ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 167: ต้องการคนที่มีความสามารถ!

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 167: ต้องการคนที่มีความสามารถ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 167: ต้องการคนที่มีความสามารถ!

อาร์ทิสโบกมือและตอบอย่างใจเย็น “แน่นอน เมื่อมันเกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเจ้า มุมมองภาพรวมทั้งหมดของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป”

นางเอนตัวนอนลงบนเตียงและไขว้ขาแบบไขว่ห้างพร้อมกับอ้าปากหาว “มีสองสิ่งที่เจ้าจะต้องรู้เกี่ยวกับมัน”

“ประการแรก วิญญาณตนนั้นไม่มีทางแข็งแกร่งกว่ายมทูตขั้นนักล่าวิญญาณ”

“ประการที่สอง เจ้าจะสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกมันได้เมื่อเจ้าเข้าสู่สถานะของยมทูต โดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังของเศษตราจ้าวนรกเลยด้วยซ้ำ”

“ยิ่งเจ้ารู้เกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ที่พวกเราทำทั้งหมดก็เพื่อตัวของเจ้าเอง”

ฉินเย่แค่นหัวเราะขณะที่นั่งลงบนโซฟาตามเดิม “นั่นมันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูของท่าน…แต่ข้าจะตายทันทีที่เข้าสู่สถานะยมทูตที่นี่”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้ให้เจ้าฟัง” อาร์ทิสเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน

“มันไม่มีทางกล้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับโจมตีเจ้า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเอง”

ทันทีที่เอ่ยจบ ผมและเสื้อผ้าของนางก็เริ่มปลิวและกระพืออย่างแรง จากนั้นด้วยสายตาที่มุ่งร้าย นางหัวเราะเสียงเย็น “เรื่องนี้…เจ้ายังไม่จำเป็นจะต้องรู้เกี่ยวกับมันในตอนนี้จริง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องรู้ให้ได้ก็คือทำไมพวกมันถึงอยู่ที่นี่!”

“เดี๋ยวก่อนนะ!” ฉินเย่ตกตะลึง “พวกมัน?”

“ใช่” อาร์ทิสเหลือบสายตาไปมองนอกหน้าต่างและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พวกมันเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง และไม่เคยเคลื่อนไหวเพียงลำพัง…ข้าไม่แน่ใจว่าในมณฑลอันฮุ่ยมีพวกมันอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่การปรากฏตัวของมันย่อมหมายความว่าพวกมันค้นพบสิ่งพิเศษเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้…แต่มันคืออะไรกันล่ะ?”

“พวกมันค้นพบอะไรที่มีค่าพอจนถึงกับทำให้ต้องยอมเสี่ยงทุกอย่างและกลับมาที่นี่….โดยเฉพาะหลังจากที่เราได้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายพวกนี้ไปนานแล้ว?”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับกลอกตา “ข้าล่ะเกลียดเวลาที่ท่านกระตุ้นความอยากรู้ของข้าจริง ๆ การบอกความจริงกับข้าตรง ๆ มันจะทำให้ท่านตายหรืออย่างไรกัน?”

“เปล่า” อาร์ทิสยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบและเอ่ยต่อ “แต่ชีวิตของข้าคงจะไม่สมบูรณ์แบบหากข้าไม่ได้เห็นเจ้าเกาหัวเหมือนสุนัขฮัสกี้หน้าโง่อย่างนี้”

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันไม่ได้ทำให้นางตาย แต่ทำให้นางรู้สึกดีที่ได้กวนประสาทเขา

ดีมาก

แบบนี้แหละถึงสมกับเป็นอาร์ทิส

ฉินเย่ตัดสินใจที่จะไม่สนใจเรื่องนี้อีก สุดท้ายแล้วมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านางต้องการจะบอกว่าอะไร อ้อนวอนข้าสิ หากเจ้ายอมขอร้องข้า ข้าอาจจะยอมโอนอ่อนและบอกความจริงกับเจ้าก็เป็นได้ แต่ทำไมเขาถึงต้องยอมปล่อยให้คนอื่นมีความสุขบนความทุกข์ยากของเขาด้วยล่ะ?

เจ้าคนอวดดีฉินเย่หยิบถ้วยชาของตนขึ้นมาและเอนหลังพิงพนักโซฟา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยอะไรออกไป ทั้งสามก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

“นี่มัน…” เขาลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆอย่างประหลาดใจ เมื่อครู่นี้ เขารู้สึก…เหมือนเส้นเลือดที่ขมับมันเต้นตุบ ๆ ขึ้นเล็กน้อย

“พวกท่านเองก็รู้สึกเหมือนกันหรือ?”

อากาศรอบ ๆ พวกเขาสั่นเทาก่อนที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยจบ ส่งผลให้หัวใจของเขาเต้นแรง หมิงซีหยินพุ่งออกมาจากใต้หมอนพร้อมกับบรรทัดข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้ากระจกอย่างรวดเร็ว “นี่มัน…คำสั่งพิเศษ?!”

