ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2) ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อให้จิตใจตนเองสงบลง ตู้เหล็กมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้ความรู้สึกรับผิดชอบที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขาเอ่อล้นขึ้นมาทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากสัญญาณเตือนใด ๆ ทำให้ใจของเขารู้สึกขมขื่นอยู่สักพักใหญ่ เขารับแฟ้มคดีมาจากมือของโหลวชวยและเริ่มอ่านเนื้อหาของมัน “ปี 197X เหตุการณ์บ้านตระกูลเหมา นครฉู่อัน” “หมู่บ้านตระกูลเหมา เมืองช่วนโจว นครฉู่อันตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 500 เมตรและถูกก่อตั้งโดยชนเผ่าไทและฮั่น ตระกูลเหมาเป็นผู้นำหมู่บ้าน จำนวนประชากรทั้งหมดคือ 1,546 คน วันที่ 5 เมษายน 197X ช่วงกลางดึกของเทศกาลเชงเม้งเกิดฝนตกหนัก ศาลบรรพชนสว่างไสวด้วยไฟจากเทียนและธูปที่มีมานานกว่าหลายทศวรรษ แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกอย่างถูกดับไป ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลเหมาเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขากลับมาเยี่ยมพวกตน และทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงและสวดไหว้บรรพบุรุษของพวกเขา” “ในวันที่ 6 เมษายน เวลา 01.00 น. ใครบางคนรายงานว่าเขาได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น แต่การสืบสวนเผยว่าตระกูลเหมาได้หยุดการใช้ฆ้องในเวลากลางคืนมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว 02.00 น. อีกากว่าร้อยตัวบินฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำมาเกาะอยู่ที่ต้นไทรบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับเลือดที่ไหลไม่หยุด หัวหน้าหมู่บ้านเชื่อว่านี่เป็นลางบอกเหตุร้าย และเขารีบบอกชาวบ้านทุกคน ให้รีบออกจากหมู่บ้านทันที เวลา 03.00 น.ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพออกจากหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากคำของผู้รอดชีวิต พวกเขาได้ยินเสียงร้องของคนแบกเกี้ยวดังมาจากศาลบรรพชน” “7 เมษายน ตระกูลเหมาทั้งหมดหายไปโดยไร้ร่องรอย 8 เมษายน ในช่วงเช้าตรู่ของวัน ภาพที่น่าตกตะลึงถูกพบขึ้นในส่วนลึกของภูเขา ใบหน้าของคนทั้งหมดดูสงบ หัวหน้าหมู่บ้านคือผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้แต่สูญเสียสติ ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชชิงหลงซาน รายละเอียดการสืบสวนและรูปถ่ายจากที่เกิดเหตุ….” “…” ฉินเย่ตกตะลึง ขนบนร่างของเขาลุกชันไปหมดขณะที่ปิดแฟ้มคดี ภูตผีคลุ้มคลั่ง…นี่จะต้องเป็นฝีมือของภูตผีคลุ้มคลั่งแน่นอน! มันแตกต่างจากวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอย่างสิ้นเชิง! ภาพที่น่าตกตะลึงดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่น่าชมเลยสักนิด มัน…คือภาพของพีระมิดที่ทำมาจากศีรษะของมนุษย์! เป็นอย่างที่คิด…เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ มันยังมีภูตผีคลุ้มคลั่งตนอื่นอยู่ในจีน และทางรัฐบาลก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพื่อรักษาความสงบภายในชาติ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาความสงบมาได้กว่าหลายสิบปี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและอิทธิพลอันมากล้นของรัฐบาลได้อย่างดี! แต่มันยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดอย่างที่ทุกคนว่ากันอยู่หรือเปล่า? มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกกี่ครั้งแล้ว? เขามองไปยังแถวที่เรียงรายของตู้เหล็ก มณฑลจูเจียง มณฑลตงไห่ มณฑลเป่ยโจว มณฑลกวงอาน…มันเป็นเพียงตู้เหล็กที่ไร้ชีวิตและนิ่งสนิท แต่มันกลับทำให้ฉินเย่รู้สึกชื่นชมยายเมิ่งที่พยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืดเวลาของตนเองเพื่อมายังแดนมนุษย์ในเวลานั้น ยมโลกอยู่ไม่ได้หากปราศจากผู้นำ วัฏจักรแห่งสวรรค์ตั้งอยู่บนการดำรงอยู่ของทั้งหยินและหยาง ยมโลกและแดนมนุษย์ บางครั้ง การตระหนักถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกระตุ้นที่ดีมาก และมันก็อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึงที่สุด “ตกใจเลยใช่ไหม?” ฉินเย่เงียบไป สายตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายอย่างเร่าร้อนขณะที่จ้องมองตู้เหล็กทั้งหมดที่เรียงรายกันอยู่อย่างเหม่อลอย โหลวชวนคิดว่าอีกฝ่ายตกตะลึงจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็น เขาหยิบแฟ้มคดีจากมือของฉินเย่และเก็บมันเข้าที่เดิม “เขตไล่ล่าเป็นเพียงเหตุการณ์ทั่วไปที่เราพบเจอเท่านั้น แต่พวกมันก็ยังไม่ใช่ส่วนที่อันตรายมากที่สุด คุณควรเลือกคดีที่เหมาะสมที่สุดคดีหนึ่งมาเป็นตัวอย่างในการทำวิจัยของคุณ ทั้งหมดที่คุณต้องการล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว เหล่าผู้ที่ตรวจงานของคุณเองก็ทราบถึงข้อมูลอ้างอิงพวกนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุด ผู้ที่สามารถตรวจงานของคุณได้ก็ย่อมต้องมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเอกสารพวกนี้อยู่แล้ว” เขาไล่มองไปตามตู้ทั้งหมดด้วยสายตาซับซ้อน “ผมเชื่อว่าทุกคดีที่อยู่ในตู้เหล่านี้…เพียงพอที่จะทิ้งร่องรอยที่ไม่สามารถลบออกได้ในใจของทุกคนที่ได้อ่านมัน” เงียบ…. ไม่กี่วินาทีต่อมาฉินเย่ก็พยักหน้าช้า ๆ จากนั้นโหลวชวนก็หันหน้าไปทางชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลัง “และทั้งหมดนี้ก็คือบันทึกของ ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน” ฉินเย่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ คือตอนที่สำนักฝึกตนแห่งแรกได้เปิดตัวขึ้น ในขณะที่พวกเขาต่างกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มภาคการศึกษาแรก กระบี่เซวียหยวนคือสิ่งที่ถูกเก็บรักษาและส่งต่อโดยผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ ทุกราชวงศ์และยุคสมัยของจีนต่างมีกลุ่มองค์กรที่คล้ายกันนี้ดำรงอยู่ จนกระทั่งในช่วงปลายของราชวงศ์ชิง การเกิดใหม่ของมันเวลานี้ไม่ได้ใช้ชื่อผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์อีกแล้ว แต่กลับเป็นหน่วยสอบสวนพิเศษและศูนย์วิจัย SRC แทน “พวกเขาสามารถถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเรา คุณจะเจอข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายในนี้ ใครจะรู้ บางสมมติฐานและการคาดเดาของพวกเขาอาจจะจุดประกายให้กับงานวิจัยของคุณก็ได้ ทำไม….คุณไม่ลองดูสักหน่อยล่ะว่าพวกเขาคือใครบ้าง? โหลวชวนแย้มยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้า ฉินเย่มองอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองที่ชั้นบนสุดของชั้นหนังสือ เขาไม่ได้สนใจรายชื่อทั้งหมดอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงอ่านมันแบบผ่าน ๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องย้อนกลับไปอ่านชื่อ ๆ หนึ่งอีกครั้ง หลิว จี… “นี่มัน…” เขาเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “หลิว ปั๋วเวิน?!” [1] หลิว ปั๋วเวินคือผู้ที่เป็นที่เคารพพอ ๆ กับจูกัดเหลียง เขาไม่คิดเลยว่าบุคคลที่น่าทึ่งเช่นนี้จะเป็นหนึ่งใน ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์! “ถูกต้อง” โหลวชวนเอ่ย “ตอนที่ผมเห็นชื่อของเขาครั้งแรก ผมตกใจยิ่งกว่าคุณเสียอีก” “หลิว จี หรือที่รู้จักกันในนามหลิว ปั๋วเวิน เขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดของจักรพรรดิหงอู่ และหลังจากที่ถึงแก่กรรมไป 9 ปี เขาก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นพระอัครมหาเสนาบดี…แต่ถ้าคุณลองคิดดี ๆ นอกจากบุคคลที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว…จะมีใครสมควรที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารคลังสมบัติของแผ่นดินจีนอีก?” ฉินเย่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเขาจึงไล่ดูต่อ และชื่อถัดมาที่เขาเห็นก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง … เจ้าผู่![2] “บ้าหน่า…” เขาเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง เจ้าผู่…ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัย มีบทบาทสำคัญในการยึดและรวมอำนาจของจักรพรรดิไทสึและจักรพรรดิไท่จง เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาถึงสามครั้ง และเขายังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบนักยุทธศาสตร์ยิ่งมีฝีมือมากที่สุดตลอดกาลของจีนอีกด้วย! นอกจากนี้มันยังมีชื่อที่น่าตกตะลึงไม่แพ้กันอย่าง หลี่ฉุนเฟิง[3] หยวนเทียนกัง[4]…จิวยี่[5] เตียวเหลียง[6] กุ๋ยกู๋จื่อ[7] เจียงจื่อหยา[8]…. ไม่ว่าจะเป็นใคร คนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์จีน! ใครจะไปคิดว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์? และพวกเขายังจดบันทึกถึงความลับอันดำมืดของจีน ตั้งแต่สมัยของตัวเองและส่งต่อมันมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ยนะ?! ฉินเย่ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นของตนเองได้ เด็กหนุ่มรีบดึงหนึ่งในบันทึกออกมาและเอ่ยมันอย่างละเอียด ข้อความทั้งหมดในนั้นได้รับการแปลและปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่เขากำลังอ่านอยู่ก็คือบันทึกที่มีชื่อเรื่องว่า “วิญญาณ: การเปลี่ยนแปลงของเวลาและวิวัฒนาการของวิญญาณ” “…ในราชวงศ์ถังและราชวงศ์ฮั่น เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังนั้นมีให้ได้ยินอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งดูจะสลับขั้วกันไปหมด พวกเราไม่ค่อยได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อยเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อใดที่ได้ยิน พวกมันจะน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ…ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นผลมาจากการขยายขอบเขตอำนาจของยมโลก เมื่อสิบปีก่อน ข้าพเจ้านั้นมีวาสนาพอที่ได้พบกับ ยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยมทูตหัววัวหน้าม้า เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น เสื้อผ้าและอาวุธของพวกเขาไม่ได้ดูโบราณเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง ชุดพวกเขาดูดีกว่าพวกเขาในตอนนี้เสียอีก…” “…ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงสรุปความได้ว่าความสามารถของยมโลกในการตรวจจับการมีอยู่ของวิญญาณร้ายนั้นเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา วิญญาณที่มีสติปัญญาจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวของยมโลก และการตัดสินใจแรกของพวกมันก็คือซ่อนตัวในเงามืดและหลบหนี ยื้อเวลาจนกว่าตนจะแข็งแกร่งพอที่จะปรากฏตัวขึ้นในแดนมนุษย์อีกครั้ง…” กว่าที่ฉินเย่จะรู้ตัว เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้อ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้เรียนที่ดี แต่มันเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าฮัสกี้อย่างเขาไม่มีทางพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแดนมนุษย์เป็นอันขาด นี่คือความรู้พื้นฐานที่ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่างรู้ดี แต่อัจฉริยะอย่างเขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน นอกจากนี้ ยิ่งเขาอ่านมันมากเท่าไหร่ มุมมองของเขาก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถพูดได้เลยว่าบันทึกของเจ้าผู่นั้นเชื่อมโยงกับหัวข้อวิจัยที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริง ทั้งเจ้าผู่และหลิวปั่วเวินต่างมีการคาดเดาของตนเองในเรื่องนี้ น่าเสียดาย ด้วยทัศนคติที่ปิดกั้นของจีนในเวลานั้น การเปิดพื้นที่หรือที่ยืนทางความคิดให้กับผู้คนในสังคมจึงไม่ได้รับความสนับสนุนมากนัก ไม่เช่นนั้นเขามั่นใจเลยว่าผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสองคงได้หารือเกี่ยวกันกับการวิวัฒนาการของวิญญาณอย่างละเอียดไปแล้ว ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงดูเหมือนว่าจะมีการหยุดชะงักของสิ่งที่ถูกส่งต่อมายังหน่วยสอบสวนพิเศษ บันทึกสมัยราชวงศ์ชิงยังคงอยู่ในภาพที่สมบูรณ์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง บางส่วนของบันทึกก็ได้รับความเสียหายและไม่ต่อเนื่องในหลาย ๆ จุด จากนั้นเมื่อถึงในสมัยของราชวงศ์ซ่ง ถัง และฮั่น ความเสียหายของบันทึกก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเนื้อหาที่เหลืออยู่หลังจากนั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย นี่หมายความว่าข้อสมมติฐานพวกนี้ เป็นเพียงการคาดเดาและข้อสรุปที่ไม่ได้รับการสนับสนุน มีหลายครั้งที่สมมติฐานหรือข้อสนับสนุนบางอย่างถูกเขียนไว้ในหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง แต่เมื่อเปิดหน้าถัดไปกลับเป็นการพูดถึงข้อสนับสนุนที่ใช้สนับสนุนสมมติฐานอื่น ๆ เสียแล้ว ถึงกระนั้นฉินเย่ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หลังจากผ่านการเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วหลายครั้ง เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านการเขียนรายงานวิจัย เขารู้ดีว่ารายงานพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็วางบันทึกของผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์ซ่งลง และยืดหลังของตนพร้อมกับเอ่ยว่า “สรุปว่าทั้งหมดนี้ก็คือการรวบรวมวิทยานิพนธ์ จากตั้งแต่ราชวงศ์ต่าง ๆ ในอดีต…มันมีประโยชน์มาก ด้วยบันทึกและข้อสนับสนุนเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับสูงที่ถูกเก็บรักษาโดยศูนย์วิจัย SRC สินะ อย่างนี้การเขียนรายงานก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด….” “อย่างไรก็ตาม การเรียบเรียงและสรุปเนื้อหาทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร ที่นี่มีหนังสือมากเกินไป เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะอ่านทั้งหมดจบ…” มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกบันทึกพวกนี้ ในความเป็นจริง เขายินดีเป็นอย่างมากที่จะอ่านหนังสือทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขา วันนี้คือวันที่ 1 พฤษภาคม หากเขาไม่สามารถไปที่ตงไห่ได้ในปลายเดือนมิถุนายน ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็คงจะหลุดลอยไปจากมือเขาตลอดกาล “ไม่…เรามีเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ เราจะต้องพิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการส่งเล่มวิจัย ตรวจ และตีพิมพ์อีก…จากนั้นก็ยังระยะเวลาที่แต่ละองค์กรอื่น ๆ จะตอบรับและส่งจดหมายเชิญมาให้ด้วย อย่างดีที่สุดเราก็มีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น…นั่นมันน้อยมาก” ฉินเย่คลึงขมับของตนและมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ของตน ตอนนี้เป็นเวลา 22.00 น.แล้ว โหลวชวนได้เดินจากไปนานแล้ว มันเป็นวินาทีนั้นเองที่ฉินเย่เริ่มรู้สึกง่วงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ขอตัวและเปิดประตูเพื่อที่จะเดินออกไปด้านนอก เมื่อเขาเดินออกมาและเหลือบมองไปยังชายสูงวัยหัวโล้น ดวงตาของฉินเย่ก็ต้องวูบไหวด้วยความตกตะลึง ให้ตายเถอะ…ตกใจหมด…พอกันทีตาแก่! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมอุตส่าห์ชื่นชมคุณที่ขยันและตั้งใจทำประโยชน์ให้กับชาติแม้ว่าจะอายุมากแล้ว! “คุณจะกลับแล้วหรือ?” ชายสูงวัยเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าจอ “เจ้าหนู หลายสิ่งในนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะอ้าปากค้างและเข้าใจมันได้ภายในหนึ่งวันหรอกนะ” ฉินเย่พยักหน้า ใช่แล้ว เอกสารทั้งหมดนี้บันทึกเนื้อหาที่มอบมุมมองความคิดมากมายให้กับผู้อ่าน แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากรู้จักพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดจากมุมมองและบริบทของผู้เขียนด้วย ไม่เช่นนั้นความพยายามของเขาคงจะไร้ประโยชน์ และเขาก็คงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ดีพอจนนำไปปรับใช้ในรายงานของเขาเองได้ ขณะที่กำลังมองฉินเย่เดินจากไปพร้อมกับความคิดมากมายภายในหัว ทันใดนั้นชายสูงวัยก็เอ่ยขึ้น “ไม้ที่ผุแล้วไม่สามารถนำมาใช้แกะสลักได้…ผมขอถามอะไรคุณสักข้อนะ ผู้ช่วยของคุณอยู่ที่ไหน? คุณคิดจะเขียนเล่มวิจัยทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ? แล้วก็ตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์เนี่ยนะ? ไม่คิดว่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือไง? หรือว่าคุณกำลังดูถูกผู้ฝึกตนรายสัปดาห์อยู่กันแน่?” ผู้ช่วย? ในที่สุดฉินเย่ก็หลุดออกจากอาการมึนงงในวิทยานิพนธ์ของเขา เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่รัว และข่มแรงกระตุ้นที่จะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักที ทุกวันนี้ ในมหาวิทยาลัย นักเรียนส่วนใหญ่จะเข้า Google และเข้าไปใน Google Scholar เพื่อหาวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษาที่เกี่ยวข้องจากคณะต่าง ๆ จ่ายเงิน คัดลอก วาง… ซ้ำไปซ้ำมา เอ่อ…เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ? แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญก็คือตอนนี้เขาเป็นอาจารย์แล้ว! อาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรกที่มีอำนาจมากมาย! และนั่นแหละประเด็น เขาจะไปเสียเวลาในนั้นทำไมทั้งวัน! เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยของเขาอ่านเนื้อหาทั้งหมดแทนก็ได้ไม่ใช่เหรอ? เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยจัดการเรื่องใบสมัครก็ได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงชอบพึ่งแต่ตัวเอง? หรือว่านี่เป็นผลมาจากการที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเท่าไรนัก?! เขาหันกลับไปมองชายสูงวัยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับต้องการจะบอกว่า ทำไมคุณไม่ถามผมให้เร็วกว่านี้?! ชายสูงวัยจ้องกลับ ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีอาจารย์ที่คิดว่าตัวเองไม่ต้องการผู้ช่วยในการทำวิจัย? อันที่จริง ผมคงนึกไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่เห็นว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดทั้งวัน! อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันยังมีอาจารย์ที่โง่ขนาดนี้อยู่ได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ฉินเย่รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด แต่ทันทีที่ได้ยินคำแนะนำของชายชรา ทุกอย่างก็ดูชัดเจนขึ้นทันที การเป็นผู้ช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยทั่วไปแล้วเล่มวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมดจะต้องมีผู้เขียนคนที่สอง หรือที่เรียกว่าผู้เขียนร่วมนั่นเอง หากพูดกันตามจริง มันมีรายงานวิจัยบางเล่มที่ผู้เขียนร่วมและผู้เขียนหลักร่วมมือกันเขียน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแบ่งจำนวนคำที่เขียนออกมาอย่างเท่าเทียมกัน กลับกัน มันหมายความว่าทั้งสองต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ที่จะแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในบทความ เพราะอย่างไรแล้ว มันย่อมต้องมีเสียงพูดและความคิดเห็นมากมายในระหว่างการทำวิจัยทั้งหมด และมันก็มักจะมีการหารือเกี่ยวกับความคิดต่าง ๆ ก่อนที่จะตั้งคำถามที่แน่นอน นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะฉลาดสักแค่ไหน คุณจะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งเล่มด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? การทดลอง? แล้วแหล่งข้อมูลหรือแม้แต่การจัดรูปหน้ากระดาษอีก? หากเขาทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว เขาก็อาจจะไม่สามารถจบเล่มวิจัยได้ ต่อให้ใช้เวลาไปถึงปลายภาคการศึกษาหน้าก็ตาม! นอกจากนี้ เขาก็ได้คะแนนนำในหมู่อาจารย์ด้วยกันอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ลองติดต่อสหายคนอื่น ๆ และยื่นมือช่วยใครนะที่ชื่อหลิน ๆ อะไรสักอย่าง กับซู่ ๆ อะไรสักอย่างที่ยังคะแนนตามอยู่ดูล่ะ?

บทที่ 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2)

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อให้จิตใจตนเองสงบลง

ตู้เหล็กมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้ความรู้สึกรับผิดชอบที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขาเอ่อล้นขึ้นมาทันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากสัญญาณเตือนใด ๆ ทำให้ใจของเขารู้สึกขมขื่นอยู่สักพักใหญ่

เขารับแฟ้มคดีมาจากมือของโหลวชวยและเริ่มอ่านเนื้อหาของมัน

“ปี 197X เหตุการณ์บ้านตระกูลเหมา นครฉู่อัน”

“หมู่บ้านตระกูลเหมา เมืองช่วนโจว นครฉู่อันตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 500 เมตรและถูกก่อตั้งโดยชนเผ่าไทและฮั่น ตระกูลเหมาเป็นผู้นำหมู่บ้าน จำนวนประชากรทั้งหมดคือ 1,546 คน วันที่ 5 เมษายน 197X ช่วงกลางดึกของเทศกาลเชงเม้งเกิดฝนตกหนัก ศาลบรรพชนสว่างไสวด้วยไฟจากเทียนและธูปที่มีมานานกว่าหลายทศวรรษ แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกอย่างถูกดับไป ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลเหมาเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขากลับมาเยี่ยมพวกตน และทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงและสวดไหว้บรรพบุรุษของพวกเขา”

“ในวันที่ 6 เมษายน เวลา 01.00 น. ใครบางคนรายงานว่าเขาได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น แต่การสืบสวนเผยว่าตระกูลเหมาได้หยุดการใช้ฆ้องในเวลากลางคืนมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว 02.00 น. อีกากว่าร้อยตัวบินฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำมาเกาะอยู่ที่ต้นไทรบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับเลือดที่ไหลไม่หยุด หัวหน้าหมู่บ้านเชื่อว่านี่เป็นลางบอกเหตุร้าย และเขารีบบอกชาวบ้านทุกคน ให้รีบออกจากหมู่บ้านทันที เวลา 03.00 น.ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพออกจากหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากคำของผู้รอดชีวิต พวกเขาได้ยินเสียงร้องของคนแบกเกี้ยวดังมาจากศาลบรรพชน”

“7 เมษายน ตระกูลเหมาทั้งหมดหายไปโดยไร้ร่องรอย 8 เมษายน ในช่วงเช้าตรู่ของวัน ภาพที่น่าตกตะลึงถูกพบขึ้นในส่วนลึกของภูเขา ใบหน้าของคนทั้งหมดดูสงบ หัวหน้าหมู่บ้านคือผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้แต่สูญเสียสติ ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชชิงหลงซาน รายละเอียดการสืบสวนและรูปถ่ายจากที่เกิดเหตุ….”

“…” ฉินเย่ตกตะลึง ขนบนร่างของเขาลุกชันไปหมดขณะที่ปิดแฟ้มคดี

ภูตผีคลุ้มคลั่ง…นี่จะต้องเป็นฝีมือของภูตผีคลุ้มคลั่งแน่นอน! มันแตกต่างจากวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอย่างสิ้นเชิง!

ภาพที่น่าตกตะลึงดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่น่าชมเลยสักนิด มัน…คือภาพของพีระมิดที่ทำมาจากศีรษะของมนุษย์!

เป็นอย่างที่คิด…เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ มันยังมีภูตผีคลุ้มคลั่งตนอื่นอยู่ในจีน และทางรัฐบาลก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพื่อรักษาความสงบภายในชาติ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาความสงบมาได้กว่าหลายสิบปี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและอิทธิพลอันมากล้นของรัฐบาลได้อย่างดี! แต่มันยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดอย่างที่ทุกคนว่ากันอยู่หรือเปล่า?

มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกกี่ครั้งแล้ว?

เขามองไปยังแถวที่เรียงรายของตู้เหล็ก มณฑลจูเจียง มณฑลตงไห่ มณฑลเป่ยโจว มณฑลกวงอาน…มันเป็นเพียงตู้เหล็กที่ไร้ชีวิตและนิ่งสนิท แต่มันกลับทำให้ฉินเย่รู้สึกชื่นชมยายเมิ่งที่พยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืดเวลาของตนเองเพื่อมายังแดนมนุษย์ในเวลานั้น

ยมโลกอยู่ไม่ได้หากปราศจากผู้นำ

วัฏจักรแห่งสวรรค์ตั้งอยู่บนการดำรงอยู่ของทั้งหยินและหยาง ยมโลกและแดนมนุษย์

บางครั้ง การตระหนักถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกระตุ้นที่ดีมาก และมันก็อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึงที่สุด

“ตกใจเลยใช่ไหม?” ฉินเย่เงียบไป สายตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายอย่างเร่าร้อนขณะที่จ้องมองตู้เหล็กทั้งหมดที่เรียงรายกันอยู่อย่างเหม่อลอย โหลวชวนคิดว่าอีกฝ่ายตกตะลึงจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็น เขาหยิบแฟ้มคดีจากมือของฉินเย่และเก็บมันเข้าที่เดิม

“เขตไล่ล่าเป็นเพียงเหตุการณ์ทั่วไปที่เราพบเจอเท่านั้น แต่พวกมันก็ยังไม่ใช่ส่วนที่อันตรายมากที่สุด คุณควรเลือกคดีที่เหมาะสมที่สุดคดีหนึ่งมาเป็นตัวอย่างในการทำวิจัยของคุณ ทั้งหมดที่คุณต้องการล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว เหล่าผู้ที่ตรวจงานของคุณเองก็ทราบถึงข้อมูลอ้างอิงพวกนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุด ผู้ที่สามารถตรวจงานของคุณได้ก็ย่อมต้องมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเอกสารพวกนี้อยู่แล้ว”

เขาไล่มองไปตามตู้ทั้งหมดด้วยสายตาซับซ้อน “ผมเชื่อว่าทุกคดีที่อยู่ในตู้เหล่านี้…เพียงพอที่จะทิ้งร่องรอยที่ไม่สามารถลบออกได้ในใจของทุกคนที่ได้อ่านมัน”

เงียบ….

ไม่กี่วินาทีต่อมาฉินเย่ก็พยักหน้าช้า ๆ จากนั้นโหลวชวนก็หันหน้าไปทางชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลัง

“และทั้งหมดนี้ก็คือบันทึกของ ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน”

ฉินเย่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ คือตอนที่สำนักฝึกตนแห่งแรกได้เปิดตัวขึ้น ในขณะที่พวกเขาต่างกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มภาคการศึกษาแรก กระบี่เซวียหยวนคือสิ่งที่ถูกเก็บรักษาและส่งต่อโดยผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ ทุกราชวงศ์และยุคสมัยของจีนต่างมีกลุ่มองค์กรที่คล้ายกันนี้ดำรงอยู่ จนกระทั่งในช่วงปลายของราชวงศ์ชิง การเกิดใหม่ของมันเวลานี้ไม่ได้ใช้ชื่อผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์อีกแล้ว แต่กลับเป็นหน่วยสอบสวนพิเศษและศูนย์วิจัย SRC แทน

“พวกเขาสามารถถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเรา คุณจะเจอข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายในนี้ ใครจะรู้ บางสมมติฐานและการคาดเดาของพวกเขาอาจจะจุดประกายให้กับงานวิจัยของคุณก็ได้ ทำไม….คุณไม่ลองดูสักหน่อยล่ะว่าพวกเขาคือใครบ้าง?

โหลวชวนแย้มยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้า ฉินเย่มองอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองที่ชั้นบนสุดของชั้นหนังสือ เขาไม่ได้สนใจรายชื่อทั้งหมดอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงอ่านมันแบบผ่าน ๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องย้อนกลับไปอ่านชื่อ ๆ หนึ่งอีกครั้ง

หลิว จี…

“นี่มัน…” เขาเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “หลิว ปั๋วเวิน?!” [1]

หลิว ปั๋วเวินคือผู้ที่เป็นที่เคารพพอ ๆ กับจูกัดเหลียง เขาไม่คิดเลยว่าบุคคลที่น่าทึ่งเช่นนี้จะเป็นหนึ่งใน ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์!

“ถูกต้อง” โหลวชวนเอ่ย “ตอนที่ผมเห็นชื่อของเขาครั้งแรก ผมตกใจยิ่งกว่าคุณเสียอีก”

“หลิว จี หรือที่รู้จักกันในนามหลิว ปั๋วเวิน เขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดของจักรพรรดิหงอู่ และหลังจากที่ถึงแก่กรรมไป 9 ปี เขาก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นพระอัครมหาเสนาบดี…แต่ถ้าคุณลองคิดดี ๆ นอกจากบุคคลที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว…จะมีใครสมควรที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารคลังสมบัติของแผ่นดินจีนอีก?”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเขาจึงไล่ดูต่อ

และชื่อถัดมาที่เขาเห็นก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง

… เจ้าผู่![2]

“บ้าหน่า…” เขาเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง เจ้าผู่…ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัย มีบทบาทสำคัญในการยึดและรวมอำนาจของจักรพรรดิไทสึและจักรพรรดิไท่จง เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาถึงสามครั้ง และเขายังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบนักยุทธศาสตร์ยิ่งมีฝีมือมากที่สุดตลอดกาลของจีนอีกด้วย!

นอกจากนี้มันยังมีชื่อที่น่าตกตะลึงไม่แพ้กันอย่าง หลี่ฉุนเฟิง[3] หยวนเทียนกัง[4]…จิวยี่[5] เตียวเหลียง[6] กุ๋ยกู๋จื่อ[7] เจียงจื่อหยา[8]….

ไม่ว่าจะเป็นใคร คนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์จีน!

ใครจะไปคิดว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์? และพวกเขายังจดบันทึกถึงความลับอันดำมืดของจีน ตั้งแต่สมัยของตัวเองและส่งต่อมันมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ยนะ?!

ฉินเย่ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นของตนเองได้ เด็กหนุ่มรีบดึงหนึ่งในบันทึกออกมาและเอ่ยมันอย่างละเอียด

ข้อความทั้งหมดในนั้นได้รับการแปลและปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่เขากำลังอ่านอยู่ก็คือบันทึกที่มีชื่อเรื่องว่า “วิญญาณ: การเปลี่ยนแปลงของเวลาและวิวัฒนาการของวิญญาณ”

“…ในราชวงศ์ถังและราชวงศ์ฮั่น เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังนั้นมีให้ได้ยินอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งดูจะสลับขั้วกันไปหมด พวกเราไม่ค่อยได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อยเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อใดที่ได้ยิน พวกมันจะน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ…ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นผลมาจากการขยายขอบเขตอำนาจของยมโลก เมื่อสิบปีก่อน ข้าพเจ้านั้นมีวาสนาพอที่ได้พบกับ ยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยมทูตหัววัวหน้าม้า เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น เสื้อผ้าและอาวุธของพวกเขาไม่ได้ดูโบราณเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง ชุดพวกเขาดูดีกว่าพวกเขาในตอนนี้เสียอีก…”

“…ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงสรุปความได้ว่าความสามารถของยมโลกในการตรวจจับการมีอยู่ของวิญญาณร้ายนั้นเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา วิญญาณที่มีสติปัญญาจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวของยมโลก และการตัดสินใจแรกของพวกมันก็คือซ่อนตัวในเงามืดและหลบหนี ยื้อเวลาจนกว่าตนจะแข็งแกร่งพอที่จะปรากฏตัวขึ้นในแดนมนุษย์อีกครั้ง…”

