการบังคับใช้”

“จดเนื้อหาพวกนี้เอาไว้ด้วย” ฉินเย่หันไปด้านหลังและสั่งผู้จดบันทึกการประชุมที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขา

ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “เราจำเป็นจะต้องตรวจสอบและสำรวจพื้นที่ทั้งหมดเพื่อหาเวลาที่ดีที่สุดในการเปิดตัวสมาคม ด้วยวิธีนี้ พวกเราก็จะสามารถรักษาเสถียรภาพของจำนวนผู้สูงอายุที่ไม่อาจตายได้อีก…อะแฮ่ม…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกพวกเขานะ ข้าเพียงเอ่ยตามจริง….”

เขาเอ่ยต่อ “เมื่อมีการลงทะเบียนงานอดิเรกของผีผู้สูงอายุแล้ว ฝ่ายบริหารชุมชนจะสามารถเริ่มการจัดหาบุคลากรเพื่อจัดการกับพวกเขา โดยเฉพาะกับตอนที่พวกเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในการก่อสร้างของนรกได้ ส่วนเรื่องระบบการเงิน…รัฐมนตรีอาร์ทิส ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”

วันนี้อาร์ทิสแต่งตัวเป็นทางการมาก

ก่อนหน้านี้นางได้เผยร่างที่แท้จริงของตัวเองไปเมื่ออยู่ในร่างของยมทูต และลิ้นนางก็ห้อยย้อยลงมาจนถึงพื้น อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ของนางในตอนนี้ก็ยังคงเป็นตุ๊กตายางที่สวมทับด้วยชุดของสาวออฟฟิศอีกที และนางดู…ดู…ภูมิฐานเป็นอย่างมาก

“มันไม่จำเป็นจะต้องมีระบบการเงินตราบใดที่นรกยังมีขนาดเพียงแค่หมู่บ้าน… หากพูดกันตามตรง นรกจะสามารถมีระบบการเงินได้ก็ต่อเมื่อมันขยายขนาดเป็นเมืองแล้วเท่านั้น หากพูดให้เจาะจงมากกว่าเดิมก็คือมีเพียงตอนนั้นเท่านั้นที่พลังหยินในนรกจะสามารถรองรับโครงสร้างพิเศษที่ระบบการเงินของนรกถูกสร้างขึ้นอย่างธนาคารสวรรค์อเวจีได้”

นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งอย่างครุ่นคิด “เมื่อมันถูกก่อตั้งขึ้น เจ้าจึงจะสามารถทำให้สังคมในนรกปกติได้ นอกจากนี้ ไฟฟ้า น้ำ และช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่สร้างระบบการเงินแล้วเท่านั้น หรือถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือจำนวนพลังหยินโดยรวมในนรกขนาดหมู่บ้านนั้นยังถือว่าห่างไกลจากโครงการขนาดใหญ่ที่สามารถส่งผลกระทบต่อนรกอยู่มาก….”

“เดี๋ยวนะ…” ฉินเย่รู้สึกเหมือนกับตัวเองได้ยินอะไรผิดไป “ไฟฟ้า? น้ำ? ท่านแน่ใจหรือว่าในอดีตตัวเองสามารถเข้าถึงสิ่งพวกนั้นได้?”

อาร์ทิสกลอกตาใส่อีกฝ่าย “น่าแปลกตรงไหน? นรกเองก็ต้องปรับตัวตามกาลเวลาเช่นกัน ภาพของจู้หรง ราชันอัคคีแห่งทิศทักษิณเองก็เป็นเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตกาล เมื่อนรกแห่งเก่าล่มสลาย ท่านจู้หรงได้ชื่อว่าเป็น ‘ประธานบริษัทพลังงานไฟฟ้าแห่งยมโลก’ หรือเป็นที่รู้จักกันในนามของแหล่งจ่ายไฟใต้พิภพ ส่วนประธานบริษัทสายธารแห่งยมโลกก็คือรุ่นที่ 3,242 ของผู้ที่สืบสายเลือดมาจากพระแม่ธรณี บริษัทที่อื่น ๆ แทบจะล่มสลายลงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทบำบัดน้ำเสียอื่น ๆ โชคดีที่ท่านจ้าวนรกคนก่อนคำนึงถึงคุณงามความดีของพระแม่ธรณีที่เปลี่ยนร่างของนางให้เป็นกงล้อแห่งสังสารวัฏ ไม่เช่นนั้นบริษัทน้ำแห่งยมโลกคงจะกลายเป็นอดีตไปนานแล้ว”

นี่มันอะไรกัน…

คนทั้งหมดตาเบิกกว้างขณะที่มองหน้ากันและกันอย่างอึดอัด

นรกแห่งเก่า…ปรับตัวตามกาลเวลาจริง ๆ….

“เมื่อนรกขยายใหญ่ขึ้น มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่เจ้าจะได้เห็นการเจริญเติบโตของหอการค้าและบริษัทต่าง ๆ เจ้าจะสามารถมองเห็นถึงเส้นขนานระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ช่างน่าเสียดายที่นรกแห่งเก่าล่มสลายไปก่อนที่มันจะสามารถพัฒนาอินเทอร์เน็ตขึ้นมาได้….อะไร? เหตุใดพวกเจ้าจึงจ้องข้าแบบนั้น? เหล่าผู้คิดค้นอินเทอร์เน็ตในแผ่นดินจีนเองก็ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเมื่อพวกเขามาถึงที่ยมโลกเชียวนะ และก็มีจำนวนมากด้วยที่ได้รับเงินเดือนที่สูงจนน่าทึ่งขณะที่พวกเขาเริ่มวางสายเคเบิลไว้ใต้ดิน ผู้ใดจะไปคิดว่าจู่ ๆ พระกษิติครรภโพธิสัตว์จะทรงตรัสรู้ก่อนที่พวกเราจะได้ลองใช้งานอินเทอร์เน็ตจริง ๆ….”

ไม่มีเสียงตอบ

สุดยอดมาก ยมโลก…..

เหตุใดเขาจึงรู้สึกถึงคำพูดมากมายที่เอ่อล้นขึ้นมาในใจกันนะ…

คุณแม่ครับ นรกไม่เหมือนกับที่ผมคิดเลย ผมจะทำอย่างไรดี?

ทันใดนั้นเอง ซูตงเซวี่ยก็เดินเข้ามาในโถงย่อยและโค้งคำนับอย่างสง่างาม “นายท่าน กลุ่มวิญญาณห้าตนที่เรียกตนว่า ‘กลุ่มสนับสนุนตะวันสีชาด’ กำลังนั่งอยู่ที่ทางเข้า พวกเขาเรียกร้องที่จะพบกับท่าน”

“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่รู้สึกได้ว่าสมองของเขากำลังเต้นตุบ ๆ ด้วยความเจ็บปวด นี่มันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมจู่ ๆ ถึงมีกลุ่มสนับสนุนเกิดขึ้นในนรกแล้วล่ะ? นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่นาทีเองนะ…แล้วเจ้าหมายความว่าอย่างไรว่านั่งอยู่หน้าทางเข้าแล้ว? นี่พวกเขาเรียนรู้ที่จะประท้วงเป็นแล้วอย่างนั้นหรือ?

พวกเจ้านี่ชอบสร้างปัญหาจริง ๆ รู้ตัวหรือไม่?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+