“ใช่….” อาร์ทิสมองไปรอบ ๆ อย่างประหลาดใจก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าฉินเย่ “เจ้าหนู ดูเหมือนโชคของเจ้าก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวนะ…”

แต่ก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไร ภาพตรงหน้าของเขาก็กลายเป็นดับวูบไป วิญญาณของเขาก็หลุดออกจากร่าง ลดลง ดำดิ่งลงไปใต้พื้นดิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาลงไปในนรกในเวลากลางวันแสก ๆ อีกแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ใช้งานเศษตราจ้าวนรกเลยสักนิด!

ฟึ่บ! เสียงของพายุที่รุนแรงของยมโลกพัดผ่านหูของเขา หลังจากนั้นประมาณสามวินาทีต่อมา เขาก็เห็นพื้นดินสีดำที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทว่า…มันดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ไม่น้อย

เมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว ในขณะที่สายฟ้าสีขาวอมเขียวแพร่กระจายไปทั่วฟ้าราวกับการร่ายรำของมังกรที่ยิ่งใหญ่ และบริเวณกึ่งกลางของกลุ่มเมฆหนา คือจุดที่ประตูนรกตั้งอยู่ แสงสีทองส่องทะลุความมืดมิดของยมโลก ผ่านกลุ่มเมฆสีดำที่ขดตัวรวมกันราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างลงมาถึงนรก!

ในเสี้ยววินาทีต่อมา ก่อนที่เขาจะได้ตกตะลึงกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เท้าของเขาก็แตะลงที่พื้น ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของประตูนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“คารวะ ท่านจ้าวนรกผู้ยิ่งใหญ่” เสียงอันไพเราะของซูตงเซวี่ยดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบเองก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อทำความเคารพเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ฉินเย่พบว่ายมโลกในเวลานี้กำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก ป่าขนาดใหญ่ถูกปรับระดับ และเครื่องจักรมากมายก็ส่งเสียงอื้ออึงไม่หยุด แม้ว่าเครื่องจักรในยมโลกจะยังคงขาดแคลน และมีไม่พอสำหรับการก่อสร้างบนที่ดินขนาดห้าตารางกิโลเมตร แต่เท่านี้ก็เพียงพอ…ให้เขาจินตนาการถึงภาพความรุ่งโรงน์ที่กำลังใกล้เข้ามาได้

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถือไม้และวัสดุก่อสร้างเดินไปตามทางลูกรังเนื่องจากยังไม่มีการเทปูนซีเมนต์สำหรับการสร้างถนน รวมไปถึงวิญญาณที่ยืนเดินลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ เพื่อรักษาความสงบของบริเวณโดยรอบ เหล่าวิศวกรของบริษัทก่อสร้างหยินต่างสวมหมวกกันกระแทกและตะโกนสั่งงานเสียงดัง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายมโลกกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ

มันเป็นเช่นนั้น หากคุณมองไม่เป็นกระแสน้ำวนเมฆขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ

และฉินเย่เองก็ไม่ได้สังเกตเห็นมันเช่นกัน เขาเพียงมองไปรอบ ๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจำนวนวิญญาณในยมโลกเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุว่าทั้งหมดมีจำนวนเท่าไหร่ แต่…มันจะต้องถึงหมื่นอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มยังเห็นอีกว่ามีวิญญาณหลายตนที่กำลังมองมาที่พวกของตน และเขาก็รู้ดีว่านี่ไม่มีทางเป็นพฤติกรรมของเหล่าวิญญาณที่ได้เห็นการระเบิดพลังของเขาเมื่อครั้งที่เขาทำเพื่อยุติการก่อจลาจลของวิญญาณทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้

ขณะที่เขายังคงสำรวจโดยรอบต่อไป เขาก็พบว่าหนึ่งในสามของวิญญาณทั้งหมดต่างกำลังแอบมองมาที่เขา ในขณะที่สองในสามไม่แม้แต่จะกล้าสบตากับเขาโดยตรงและกลับไปสนใจงานตรงหน้าของตัวเองตามเดิม

“ซูตงเซวี่ย” เขาเรียก

“ข้าอยู่นี่แล้วนายท่าน” ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอย่างนุ่มนวลและเอ่ยตอบด้วยความเคารพ

“ตอนนี้เรามีประชากรวิญญาณเท่าไหร่?”

ถึงแม้ว่าซูงเซวี่ยมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่านางรู้ดีว่าใครเป็นเจ้านายของนาง หญิงสาวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่าน ก่อนหน้านี้เรามีวิญญาณทั้งสิ้น 134,450 ตน และเมื่อสามวันที่ผ่านมาก็ได้มีวิญญาณมาถึงที่นี่เพิ่มอีก 45,172 ตน พวกเราไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำการลงทะเบียนพวกเขาอย่างสมบูรณ์ได้ในตอนนี้”

ฉินยังคงสามารถรักษาบุคลิกที่สูงศักดิ์ ห่างเหินและเย็นชาได้ทุกเมื่อที่เขาอยู่ในยมโลก ดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วขึ้นและถามต่อ “มีพวกที่ชอบก่อปัญหาบ้างหรือไม่?”

