ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 92: ประกายความหวังอันริบหรี่ (1)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 92: ประกายความหวังอันริบหรี่ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 92: ประกายความหวังอันริบหรี่ (1)

ฉินเย่พักกระบี่ของตนไว้บนไหล่และมองไปที่ทางเดินด้านนอกที่ปกคลุมไปด้วยเงาดำมืดด้วยสายตาเย็นยะเยือก

ตึก…ตึก…เสียงดังกล่าวดังก้องไปทั่วอาคารหอพักที่ว่างเปล่าขณะที่มันขยับเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งนาที มืดซีดขาวก็สัมผัสเข้ากับบานประตูและผลักมันเบา ๆ

“ซี่~… แผล็บ! ซี่…” เสียงที่น่าขนลุกดังขึ้นอย่างไม่ปะติดปะต่อ ราวกับมีตัวอะไรบางอย่างกำลังเลียสมองของคนคนหนึ่งด้วยลิ้นสีแดงเข้ม

จากนั้น ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่อีกครั้ง ฉินเย่กระชับมือที่จับด้ามกระบี่แน่นกว่าเดิม

ในเสี้ยววินาทีต่อมา ท่ามกลางความเงียบสงัด ศีรษะขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากมุมหนึ่งของผนังด้านนอก

มันคือหัวของคนกระดาษที่ใหญ่ประมาณหนึ่งเมตร การทาสีของมันนั้นค่อนข้างแย่มาก และเครื่องหน้าของมันก็แทบจะไม่สมส่วนเลยสักนิด ใบหน้าที่น่าสังเวชและบิดเบี้ยวยิ่งดูน่าขนลุกมากกว่าเดิมภายใต้แสงสลัวยามตะวันตกดิน

คนกระดาษตรงหน้าสวมหมวกทรงสูงสีขาวไว้บนศีรษะ ดวงตาของมันแดงก่ำ และคอของมันที่ยืนโผล่ออกมาจากทางเดินดูคล้ายกับงูเลื้อย ผมที่ขาดหลุดลุ่ยถูกปล่อยลงมาภายใต้หมวกสีขาว ในเวลาเดียวกัน จมูกของมันยังคงขยับและสูดดมราวกับเป็นสุนัขที่ดุร้ายและบ้าคลั่ง และท้ายที่สุด มันก็ตวัดดวงตาที่แดงก่ำของมันมาทางห้องอาบน้ำ

ลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ทอดเงายาวไปในห้องน้ำ และทันทีที่ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ฉินเย่ก็โบกมือให้ฝ่ายตรงข้ามเบา ๆ “เฮ้”

“กรรรรรรร!!!” คนกระดาษกรีดร้องออกมา ราวกับฉลามที่ได้เห็นเลือด ริมฝีปากของมันฉีกออกถึงหู อ้าออกกว้างพอ ๆ กับประตูห้องน้ำ เผยให้เห็นฟันอันแหลมคมที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบและลิ้นสองแฉกราวกับลิ้นงู

ทว่าก่อนที่มันจะได้กรีดร้องออกมา แสงเย็นยะเยือกจากใบมีดก็ส่องสว่างขึ้น

ฟึ่บ…ตัวกระบี่ถูกเหวี่ยงเป็นรูปของพระจันทร์เสี้ยวผ่านอากาศคล้ายกับลำแสงของพระจันทร์ที่ส่องสว่างบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เสียงอู้อี้ดังก้องไปทั่ว และก่อนที่คนกระดาษตรงหน้าจะทันได้มีปฏิกิริยาอะไร ประกายเย็นยะเยือกของใบมีดก็ได้ตัดผ่านส่วนศีรษะที่กว้างหนึ่งเมตรของมันไปเสียแล้ว เผาไหม้ร่างส่วนที่เหลือของมันด้วยเปลวเพลิงนรกสีเขียวหยก

การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนจากเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวของคนกระดาษเป็นเสียงร้องอันโหยหวนได้ ศีรษะขนาดใหญ่หดกลับเข้าไปในมุมทางเดินทันที ฉินเย่ที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบพุ่งตัวตามไปอย่างติด ๆ และทันทีที่เขาก้าวเข้าไปที่ทางเดิน ฉินเย่ก็ได้เห็นร่างเต็มตัวของมัน

