ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 206: วิทยานิพนธ์

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 206: วิทยานิพนธ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206: วิทยานิพนธ์

โครงการแลกเปลี่ยน? ทันทีที่ได้ยินเขาก็รู้สึกราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนภายในหัวใจถูกราดด้วยน้ำแข็งเย็น ๆ และเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง “เราอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก…ผู้เฒ่ากู่ ด้วยสถานะของคุณ คุณน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหน่วยสอบสวนพิเศษดี เราจะทำอะไรแบบนั้นได้อย่างไร?”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่” ดวงตาของกู่ชิงเป็นประกายเจ้าเล่ห์ขณะที่เขายิ้ม “นั่นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น โครงการแลกเปลี่ยน งานสัมมนา การประชุมแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการ…ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถาบันใด ท่านก็จะต้องได้เข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งอย่างในนี้แน่ ๆ! ตราบใดที่ท่านทำได้ดีพอ ท่านจะต้องได้รับโอกาสในการเข้าร่วมหนึ่งอย่างในนี้แน่นอน!”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที

ให้ตายเถอะ! มันยังมีความหวังอยู่!

แต่…ไม่ใช่ว่าความแตกต่างทางโอกาสระหว่างนักเรียนดีเด่น กับนักเรียนหลังห้องมันไม่กว้างเกินไปหน่อยหรือไง?

แต่ถึงอย่างนั้น ความคิดของเขาก็เริ่มหมุนไปตามเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดออกอย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว…การแลกเปลี่ยน สำนักฝึกตนแห่งแรกอาจจะไม่มีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ แต่พวกเขาจะต้องมีโครงการแลกเปลี่ยน หรือปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งการบ่มเพาะภายนอกอย่างแน่นอน!

สำนักฝึกตนแห่งแรกอาจจะตัดขาดจากสังคม แต่พวกเขาไม่มีทางตัดขาดจากโลกแห่งการบ่มเพาะได้!

เถาหรานจะต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่! เพราะอย่างไรเสียการติดต่อสื่อสารภายนอกเป็นก็ส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของเหล่าศาสตราจารย์อยู่แล้ว!

ก่อนหน้านี้ฉินเย่ได้ทำใจแล้วว่าเขาคงจะออกไปนอกเมืองได้ก็ต่อเมื่อถึงเดือนกันยายนเท่านั้น แต่คำแนะนำของกู่ชิงกลับสร้างจุดพลิกผันให้กับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ “ผู้เฒ่ากู่ ข้อกำหนดในการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่คุณว่ามีอะไรบ้าง?”

กู่ชิงแย้มยิ้มราวกับจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ “หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ…การเผยแพร่วิทยานิพนธ์”

“ตราบใดที่ท่านสามารถเผยแพร่วิทยานิพนธ์ได้ ท่านย่อมมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมโครงการพวกนั้นได้ แต่คำถามเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือท่านมีหัวข้อที่ดีในการทำวิทยานิพนธ์หรือไม่ มันไม่จำเป็นต้องดีมาก ทั้งหมดที่ท่านต้องการมีเพียงเรื่องไร้สาระที่ดูน่าเชื่อถือและท่านก็สามารถนำออกมาพูดได้ก็เท่านั้น”

มันเป็นการดีจริง ๆ หรือที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับการแสวงหาความรู้…แค่ก แค่ก…เอ่อ วิชาการ…มันน่าขยะแขยงชะมัดที่ต้องใช้วิธีการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกนั้น!

แน่นอน เขามีหัวข้อที่ดี!

สหายยวี ถึงเวลาแสดงละครชุดใหญ่อีกครั้งแล้ว!

“มันจะเป็นไปได้หรือ?” อาร์ทิสเองก็ตกตะลึงกับคำแนะนำนี้เช่นกัน วิธีนี้จะทำให้พวกนางสามารถออกไปนอกเมืองได้อย่างเปิดเผย! มันเหมือนกับมีประตูมาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ความคิดที่คดเคี้ยวของตุลาการนรกและยมทูตขาวดำก็ทำให้พวกนางคิดว่าบานประตูมันถูกล็อกอยู่ ซึ่งนั่นทำให้พวกนางพยายามหาวิธีการมากมายเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงประตูบานดังกล่าว ตั้งแต่วิธีที่สร้างสรรค์ไปจนถึงการใช้ประตูหลัง แต่คำตอบกลับอยู่ตรงหน้าพวกนางมาโดยตลอด ทั้งหมดที่พวกนางต้องทำก็คือหมุนลูกบิดและเปิดประตูออกไปเท่านั้น!

อ่าาา….นักเรียนหัวกะทิหน้าตาเป็นเช่นนี้เองหรือ? นี่คือความคิดของผู้มีพรสวรรค์สินะ? ทำไมชายผู้นี้ถึงอัจฉริยะขนาดนี้? อาร์ทิสและฉินเย่อดไม่ได้ที่จะผงะไปกับการแสดงความฉลาดอย่างกะทันหันของกู่ชิง

สกปรก… เป็นวิธีที่สกปรกมากจริง ๆ!

อันที่จริงมันสกปรกจนฉินเย่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขากระแอมเบา ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าหากมีเวลาเมื่อใด ข้าจะถ่ายทอดความฝันให้เจ้าทันที”

จากนั้นเขาก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

นี่คือความเหนือกว่าของระดับเชาวน์ปัญญา ภายใต้ความฉลาดที่ไม่สามารถประเมินได้ของกู่ชิง ฉินเย่และอาร์ทิสก็ไม่ต่างอะไรจากหนอนตัวจ้อย แม้ว่าพวกเขาจะกลับมาที่หอพักแล้ว อาร์ทิสก็ยังคงพึมพำถึงการพูดคุยเมื่อครู่นี้ของพวกเขา “ผู้มีปัญญา…ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโลกถึงมักจะถูกครอบครองโดยผู้มีปัญญา กลวิธีของพวกเขามันน่าขยะแขยงมากจริง ๆ พวกเราไม่สามารถเทียบชั้นได้ ไม่มีทาง แต่พูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเองก็ผ่านชีวิตในมหาวิทยาลัยมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดมันจึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างสติปัญญาของเจ้ากับเขากัน?”