ซูตงเซวี่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบคนตรงหน้า “พอมีนายท่าน หากแต่หัวหน้าแผนกที่ 4 ของบริษัทก่อสร้างหยินจ้าวกวงเหลียงได้ส่งคนไปจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จำนวนพวกตัวปัญหามีไม่มากนัก ประมาณ 200 หรือสูงกว่านั้นไม่มาก ข้าจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ถามท่านว่าพวกเราควรจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี”

“ฆ่าทิ้งเสีย” ฉินเย่ตอบอย่างไร้ความปรานี “อย่าให้เหลือ”

“นายท่าน…” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แต่ผู้ใดกัน…ที่จะกำจัดพวกเขา?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “เจ้าคือยมบาลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยว่าที่เจ้านรกองค์ต่อไป ต้องให้พวกเรามาบอกเจ้าจริง ๆ น่ะหรือ? หาเวลาและกำจัดพวกมันซะ”

ซูตงเซวี่ยพยักหน้าและไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เมื่อหญิงสาวก้าวถอยออกไป อาร์ทิสก็กระซิบเบา ๆ ว่า “ในยมโลกแห่งเก่า ระเบียบและความเข้มงวดนั้นแทบจะไม่มีอยู่ก่อนที่กงล้อแห่งสังสารวัฏและขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ขุมจะถูกสร้างขึ้น เจ้าจะต้องเตือนพวกเขาเสมอว่าผู้ใดคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของที่นี่”

นางกวาดสายตาไปมองวิญญาณกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีการพูดคุยกับชาวนรกที่มาถึงก่อนน้อยมาก หากพูดกันตามความเป็นจริง มีวิญญาณอย่างน้อย 1 หมื่นตนที่เลือกที่จะยืนเกาะกลุ่มกัน

นี่คือผลจากสัญชาตญาณและความหวาดระแวงของมนุษย์

“วันนี้เป็นวันดี เราแวะระหว่างทางแล้วสั่งสอนพวกเขารู้กันว่าใครคือคนที่พวกเขาจะต้องกระดิกหางให้”

ฉินเย่พยักหน้า และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาเงินหน้าขึ้นและพบกับกระแสน้ำวนเมฆสีดำสนิทบนฟ้า

ครื้นนน…ร่างสีทองลอยเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆนั้น และใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเลือนรางและพร่ามัว

วิญญาณจำนวนมากที่ยังว่างงานอยู่ก็มองไปขึ้นไปพบฟ้าและพูดคุยกันอย่างเป็นกังวล

“มันคืออะไร?” ฉินเย่ถามขึ้นเบา ๆ หลังจากที่เฝ้าสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง

“มันคือคำสั่งพิเศษ” อาร์ทิสอธิบาย “เจ้ายังจำสิ่งที่ข้าพูดเกี่ยวกับศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณได้หรือไม่?”

ครื้นนน…ครื้นนน…เสียงฟ้าแลบดังก้องไปทั่วในขณะที่ร่างสีทองสั่นเทาเล็กน้อยราวกับมันกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “วิญญาณพิเศษ? ไม่ใช่ว่านั่นมันยิ่งใหญ่เกินไปหรือ?”

อาร์ทิสไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับเอ่ยว่า “วิญญาณทุกตนที่เข้ามายังนรกโดยผ่านศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณจะเข้ามาในนรกในสภาวะที่ปราศจากความทรงจำ แต่นั่นก็ต่อเมื่อกงล้อแห่งสังสารวัฏถูกสร้างขึ้นมาแล้วเท่านั้น และตอนนี้เจ้าก็ไม่มีมัน ดังนั้นผลของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณจะคงอยู่เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น”

ฉินเย่ตระหนักได้ทันทีว่าเขาเคยเห็นอะไรแบบนั้นในแผนที่ภาพรวมของนรกแห่งเก่าที่ยายเมิ่งเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้

“อย่างไรก็ตาม บทบาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณก็คือการได้รับวิญญาณพิเศษ ซึ่งวิญญาณพิเศษที่เรากำลังพูดถึงก็คือผู้ที่มีชื่อเสียง อย่างน้อยก็ภายในมณฑลหรือเมืองของตนเอง เป็นวิญญาณของผู้ที่มีบุญมาก พวกเขาสามารถเข้ามาในยมโลกได้โดยไม่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ และทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น ทางสาขาย่อยของพื้นที่แห่งนั้นก็จะออกคำสั่งพิเศษเพื่อบอกให้ทางยมโลกต้อนรับผู้มาเยือนเหล่านี้อย่างเหมาะสม”

แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นมองร่างที่เลือนรางอยู่บนฟ้าอย่างละโมบและถามว่า “ท่านสามารถบอกได้ไหมว่าเขามีความสามารถอะไร?”

สิ่งที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 คืออะไร?

ความสามารถไงล่ะ!

ยมโลกในตอนนี้กำลังขาดกำลังคน…ขาดแรงงานทั่วไป แต่สิ่งที่ขาดยิ่งกว่าก็คือผู้มีความสามารถ! สถานการณ์ในตอนนี้มันแย่จนแม้แต่ผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาอย่างเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากข้ามไปทำงานก่อสร้างทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ! ดังนั้นฉินเย่จึงไม่สนว่าร่างสีทองตรงหน้านี้จะมีความสามารถในสาขาการบริหาร หรือวิศวกรรม หรือแม้แต่ไฟฟ้าหรือโครงสร้างพื้นฐาน เขาแค่ต้องการคนที่มีความสามารถรอบด้านเท่านั้น!

“ข้าไม่รู้” อาร์ทิสย่นคิ้วเข้าหากันและส่ายหน้า ความสามารถนั้นแบ่งออกเป็นห้าระดับ ระดับเขต ระดับเมือง ระดับนคร ระดับมณฑล และระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นใคร สัญญาณในยมโลกก็จะยังเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องของผู้มีความสามารถที่เสียชีวิตในเมืองเป่าอันมาก่อน แต่ว่า…ใครจะรู้กันว่าร่างตรงหน้านี้จะไม่ใช่นักวิชาการระดับชาติบางคนที่เกิดเสียชีวิตลงหรือไม่?

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้” นางหันกลับมาหาฉินเย่หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “การแลกหินวิญญาณของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินเย่พยักหน้า “ทุกอย่างถูกแยกและเก็บไว้ในกล่องที่อยู่ที่แดนมนุษย์แล้ว”

“ดีมาก” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาและมองไปบนฟ้าอย่างล้ำลึก ด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย ยันต์แผ่นหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับเสียง ฟึ่บ! หลังจากผ่านไปประมาณสามนาที กล่องที่บรรจุหินวิญญาณก็ตกลงมาที่หน้าประตูนรกราวกับอุกกาบาต

“ดูและเรียนรู้เสีย คราวหน้าเจ้าจะต้องสร้างมันด้วยตัวเอง” นางยื่นมือออกไปและทาบลงบนกล่อง ทันใดนั้นกล่องขนาดหนึ่งลูกบาศก์เมตรก็เปิดออก

กลิ่นของแก่นแท้ดวงจันทร์กระจัดกระจายไปทั่วราวกับดอกพลับพลึงที่บานออกในยามราตรี กองหินวิญญาณจำนวนมากวางทับซ้อนกัน โดยมีตราสัญลักษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษของสาขามณฑลอันฮุ่ยถูกสลักเอาไว้ มันใสสะอาด และดูเหมือนจะมีของเหลวสีดำไหลอยู่ด้านใน

อึก…วิญญาณที่อยู่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรทั้งหมดต่างมองไปที่ประตูนรกพร้อมกัน สุดท้ายแล้ว ความกระหายของวิญญาณที่มีต่อแก่นแท้ดวงจันทร์ก็เป็นเหมือนกับความอยากอาหารที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์

มันแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว

วิญญาณตน หนึ่งลุกยืนขึ้นและกลืนน้ำลายอย่างละโมบขณะที่เริ่มเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว และจากนั้น…สามตน…100 ตน…1,000 ตน! มีบางส่วนที่เป็นชาวนรกดั้งเดิม แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นวิญญาณที่เพิ่งมาใหม่! ในชั่วพริบตาก็มีวิญญาณจำนวนมากที่มายืนล้อมรอบประตูนรก แม้แต่ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่กำลังนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ด้านหลังของฉินเย่และคนอื่น ๆ เองก็เริ่มหายใจรุนแรงขึ้น พวกเขาเลียริมฝีปากของตัวเองและยืนขึ้นช้า ๆ

ฉินเย่ก้าวออกไปด้านหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร หลังจากที่ได้ประสบกับการจลาจลของวิญญาณมาแล้วถึงสองครั้ง เขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี อาร์ทิสไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “จงจำไว้ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาคือวิญญาณ คือผู้ที่ตายไปแล้ว และวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารกับพวกเขาก็คือการสำแดงพลังของเจ้า”

“พลังที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน…พลังที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ!”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 167: ต้องการคนที่มีความสามารถ!

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 167: ต้องการคนที่มีความสามารถ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 167: ต้องการคนที่มีความสามารถ!

อาร์ทิสโบกมือและตอบอย่างใจเย็น “แน่นอน เมื่อมันเกี่ยวข้องกับความเป็นตายของเจ้า มุมมองภาพรวมทั้งหมดของเจ้าก็จะเปลี่ยนไป”

นางเอนตัวนอนลงบนเตียงและไขว้ขาแบบไขว่ห้างพร้อมกับอ้าปากหาว “มีสองสิ่งที่เจ้าจะต้องรู้เกี่ยวกับมัน”

“ประการแรก วิญญาณตนนั้นไม่มีทางแข็งแกร่งกว่ายมทูตขั้นนักล่าวิญญาณ”

“ประการที่สอง เจ้าจะสามารถสัมผัสถึงการมีอยู่ของพวกมันได้เมื่อเจ้าเข้าสู่สถานะของยมทูต โดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังของเศษตราจ้าวนรกเลยด้วยซ้ำ”

“ยิ่งเจ้ารู้เกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งตกอยู่ในอันตรายมากเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ที่พวกเราทำทั้งหมดก็เพื่อตัวของเจ้าเอง”

ฉินเย่แค่นหัวเราะขณะที่นั่งลงบนโซฟาตามเดิม “นั่นมันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูของท่าน…แต่ข้าจะตายทันทีที่เข้าสู่สถานะยมทูตที่นี่”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้ให้เจ้าฟัง” อาร์ทิสเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน

“มันไม่มีทางกล้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ แล้วจะนับประสาอะไรกับโจมตีเจ้า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวเอง”

ทันทีที่เอ่ยจบ ผมและเสื้อผ้าของนางก็เริ่มปลิวและกระพืออย่างแรง จากนั้นด้วยสายตาที่มุ่งร้าย นางหัวเราะเสียงเย็น “เรื่องนี้…เจ้ายังไม่จำเป็นจะต้องรู้เกี่ยวกับมันในตอนนี้จริง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องรู้ให้ได้ก็คือทำไมพวกมันถึงอยู่ที่นี่!”

“เดี๋ยวก่อนนะ!” ฉินเย่ตกตะลึง “พวกมัน?”

“ใช่” อาร์ทิสเหลือบสายตาไปมองนอกหน้าต่างและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พวกมันเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง และไม่เคยเคลื่อนไหวเพียงลำพัง…ข้าไม่แน่ใจว่าในมณฑลอันฮุ่ยมีพวกมันอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่การปรากฏตัวของมันย่อมหมายความว่าพวกมันค้นพบสิ่งพิเศษเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้…แต่มันคืออะไรกันล่ะ?”

“พวกมันค้นพบอะไรที่มีค่าพอจนถึงกับทำให้ต้องยอมเสี่ยงทุกอย่างและกลับมาที่นี่….โดยเฉพาะหลังจากที่เราได้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายพวกนี้ไปนานแล้ว?”

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาพร้อมกับกลอกตา “ข้าล่ะเกลียดเวลาที่ท่านกระตุ้นความอยากรู้ของข้าจริง ๆ การบอกความจริงกับข้าตรง ๆ มันจะทำให้ท่านตายหรืออย่างไรกัน?”

“เปล่า” อาร์ทิสยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบและเอ่ยต่อ “แต่ชีวิตของข้าคงจะไม่สมบูรณ์แบบหากข้าไม่ได้เห็นเจ้าเกาหัวเหมือนสุนัขฮัสกี้หน้าโง่อย่างนี้”

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันไม่ได้ทำให้นางตาย แต่ทำให้นางรู้สึกดีที่ได้กวนประสาทเขา

ดีมาก

แบบนี้แหละถึงสมกับเป็นอาร์ทิส

ฉินเย่ตัดสินใจที่จะไม่สนใจเรื่องนี้อีก สุดท้ายแล้วมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่านางต้องการจะบอกว่าอะไร อ้อนวอนข้าสิ หากเจ้ายอมขอร้องข้า ข้าอาจจะยอมโอนอ่อนและบอกความจริงกับเจ้าก็เป็นได้ แต่ทำไมเขาถึงต้องยอมปล่อยให้คนอื่นมีความสุขบนความทุกข์ยากของเขาด้วยล่ะ?

เจ้าคนอวดดีฉินเย่หยิบถ้วยชาของตนขึ้นมาและเอนหลังพิงพนักโซฟา ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยอะไรออกไป ทั้งสามก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกัน

“นี่มัน…” เขาลุกขึ้นยืนและมองไปรอบๆอย่างประหลาดใจ เมื่อครู่นี้ เขารู้สึก…เหมือนเส้นเลือดที่ขมับมันเต้นตุบ ๆ ขึ้นเล็กน้อย

“พวกท่านเองก็รู้สึกเหมือนกันหรือ?”

อากาศรอบ ๆ พวกเขาสั่นเทาก่อนที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยจบ ส่งผลให้หัวใจของเขาเต้นแรง หมิงซีหยินพุ่งออกมาจากใต้หมอนพร้อมกับบรรทัดข้อความที่ปรากฏขึ้นบนหน้ากระจกอย่างรวดเร็ว “นี่มัน…คำสั่งพิเศษ?!”