กว่าที่ฉินเย่จะรู้ตัว เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้อ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้เรียนที่ดี แต่มันเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าฮัสกี้อย่างเขาไม่มีทางพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแดนมนุษย์เป็นอันขาด นี่คือความรู้พื้นฐานที่ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่างรู้ดี แต่อัจฉริยะอย่างเขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน

นอกจากนี้ ยิ่งเขาอ่านมันมากเท่าไหร่ มุมมองของเขาก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถพูดได้เลยว่าบันทึกของเจ้าผู่นั้นเชื่อมโยงกับหัวข้อวิจัยที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริง ทั้งเจ้าผู่และหลิวปั่วเวินต่างมีการคาดเดาของตนเองในเรื่องนี้ น่าเสียดาย ด้วยทัศนคติที่ปิดกั้นของจีนในเวลานั้น การเปิดพื้นที่หรือที่ยืนทางความคิดให้กับผู้คนในสังคมจึงไม่ได้รับความสนับสนุนมากนัก ไม่เช่นนั้นเขามั่นใจเลยว่าผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสองคงได้หารือเกี่ยวกันกับการวิวัฒนาการของวิญญาณอย่างละเอียดไปแล้ว

ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงดูเหมือนว่าจะมีการหยุดชะงักของสิ่งที่ถูกส่งต่อมายังหน่วยสอบสวนพิเศษ บันทึกสมัยราชวงศ์ชิงยังคงอยู่ในภาพที่สมบูรณ์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง บางส่วนของบันทึกก็ได้รับความเสียหายและไม่ต่อเนื่องในหลาย ๆ จุด จากนั้นเมื่อถึงในสมัยของราชวงศ์ซ่ง ถัง และฮั่น ความเสียหายของบันทึกก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเนื้อหาที่เหลืออยู่หลังจากนั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย

นี่หมายความว่าข้อสมมติฐานพวกนี้ เป็นเพียงการคาดเดาและข้อสรุปที่ไม่ได้รับการสนับสนุน มีหลายครั้งที่สมมติฐานหรือข้อสนับสนุนบางอย่างถูกเขียนไว้ในหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง แต่เมื่อเปิดหน้าถัดไปกลับเป็นการพูดถึงข้อสนับสนุนที่ใช้สนับสนุนสมมติฐานอื่น ๆ เสียแล้ว

ถึงกระนั้นฉินเย่ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หลังจากผ่านการเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วหลายครั้ง เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านการเขียนรายงานวิจัย เขารู้ดีว่ารายงานพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็วางบันทึกของผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์ซ่งลง และยืดหลังของตนพร้อมกับเอ่ยว่า “สรุปว่าทั้งหมดนี้ก็คือการรวบรวมวิทยานิพนธ์ จากตั้งแต่ราชวงศ์ต่าง ๆ ในอดีต…มันมีประโยชน์มาก ด้วยบันทึกและข้อสนับสนุนเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับสูงที่ถูกเก็บรักษาโดยศูนย์วิจัย SRC สินะ อย่างนี้การเขียนรายงานก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด….”

“อย่างไรก็ตาม การเรียบเรียงและสรุปเนื้อหาทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร ที่นี่มีหนังสือมากเกินไป เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะอ่านทั้งหมดจบ…”

มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกบันทึกพวกนี้ ในความเป็นจริง เขายินดีเป็นอย่างมากที่จะอ่านหนังสือทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขา วันนี้คือวันที่ 1 พฤษภาคม หากเขาไม่สามารถไปที่ตงไห่ได้ในปลายเดือนมิถุนายน ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็คงจะหลุดลอยไปจากมือเขาตลอดกาล

“ไม่…เรามีเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ เราจะต้องพิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการส่งเล่มวิจัย ตรวจ และตีพิมพ์อีก…จากนั้นก็ยังระยะเวลาที่แต่ละองค์กรอื่น ๆ จะตอบรับและส่งจดหมายเชิญมาให้ด้วย อย่างดีที่สุดเราก็มีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น…นั่นมันน้อยมาก” ฉินเย่คลึงขมับของตนและมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ของตน ตอนนี้เป็นเวลา 22.00 น.แล้ว

โหลวชวนได้เดินจากไปนานแล้ว มันเป็นวินาทีนั้นเองที่ฉินเย่เริ่มรู้สึกง่วงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ขอตัวและเปิดประตูเพื่อที่จะเดินออกไปด้านนอก

เมื่อเขาเดินออกมาและเหลือบมองไปยังชายสูงวัยหัวโล้น ดวงตาของฉินเย่ก็ต้องวูบไหวด้วยความตกตะลึง

ให้ตายเถอะ…ตกใจหมด…พอกันทีตาแก่! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมอุตส่าห์ชื่นชมคุณที่ขยันและตั้งใจทำประโยชน์ให้กับชาติแม้ว่าจะอายุมากแล้ว!

“คุณจะกลับแล้วหรือ?” ชายสูงวัยเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าจอ “เจ้าหนู หลายสิ่งในนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะอ้าปากค้างและเข้าใจมันได้ภายในหนึ่งวันหรอกนะ”

ฉินเย่พยักหน้า ใช่แล้ว เอกสารทั้งหมดนี้บันทึกเนื้อหาที่มอบมุมมองความคิดมากมายให้กับผู้อ่าน แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากรู้จักพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดจากมุมมองและบริบทของผู้เขียนด้วย ไม่เช่นนั้นความพยายามของเขาคงจะไร้ประโยชน์ และเขาก็คงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ดีพอจนนำไปปรับใช้ในรายงานของเขาเองได้

ขณะที่กำลังมองฉินเย่เดินจากไปพร้อมกับความคิดมากมายภายในหัว ทันใดนั้นชายสูงวัยก็เอ่ยขึ้น “ไม้ที่ผุแล้วไม่สามารถนำมาใช้แกะสลักได้…ผมขอถามอะไรคุณสักข้อนะ ผู้ช่วยของคุณอยู่ที่ไหน? คุณคิดจะเขียนเล่มวิจัยทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ? แล้วก็ตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์เนี่ยนะ? ไม่คิดว่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือไง? หรือว่าคุณกำลังดูถูกผู้ฝึกตนรายสัปดาห์อยู่กันแน่?”

ผู้ช่วย?

ในที่สุดฉินเย่ก็หลุดออกจากอาการมึนงงในวิทยานิพนธ์ของเขา เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่รัว และข่มแรงกระตุ้นที่จะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักที

ทุกวันนี้ ในมหาวิทยาลัย นักเรียนส่วนใหญ่จะเข้า Google และเข้าไปใน Google Scholar เพื่อหาวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษาที่เกี่ยวข้องจากคณะต่าง ๆ จ่ายเงิน คัดลอก วาง… ซ้ำไปซ้ำมา เอ่อ…เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ?

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญก็คือตอนนี้เขาเป็นอาจารย์แล้ว! อาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรกที่มีอำนาจมากมาย!

และนั่นแหละประเด็น

เขาจะไปเสียเวลาในนั้นทำไมทั้งวัน! เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยของเขาอ่านเนื้อหาทั้งหมดแทนก็ได้ไม่ใช่เหรอ? เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยจัดการเรื่องใบสมัครก็ได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงชอบพึ่งแต่ตัวเอง? หรือว่านี่เป็นผลมาจากการที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเท่าไรนัก?!

เขาหันกลับไปมองชายสูงวัยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับต้องการจะบอกว่า ทำไมคุณไม่ถามผมให้เร็วกว่านี้?!

ชายสูงวัยจ้องกลับ ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีอาจารย์ที่คิดว่าตัวเองไม่ต้องการผู้ช่วยในการทำวิจัย? อันที่จริง ผมคงนึกไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่เห็นว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดทั้งวัน!

อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันยังมีอาจารย์ที่โง่ขนาดนี้อยู่ได้ยังไง?

ก่อนหน้านี้ฉินเย่รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด แต่ทันทีที่ได้ยินคำแนะนำของชายชรา ทุกอย่างก็ดูชัดเจนขึ้นทันที

การเป็นผู้ช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยทั่วไปแล้วเล่มวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมดจะต้องมีผู้เขียนคนที่สอง หรือที่เรียกว่าผู้เขียนร่วมนั่นเอง

หากพูดกันตามจริง มันมีรายงานวิจัยบางเล่มที่ผู้เขียนร่วมและผู้เขียนหลักร่วมมือกันเขียน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแบ่งจำนวนคำที่เขียนออกมาอย่างเท่าเทียมกัน กลับกัน มันหมายความว่าทั้งสองต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ที่จะแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในบทความ

เพราะอย่างไรแล้ว มันย่อมต้องมีเสียงพูดและความคิดเห็นมากมายในระหว่างการทำวิจัยทั้งหมด และมันก็มักจะมีการหารือเกี่ยวกับความคิดต่าง ๆ ก่อนที่จะตั้งคำถามที่แน่นอน นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะฉลาดสักแค่ไหน คุณจะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งเล่มด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? การทดลอง? แล้วแหล่งข้อมูลหรือแม้แต่การจัดรูปหน้ากระดาษอีก?

หากเขาทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว เขาก็อาจจะไม่สามารถจบเล่มวิจัยได้ ต่อให้ใช้เวลาไปถึงปลายภาคการศึกษาหน้าก็ตาม!

นอกจากนี้ เขาก็ได้คะแนนนำในหมู่อาจารย์ด้วยกันอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ลองติดต่อสหายคนอื่น ๆ และยื่นมือช่วยใครนะที่ชื่อหลิน ๆ อะไรสักอย่าง กับซู่ ๆ อะไรสักอย่างที่ยังคะแนนตามอยู่ดูล่ะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2) ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อให้จิตใจตนเองสงบลง ตู้เหล็กมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้ความรู้สึกรับผิดชอบที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขาเอ่อล้นขึ้นมาทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากสัญญาณเตือนใด ๆ ทำให้ใจของเขารู้สึกขมขื่นอยู่สักพักใหญ่ เขารับแฟ้มคดีมาจากมือของโหลวชวยและเริ่มอ่านเนื้อหาของมัน “ปี 197X เหตุการณ์บ้านตระกูลเหมา นครฉู่อัน” “หมู่บ้านตระกูลเหมา เมืองช่วนโจว นครฉู่อันตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 500 เมตรและถูกก่อตั้งโดยชนเผ่าไทและฮั่น ตระกูลเหมาเป็นผู้นำหมู่บ้าน จำนวนประชากรทั้งหมดคือ 1,546 คน วันที่ 5 เมษายน 197X ช่วงกลางดึกของเทศกาลเชงเม้งเกิดฝนตกหนัก ศาลบรรพชนสว่างไสวด้วยไฟจากเทียนและธูปที่มีมานานกว่าหลายทศวรรษ แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกอย่างถูกดับไป ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลเหมาเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขากลับมาเยี่ยมพวกตน และทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงและสวดไหว้บรรพบุรุษของพวกเขา” “ในวันที่ 6 เมษายน เวลา 01.00 น. ใครบางคนรายงานว่าเขาได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น แต่การสืบสวนเผยว่าตระกูลเหมาได้หยุดการใช้ฆ้องในเวลากลางคืนมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว 02.00 น. อีกากว่าร้อยตัวบินฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำมาเกาะอยู่ที่ต้นไทรบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับเลือดที่ไหลไม่หยุด หัวหน้าหมู่บ้านเชื่อว่านี่เป็นลางบอกเหตุร้าย และเขารีบบอกชาวบ้านทุกคน ให้รีบออกจากหมู่บ้านทันที เวลา 03.00 น.ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพออกจากหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากคำของผู้รอดชีวิต พวกเขาได้ยินเสียงร้องของคนแบกเกี้ยวดังมาจากศาลบรรพชน” “7 เมษายน ตระกูลเหมาทั้งหมดหายไปโดยไร้ร่องรอย 8 เมษายน ในช่วงเช้าตรู่ของวัน ภาพที่น่าตกตะลึงถูกพบขึ้นในส่วนลึกของภูเขา ใบหน้าของคนทั้งหมดดูสงบ หัวหน้าหมู่บ้านคือผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้แต่สูญเสียสติ ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชชิงหลงซาน รายละเอียดการสืบสวนและรูปถ่ายจากที่เกิดเหตุ….” “…” ฉินเย่ตกตะลึง ขนบนร่างของเขาลุกชันไปหมดขณะที่ปิดแฟ้มคดี ภูตผีคลุ้มคลั่ง…นี่จะต้องเป็นฝีมือของภูตผีคลุ้มคลั่งแน่นอน! มันแตกต่างจากวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอย่างสิ้นเชิง! ภาพที่น่าตกตะลึงดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่น่าชมเลยสักนิด มัน…คือภาพของพีระมิดที่ทำมาจากศีรษะของมนุษย์! เป็นอย่างที่คิด…เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ มันยังมีภูตผีคลุ้มคลั่งตนอื่นอยู่ในจีน และทางรัฐบาลก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพื่อรักษาความสงบภายในชาติ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาความสงบมาได้กว่าหลายสิบปี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและอิทธิพลอันมากล้นของรัฐบาลได้อย่างดี! แต่มันยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดอย่างที่ทุกคนว่ากันอยู่หรือเปล่า? มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกกี่ครั้งแล้ว? เขามองไปยังแถวที่เรียงรายของตู้เหล็ก มณฑลจูเจียง มณฑลตงไห่ มณฑลเป่ยโจว มณฑลกวงอาน…มันเป็นเพียงตู้เหล็กที่ไร้ชีวิตและนิ่งสนิท แต่มันกลับทำให้ฉินเย่รู้สึกชื่นชมยายเมิ่งที่พยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืดเวลาของตนเองเพื่อมายังแดนมนุษย์ในเวลานั้น ยมโลกอยู่ไม่ได้หากปราศจากผู้นำ วัฏจักรแห่งสวรรค์ตั้งอยู่บนการดำรงอยู่ของทั้งหยินและหยาง ยมโลกและแดนมนุษย์ บางครั้ง การตระหนักถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกระตุ้นที่ดีมาก และมันก็อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึงที่สุด “ตกใจเลยใช่ไหม?” ฉินเย่เงียบไป สายตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายอย่างเร่าร้อนขณะที่จ้องมองตู้เหล็กทั้งหมดที่เรียงรายกันอยู่อย่างเหม่อลอย โหลวชวนคิดว่าอีกฝ่ายตกตะลึงจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็น เขาหยิบแฟ้มคดีจากมือของฉินเย่และเก็บมันเข้าที่เดิม “เขตไล่ล่าเป็นเพียงเหตุการณ์ทั่วไปที่เราพบเจอเท่านั้น แต่พวกมันก็ยังไม่ใช่ส่วนที่อันตรายมากที่สุด คุณควรเลือกคดีที่เหมาะสมที่สุดคดีหนึ่งมาเป็นตัวอย่างในการทำวิจัยของคุณ ทั้งหมดที่คุณต้องการล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว เหล่าผู้ที่ตรวจงานของคุณเองก็ทราบถึงข้อมูลอ้างอิงพวกนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุด ผู้ที่สามารถตรวจงานของคุณได้ก็ย่อมต้องมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเอกสารพวกนี้อยู่แล้ว” เขาไล่มองไปตามตู้ทั้งหมดด้วยสายตาซับซ้อน “ผมเชื่อว่าทุกคดีที่อยู่ในตู้เหล่านี้…เพียงพอที่จะทิ้งร่องรอยที่ไม่สามารถลบออกได้ในใจของทุกคนที่ได้อ่านมัน” เงียบ…. ไม่กี่วินาทีต่อมาฉินเย่ก็พยักหน้าช้า ๆ จากนั้นโหลวชวนก็หันหน้าไปทางชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลัง “และทั้งหมดนี้ก็คือบันทึกของ ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน” ฉินเย่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ คือตอนที่สำนักฝึกตนแห่งแรกได้เปิดตัวขึ้น ในขณะที่พวกเขาต่างกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มภาคการศึกษาแรก กระบี่เซวียหยวนคือสิ่งที่ถูกเก็บรักษาและส่งต่อโดยผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ ทุกราชวงศ์และยุคสมัยของจีนต่างมีกลุ่มองค์กรที่คล้ายกันนี้ดำรงอยู่ จนกระทั่งในช่วงปลายของราชวงศ์ชิง การเกิดใหม่ของมันเวลานี้ไม่ได้ใช้ชื่อผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์อีกแล้ว แต่กลับเป็นหน่วยสอบสวนพิเศษและศูนย์วิจัย SRC แทน “พวกเขาสามารถถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเรา คุณจะเจอข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายในนี้ ใครจะรู้ บางสมมติฐานและการคาดเดาของพวกเขาอาจจะจุดประกายให้กับงานวิจัยของคุณก็ได้ ทำไม….คุณไม่ลองดูสักหน่อยล่ะว่าพวกเขาคือใครบ้าง? โหลวชวนแย้มยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้า ฉินเย่มองอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองที่ชั้นบนสุดของชั้นหนังสือ เขาไม่ได้สนใจรายชื่อทั้งหมดอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงอ่านมันแบบผ่าน ๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องย้อนกลับไปอ่านชื่อ ๆ หนึ่งอีกครั้ง หลิว จี… “นี่มัน…” เขาเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “หลิว ปั๋วเวิน?!” [1] หลิว ปั๋วเวินคือผู้ที่เป็นที่เคารพพอ ๆ กับจูกัดเหลียง เขาไม่คิดเลยว่าบุคคลที่น่าทึ่งเช่นนี้จะเป็นหนึ่งใน ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์! “ถูกต้อง” โหลวชวนเอ่ย “ตอนที่ผมเห็นชื่อของเขาครั้งแรก ผมตกใจยิ่งกว่าคุณเสียอีก” “หลิว จี หรือที่รู้จักกันในนามหลิว ปั๋วเวิน เขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดของจักรพรรดิหงอู่ และหลังจากที่ถึงแก่กรรมไป 9 ปี เขาก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นพระอัครมหาเสนาบดี…แต่ถ้าคุณลองคิดดี ๆ นอกจากบุคคลที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว…จะมีใครสมควรที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารคลังสมบัติของแผ่นดินจีนอีก?” ฉินเย่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเขาจึงไล่ดูต่อ และชื่อถัดมาที่เขาเห็นก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง … เจ้าผู่![2] “บ้าหน่า…” เขาเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง เจ้าผู่…ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัย มีบทบาทสำคัญในการยึดและรวมอำนาจของจักรพรรดิไทสึและจักรพรรดิไท่จง เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาถึงสามครั้ง และเขายังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบนักยุทธศาสตร์ยิ่งมีฝีมือมากที่สุดตลอดกาลของจีนอีกด้วย! นอกจากนี้มันยังมีชื่อที่น่าตกตะลึงไม่แพ้กันอย่าง หลี่ฉุนเฟิง[3] หยวนเทียนกัง[4]…จิวยี่[5] เตียวเหลียง[6] กุ๋ยกู๋จื่อ[7] เจียงจื่อหยา[8]…. ไม่ว่าจะเป็นใคร คนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์จีน! ใครจะไปคิดว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์? และพวกเขายังจดบันทึกถึงความลับอันดำมืดของจีน ตั้งแต่สมัยของตัวเองและส่งต่อมันมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ยนะ?! ฉินเย่ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นของตนเองได้ เด็กหนุ่มรีบดึงหนึ่งในบันทึกออกมาและเอ่ยมันอย่างละเอียด ข้อความทั้งหมดในนั้นได้รับการแปลและปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่เขากำลังอ่านอยู่ก็คือบันทึกที่มีชื่อเรื่องว่า “วิญญาณ: การเปลี่ยนแปลงของเวลาและวิวัฒนาการของวิญญาณ” “…ในราชวงศ์ถังและราชวงศ์ฮั่น เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังนั้นมีให้ได้ยินอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งดูจะสลับขั้วกันไปหมด พวกเราไม่ค่อยได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อยเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อใดที่ได้ยิน พวกมันจะน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ…ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นผลมาจากการขยายขอบเขตอำนาจของยมโลก เมื่อสิบปีก่อน ข้าพเจ้านั้นมีวาสนาพอที่ได้พบกับ ยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยมทูตหัววัวหน้าม้า เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น เสื้อผ้าและอาวุธของพวกเขาไม่ได้ดูโบราณเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง ชุดพวกเขาดูดีกว่าพวกเขาในตอนนี้เสียอีก…” “…ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงสรุปความได้ว่าความสามารถของยมโลกในการตรวจจับการมีอยู่ของวิญญาณร้ายนั้นเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา วิญญาณที่มีสติปัญญาจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวของยมโลก และการตัดสินใจแรกของพวกมันก็คือซ่อนตัวในเงามืดและหลบหนี ยื้อเวลาจนกว่าตนจะแข็งแกร่งพอที่จะปรากฏตัวขึ้นในแดนมนุษย์อีกครั้ง…” กว่าที่ฉินเย่จะรู้ตัว เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้อ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้เรียนที่ดี แต่มันเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าฮัสกี้อย่างเขาไม่มีทางพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแดนมนุษย์เป็นอันขาด นี่คือความรู้พื้นฐานที่ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่างรู้ดี แต่อัจฉริยะอย่างเขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน นอกจากนี้ ยิ่งเขาอ่านมันมากเท่าไหร่ มุมมองของเขาก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถพูดได้เลยว่าบันทึกของเจ้าผู่นั้นเชื่อมโยงกับหัวข้อวิจัยที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริง ทั้งเจ้าผู่และหลิวปั่วเวินต่างมีการคาดเดาของตนเองในเรื่องนี้ น่าเสียดาย ด้วยทัศนคติที่ปิดกั้นของจีนในเวลานั้น การเปิดพื้นที่หรือที่ยืนทางความคิดให้กับผู้คนในสังคมจึงไม่ได้รับความสนับสนุนมากนัก ไม่เช่นนั้นเขามั่นใจเลยว่าผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสองคงได้หารือเกี่ยวกันกับการวิวัฒนาการของวิญญาณอย่างละเอียดไปแล้ว ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงดูเหมือนว่าจะมีการหยุดชะงักของสิ่งที่ถูกส่งต่อมายังหน่วยสอบสวนพิเศษ บันทึกสมัยราชวงศ์ชิงยังคงอยู่ในภาพที่สมบูรณ์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง บางส่วนของบันทึกก็ได้รับความเสียหายและไม่ต่อเนื่องในหลาย ๆ จุด จากนั้นเมื่อถึงในสมัยของราชวงศ์ซ่ง ถัง และฮั่น ความเสียหายของบันทึกก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเนื้อหาที่เหลืออยู่หลังจากนั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย นี่หมายความว่าข้อสมมติฐานพวกนี้ เป็นเพียงการคาดเดาและข้อสรุปที่ไม่ได้รับการสนับสนุน มีหลายครั้งที่สมมติฐานหรือข้อสนับสนุนบางอย่างถูกเขียนไว้ในหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง แต่เมื่อเปิดหน้าถัดไปกลับเป็นการพูดถึงข้อสนับสนุนที่ใช้สนับสนุนสมมติฐานอื่น ๆ เสียแล้ว ถึงกระนั้นฉินเย่ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หลังจากผ่านการเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วหลายครั้ง เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านการเขียนรายงานวิจัย เขารู้ดีว่ารายงานพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็วางบันทึกของผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์ซ่งลง และยืดหลังของตนพร้อมกับเอ่ยว่า “สรุปว่าทั้งหมดนี้ก็คือการรวบรวมวิทยานิพนธ์ จากตั้งแต่ราชวงศ์ต่าง ๆ ในอดีต…มันมีประโยชน์มาก ด้วยบันทึกและข้อสนับสนุนเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับสูงที่ถูกเก็บรักษาโดยศูนย์วิจัย SRC สินะ อย่างนี้การเขียนรายงานก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด….” “อย่างไรก็ตาม การเรียบเรียงและสรุปเนื้อหาทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร ที่นี่มีหนังสือมากเกินไป เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะอ่านทั้งหมดจบ…” มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกบันทึกพวกนี้ ในความเป็นจริง เขายินดีเป็นอย่างมากที่จะอ่านหนังสือทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขา วันนี้คือวันที่ 1 พฤษภาคม หากเขาไม่สามารถไปที่ตงไห่ได้ในปลายเดือนมิถุนายน ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็คงจะหลุดลอยไปจากมือเขาตลอดกาล “ไม่…เรามีเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ เราจะต้องพิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการส่งเล่มวิจัย ตรวจ และตีพิมพ์อีก…จากนั้นก็ยังระยะเวลาที่แต่ละองค์กรอื่น ๆ จะตอบรับและส่งจดหมายเชิญมาให้ด้วย อย่างดีที่สุดเราก็มีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น…นั่นมันน้อยมาก” ฉินเย่คลึงขมับของตนและมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ของตน ตอนนี้เป็นเวลา 22.00 น.แล้ว โหลวชวนได้เดินจากไปนานแล้ว มันเป็นวินาทีนั้นเองที่ฉินเย่เริ่มรู้สึกง่วงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ขอตัวและเปิดประตูเพื่อที่จะเดินออกไปด้านนอก เมื่อเขาเดินออกมาและเหลือบมองไปยังชายสูงวัยหัวโล้น ดวงตาของฉินเย่ก็ต้องวูบไหวด้วยความตกตะลึง ให้ตายเถอะ…ตกใจหมด…พอกันทีตาแก่! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมอุตส่าห์ชื่นชมคุณที่ขยันและตั้งใจทำประโยชน์ให้กับชาติแม้ว่าจะอายุมากแล้ว! “คุณจะกลับแล้วหรือ?” ชายสูงวัยเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าจอ “เจ้าหนู หลายสิ่งในนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะอ้าปากค้างและเข้าใจมันได้ภายในหนึ่งวันหรอกนะ” ฉินเย่พยักหน้า ใช่แล้ว เอกสารทั้งหมดนี้บันทึกเนื้อหาที่มอบมุมมองความคิดมากมายให้กับผู้อ่าน แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากรู้จักพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดจากมุมมองและบริบทของผู้เขียนด้วย ไม่เช่นนั้นความพยายามของเขาคงจะไร้ประโยชน์ และเขาก็คงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ดีพอจนนำไปปรับใช้ในรายงานของเขาเองได้ ขณะที่กำลังมองฉินเย่เดินจากไปพร้อมกับความคิดมากมายภายในหัว ทันใดนั้นชายสูงวัยก็เอ่ยขึ้น “ไม้ที่ผุแล้วไม่สามารถนำมาใช้แกะสลักได้…ผมขอถามอะไรคุณสักข้อนะ ผู้ช่วยของคุณอยู่ที่ไหน? คุณคิดจะเขียนเล่มวิจัยทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ? แล้วก็ตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์เนี่ยนะ? ไม่คิดว่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือไง? หรือว่าคุณกำลังดูถูกผู้ฝึกตนรายสัปดาห์อยู่กันแน่?” ผู้ช่วย? ในที่สุดฉินเย่ก็หลุดออกจากอาการมึนงงในวิทยานิพนธ์ของเขา เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่รัว และข่มแรงกระตุ้นที่จะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักที ทุกวันนี้ ในมหาวิทยาลัย นักเรียนส่วนใหญ่จะเข้า Google และเข้าไปใน Google Scholar เพื่อหาวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษาที่เกี่ยวข้องจากคณะต่าง ๆ จ่ายเงิน คัดลอก วาง… ซ้ำไปซ้ำมา เอ่อ…เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ? แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญก็คือตอนนี้เขาเป็นอาจารย์แล้ว! อาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรกที่มีอำนาจมากมาย! และนั่นแหละประเด็น เขาจะไปเสียเวลาในนั้นทำไมทั้งวัน! เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยของเขาอ่านเนื้อหาทั้งหมดแทนก็ได้ไม่ใช่เหรอ? เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยจัดการเรื่องใบสมัครก็ได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงชอบพึ่งแต่ตัวเอง? หรือว่านี่เป็นผลมาจากการที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเท่าไรนัก?! เขาหันกลับไปมองชายสูงวัยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับต้องการจะบอกว่า ทำไมคุณไม่ถามผมให้เร็วกว่านี้?! ชายสูงวัยจ้องกลับ ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีอาจารย์ที่คิดว่าตัวเองไม่ต้องการผู้ช่วยในการทำวิจัย? อันที่จริง ผมคงนึกไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่เห็นว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดทั้งวัน! อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันยังมีอาจารย์ที่โง่ขนาดนี้อยู่ได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ฉินเย่รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด แต่ทันทีที่ได้ยินคำแนะนำของชายชรา ทุกอย่างก็ดูชัดเจนขึ้นทันที การเป็นผู้ช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยทั่วไปแล้วเล่มวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมดจะต้องมีผู้เขียนคนที่สอง หรือที่เรียกว่าผู้เขียนร่วมนั่นเอง หากพูดกันตามจริง มันมีรายงานวิจัยบางเล่มที่ผู้เขียนร่วมและผู้เขียนหลักร่วมมือกันเขียน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแบ่งจำนวนคำที่เขียนออกมาอย่างเท่าเทียมกัน กลับกัน มันหมายความว่าทั้งสองต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ที่จะแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในบทความ เพราะอย่างไรแล้ว มันย่อมต้องมีเสียงพูดและความคิดเห็นมากมายในระหว่างการทำวิจัยทั้งหมด และมันก็มักจะมีการหารือเกี่ยวกับความคิดต่าง ๆ ก่อนที่จะตั้งคำถามที่แน่นอน นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะฉลาดสักแค่ไหน คุณจะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งเล่มด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? การทดลอง? แล้วแหล่งข้อมูลหรือแม้แต่การจัดรูปหน้ากระดาษอีก? หากเขาทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว เขาก็อาจจะไม่สามารถจบเล่มวิจัยได้ ต่อให้ใช้เวลาไปถึงปลายภาคการศึกษาหน้าก็ตาม! นอกจากนี้ เขาก็ได้คะแนนนำในหมู่อาจารย์ด้วยกันอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ลองติดต่อสหายคนอื่น ๆ และยื่นมือช่วยใครนะที่ชื่อหลิน ๆ อะไรสักอย่าง กับซู่ ๆ อะไรสักอย่างที่ยังคะแนนตามอยู่ดูล่ะ?

บทที่ 208: ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ (2)

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อให้จิตใจตนเองสงบลง

ตู้เหล็กมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของเขา ทำให้ความรู้สึกรับผิดชอบที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขาเอ่อล้นขึ้นมาทันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปราศจากสัญญาณเตือนใด ๆ ทำให้ใจของเขารู้สึกขมขื่นอยู่สักพักใหญ่

เขารับแฟ้มคดีมาจากมือของโหลวชวยและเริ่มอ่านเนื้อหาของมัน

“ปี 197X เหตุการณ์บ้านตระกูลเหมา นครฉู่อัน”

“หมู่บ้านตระกูลเหมา เมืองช่วนโจว นครฉู่อันตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 500 เมตรและถูกก่อตั้งโดยชนเผ่าไทและฮั่น ตระกูลเหมาเป็นผู้นำหมู่บ้าน จำนวนประชากรทั้งหมดคือ 1,546 คน วันที่ 5 เมษายน 197X ช่วงกลางดึกของเทศกาลเชงเม้งเกิดฝนตกหนัก ศาลบรรพชนสว่างไสวด้วยไฟจากเทียนและธูปที่มีมานานกว่าหลายทศวรรษ แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนตรง ทุกอย่างถูกดับไป ผู้คนในหมู่บ้านตระกูลเหมาเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขากลับมาเยี่ยมพวกตน และทั้งหมดต่างก็คุกเข่าลงและสวดไหว้บรรพบุรุษของพวกเขา”

“ในวันที่ 6 เมษายน เวลา 01.00 น. ใครบางคนรายงานว่าเขาได้ยินเสียงฆ้องดังขึ้น แต่การสืบสวนเผยว่าตระกูลเหมาได้หยุดการใช้ฆ้องในเวลากลางคืนมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว 02.00 น. อีกากว่าร้อยตัวบินฝ่าสายฝนที่ตกกระหน่ำมาเกาะอยู่ที่ต้นไทรบริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านพร้อมกับเลือดที่ไหลไม่หยุด หัวหน้าหมู่บ้านเชื่อว่านี่เป็นลางบอกเหตุร้าย และเขารีบบอกชาวบ้านทุกคน ให้รีบออกจากหมู่บ้านทันที เวลา 03.00 น.ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพออกจากหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากคำของผู้รอดชีวิต พวกเขาได้ยินเสียงร้องของคนแบกเกี้ยวดังมาจากศาลบรรพชน”

“7 เมษายน ตระกูลเหมาทั้งหมดหายไปโดยไร้ร่องรอย 8 เมษายน ในช่วงเช้าตรู่ของวัน ภาพที่น่าตกตะลึงถูกพบขึ้นในส่วนลึกของภูเขา ใบหน้าของคนทั้งหมดดูสงบ หัวหน้าหมู่บ้านคือผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้แต่สูญเสียสติ ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชชิงหลงซาน รายละเอียดการสืบสวนและรูปถ่ายจากที่เกิดเหตุ….”