“ท่านจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่า ตอนนี้ข้าอยากจะฉีกหน้าท่านน่ะ?! ท่านพูดราวกับว่าตัวเองเป็นคนคิดเองอย่างนั่นแหละ!” ฉินเย่กลอกตาขณะที่โต้กลับไป

“…อ่าาาา เป็นการโต้กลับที่ตรงประเด็นจริง ๆ…มันตรงจนไม่มีที่ว่างให้ข้าพูดอะไรเลย…”

ฉินเย่เลิกคนสนใจอีกฝ่าย เขามุ่งหน้าตรงไปที่ห้องทำงานของเถาหรานราวกับผีเสื้อที่โบยบิน เต็มไปด้วยความสุขและความอิ่มเอมใจ หางตาของเถาหรานกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของเด็กหนุ่ม

“ศาสตราจารย์เถาครับ” ฉินเย่นั่งลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”

เถาหรานที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นชิ้นเนื้อติดกระดูกที่ถูกตกอยู่ในเป้าสายตาของสุนัขที่หิวโซทันที เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นเพียงภาพหลอนหรือเปล่า เขาปรับกรอบแว่นตาของตัวเองและจ้องหน้าของฉินเย่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “หากคุณมาเพราะเรื่องไร้สาระ…ผมขอไม่ฟังนะ”

หืม? สัญชาตญาณของตาแก่นี่เฉียบคมใช้ได้เลยไม่ใช่หรือ? ฉินเย่กะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “ทางสำนักของเรามีโอกาสได้เข้าร่วมในงานสัมมนาวิชาการหรือโครงการแลกเปลี่ยนอะไรบ้างหรือเปล่าครับ?”

นี่เขาหูฝาดไปหรือเปล่า?

เถาหรานปรับแว่นของตัวเองอีกครั้ง ไม่…เขาสาบานได้เลยว่าตัวเองรู้สึกถึงแรงอาฆาตพยาบาทของโลกถูกปกคลุมไปชั่วขณะ แต่ทำไมคำถามของอีกฝ่ายถึงเปิดกว้างและตรงไปตรงมาเช่นนี้…เขาคงจะแก่แล้วจริง ๆ สินะ…

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังลังเลที่จะตอบคำถามของฉินเย่ สัญชาตญาณของเขามันบอกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น ดังนั้นเขาจึงปรับแว่นอีกครั้ง…อีกครั้ง…มันก็ยังรู้สึกผิดปกติ…และก็อีกครั้ง…

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ให้ชายสูงวัยราวกับลูกสุนัขและถามขึ้นว่า “ศาสตราจารย์ครับ คุณคงไม่ทำลายความฝันและความพยายามของผมใช่ไหมครับ?”

แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนตรงไปตรงมา และมีความฝันที่เหมาะสมหรือเปล่า มันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคุณคือผู้ที่มีพรสวรรค์ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นคุณอาสาสมัครทำงานอะไรมาก่อน…มุมปากของเถาหรานกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา “มี”

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

“ทำไมล่ะครับ?” ฉินเย่เริ่มไม่พอใจ มันเป็นเพราะเขาว่าไม่หล่อพอหรือไม่แข็งแกร่งพออย่างนั้นหรือ? หรือเขาควรจะทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงด้วยพลังของขั้นยมทูตขาวดำ ที่นี่ ตอนนี้เลย?

เถาหรานเลื่อนลิ้นชักที่อยู่ข้าง ๆ ตนและหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมา “นี่คือคำขอสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนที่ถูกส่งมาโดยหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษามา แต่เรายังไม่ได้ตอบตกลงไปแม้แต่ที่เดียว”

มันเยอะมาก…ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เถาหรานก็ดันกองเอกสารตรงหน้ามาให้และพูดว่า “คุณดูเอาเองเถอะ”

ฉินเย่ดูเอกสารทั้งหมดและอ่านมัน “ผู้ฝึกตนรุ่นใหม่แห่งแผ่นดินจีน? การทดลองผู้ฝึกตนเขตตะวันออกเฉียงใต้? สัมมนาความลับอาณาจักรสวรรค์? ”

“มีปัญหาเหรอครับ?”

“แน่นอนว่ามี” เถาหรานจิบชาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “ประการแรก เราคือสำนักฝึกตนแห่งแรก เราคือสถาบันศึกษา และจุดประสงค์หลังของทุกสถาบันการศึกษาก็คือความรู้ ไม่ใช่ความสามารถ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการแสดงความสามารถนั้นไม่สำคัญ แต่แค่มันยังไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของเราในตอนนี้เท่านั้น”

เขาชี้ไปที่ปึกหนึ่งในเอกสารทั้งหมด “ดูสิ นี่คือคำเชิญเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนรุ่นใหม่ ใครจะเป็นตัวแทนของเรา? มันต้องไม่ใช่เหล่าศาสตราจารย์หรือหัวหน้าโจวแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นทุกคนคงจะตำหนิว่าพวกเรารังแกพวกเขา เหล่าอาจารย์ผู้สอนเองก็ถูกตัดออกไปเช่นกัน เพราะอย่างไรแล้ว มีองค์กรใดบ้างที่ไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้สอนของเราทุกคนล้วนเป็นหัวกะทิที่ได้รับการรวบรวมมาจากทั่วทุกสารทิศ?”

ฉินเย่ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้นก็หมายความว่าผู้ที่จะเป็นตัวแทนของทางสำนักจะต้องเป็นนักเรียนใหม่เท่านั้น?”