“ใช่….” อาร์ทิสมองไปรอบ ๆ อย่างประหลาดใจก่อนจะหันกลับไปจ้องหน้าฉินเย่ “เจ้าหนู ดูเหมือนโชคของเจ้าก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวนะ…”

แต่ก่อนที่ฉินเย่จะได้เอ่ยอะไร ภาพตรงหน้าของเขาก็กลายเป็นดับวูบไป วิญญาณของเขาก็หลุดออกจากร่าง ลดลง ดำดิ่งลงไปใต้พื้นดิน กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาลงไปในนรกในเวลากลางวันแสก ๆ อีกแล้ว ทั้งที่ไม่ได้ใช้งานเศษตราจ้าวนรกเลยสักนิด!

ฟึ่บ! เสียงของพายุที่รุนแรงของยมโลกพัดผ่านหูของเขา หลังจากนั้นประมาณสามวินาทีต่อมา เขาก็เห็นพื้นดินสีดำที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทว่า…มันดูแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เขาจำได้ไม่น้อย

เมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว ในขณะที่สายฟ้าสีขาวอมเขียวแพร่กระจายไปทั่วฟ้าราวกับการร่ายรำของมังกรที่ยิ่งใหญ่ และบริเวณกึ่งกลางของกลุ่มเมฆหนา คือจุดที่ประตูนรกตั้งอยู่ แสงสีทองส่องทะลุความมืดมิดของยมโลก ผ่านกลุ่มเมฆสีดำที่ขดตัวรวมกันราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างลงมาถึงนรก!

ในเสี้ยววินาทีต่อมา ก่อนที่เขาจะได้ตกตะลึงกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้น เท้าของเขาก็แตะลงที่พื้น ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของประตูนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“คารวะ ท่านจ้าวนรกผู้ยิ่งใหญ่” เสียงอันไพเราะของซูตงเซวี่ยดังขึ้นจากด้านหลังของเขา เหล่าวิญญาณที่อยู่โดยรอบเองก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อทำความเคารพเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ฉินเย่พบว่ายมโลกในเวลานี้กำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก ป่าขนาดใหญ่ถูกปรับระดับ และเครื่องจักรมากมายก็ส่งเสียงอื้ออึงไม่หยุด แม้ว่าเครื่องจักรในยมโลกจะยังคงขาดแคลน และมีไม่พอสำหรับการก่อสร้างบนที่ดินขนาดห้าตารางกิโลเมตร แต่เท่านี้ก็เพียงพอ…ให้เขาจินตนาการถึงภาพความรุ่งโรงน์ที่กำลังใกล้เข้ามาได้

วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถือไม้และวัสดุก่อสร้างเดินไปตามทางลูกรังเนื่องจากยังไม่มีการเทปูนซีเมนต์สำหรับการสร้างถนน รวมไปถึงวิญญาณที่ยืนเดินลาดตระเวนอยู่รอบ ๆ เพื่อรักษาความสงบของบริเวณโดยรอบ เหล่าวิศวกรของบริษัทก่อสร้างหยินต่างสวมหมวกกันกระแทกและตะโกนสั่งงานเสียงดัง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ายมโลกกำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ

มันเป็นเช่นนั้น หากคุณมองไม่เป็นกระแสน้ำวนเมฆขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ

และฉินเย่เองก็ไม่ได้สังเกตเห็นมันเช่นกัน เขาเพียงมองไปรอบ ๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจำนวนวิญญาณในยมโลกเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุว่าทั้งหมดมีจำนวนเท่าไหร่ แต่…มันจะต้องถึงหมื่นอย่างแน่นอน เด็กหนุ่มยังเห็นอีกว่ามีวิญญาณหลายตนที่กำลังมองมาที่พวกของตน และเขาก็รู้ดีว่านี่ไม่มีทางเป็นพฤติกรรมของเหล่าวิญญาณที่ได้เห็นการระเบิดพลังของเขาเมื่อครั้งที่เขาทำเพื่อยุติการก่อจลาจลของวิญญาณทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้

ขณะที่เขายังคงสำรวจโดยรอบต่อไป เขาก็พบว่าหนึ่งในสามของวิญญาณทั้งหมดต่างกำลังแอบมองมาที่เขา ในขณะที่สองในสามไม่แม้แต่จะกล้าสบตากับเขาโดยตรงและกลับไปสนใจงานตรงหน้าของตัวเองตามเดิม

“ซูตงเซวี่ย” เขาเรียก

“ข้าอยู่นี่แล้วนายท่าน” ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอย่างนุ่มนวลและเอ่ยตอบด้วยความเคารพ

“ตอนนี้เรามีประชากรวิญญาณเท่าไหร่?”

ถึงแม้ว่าซูงเซวี่ยมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่านางรู้ดีว่าใครเป็นเจ้านายของนาง หญิงสาวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่าน ก่อนหน้านี้เรามีวิญญาณทั้งสิ้น 134,450 ตน และเมื่อสามวันที่ผ่านมาก็ได้มีวิญญาณมาถึงที่นี่เพิ่มอีก 45,172 ตน พวกเราไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทำการลงทะเบียนพวกเขาอย่างสมบูรณ์ได้ในตอนนี้”

ฉินยังคงสามารถรักษาบุคลิกที่สูงศักดิ์ ห่างเหินและเย็นชาได้ทุกเมื่อที่เขาอยู่ในยมโลก ดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วขึ้นและถามต่อ “มีพวกที่ชอบก่อปัญหาบ้างหรือไม่?”