ใหญ่มาก

หากมันยืนตัวตรง ร่างของมันก็คือจะสูงประมาณ 5-6 เมตร แต่ตอนนี้ คนกระดาษมันกลับหดตัวอยู่ที่มุมมุมหนึ่งของทางเดินอันคับแคบ ซึ่งนั่นทำให้มันดูเหมือนกับกองเศษกระดาษที่ถูกทิ้งอย่างน่าแปลกประหลาด

ร่างของคนกระดาษนั้นมีสีขาวทั่วทั้งร่าง และเสื้อผ้าของมันเองก็ถูกทำมาจากกระดาษเช่นกัน เส้นผมห้อยลงมาอย่างกระเซอะกระเซิง ในขณะที่เท้าของมันยังคงยืนอยู่บนไม้ต่อขาสูงครึ่งเมตร และเสียงน่ากลัวที่ดังขึ้นให้ได้ยินก่อนหน้านี้ก็มาจากการกระทบกันของไม้ที่ต่อเป็นขาลงไปยังพื้นด้านล่าง

มันนอนอยู่บนพื้นด้วยท่าทางที่บิดเบี้ยวราวกับหมาป่าที่หิวโซ รูปหน้าแปลกประหลาดของมันที่เป็นผลมาจากฝีมือการวาดที่ห่วยแตกในเวลานี้ดูน่ากลัวและดุร้ายอย่างที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ และทันทีที่ฉินเย่ก้าวออกมาที่ทางเดิน กองกระดาษดังกล่าวก็พุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มทันที!

“เลือด อาหาร… เลือดสด ๆ !! ซี่~!!!”

ตึก ตึก ตึก! เสียงของไม้ต่อขาที่กระทบกับพื้นดังก้องไปทั่ว ทางเดินที่ค่อนข้างแคบและเก่าในยามนี้โล่งว่างและเย็นยะเยือก และการพุ่งเข้ามาของร่างกระดาษขนาดใหญ่ทำให้ฉินเย่ไม่สามารถถอยหนีได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“ขั้นนักล่าวิญญาณ?” ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายเย็นยะเยือก “เมืองเป่าอันเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์จริง ๆ สินะ…ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองอื่น ๆ นั้นมีภูตผีที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณเพียงแต่สองหรือสามตนเท่านั้น แต่พวกมันกลับปรากฏขึ้นเป็นกลุ่มก้อนในเมืองเป่าอัน? และข้ายังไม่สามารถตรวจจับได้ถึงของพลังหยินของพวกมันด้วย…หึหึหึ…”

เขาค่อย ๆ แกว่งกระบี่ในมือ “นี่คือพลังของควาฟู่อย่างนั้นหรือ?”

ตูม!!!

สิ้นสุดเสียงพูด ตัวด้ามจับของกระบี่ปีศาจพลันระเบิดเปลวไฟนรกที่รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่าออกมา! และในเสี้ยววินาทีต่อมา เปลวเพลิงบนใบมีดก็พุ่งออกไปจนเต็มทางเดิน!

การโจมตีของฉินเย่นั้นมีความสูงพอ ๆ กับความยาวของทางเดิน รอยร้าวปรากฏขึ้นทั่วทุกที่ และเมื่อเปลวไฟบนใบมีดสลายไป ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

ฟึ่บ…ฉินเย่เก็บกระบี่ของตนกลับเข้าไปในฝักอีกครั้ง คนกระดาษชะงักค้างอยู่ในท่วงท่าสุดท้ายของมันซึ่งอยู่ห่างจากฉินเย่ไม่ถึงครึ่งเมตรและเล็บสีดำของมันนั้นอยู่ห่างจากใบหน้าของฉินเย่เพียงไม่กี่เซนติเมตรด้วยซ้ำ

แต่มันก็ไม่สามารถเคลื่อนหน้าต่อได้แม้แต่นิดเดียว

“จะ…เจ้า….” มันเอ่ยออกมาอย่างยากเย็นก่อนที่เปลวไฟสีเขียวจะปรากฏขึ้นบนส่วนกลางลำตัว แยกร่างของคนกระดาษออกเป็นสองส่วนก่อนจะเหลือเพียงฝุ่นผง

การฟันเพียงครั้งเดียวกลับสามารถผ่าร่างของวิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณเป็นสองส่วน!

ยมทูตนั้นถือได้ว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบเสมอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณอาฆาตที่อยู่ขั้นเดียวกับตน!