“…” ฉินเย่ตกตะลึง ขนบนร่างของเขาลุกชันไปหมดขณะที่ปิดแฟ้มคดี

ภูตผีคลุ้มคลั่ง…นี่จะต้องเป็นฝีมือของภูตผีคลุ้มคลั่งแน่นอน! มันแตกต่างจากวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณอย่างสิ้นเชิง!

ภาพที่น่าตกตะลึงดังกล่าวไม่ใช่ภาพที่น่าชมเลยสักนิด มัน…คือภาพของพีระมิดที่ทำมาจากศีรษะของมนุษย์!

เป็นอย่างที่คิด…เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ มันยังมีภูตผีคลุ้มคลั่งตนอื่นอยู่ในจีน และทางรัฐบาลก็ปิดบังเรื่องนี้เอาไว้เพื่อรักษาความสงบภายในชาติ ข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาความสงบมาได้กว่าหลายสิบปี แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและอิทธิพลอันมากล้นของรัฐบาลได้อย่างดี! แต่มันยังเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดอย่างที่ทุกคนว่ากันอยู่หรือเปล่า?

มันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกกี่ครั้งแล้ว?

เขามองไปยังแถวที่เรียงรายของตู้เหล็ก มณฑลจูเจียง มณฑลตงไห่ มณฑลเป่ยโจว มณฑลกวงอาน…มันเป็นเพียงตู้เหล็กที่ไร้ชีวิตและนิ่งสนิท แต่มันกลับทำให้ฉินเย่รู้สึกชื่นชมยายเมิ่งที่พยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะยืดเวลาของตนเองเพื่อมายังแดนมนุษย์ในเวลานั้น

ยมโลกอยู่ไม่ได้หากปราศจากผู้นำ

วัฏจักรแห่งสวรรค์ตั้งอยู่บนการดำรงอยู่ของทั้งหยินและหยาง ยมโลกและแดนมนุษย์

บางครั้ง การตระหนักถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกระตุ้นที่ดีมาก และมันก็อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คาดไม่ถึงที่สุด

“ตกใจเลยใช่ไหม?” ฉินเย่เงียบไป สายตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายอย่างเร่าร้อนขณะที่จ้องมองตู้เหล็กทั้งหมดที่เรียงรายกันอยู่อย่างเหม่อลอย โหลวชวนคิดว่าอีกฝ่ายตกตะลึงจากสิ่งที่เพิ่งได้เห็น เขาหยิบแฟ้มคดีจากมือของฉินเย่และเก็บมันเข้าที่เดิม

“เขตไล่ล่าเป็นเพียงเหตุการณ์ทั่วไปที่เราพบเจอเท่านั้น แต่พวกมันก็ยังไม่ใช่ส่วนที่อันตรายมากที่สุด คุณควรเลือกคดีที่เหมาะสมที่สุดคดีหนึ่งมาเป็นตัวอย่างในการทำวิจัยของคุณ ทั้งหมดที่คุณต้องการล้วนอยู่ในนี้หมดแล้ว เหล่าผู้ที่ตรวจงานของคุณเองก็ทราบถึงข้อมูลอ้างอิงพวกนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุด ผู้ที่สามารถตรวจงานของคุณได้ก็ย่อมต้องมีสิทธิ์ในการเข้าถึงเอกสารพวกนี้อยู่แล้ว”

เขาไล่มองไปตามตู้ทั้งหมดด้วยสายตาซับซ้อน “ผมเชื่อว่าทุกคดีที่อยู่ในตู้เหล่านี้…เพียงพอที่จะทิ้งร่องรอยที่ไม่สามารถลบออกได้ในใจของทุกคนที่ได้อ่านมัน”

เงียบ….

ไม่กี่วินาทีต่อมาฉินเย่ก็พยักหน้าช้า ๆ จากนั้นโหลวชวนก็หันหน้าไปทางชั้นหนังสือที่อยู่ด้านหลัง

“และทั้งหมดนี้ก็คือบันทึกของ ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ตั้งแต่เมื่อพันปีก่อน”

ฉินเย่จำได้ว่าครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้ คือตอนที่สำนักฝึกตนแห่งแรกได้เปิดตัวขึ้น ในขณะที่พวกเขาต่างกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มภาคการศึกษาแรก กระบี่เซวียหยวนคือสิ่งที่ถูกเก็บรักษาและส่งต่อโดยผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ ทุกราชวงศ์และยุคสมัยของจีนต่างมีกลุ่มองค์กรที่คล้ายกันนี้ดำรงอยู่ จนกระทั่งในช่วงปลายของราชวงศ์ชิง การเกิดใหม่ของมันเวลานี้ไม่ได้ใช้ชื่อผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์อีกแล้ว แต่กลับเป็นหน่วยสอบสวนพิเศษและศูนย์วิจัย SRC แทน

“พวกเขาสามารถถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของเรา คุณจะเจอข้อมูลที่มีประโยชน์มากมายในนี้ ใครจะรู้ บางสมมติฐานและการคาดเดาของพวกเขาอาจจะจุดประกายให้กับงานวิจัยของคุณก็ได้ ทำไม….คุณไม่ลองดูสักหน่อยล่ะว่าพวกเขาคือใครบ้าง?

โหลวชวนแย้มยิ้มแปลกประหลาดบนใบหน้า ฉินเย่มองอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองที่ชั้นบนสุดของชั้นหนังสือ เขาไม่ได้สนใจรายชื่อทั้งหมดอย่างละเอียด ดังนั้นเขาจึงอ่านมันแบบผ่าน ๆ ทว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องย้อนกลับไปอ่านชื่อ ๆ หนึ่งอีกครั้ง

หลิว จี…

“นี่มัน…” เขาเอ่ยออกมาอย่างเหลือเชื่อ “หลิว ปั๋วเวิน?!” [1]

หลิว ปั๋วเวินคือผู้ที่เป็นที่เคารพพอ ๆ กับจูกัดเหลียง เขาไม่คิดเลยว่าบุคคลที่น่าทึ่งเช่นนี้จะเป็นหนึ่งใน ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์!

“ถูกต้อง” โหลวชวนเอ่ย “ตอนที่ผมเห็นชื่อของเขาครั้งแรก ผมตกใจยิ่งกว่าคุณเสียอีก”

“หลิว จี หรือที่รู้จักกันในนามหลิว ปั๋วเวิน เขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดของจักรพรรดิหงอู่ และหลังจากที่ถึงแก่กรรมไป 9 ปี เขาก็ได้รับพระราชทานยศให้เป็นพระอัครมหาเสนาบดี…แต่ถ้าคุณลองคิดดี ๆ นอกจากบุคคลที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้แล้ว…จะมีใครสมควรที่จะมีส่วนร่วมในการบริหารคลังสมบัติของแผ่นดินจีนอีก?”

ฉินเย่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเขาจึงไล่ดูต่อ

และชื่อถัดมาที่เขาเห็นก็ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างอย่างตกตะลึงอีกครั้ง

… เจ้าผู่![2]

“บ้าหน่า…” เขาเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง เจ้าผู่…ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในยุคสมัย มีบทบาทสำคัญในการยึดและรวมอำนาจของจักรพรรดิไทสึและจักรพรรดิไท่จง เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาถึงสามครั้ง และเขายังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบนักยุทธศาสตร์ยิ่งมีฝีมือมากที่สุดตลอดกาลของจีนอีกด้วย!

นอกจากนี้มันยังมีชื่อที่น่าตกตะลึงไม่แพ้กันอย่าง หลี่ฉุนเฟิง[3] หยวนเทียนกัง[4]…จิวยี่[5] เตียวเหลียง[6] กุ๋ยกู๋จื่อ[7] เจียงจื่อหยา[8]….

ไม่ว่าจะเป็นใคร คนพวกนี้ล้วนเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในประวัติศาสตร์จีน!

ใครจะไปคิดว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์? และพวกเขายังจดบันทึกถึงความลับอันดำมืดของจีน ตั้งแต่สมัยของตัวเองและส่งต่อมันมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ยนะ?!

ฉินเย่ไม่สามารถต้านทานแรงกระตุ้นของตนเองได้ เด็กหนุ่มรีบดึงหนึ่งในบันทึกออกมาและเอ่ยมันอย่างละเอียด

ข้อความทั้งหมดในนั้นได้รับการแปลและปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่เขากำลังอ่านอยู่ก็คือบันทึกที่มีชื่อเรื่องว่า “วิญญาณ: การเปลี่ยนแปลงของเวลาและวิวัฒนาการของวิญญาณ”

“…ในราชวงศ์ถังและราชวงศ์ฮั่น เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาตที่ทรงพลังนั้นมีให้ได้ยินอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งดูจะสลับขั้วกันไปหมด พวกเราไม่ค่อยได้ยินเรื่องพวกนี้บ่อยเหมือนแต่ก่อน แต่เมื่อใดที่ได้ยิน พวกมันจะน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ…ข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นผลมาจากการขยายขอบเขตอำนาจของยมโลก เมื่อสิบปีก่อน ข้าพเจ้านั้นมีวาสนาพอที่ได้พบกับ ยมทูตขั้นนักล่าวิญญาณที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับยมทูตหัววัวหน้าม้า เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนั้น เสื้อผ้าและอาวุธของพวกเขาไม่ได้ดูโบราณเลยแม้แต่น้อย ในความเป็นจริง ชุดพวกเขาดูดีกว่าพวกเขาในตอนนี้เสียอีก…”

“…ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงสรุปความได้ว่าความสามารถของยมโลกในการตรวจจับการมีอยู่ของวิญญาณร้ายนั้นเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา วิญญาณที่มีสติปัญญาจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวของยมโลก และการตัดสินใจแรกของพวกมันก็คือซ่อนตัวในเงามืดและหลบหนี ยื้อเวลาจนกว่าตนจะแข็งแกร่งพอที่จะปรากฏตัวขึ้นในแดนมนุษย์อีกครั้ง…”