ซูตงเซวี่ยชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะตอบคนตรงหน้า “พอมีนายท่าน หากแต่หัวหน้าแผนกที่ 4 ของบริษัทก่อสร้างหยินจ้าวกวงเหลียงได้ส่งคนไปจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จำนวนพวกตัวปัญหามีไม่มากนัก ประมาณ 200 หรือสูงกว่านั้นไม่มาก ข้าจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ถามท่านว่าพวกเราควรจะจัดการกับพวกเขาอย่างไรดี”

“ฆ่าทิ้งเสีย” ฉินเย่ตอบอย่างไร้ความปรานี “อย่าให้เหลือ”

“นายท่าน…” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แต่ผู้ใดกัน…ที่จะกำจัดพวกเขา?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “เจ้าคือยมบาลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยว่าที่เจ้านรกองค์ต่อไป ต้องให้พวกเรามาบอกเจ้าจริง ๆ น่ะหรือ? หาเวลาและกำจัดพวกมันซะ”

ซูตงเซวี่ยพยักหน้าและไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เมื่อหญิงสาวก้าวถอยออกไป อาร์ทิสก็กระซิบเบา ๆ ว่า “ในยมโลกแห่งเก่า ระเบียบและความเข้มงวดนั้นแทบจะไม่มีอยู่ก่อนที่กงล้อแห่งสังสารวัฏและขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ขุมจะถูกสร้างขึ้น เจ้าจะต้องเตือนพวกเขาเสมอว่าผู้ใดคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของที่นี่”

นางกวาดสายตาไปมองวิญญาณกลุ่มใหม่ที่เพิ่งมาถึง เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีการพูดคุยกับชาวนรกที่มาถึงก่อนน้อยมาก หากพูดกันตามความเป็นจริง มีวิญญาณอย่างน้อย 1 หมื่นตนที่เลือกที่จะยืนเกาะกลุ่มกัน

นี่คือผลจากสัญชาตญาณและความหวาดระแวงของมนุษย์

“วันนี้เป็นวันดี เราแวะระหว่างทางแล้วสั่งสอนพวกเขารู้กันว่าใครคือคนที่พวกเขาจะต้องกระดิกหางให้”

ฉินเย่พยักหน้า และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาเงินหน้าขึ้นและพบกับกระแสน้ำวนเมฆสีดำสนิทบนฟ้า

ครื้นนน…ร่างสีทองลอยเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆนั้น และใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูเลือนรางและพร่ามัว

วิญญาณจำนวนมากที่ยังว่างงานอยู่ก็มองไปขึ้นไปพบฟ้าและพูดคุยกันอย่างเป็นกังวล

“มันคืออะไร?” ฉินเย่ถามขึ้นเบา ๆ หลังจากที่เฝ้าสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง

“มันคือคำสั่งพิเศษ” อาร์ทิสอธิบาย “เจ้ายังจำสิ่งที่ข้าพูดเกี่ยวกับศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณได้หรือไม่?”

ครื้นนน…ครื้นนน…เสียงฟ้าแลบดังก้องไปทั่วในขณะที่ร่างสีทองสั่นเทาเล็กน้อยราวกับมันกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา ฉินเย่เลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “วิญญาณพิเศษ? ไม่ใช่ว่านั่นมันยิ่งใหญ่เกินไปหรือ?”

อาร์ทิสไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่กลับเอ่ยว่า “วิญญาณทุกตนที่เข้ามายังนรกโดยผ่านศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณจะเข้ามาในนรกในสภาวะที่ปราศจากความทรงจำ แต่นั่นก็ต่อเมื่อกงล้อแห่งสังสารวัฏถูกสร้างขึ้นมาแล้วเท่านั้น และตอนนี้เจ้าก็ไม่มีมัน ดังนั้นผลของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณจะคงอยู่เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น”

ฉินเย่ตระหนักได้ทันทีว่าเขาเคยเห็นอะไรแบบนั้นในแผนที่ภาพรวมของนรกแห่งเก่าที่ยายเมิ่งเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้

“อย่างไรก็ตาม บทบาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณก็คือการได้รับวิญญาณพิเศษ ซึ่งวิญญาณพิเศษที่เรากำลังพูดถึงก็คือผู้ที่มีชื่อเสียง อย่างน้อยก็ภายในมณฑลหรือเมืองของตนเอง เป็นวิญญาณของผู้ที่มีบุญมาก พวกเขาสามารถเข้ามาในยมโลกได้โดยไม่ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ และทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้น ทางสาขาย่อยของพื้นที่แห่งนั้นก็จะออกคำสั่งพิเศษเพื่อบอกให้ทางยมโลกต้อนรับผู้มาเยือนเหล่านี้อย่างเหมาะสม”

แววตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นมองร่างที่เลือนรางอยู่บนฟ้าอย่างละโมบและถามว่า “ท่านสามารถบอกได้ไหมว่าเขามีความสามารถอะไร?”