ฉินเย่ยังคงไม่เคลื่อนไหวใด ๆ

เขามองไปที่กองขี้เถ้าตรงหน้า หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่เด็กหนุ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “มันยังมีอีก”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

“ในตอนนั้น ข้าวางคนกระดาษทิ้งไว้สามตัว สองในสามได้ประสบกับการกลายพันธุ์ ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นเหตุผลที่ตัวสุดท้ายจะได้รับข้อยกเว้น แต่ประเด็นก็คือ…” คิ้วทั้งสองย่นเข้าหากันยุ่ง “อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกมันกลายพันธุ์กัน?”

“และการกลายพันธุ์นี้ก็เป็นการกลายพันธุ์แบบเดียวกันกับที่เราเจอในเขตไล่ล่าที่สี่ วิญญาณทั้งหมดก้าวสู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่เรากลับตรวจจับพลังหยินจากร่างของพวกมันไม่ได้ด้วยซ้ำ การกลายพันธุ์ในเขตไล่ล่าที่สี่นั้นเกิดขึ้นจากควาฟู่ แต่กับวิญญาณพวกนี้ล่ะ?”

อาร์ทิสหยุดพูดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลอยออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาเล็กน้อย “นี่เจ้า…กำลังจะบอกว่าพวกมันได้ติดต่อกับควาฟู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?!”

ฉินเย่ลากกระบี่ของตนไปตามพื้น ความหมายของคำพูดพวกนี้มันยิ่งใหญ่เกินไป และมันก็เป็นความคิดที่เพิ่งเข้ามาในหัวของเขา

“มาเถอะ…ค่อย ๆ มาดูกันทีละเรื่อง” น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นเจือปนไปด้วยความตื่นเต้น หากพวกเขาสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ทุกอย่างก็จะลงตัว รวมถึงการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของควาฟู่และการก่อตั้งนรกขึ้นมาอีกครั้งด้วย!

“ข้อแรก การมีอยู่ของควาฟู่ทำให้พลังหยินไม่สามารถถูกตรวจจับได้ในทั่วทั้งเมืองเป่าอัน แต่เมื่อวิญญาณหยินพวกนั้นติดต่อกับควาฟู่โดยตรง พวกมันก็จะบรรลุเป็นขั้นนักล่าวิญญาณได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่เป็นลักษณะที่โดดเด่นของอิทธิพลของอสูรตนนั้น”

เสียงของอาร์ทิสเข้มขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ “แต่มันจะเป็นไปได้หรือที่คนกระดาษทั้งสามตนจะไปที่เขตไล่ล่าที่สี่ในเวลากลางวันแสก ๆ และก็ได้รับผลกระทบจากพลังของควาฟู่?”

“ไม่มีทาง!” ฉินเย่ปฏิเสธความเป็นไปได้นั้นทันที “ท่านอย่าลืมสิว่าพวกเขาเป็นวิญญาณที่ยังมีห่วง!”

ประโยคสุดท้ายของฉินเย่ดังก้องอยู่ภายในหัวของอาร์ทิสราวเสียงระฆังที่ดังก้อง ส่งผลร่างของนางสั่นไปด้วยความตื่นเต้น

เวลานี้ ทั้งคู่รู้สึกราวกับว่าพวกตน กำลังเข้าใกล้ตัวตนที่แท้จริงของควาฟู่โดยมีเพียงประตูที่ขวางกั้นพวกเขาบานหนึ่งเท่านั้น!

และพวกนางก็เพิ่งพบกุญแจของประตูนี้โดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน!

ความคิดมากมายที่อยู่ภายในหัวของนางชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากระงับความรู้สึกที่พลุ่งพล่านภายในใจ อาร์ทิสจึงเอ่ยว่า “วิญญาณที่ยังมีห่วงจะถูกผูกไว้กับสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง และพวกเขาสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระภายในพื้นที่แห่งนั้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ มันจึงไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถไปที่เขตไล่ล่าที่สี่ได้ในเวลานี้ หากพูดอีกอย่างก็คือ…เจ้าพวกนั้นได้ติดต่อกับควาฟู่ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้!”

หน้าอกของฉินเย่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแรง อัญมณีล้ำค่าที่พวกเขาคิดว่าได้หายสาบสูญไปแล้วกลับถูกพบขึ้นในสถานที่อื่น “ดังนั้น…สถานที่ที่จะสามารถพาพวกเราไปยังตำแหน่งของควาฟู่ได้และอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้คือที่ใด?”

ทั้งสองเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นด้วยตาของทั้งคู่ก็เป็นประกายขึ้น และทั้งฉินเย่และลูกบอลผนึกก็พุ่งตัวลงไปยังชั้นล่างทันที

แผนกต้อนรับที่ชั้น 1!