กว่าที่ฉินเย่จะรู้ตัว เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเพิ่งได้อ่านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นผู้เรียนที่ดี แต่มันเป็นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่าฮัสกี้อย่างเขาไม่มีทางพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแดนมนุษย์เป็นอันขาด นี่คือความรู้พื้นฐานที่ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ต่างรู้ดี แต่อัจฉริยะอย่างเขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน

นอกจากนี้ ยิ่งเขาอ่านมันมากเท่าไหร่ มุมมองของเขาก็ยิ่งกว้างมากขึ้นเท่านั้น มันสามารถพูดได้เลยว่าบันทึกของเจ้าผู่นั้นเชื่อมโยงกับหัวข้อวิจัยที่เขากำลังสนใจอยู่ตอนนี้อย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริง ทั้งเจ้าผู่และหลิวปั่วเวินต่างมีการคาดเดาของตนเองในเรื่องนี้ น่าเสียดาย ด้วยทัศนคติที่ปิดกั้นของจีนในเวลานั้น การเปิดพื้นที่หรือที่ยืนทางความคิดให้กับผู้คนในสังคมจึงไม่ได้รับความสนับสนุนมากนัก ไม่เช่นนั้นเขามั่นใจเลยว่าผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์หมิงทั้งสองคงได้หารือเกี่ยวกันกับการวิวัฒนาการของวิญญาณอย่างละเอียดไปแล้ว

ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงดูเหมือนว่าจะมีการหยุดชะงักของสิ่งที่ถูกส่งต่อมายังหน่วยสอบสวนพิเศษ บันทึกสมัยราชวงศ์ชิงยังคงอยู่ในภาพที่สมบูรณ์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง บางส่วนของบันทึกก็ได้รับความเสียหายและไม่ต่อเนื่องในหลาย ๆ จุด จากนั้นเมื่อถึงในสมัยของราชวงศ์ซ่ง ถัง และฮั่น ความเสียหายของบันทึกก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเนื้อหาที่เหลืออยู่หลังจากนั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย

นี่หมายความว่าข้อสมมติฐานพวกนี้ เป็นเพียงการคาดเดาและข้อสรุปที่ไม่ได้รับการสนับสนุน มีหลายครั้งที่สมมติฐานหรือข้อสนับสนุนบางอย่างถูกเขียนไว้ในหน้ากระดาษหน้าหนึ่ง แต่เมื่อเปิดหน้าถัดไปกลับเป็นการพูดถึงข้อสนับสนุนที่ใช้สนับสนุนสมมติฐานอื่น ๆ เสียแล้ว

ถึงกระนั้นฉินเย่ก็ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดแต่อย่างใด หลังจากผ่านการเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วหลายครั้ง เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในด้านการเขียนรายงานวิจัย เขารู้ดีว่ารายงานพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะทำให้สำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่ เขาก็วางบันทึกของผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ในสมัยราชวงศ์ซ่งลง และยืดหลังของตนพร้อมกับเอ่ยว่า “สรุปว่าทั้งหมดนี้ก็คือการรวบรวมวิทยานิพนธ์ จากตั้งแต่ราชวงศ์ต่าง ๆ ในอดีต…มันมีประโยชน์มาก ด้วยบันทึกและข้อสนับสนุนเกี่ยวกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับสูงที่ถูกเก็บรักษาโดยศูนย์วิจัย SRC สินะ อย่างนี้การเขียนรายงานก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด….”

“อย่างไรก็ตาม การเรียบเรียงและสรุปเนื้อหาทั้งหมดนี้ ก็ยังเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากอยู่พอสมควร ที่นี่มีหนังสือมากเกินไป เราต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะอ่านทั้งหมดจบ…”

มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกบันทึกพวกนี้ ในความเป็นจริง เขายินดีเป็นอย่างมากที่จะอ่านหนังสือทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เวลาไม่ได้อยู่ข้างเขา วันนี้คือวันที่ 1 พฤษภาคม หากเขาไม่สามารถไปที่ตงไห่ได้ในปลายเดือนมิถุนายน ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็คงจะหลุดลอยไปจากมือเขาตลอดกาล

“ไม่…เรามีเวลาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ เราจะต้องพิจารณาถึงระยะเวลาที่ใช้ในการส่งเล่มวิจัย ตรวจ และตีพิมพ์อีก…จากนั้นก็ยังระยะเวลาที่แต่ละองค์กรอื่น ๆ จะตอบรับและส่งจดหมายเชิญมาให้ด้วย อย่างดีที่สุดเราก็มีเวลาแค่เดือนเดียวเท่านั้น…นั่นมันน้อยมาก” ฉินเย่คลึงขมับของตนและมองเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์ของตน ตอนนี้เป็นเวลา 22.00 น.แล้ว

โหลวชวนได้เดินจากไปนานแล้ว มันเป็นวินาทีนั้นเองที่ฉินเย่เริ่มรู้สึกง่วงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ขอตัวและเปิดประตูเพื่อที่จะเดินออกไปด้านนอก

เมื่อเขาเดินออกมาและเหลือบมองไปยังชายสูงวัยหัวโล้น ดวงตาของฉินเย่ก็ต้องวูบไหวด้วยความตกตะลึง

ให้ตายเถอะ…ตกใจหมด…พอกันทีตาแก่! ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมอุตส่าห์ชื่นชมคุณที่ขยันและตั้งใจทำประโยชน์ให้กับชาติแม้ว่าจะอายุมากแล้ว!

“คุณจะกลับแล้วหรือ?” ชายสูงวัยเอ่ยถามโดยไม่แม้แต่จะละสายตาจากหน้าจอ “เจ้าหนู หลายสิ่งในนี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะอ้าปากค้างและเข้าใจมันได้ภายในหนึ่งวันหรอกนะ”

ฉินเย่พยักหน้า ใช่แล้ว เอกสารทั้งหมดนี้บันทึกเนื้อหาที่มอบมุมมองความคิดมากมายให้กับผู้อ่าน แต่มันจะเป็นการดีกว่าหากรู้จักพิจารณาเนื้อหาทั้งหมดจากมุมมองและบริบทของผู้เขียนด้วย ไม่เช่นนั้นความพยายามของเขาคงจะไร้ประโยชน์ และเขาก็คงไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ดีพอจนนำไปปรับใช้ในรายงานของเขาเองได้

ขณะที่กำลังมองฉินเย่เดินจากไปพร้อมกับความคิดมากมายภายในหัว ทันใดนั้นชายสูงวัยก็เอ่ยขึ้น “ไม้ที่ผุแล้วไม่สามารถนำมาใช้แกะสลักได้…ผมขอถามอะไรคุณสักข้อนะ ผู้ช่วยของคุณอยู่ที่ไหน? คุณคิดจะเขียนเล่มวิจัยทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวอย่างนั้นหรือ? แล้วก็ตีพิมพ์ลงบนผู้ฝึกตนรายสัปดาห์เนี่ยนะ? ไม่คิดว่าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือไง? หรือว่าคุณกำลังดูถูกผู้ฝึกตนรายสัปดาห์อยู่กันแน่?”

ผู้ช่วย?

ในที่สุดฉินเย่ก็หลุดออกจากอาการมึนงงในวิทยานิพนธ์ของเขา เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่รัว และข่มแรงกระตุ้นที่จะตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักที

ทุกวันนี้ ในมหาวิทยาลัย นักเรียนส่วนใหญ่จะเข้า Google และเข้าไปใน Google Scholar เพื่อหาวิทยานิพนธ์ระดับบัณฑิตศึกษาที่เกี่ยวข้องจากคณะต่าง ๆ จ่ายเงิน คัดลอก วาง… ซ้ำไปซ้ำมา เอ่อ…เหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องนะ?

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น สิ่งสำคัญก็คือตอนนี้เขาเป็นอาจารย์แล้ว! อาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรกที่มีอำนาจมากมาย!

และนั่นแหละประเด็น

เขาจะไปเสียเวลาในนั้นทำไมทั้งวัน! เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยของเขาอ่านเนื้อหาทั้งหมดแทนก็ได้ไม่ใช่เหรอ? เขาสามารถบอกให้ผู้ช่วยจัดการเรื่องใบสมัครก็ได้ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงชอบพึ่งแต่ตัวเอง? หรือว่านี่เป็นผลมาจากการที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนเท่าไรนัก?!

เขาหันกลับไปมองชายสูงวัยอย่างไม่พอใจเล็กน้อย ราวกับต้องการจะบอกว่า ทำไมคุณไม่ถามผมให้เร็วกว่านี้?!

ชายสูงวัยจ้องกลับ ผมจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจะมีอาจารย์ที่คิดว่าตัวเองไม่ต้องการผู้ช่วยในการทำวิจัย? อันที่จริง ผมคงนึกไม่ได้ด้วยซ้ำหากไม่เห็นว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวมาตลอดทั้งวัน!

อีกความหมายหนึ่งก็คือ มันยังมีอาจารย์ที่โง่ขนาดนี้อยู่ได้ยังไง?

ก่อนหน้านี้ฉินเย่รู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด แต่ทันทีที่ได้ยินคำแนะนำของชายชรา ทุกอย่างก็ดูชัดเจนขึ้นทันที

การเป็นผู้ช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ โดยทั่วไปแล้วเล่มวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งหมดจะต้องมีผู้เขียนคนที่สอง หรือที่เรียกว่าผู้เขียนร่วมนั่นเอง

หากพูดกันตามจริง มันมีรายงานวิจัยบางเล่มที่ผู้เขียนร่วมและผู้เขียนหลักร่วมมือกันเขียน แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแบ่งจำนวนคำที่เขียนออกมาอย่างเท่าเทียมกัน กลับกัน มันหมายความว่าทั้งสองต่างมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ที่จะแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในบทความ

เพราะอย่างไรแล้ว มันย่อมต้องมีเสียงพูดและความคิดเห็นมากมายในระหว่างการทำวิจัยทั้งหมด และมันก็มักจะมีการหารือเกี่ยวกับความคิดต่าง ๆ ก่อนที่จะตั้งคำถามที่แน่นอน นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะฉลาดสักแค่ไหน คุณจะสามารถเขียนวิทยานิพนธ์ทั้งเล่มด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร? การทดลอง? แล้วแหล่งข้อมูลหรือแม้แต่การจัดรูปหน้ากระดาษอีก?

หากเขาทำทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว เขาก็อาจจะไม่สามารถจบเล่มวิจัยได้ ต่อให้ใช้เวลาไปถึงปลายภาคการศึกษาหน้าก็ตาม!

นอกจากนี้ เขาก็ได้คะแนนนำในหมู่อาจารย์ด้วยกันอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ลองติดต่อสหายคนอื่น ๆ และยื่นมือช่วยใครนะที่ชื่อหลิน ๆ อะไรสักอย่าง กับซู่ ๆ อะไรสักอย่างที่ยังคะแนนตามอยู่ดูล่ะ?

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+