เถาหรานพยักหน้า “แต่มันเพิ่งผ่านมานานแค่ไหนกันตั้งแต่ที่เราเปิดภาคการศึกษามา? พวกเรายังไม่เสร็จสิ้นภาคทฤษฎีเลยด้วยซ้ำ องค์กรพวกนี้เพียงต้องการใช้ชื่อเสียงของสำนักฝึกตนแห่งแรกในการปีนขึ้นไปอยู่จุดสูง ๆ เท่านั้น…แล้วแบบนี้ เราจะมอบโอกาสให้พวกเขาได้อย่างไร?”

เถาหรานส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจนัก “ด้วยเหตุนี้ สิ่งเดียวที่เราสามารถเข้าร่วมได้ในตอนนี้ก็มีเพียงสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนวาทกรรมและความรู้เท่านั้น แล้วคุณเห็นคำเชิญไหนในนี้เกี่ยวข้องกับมันบ้างหรือเปล่าล่ะ?”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ และดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนหัวข้อไว้อย่างชัดเจนว่า “เรียนเชิญศาสตราจารย์เถาหรานเข้าร่วมการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการจำแนกประเภทของวิญญาณในวันที่ 9 พฤษภาคม ณ​ เมืองเยียนจิง”

ชายสูงวัยมองมันอย่างไม่สนใจนัก “นั่นเป็นคำเชิญมาถึงผมเป็นการส่วนตัว”

ฉินเย่พลิกดูเอกสารทั้งหมดและพบว่ามัน…ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องเลยจริง ๆ

ไม่มีจดหมายเชิญใดที่ส่งมาหาสำนัก เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการเลยสักฉบับ

เถาหรานจุดบุหรี่ขึ้น “เพียงเพราะว่าอาจารย์ผู้สอนและศาสตราจารย์นั้นโด่งดังและมีชื่อเสียงไม่ได้หมายความว่าทางสถาบันจะเป็นเช่นนั้น ชื่อเสียงของสถาบันขึ้นอยู่กับจำนวนเอกสารที่ได้รับการตีพิมพ์ น่าเสียดายที่เราเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้วเราจะเอาอะไรตีพิมพ์? ใครจะสามารถตีพิมพ์วิจัยของเขาลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ได้? เมื่อเทียบกับแผนกวิจัยวิญญาณหลักที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สำนักฝึกตนแห่งแรกก็เป็นเพียงแค่เด็กแรกเกิดเท่านั้น”

ฉินเข้าใจความหมายที่ชายสูงวัยต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี เด็กหนุ่มถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น…ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์ผู้สอนไม่ให้ทำวิจัยของตัวเองใช่ไหมครับ?”

มันเป็นหลุมพราง…เถาหรานหรี่ตา มันรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเดินไปตามทางเดินแถบชนบท และมันก็มีหลุมมีบ่อเต็มไปหมด…

“คุณกำลังคิดจะหาหัวข้อวิจัยอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

แววตาของชายสูงวัยเต็มไปด้วยความตกตะลึง เป็นความตกตะลึงเดียวกันกับที่เขาเจอผ้าอนามัยและผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในถูกซ่อนไว้ในห้องของฉินเย่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็เอ่ยออกมาในที่สุด “โดยทั่วไปแล้ว…ทางสถาบันควรให้การสนับสนุนคุณอย่างเต็มที่…”

ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ ราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่าง คุณช่วยบอกมาเลยได้ไหมว่าผมทำได้หรือไม่ได้?!

“แต่!” เถาหรานมองอีกฝ่ายและคีบบุหรี่ออก “หัวข้อวิจัยทุกหัวข้อจำเป็นจะต้องได้รับการอนุมัติและสนับสนุนโดยศาสตราจารย์ประจำสาขาและลงทะเบียนภายใต้ชื่อของทางสถาบัน เสี่ยวฉิน ถ้าคุณสามารถทำได้ คุณจะได้รับผลประโยชน์มากมาย แต่คุณได้ลองคิดอีกแง่หนึ่งหรือเปล่า? ตอนนี้อาจารย์ผู้สอนทุกคนในสำนักต่างกำลังมุ่งเน้นอยู่กับการศึกษา หากคุณเสนอหัวข้อวิจัยมาตอนนี้แล้วไม่สำเร็จ อาจารย์ผู้สอนท่านอื่น ๆ จะมองคุณอย่างไร?”

ฉินเย่มองเถาหรานอย่างประหลาดใจ

นี่คือการแสดงความรักและเป็นห่วงอย่างล้นหลาม ในฐานะของศาสตราจารย์ประจำสาขา เถาหรานย่อมได้รับผลประโยชน์มากมายหากงานวิจัยของฉินเย่ประสบความสำเร็จ แต่แทนที่จะนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเอง สิ่งแรกที่ชายสูงวัยนึกถึงกลับเป็นการปกป้องภาพลักษณ์ของฉินเย่

เดี๋ยวก่อนนะ…นี่ภาพลักษณ์ของเขาในหมู่อาจารย์ทั้งหมดมันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?! ทำไมเขาถึงต้องถูกกีดกันออกจากเรื่องพวกนี้ด้วย?

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “ผมมีหัวข้อวิจัยที่อยากจะขอการสนับสนุนจากศาสตราจารย์ครับ”

ในเมื่ออีกฝ่ายยังยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น เถาหรานก็ไม่พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป กลับกัน เขาปรับแว่นของตัวเองและเอ่ย “ไหนคุณลองพูดให้ผมฟังหน่อย….”

“มันเกี่ยวกับการวิวัฒนาการและความหลากหลายของวิญญาณครับ!” ฉินเย่สูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและอธิบายทุกอย่างในรวดเดียว

“มันคือหัวข้อเดียวกันกับที่ผมพูดในการบรรยายเปิด! ศาสตราจารย์เถาครับ ก่อนหน้านี้ผมได้เคยตรวจสอบมาแล้ว มันยังไม่มีงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในหัวข้อนี้มาก่อน! ในความเป็นจริง ผมคิดว่าคนเดียวที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่ก็คือศาสตราจารย์ยวี ผมรู้ดีว่าหากหัวข้อวิจัยนี้จะถูกบรรจุลงในหลักสูตรหลักของสถาบัน มันจำเป็นจะต้องใช้อะไรมากกว่าความพยายามของคนคนเดียว และมันก็คงต้องใช้เอกสาร ตัวอย่างและหลักฐานมากมาย อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็พอจะมีประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกในด้านนี้อยู่บ้าง และผมก็หวังว่าทางสำนักจะให้การสนับสนุนผมในเรื่องนี้ครับ!”

แววตาของเถาหรานเป็นประกายขึ้น เขาหยิบปากกาขึ้นมาและเคาะบนกระดาษตรงหน้า

นี่เป็นหัวข้อวิจัยที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ศาสตราจารย์ยวีก็คงไม่กำหนดให้เขตไล่ล่าในเมืองไดซานอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังสำหรับการทดลองแน่ เท่าที่เขารู้ ศาสตราจารย์ยวีเองก็กำลังผลักดันเรื่องนี้ และหน่วยงานหลายหน่วยงานก็เริ่มจับตาดูหัวข้อวิจัยนี้แล้วเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่ได้ตกลงกันอย่างจริงจัง

ทำไมน่ะหรือ?

เหตุผลง่ายมาก ก็เพราะว่าจนถึงทุกวันนี้…จำนวนการวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณนั้นมีน้อยเกินกว่าที่จะพิสูจน์อะไรได้น่ะสิ และวิญญาณแปลกประหลาดอย่างวิญญาณมรดกสายเลือดก็เป็นหนึ่งในตัวอย่าง มันมีความเป็นไปได้สูงที่วิญญาณมรดกสายเลือดจะเป็นวิญญาณแปลกประหลาดเพียงชนิดเดียวที่จีนได้ทำการวิจัยอยู่ในตอนนี้ แต่เพราะการขาดข้อพิสูจน์และหลักฐานที่ชัดเจน

แม้แต่ศาสตราจารย์ยวีก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความหลากหลายทางวิญญาณนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ และหากการปรากฏตัวขึ้นของวิญญาณมรดกสายเลือดเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือเหตุการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น เช่นนั้นการทำวิจัยเกี่ยวกับความหลากหลายของวิญญาณก็คงจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก แม่ว่าพวกเขาจะสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของมันได้ก็ตาม

ดังนั้นหากคุณต้องการตีพิมพ์งานวิจัยของตนลงบนหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ จนสามารถดึงดูดความสนใจจากแหล่งวิชาการจำนวนมากได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพิสูจน์ความจริง ประการแรก คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ และประการที่สอง คุณจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าแม้ว่าการกลายพันธุ์พวกนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่การกลายพันธุ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลร้ายมากมายตามมา

ไม่เช่นนั้น หัวข้อวิจัยพวกนี้ ต่อให้ได้รับพิสูจน์ มันก็แทบจะไม่ทำให้เกิดกระแสในโลกวิชาการอยู่ดี

เพราะอย่างไรแล้ว ความเข้าใจวิญญาณของมนุษย์ในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแยกมากมาย ไม่มีใครมีเวลามาสนใจเรื่องความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ

“คุณกำลังจะบอกว่า คุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหาที่คุณพูดในการบรรยายเปิดเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าเถาหรานเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “เสี่ยวฉิน ที่นี่คือสถาบันการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดจะต้องได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานที่ชัดเจน นี่ไม่เหมือนกับสนามรบที่คุณสามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยสัญชาตญาณและความรู้สึกของคุณเพียงอย่างเดียวได้”

“ผมยอมรับว่าการบรรยายเปิดของคุณนั้นเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง แต่คุณได้คิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมมันถึงไม่ทำให้เกิดกระแสในโลกวิชาการแม้ว่าศาสตราจารย์ยวีและแขกระดับสูงจากทางศูนย์วิจัย SRC มาเข้าร่วม?”

ชายสูงวัยส่ายหน้าไปมา “หากพูดกันตามความจริง สำหรับองค์กรที่ถูกสร้างขึ้นจากการวิจัยทางวิชาการ เนื้อหาในการบรรยายเปิดของคุณควรจะทำให้เกิดกระแสให้กับโลกวิชาการไปนานแล้ว แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่ามันมีหลักฐานไม่เพียงพออย่างไรล่ะ!”

“มันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคุณได้มอบมุมมองใหม่ ๆ ให้กับสถาบันวิจัย แต่การพิสูจน์ต้องใช้เวลา และบางครั้งมันก็ต้องใช้เวลาหลายปี ตัวอย่างที่คุณได้มอบให้พวกเราดูก่อนหน้านี้ถูกสร้างขึ้นจากการคาดคะเนและตั้งสมมติฐาน การเปลี่ยนมุมมองให้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถหักล้างได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณจะทำ คุณก็ต้องมั่นใจว่าหลักฐานที่คุณมีนั้นเป็นของจริงและเหมาะสม และทุกคำพูดที่คุณเอ่ยออกมานั้นได้รับการสนับสนุนจากเอกสารและงานวิจัยและตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้น…คุณก็จะเสียเวลาเปล่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 206: วิทยานิพนธ์

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 206: วิทยานิพนธ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 206: วิทยานิพนธ์

โครงการแลกเปลี่ยน? ทันทีที่ได้ยินเขาก็รู้สึกราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนภายในหัวใจถูกราดด้วยน้ำแข็งเย็น ๆ และเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง “เราอยู่ในสำนักฝึกตนแห่งแรก…ผู้เฒ่ากู่ ด้วยสถานะของคุณ คุณน่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหน่วยสอบสวนพิเศษดี เราจะทำอะไรแบบนั้นได้อย่างไร?”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่” ดวงตาของกู่ชิงเป็นประกายเจ้าเล่ห์ขณะที่เขายิ้ม “นั่นเป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น โครงการแลกเปลี่ยน งานสัมมนา การประชุมแลกเปลี่ยนเชิงวิชาการ…ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถาบันใด ท่านก็จะต้องได้เข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งอย่างในนี้แน่ ๆ! ตราบใดที่ท่านทำได้ดีพอ ท่านจะต้องได้รับโอกาสในการเข้าร่วมหนึ่งอย่างในนี้แน่นอน!”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นทันที

ให้ตายเถอะ! มันยังมีความหวังอยู่!

แต่…ไม่ใช่ว่าความแตกต่างทางโอกาสระหว่างนักเรียนดีเด่น กับนักเรียนหลังห้องมันไม่กว้างเกินไปหน่อยหรือไง?

แต่ถึงอย่างนั้น ความคิดของเขาก็เริ่มหมุนไปตามเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดออกอย่างรวดเร็ว ใช่แล้ว…การแลกเปลี่ยน สำนักฝึกตนแห่งแรกอาจจะไม่มีโครงการแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ แต่พวกเขาจะต้องมีโครงการแลกเปลี่ยน หรือปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งการบ่มเพาะภายนอกอย่างแน่นอน!

สำนักฝึกตนแห่งแรกอาจจะตัดขาดจากสังคม แต่พวกเขาไม่มีทางตัดขาดจากโลกแห่งการบ่มเพาะได้!

เถาหรานจะต้องรู้เรื่องพวกนี้แน่! เพราะอย่างไรเสียการติดต่อสื่อสารภายนอกเป็นก็ส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของเหล่าศาสตราจารย์อยู่แล้ว!

ก่อนหน้านี้ฉินเย่ได้ทำใจแล้วว่าเขาคงจะออกไปนอกเมืองได้ก็ต่อเมื่อถึงเดือนกันยายนเท่านั้น แต่คำแนะนำของกู่ชิงกลับสร้างจุดพลิกผันให้กับเขาอย่างไม่น่าเชื่อ “ผู้เฒ่ากู่ ข้อกำหนดในการเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่คุณว่ามีอะไรบ้าง?”

กู่ชิงแย้มยิ้มราวกับจิ้งจอกเฒ่าจอมเจ้าเล่ห์ “หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ…การเผยแพร่วิทยานิพนธ์”

“ตราบใดที่ท่านสามารถเผยแพร่วิทยานิพนธ์ได้ ท่านย่อมมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมโครงการพวกนั้นได้ แต่คำถามเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือท่านมีหัวข้อที่ดีในการทำวิทยานิพนธ์หรือไม่ มันไม่จำเป็นต้องดีมาก ทั้งหมดที่ท่านต้องการมีเพียงเรื่องไร้สาระที่ดูน่าเชื่อถือและท่านก็สามารถนำออกมาพูดได้ก็เท่านั้น”

มันเป็นการดีจริง ๆ หรือที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับการแสวงหาความรู้…แค่ก แค่ก…เอ่อ วิชาการ…มันน่าขยะแขยงชะมัดที่ต้องใช้วิธีการทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกนั้น!

แน่นอน เขามีหัวข้อที่ดี!

สหายยวี ถึงเวลาแสดงละครชุดใหญ่อีกครั้งแล้ว!

“มันจะเป็นไปได้หรือ?” อาร์ทิสเองก็ตกตะลึงกับคำแนะนำนี้เช่นกัน วิธีนี้จะทำให้พวกนางสามารถออกไปนอกเมืองได้อย่างเปิดเผย! มันเหมือนกับมีประตูมาตั้งอยู่ตรงหน้า แต่ความคิดที่คดเคี้ยวของตุลาการนรกและยมทูตขาวดำก็ทำให้พวกนางคิดว่าบานประตูมันถูกล็อกอยู่ ซึ่งนั่นทำให้พวกนางพยายามหาวิธีการมากมายเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงประตูบานดังกล่าว ตั้งแต่วิธีที่สร้างสรรค์ไปจนถึงการใช้ประตูหลัง แต่คำตอบกลับอยู่ตรงหน้าพวกนางมาโดยตลอด ทั้งหมดที่พวกนางต้องทำก็คือหมุนลูกบิดและเปิดประตูออกไปเท่านั้น!

อ่าาา….นักเรียนหัวกะทิหน้าตาเป็นเช่นนี้เองหรือ? นี่คือความคิดของผู้มีพรสวรรค์สินะ? ทำไมชายผู้นี้ถึงอัจฉริยะขนาดนี้? อาร์ทิสและฉินเย่อดไม่ได้ที่จะผงะไปกับการแสดงความฉลาดอย่างกะทันหันของกู่ชิง

สกปรก… เป็นวิธีที่สกปรกมากจริง ๆ!

อันที่จริงมันสกปรกจนฉินเย่อยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เขากระแอมเบา ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว ถ้าหากมีเวลาเมื่อใด ข้าจะถ่ายทอดความฝันให้เจ้าทันที”

จากนั้นเขาก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

นี่คือความเหนือกว่าของระดับเชาวน์ปัญญา ภายใต้ความฉลาดที่ไม่สามารถประเมินได้ของกู่ชิง ฉินเย่และอาร์ทิสก็ไม่ต่างอะไรจากหนอนตัวจ้อย แม้ว่าพวกเขาจะกลับมาที่หอพักแล้ว อาร์ทิสก็ยังคงพึมพำถึงการพูดคุยเมื่อครู่นี้ของพวกเขา “ผู้มีปัญญา…ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมโลกถึงมักจะถูกครอบครองโดยผู้มีปัญญา กลวิธีของพวกเขามันน่าขยะแขยงมากจริง ๆ พวกเราไม่สามารถเทียบชั้นได้ ไม่มีทาง แต่พูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเองก็ผ่านชีวิตในมหาวิทยาลัยมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดมันจึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างสติปัญญาของเจ้ากับเขากัน?”

“ท่านจะเชื่อหรือไม่หากข้าบอกว่า ตอนนี้ข้าอยากจะฉีกหน้าท่านน่ะ?! ท่านพูดราวกับว่าตัวเองเป็นคนคิดเองอย่างนั่นแหละ!” ฉินเย่กลอกตาขณะที่โต้กลับไป

“…อ่าาาา เป็นการโต้กลับที่ตรงประเด็นจริง ๆ…มันตรงจนไม่มีที่ว่างให้ข้าพูดอะไรเลย…”

ฉินเย่เลิกคนสนใจอีกฝ่าย เขามุ่งหน้าตรงไปที่ห้องทำงานของเถาหรานราวกับผีเสื้อที่โบยบิน เต็มไปด้วยความสุขและความอิ่มเอมใจ หางตาของเถาหรานกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้เมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกประหลาดของเด็กหนุ่ม

“ศาสตราจารย์เถาครับ” ฉินเย่นั่งลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า “ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ?”

เถาหรานที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นชิ้นเนื้อติดกระดูกที่ถูกตกอยู่ในเป้าสายตาของสุนัขที่หิวโซทันที เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ตนเห็นเป็นเพียงภาพหลอนหรือเปล่า เขาปรับกรอบแว่นตาของตัวเองและจ้องหน้าของฉินเย่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “หากคุณมาเพราะเรื่องไร้สาระ…ผมขอไม่ฟังนะ”

หืม? สัญชาตญาณของตาแก่นี่เฉียบคมใช้ได้เลยไม่ใช่หรือ? ฉินเย่กะพริบตาอยู่สองสามครั้งก่อนจะเอ่ยว่า “ทางสำนักของเรามีโอกาสได้เข้าร่วมในงานสัมมนาวิชาการหรือโครงการแลกเปลี่ยนอะไรบ้างหรือเปล่าครับ?”

นี่เขาหูฝาดไปหรือเปล่า?

เถาหรานปรับแว่นของตัวเองอีกครั้ง ไม่…เขาสาบานได้เลยว่าตัวเองรู้สึกถึงแรงอาฆาตพยาบาทของโลกถูกปกคลุมไปชั่วขณะ แต่ทำไมคำถามของอีกฝ่ายถึงเปิดกว้างและตรงไปตรงมาเช่นนี้…เขาคงจะแก่แล้วจริง ๆ สินะ…

แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังลังเลที่จะตอบคำถามของฉินเย่ สัญชาตญาณของเขามันบอกว่ามันมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น ดังนั้นเขาจึงปรับแว่นอีกครั้ง…อีกครั้ง…มันก็ยังรู้สึกผิดปกติ…และก็อีกครั้ง…

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ ให้ชายสูงวัยราวกับลูกสุนัขและถามขึ้นว่า “ศาสตราจารย์ครับ คุณคงไม่ทำลายความฝันและความพยายามของผมใช่ไหมครับ?”

แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นคนตรงไปตรงมา และมีความฝันที่เหมาะสมหรือเปล่า มันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคุณคือผู้ที่มีพรสวรรค์ แต่ผมก็ไม่เคยเห็นคุณอาสาสมัครทำงานอะไรมาก่อน…มุมปากของเถาหรานกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา “มี”

“แต่ไม่ใช่ตอนนี้”

“ทำไมล่ะครับ?” ฉินเย่เริ่มไม่พอใจ มันเป็นเพราะเขาว่าไม่หล่อพอหรือไม่แข็งแกร่งพออย่างนั้นหรือ? หรือเขาควรจะทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงด้วยพลังของขั้นยมทูตขาวดำ ที่นี่ ตอนนี้เลย?

เถาหรานเลื่อนลิ้นชักที่อยู่ข้าง ๆ ตนและหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมา “นี่คือคำขอสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนที่ถูกส่งมาโดยหน่วยงานต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่เปิดภาคการศึกษามา แต่เรายังไม่ได้ตอบตกลงไปแม้แต่ที่เดียว”

มันเยอะมาก…ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เถาหรานก็ดันกองเอกสารตรงหน้ามาให้และพูดว่า “คุณดูเอาเองเถอะ”

ฉินเย่ดูเอกสารทั้งหมดและอ่านมัน “ผู้ฝึกตนรุ่นใหม่แห่งแผ่นดินจีน? การทดลองผู้ฝึกตนเขตตะวันออกเฉียงใต้? สัมมนาความลับอาณาจักรสวรรค์? ”

“มีปัญหาเหรอครับ?”

“แน่นอนว่ามี” เถาหรานจิบชาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “ประการแรก เราคือสำนักฝึกตนแห่งแรก เราคือสถาบันศึกษา และจุดประสงค์หลังของทุกสถาบันการศึกษาก็คือความรู้ ไม่ใช่ความสามารถ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการแสดงความสามารถนั้นไม่สำคัญ แต่แค่มันยังไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของเราในตอนนี้เท่านั้น”

เขาชี้ไปที่ปึกหนึ่งในเอกสารทั้งหมด “ดูสิ นี่คือคำเชิญเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนรุ่นใหม่ ใครจะเป็นตัวแทนของเรา? มันต้องไม่ใช่เหล่าศาสตราจารย์หรือหัวหน้าโจวแน่ ๆ ไม่เช่นนั้นทุกคนคงจะตำหนิว่าพวกเรารังแกพวกเขา เหล่าอาจารย์ผู้สอนเองก็ถูกตัดออกไปเช่นกัน เพราะอย่างไรแล้ว มีองค์กรใดบ้างที่ไม่รู้ว่าอาจารย์ผู้สอนของเราทุกคนล้วนเป็นหัวกะทิที่ได้รับการรวบรวมมาจากทั่วทุกสารทิศ?”

ฉินเย่ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้นก็หมายความว่าผู้ที่จะเป็นตัวแทนของทางสำนักจะต้องเป็นนักเรียนใหม่เท่านั้น?”

เถาหรานพยักหน้า “แต่มันเพิ่งผ่านมานานแค่ไหนกันตั้งแต่ที่เราเปิดภาคการศึกษามา? พวกเรายังไม่เสร็จสิ้นภาคทฤษฎีเลยด้วยซ้ำ องค์กรพวกนี้เพียงต้องการใช้ชื่อเสียงของสำนักฝึกตนแห่งแรกในการปีนขึ้นไปอยู่จุดสูง ๆ เท่านั้น…แล้วแบบนี้ เราจะมอบโอกาสให้พวกเขาได้อย่างไร?”

เถาหรานส่งเสียงฮึดฮัดออกมาอย่างไม่พอใจนัก “ด้วยเหตุนี้ สิ่งเดียวที่เราสามารถเข้าร่วมได้ในตอนนี้ก็มีเพียงสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนวาทกรรมและความรู้เท่านั้น แล้วคุณเห็นคำเชิญไหนในนี้เกี่ยวข้องกับมันบ้างหรือเปล่าล่ะ?”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ และดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา บนกระดาษแผ่นหนึ่งเขียนหัวข้อไว้อย่างชัดเจนว่า “เรียนเชิญศาสตราจารย์เถาหรานเข้าร่วมการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการจำแนกประเภทของวิญญาณในวันที่ 9 พฤษภาคม ณ​ เมืองเยียนจิง”

ชายสูงวัยมองมันอย่างไม่สนใจนัก “นั่นเป็นคำเชิญมาถึงผมเป็นการส่วนตัว”

ฉินเย่พลิกดูเอกสารทั้งหมดและพบว่ามัน…ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องเลยจริง ๆ

ไม่มีจดหมายเชิญใดที่ส่งมาหาสำนัก เพื่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงวิชาการเลยสักฉบับ

เถาหรานจุดบุหรี่ขึ้น “เพียงเพราะว่าอาจารย์ผู้สอนและศาสตราจารย์นั้นโด่งดังและมีชื่อเสียงไม่ได้หมายความว่าทางสถาบันจะเป็นเช่นนั้น ชื่อเสียงของสถาบันขึ้นอยู่กับจำนวนเอกสารที่ได้รับการตีพิมพ์ น่าเสียดายที่เราเพิ่งก่อตั้งขึ้นมาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แล้วเราจะเอาอะไรตีพิมพ์? ใครจะสามารถตีพิมพ์วิจัยของเขาลงในผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ได้? เมื่อเทียบกับแผนกวิจัยวิญญาณหลักที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อนานมาแล้ว สำนักฝึกตนแห่งแรกก็เป็นเพียงแค่เด็กแรกเกิดเท่านั้น”

ฉินเข้าใจความหมายที่ชายสูงวัยต้องการจะสื่อเป็นอย่างดี เด็กหนุ่มถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น…ทางสำนักฝึกตนแห่งแรกก็ไม่ได้ห้ามอาจารย์ผู้สอนไม่ให้ทำวิจัยของตัวเองใช่ไหมครับ?”

มันเป็นหลุมพราง…เถาหรานหรี่ตา มันรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังเดินไปตามทางเดินแถบชนบท และมันก็มีหลุมมีบ่อเต็มไปหมด…

“คุณกำลังคิดจะหาหัวข้อวิจัยอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น

แววตาของชายสูงวัยเต็มไปด้วยความตกตะลึง เป็นความตกตะลึงเดียวกันกับที่เขาเจอผ้าอนามัยและผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในถูกซ่อนไว้ในห้องของฉินเย่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็เอ่ยออกมาในที่สุด “โดยทั่วไปแล้ว…ทางสถาบันควรให้การสนับสนุนคุณอย่างเต็มที่…”

ฉินเย่กระแอมออกมาเบา ๆ ราวกับต้องการสื่ออะไรบางอย่าง คุณช่วยบอกมาเลยได้ไหมว่าผมทำได้หรือไม่ได้?!

“แต่!” เถาหรานมองอีกฝ่ายและคีบบุหรี่ออก “หัวข้อวิจัยทุกหัวข้อจำเป็นจะต้องได้รับการอนุมัติและสนับสนุนโดยศาสตราจารย์ประจำสาขาและลงทะเบียนภายใต้ชื่อของทางสถาบัน เสี่ยวฉิน ถ้าคุณสามารถทำได้ คุณจะได้รับผลประโยชน์มากมาย แต่คุณได้ลองคิดอีกแง่หนึ่งหรือเปล่า? ตอนนี้อาจารย์ผู้สอนทุกคนในสำนักต่างกำลังมุ่งเน้นอยู่กับการศึกษา หากคุณเสนอหัวข้อวิจัยมาตอนนี้แล้วไม่สำเร็จ อาจารย์ผู้สอนท่านอื่น ๆ จะมองคุณอย่างไร?”

ฉินเย่มองเถาหรานอย่างประหลาดใจ

นี่คือการแสดงความรักและเป็นห่วงอย่างล้นหลาม ในฐานะของศาสตราจารย์ประจำสาขา เถาหรานย่อมได้รับผลประโยชน์มากมายหากงานวิจัยของฉินเย่ประสบความสำเร็จ แต่แทนที่จะนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเอง สิ่งแรกที่ชายสูงวัยนึกถึงกลับเป็นการปกป้องภาพลักษณ์ของฉินเย่

เดี๋ยวก่อนนะ…นี่ภาพลักษณ์ของเขาในหมู่อาจารย์ทั้งหมดมันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?! ทำไมเขาถึงต้องถูกกีดกันออกจากเรื่องพวกนี้ด้วย?

อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจัง “ผมมีหัวข้อวิจัยที่อยากจะขอการสนับสนุนจากศาสตราจารย์ครับ”

ในเมื่ออีกฝ่ายยังยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น เถาหรานก็ไม่พยายามที่จะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกต่อไป กลับกัน เขาปรับแว่นของตัวเองและเอ่ย “ไหนคุณลองพูดให้ผมฟังหน่อย….”