รังของเชาโยวเต๋าตั้งอยู่ด้านล่างของตรงนั้น

นี่เป็นเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น!

พวกเขาไปถึงที่แผนกต้องรับอย่างรวดเร็ว ชายสูงวัยไม่ได้ประจำอยู่จุดนี้อีกต่อไป หนึ่งยมทูตหนึ่งลูกบอลวิญญาณมุ่งหน้าเข้าไปในลิฟต์ที่อยู่ภายในห้องด้วยความเร็วที่เพิ่มเป็นสองเท่า ยิ่งลิฟต์เคลื่อนที่ลงไปเรื่อย ๆ ลมหายใจของฉินเย่ก็ยิ่งสั่นเทาเล็กน้อย ราวกับว่าเขากลับมาสัมผัสได้ถึงพลังหยินอีกครั้ง!

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ตอนนี้มันมีความเป็นไปได้มากเกินไป ตัวตนที่แท้จริงของควาฟู่คืออะไรกันแน่ และมันสามารถรอดชีวิตมาจากการล่มสลายของนรกและหนีมายังแดนมนุษย์ได้อย่างไร? ตัวเลขสีแดงเข้มปรากฏขึ้นบนกระจกที่อยู่โดยรอบอีกครั้ง -1. -2… และเมื่อมันมาถึงที่ชั้น -6 ทั้งสองก็พุ่งตัวออกไปนอกลิฟต์ทันทีที่ประตูเปิดออก

มันยังคงเป็นทางเดินโบราณที่แคบและยาวเหมือนอย่างที่พวกเขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ รูปสลักด้านข้างยังคงเป็นรูปแบบที่คุ้นตา ในขณะที่ดวงไฟที่อยู่ทั้งสองฝั่งทางยังคงสว่างอยู่

ฉินเย่ที่พุ่งตัวไปข้างหน้าพลันหยุดลงอย่างกะทันหันและไล่นิ้วไปตามลวดลายเป็นกำแพง จากนั้น เขาก็ทุบลงบนกำแพงดังกล่าวอย่างแรงก่อนที่อาร์ทิสจะได้เอ่ยอะไรออกมา “มันคือที่นี่…มันจะต้องเป็นที่นี่แน่ ๆ!”

“ท่านจำประตูโบราณที่ SRC ได้หรือไม่?”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจำมันขึ้นมาได้ทันที

ใช่แล้ว…พวกนางน่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้ ลวดลายบนประตูทางเข้าหลักของ SRC นั้นเหมือนกับลวดลายพวกนี้ไม่มีผิด!

รังของเชาโยวเต๋าคือสุสานขนาดใหญ่ที่ยังไม่ถูกค้นพบโดยมนุษยชาติ!

และสุสานที่ว่านี้ก็มีขนาดใหญ่ถึงขั้นทอดยาวไปทั่วทั้งเมืองเป่าอัน!

ซึ่งควาฟู่ก็คงจะหลบหนีมาจากยมโลก และตรงมายังสุสานโบราณแห่งนี้!

เส้นทางทั้งหมดที่นำไปสู่สมาคมอวี๋หลานยังคงยุ่งเหยิง ทุกอย่างปกคลุมไปด้วยฝุ่น และแสงไฟบางส่วนยังคงริบหรี่เป็นแสงสลัว ทว่าภายในโลกแห่งความมืดและแสงสว่างนี้ ร่างสีขาวซีดร่างหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ อยู่ที่มุมของทางเดินโดยที่มีอะไรบางอย่างยื่นออกมาจากปากขณะที่มันส่งเสียงขู่เบา ๆ

เมื่อได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลัง มันก็เงยหน้าหันกลับไปมอง เพียงเพื่อที่จะถูกทักทายโดยใบมีดยาวที่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงนรกสีเขียวหยก

“หายไปซะ!!”

“พรึ่บ!!” ร่างของคนกระดาษตนสุดท้าย เปลี่ยนเป็นกลุ่มควันสีดำก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฉินเย่และอาร์ทิสต่างรีบวิ่งไปยังจุดที่คนกระดาษเคยนั่งอยู่และมองไปยังสิ่งที่พวกตนเพิ่งค้นพบด้วยสายตาตกตะลึง ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งถูกโจมตีด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์

“เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง…” ฉินเย่ถอนหายใจยาวเหยียด “ข้าน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว…”

มันคือหลุม…

หลุมที่เคยเป็นที่เก็บบันทึกนรก!