สิ่งที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 คืออะไร?

ความสามารถไงล่ะ!

ยมโลกในตอนนี้กำลังขาดกำลังคน…ขาดแรงงานทั่วไป แต่สิ่งที่ขาดยิ่งกว่าก็คือผู้มีความสามารถ! สถานการณ์ในตอนนี้มันแย่จนแม้แต่ผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมาอย่างเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากข้ามไปทำงานก่อสร้างทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ! ดังนั้นฉินเย่จึงไม่สนว่าร่างสีทองตรงหน้านี้จะมีความสามารถในสาขาการบริหาร หรือวิศวกรรม หรือแม้แต่ไฟฟ้าหรือโครงสร้างพื้นฐาน เขาแค่ต้องการคนที่มีความสามารถรอบด้านเท่านั้น!

“ข้าไม่รู้” อาร์ทิสย่นคิ้วเข้าหากันและส่ายหน้า ความสามารถนั้นแบ่งออกเป็นห้าระดับ ระดับเขต ระดับเมือง ระดับนคร ระดับมณฑล และระดับชาติ ไม่ว่าจะเป็นใคร สัญญาณในยมโลกก็จะยังเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าจะไม่เคยได้ยินเรื่องของผู้มีความสามารถที่เสียชีวิตในเมืองเป่าอันมาก่อน แต่ว่า…ใครจะรู้กันว่าร่างตรงหน้านี้จะไม่ใช่นักวิชาการระดับชาติบางคนที่เกิดเสียชีวิตลงหรือไม่?

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้” นางหันกลับมาหาฉินเย่หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง “การแลกหินวิญญาณของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินเย่พยักหน้า “ทุกอย่างถูกแยกและเก็บไว้ในกล่องที่อยู่ที่แดนมนุษย์แล้ว”

“ดีมาก” อาร์ทิสถอนหายใจออกมาและมองไปบนฟ้าอย่างล้ำลึก ด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย ยันต์แผ่นหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับเสียง ฟึ่บ! หลังจากผ่านไปประมาณสามนาที กล่องที่บรรจุหินวิญญาณก็ตกลงมาที่หน้าประตูนรกราวกับอุกกาบาต

“ดูและเรียนรู้เสีย คราวหน้าเจ้าจะต้องสร้างมันด้วยตัวเอง” นางยื่นมือออกไปและทาบลงบนกล่อง ทันใดนั้นกล่องขนาดหนึ่งลูกบาศก์เมตรก็เปิดออก

กลิ่นของแก่นแท้ดวงจันทร์กระจัดกระจายไปทั่วราวกับดอกพลับพลึงที่บานออกในยามราตรี กองหินวิญญาณจำนวนมากวางทับซ้อนกัน โดยมีตราสัญลักษณ์ของหน่วยสอบสวนพิเศษของสาขามณฑลอันฮุ่ยถูกสลักเอาไว้ มันใสสะอาด และดูเหมือนจะมีของเหลวสีดำไหลอยู่ด้านใน

อึก…วิญญาณที่อยู่ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรทั้งหมดต่างมองไปที่ประตูนรกพร้อมกัน สุดท้ายแล้ว ความกระหายของวิญญาณที่มีต่อแก่นแท้ดวงจันทร์ก็เป็นเหมือนกับความอยากอาหารที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์

มันแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณอยู่แล้ว

วิญญาณตน หนึ่งลุกยืนขึ้นและกลืนน้ำลายอย่างละโมบขณะที่เริ่มเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว และจากนั้น…สามตน…100 ตน…1,000 ตน! มีบางส่วนที่เป็นชาวนรกดั้งเดิม แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นวิญญาณที่เพิ่งมาใหม่! ในชั่วพริบตาก็มีวิญญาณจำนวนมากที่มายืนล้อมรอบประตูนรก แม้แต่ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมที่กำลังนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ด้านหลังของฉินเย่และคนอื่น ๆ เองก็เริ่มหายใจรุนแรงขึ้น พวกเขาเลียริมฝีปากของตัวเองและยืนขึ้นช้า ๆ

ฉินเย่ก้าวออกไปด้านหน้าโดยไม่เอ่ยอะไร หลังจากที่ได้ประสบกับการจลาจลของวิญญาณมาแล้วถึงสองครั้ง เขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี อาร์ทิสไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “จงจำไว้ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขาคือวิญญาณ คือผู้ที่ตายไปแล้ว และวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารกับพวกเขาก็คือการสำแดงพลังของเจ้า”

“พลังที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน…พลังที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ!”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+