“มันเกี่ยวกับการวิวัฒนาการและความหลากหลายของวิญญาณครับ!” ฉินเย่สูดหายใจเข้าจนเต็มปอดและอธิบายทุกอย่างในรวดเดียว

“มันคือหัวข้อเดียวกันกับที่ผมพูดในการบรรยายเปิด! ศาสตราจารย์เถาครับ ก่อนหน้านี้ผมได้เคยตรวจสอบมาแล้ว มันยังไม่มีงานวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในหัวข้อนี้มาก่อน! ในความเป็นจริง ผมคิดว่าคนเดียวที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่ก็คือศาสตราจารย์ยวี ผมรู้ดีว่าหากหัวข้อวิจัยนี้จะถูกบรรจุลงในหลักสูตรหลักของสถาบัน มันจำเป็นจะต้องใช้อะไรมากกว่าความพยายามของคนคนเดียว และมันก็คงต้องใช้เอกสาร ตัวอย่างและหลักฐานมากมาย อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็พอจะมีประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกในด้านนี้อยู่บ้าง และผมก็หวังว่าทางสำนักจะให้การสนับสนุนผมในเรื่องนี้ครับ!”

แววตาของเถาหรานเป็นประกายขึ้น เขาหยิบปากกาขึ้นมาและเคาะบนกระดาษตรงหน้า

นี่เป็นหัวข้อวิจัยที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้น ศาสตราจารย์ยวีก็คงไม่กำหนดให้เขตไล่ล่าในเมืองไดซานอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังสำหรับการทดลองแน่ เท่าที่เขารู้ ศาสตราจารย์ยวีเองก็กำลังผลักดันเรื่องนี้ และหน่วยงานหลายหน่วยงานก็เริ่มจับตาดูหัวข้อวิจัยนี้แล้วเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่ได้ตกลงกันอย่างจริงจัง

ทำไมน่ะหรือ?

เหตุผลง่ายมาก ก็เพราะว่าจนถึงทุกวันนี้…จำนวนการวิจัยเกี่ยวกับวิญญาณนั้นมีน้อยเกินกว่าที่จะพิสูจน์อะไรได้น่ะสิ และวิญญาณแปลกประหลาดอย่างวิญญาณมรดกสายเลือดก็เป็นหนึ่งในตัวอย่าง มันมีความเป็นไปได้สูงที่วิญญาณมรดกสายเลือดจะเป็นวิญญาณแปลกประหลาดเพียงชนิดเดียวที่จีนได้ทำการวิจัยอยู่ในตอนนี้ แต่เพราะการขาดข้อพิสูจน์และหลักฐานที่ชัดเจน

แม้แต่ศาสตราจารย์ยวีก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าความหลากหลายทางวิญญาณนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ และหากการปรากฏตัวขึ้นของวิญญาณมรดกสายเลือดเป็นเพียงเหตุบังเอิญหรือเหตุการณ์ที่ยากจะเกิดขึ้น เช่นนั้นการทำวิจัยเกี่ยวกับความหลากหลายของวิญญาณก็คงจะไม่มีความหมายอะไรมากนัก แม่ว่าพวกเขาจะสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของมันได้ก็ตาม

ดังนั้นหากคุณต้องการตีพิมพ์งานวิจัยของตนลงบนหนังสือพิมพ์ผู้ฝึกตนรายสัปดาห์ จนสามารถดึงดูดความสนใจจากแหล่งวิชาการจำนวนมากได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพิสูจน์ความจริง ประการแรก คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ และประการที่สอง คุณจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าแม้ว่าการกลายพันธุ์พวกนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก แต่การกลายพันธุ์ดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลร้ายมากมายตามมา

ไม่เช่นนั้น หัวข้อวิจัยพวกนี้ ต่อให้ได้รับพิสูจน์ มันก็แทบจะไม่ทำให้เกิดกระแสในโลกวิชาการอยู่ดี

เพราะอย่างไรแล้ว ความเข้าใจวิญญาณของมนุษย์ในตอนนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแยกมากมาย ไม่มีใครมีเวลามาสนใจเรื่องความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ

“คุณกำลังจะบอกว่า คุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าเนื้อหาที่คุณพูดในการบรรยายเปิดเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?” สีหน้าเถาหรานเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “เสี่ยวฉิน ที่นี่คือสถาบันการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดจะต้องได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานที่ชัดเจน นี่ไม่เหมือนกับสนามรบที่คุณสามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยสัญชาตญาณและความรู้สึกของคุณเพียงอย่างเดียวได้”

“ผมยอมรับว่าการบรรยายเปิดของคุณนั้นเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง แต่คุณได้คิดบ้างหรือไม่ว่าทำไมมันถึงไม่ทำให้เกิดกระแสในโลกวิชาการแม้ว่าศาสตราจารย์ยวีและแขกระดับสูงจากทางศูนย์วิจัย SRC มาเข้าร่วม?”

ชายสูงวัยส่ายหน้าไปมา “หากพูดกันตามความจริง สำหรับองค์กรที่ถูกสร้างขึ้นจากการวิจัยทางวิชาการ เนื้อหาในการบรรยายเปิดของคุณควรจะทำให้เกิดกระแสให้กับโลกวิชาการไปนานแล้ว แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่ามันมีหลักฐานไม่เพียงพออย่างไรล่ะ!”

“มันไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคุณได้มอบมุมมองใหม่ ๆ ให้กับสถาบันวิจัย แต่การพิสูจน์ต้องใช้เวลา และบางครั้งมันก็ต้องใช้เวลาหลายปี ตัวอย่างที่คุณได้มอบให้พวกเราดูก่อนหน้านี้ถูกสร้างขึ้นจากการคาดคะเนและตั้งสมมติฐาน การเปลี่ยนมุมมองให้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถหักล้างได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากคุณจะทำ คุณก็ต้องมั่นใจว่าหลักฐานที่คุณมีนั้นเป็นของจริงและเหมาะสม และทุกคำพูดที่คุณเอ่ยออกมานั้นได้รับการสนับสนุนจากเอกสารและงานวิจัยและตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้น…คุณก็จะเสียเวลาเปล่า”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+