ในวินาทีนี้ กลุ่มพลังหยินดำมืดก็กำลังหมุนวนอยู่ภายใต้หลุมอย่างต่อเนื่อง ทว่ากลับไม่สามารถทะลุผ่านพื้นดินโดยรอบได้

ที่นี่ไม่มีเยื่อสีทอง ไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ!

“ผิดแล้ว…พวกเราเข้าใจผิดมาโดยตลอด” อาร์ทิสเอ่ยเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้น “ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าบันทึกนรกเพียงหลุดลอยมาโดยบังเอิญ แต่…หากสมบัติที่สำคัญที่สุดในสามสมบัติพื้นฐานอย่างตราจ้าวนรกถูกทำลายจนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและได้กระจัดกระจายไปสุดขอบโลก แล้วเหตุใดบันทึกนรกที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าถึงยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และไม่บุบสลายกัน?”

“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือมีบางสิ่งได้ปกป้องมันไว้และนำมันมาที่นี่…” ฉินเย่อ้าปากค้าง “และบางสิ่งที่ว่าก็ไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากควาฟู่!”

“และหลุมนี้” ทั้งคู่ยื่นหน้ามองลึกลงไปในหลุมที่อัดแน่นไปด้วยพลังหยิน “ก็นำไปสู่ตำแหน่งที่ตั้งของควาฟู่!”

นอกจากนี้มันยังเป็นที่ที่คนกระดาษทั้งสามได้รับพลังหยินของควาฟู่ และส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์

“ท่านสามารถยืนยันความปลอดภัยของข้าได้หรือไม่?” ฉินเย่ก้าวเข้าไปใกล้หลุมตรงหน้ามากขึ้น แม้ว่าพลังหยินด้านล่างจะไม่สามารถทะลุผ่านพื้นดินได้ แต่สายลมอันรุนแรงแห่งยมโลกที่พัดออกมาอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่กระพืออย่างรุนแรง

“ไม่” อาร์ทิสเอ่ยลอดไรฟัน “แต่…ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด!”

ให้ตายเถอะ…ฉินเย่ยกมือกำเส้นผมของตัวเองแน่น เขาคงไม่สามารถข่มใจให้สงบได้จนกว่าจะได้ลงไปด้านล่างและดูด้วยตาของตัวเอง

เราต้องลงไปดู…แค่ครั้งเดียว! ผลประโยชน์ที่ได้นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเสียอีก! ตราบใดที่เรามั่นใจแล้วว่ามันไม่มีอันตรายอะไร ผลตอบแทนที่ได้มาก็ย่อมมากกว่าสิ่งที่ลงทุนไปหลายร้อยล้านเท่า!

“เป็นพวกขี้ขลาดมาตลอดหลายปี…ไม่คิดเลยว่ามันจะมีวันที่เราจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มสู้ก่อน…” ฉินเย่กัดฟันแน่น กลั่นใจและกระโดดลงไปในหลุม

ลูกบอลวิญญาณเปลี่ยนร่างเป็นลำแสงและพุ่งลงไปตามเด็กหนุ่ม

ฟึ่บ….มันเป็นหลุมที่มืดสนิท สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้มีเพียงกลุ่มก้อนสีดำที่อยู่โดยรอบ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางอันเจ็บปวดและโศกเศร้าดังมาจากทุกทิศทาง

แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ฉินเย่ก็ยังคงมองผ่านช่องว่างในกลุ่มเมฆสีดำเพื่อค้นหาสิ่งที่อยู่ด้านล่างของหลุม

มันใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเขาตกลงไปลึกเท่าใหญ่ พื้นที่ด้านในหลุมก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ! และหลังจากผ่านไปประมาณสิบวินาที เขาก็ไม่สามารถมองเห็นผนังที่อยู่รอบตัวอีกต่อไป

มันน่าจะประมาณ 1,000 เมตร…

จากนั้นฉินเย่ก็ได้ยินบางอย่างดังมาจากด้านล่าง มันเป็นเสียงกรนที่เหมือนกับฟ้าร้องดังมาจากกลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นพวกนั้น

ทุกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้น ก้อนพลังหยินพวกนั้นจะสั่นไหวและหดตัว

ฉินเย่ไม่กล้าจินตนาการเลยสักนิดว่าสิ่งสิ่งนั้นคืออะไร เพราะแค่เสียงลมหายใจของมันเพียงอย่างเดียวก็สามารถเขย่าสวรรค์และกลืนปฐพีได้แล้ว!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด