ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 189 ฉันคือบอส

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 189 ฉันคือบอส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่189 ฉันคือบอส

หวานเจียพาเฟิงเต๋อมาห่าจ้าวเฉียน ส่วนทางด้านเฟิงเต๋อกลับหันไปคุยดีบอู่เลอโดยตรงว่า

“สวัสดีครับ ผมชื่อเฟิงเต๋อ ตอนนี้ผมกำลังสร้างโปรเจคหนังเกี่ยวกับธีมรถแข่งอยู่ ไม่ทราบว่าคุณสนใจเข้าวงการนี้ไหมครับ? บางทีคุณอาจได้แจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ ผมเคยทำหนังมาทั้งหมดสามเรื่อง และทั้งสามเรื่องได้รางวัลบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งหมด พร้อมกวาดรายได้กว่าพันล้านหยวน ไม่ทราบว่าคุณสนใจทางด้านนี้ไหมครับ?”

อู่เลอส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เป้าหมายของผมคือเป็นนักแข่งระดับโลก ไม่ใช่นักแสดงหรือดาราครับ”

เฟิงเต๋อยังคงปฏิเสธที่จะยอมแพ้และชักชวนต่อว่า

“คุณหาเงินในฐานะนักแข่งได้ปีละเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมดูถูกอาชีพนี้นะครับ แต่อยากให้ลองคิดดู อาชีพนี้ใช้ชีวิตเสี่ยงบนสนามอยู่ตลอดเวลา ค่าเหนื่อยที่ได้ไม่คุ้มเท่าไหร่นัก แต่เมื่อคุณมาเป็นดารา คุณสามารถนอนกินกับค่าลิขสิทธิ์ได้ในอนาคตในตอนที่ดังแล้ว”

แต่ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็กล่าวขัดจังหวะเฟิงเต๋อขึ้นทันใด

“ผู้กำกับเฟิง อย่าไปตื้อเขาเลยครับ เขาบอกว่าไม่สนก็คือไม่สนใจ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเฟิงเต๋อจางหายไปในทันใด เขาโมโหอย่างมากที่จ้าวเฉียนมาพูดขัดจังหวะเขาแบบนี้

“นี่คุณอายุเพิ่งเท่าไหร่? ทำไมถึงพูดกับผมแบบนี้? ผมยังไม่เคยเสียมารยาทพูดแทรกคุณเลยสักครั้งนะ?”

ผู้กำกับเฟิงเต๋อคนนี้คิดว่า จ้าวเฉียนเป็นแฟนคลับของอู่เลอ และไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่า ชายคนนี้จะเป็นบอสของทีมแข่งรถทีมนี้

ไม่ต้องพูดถึงเฟิงเต๋อ แม้แต่หวานเจียงเองก็ไม่คิดว่าจ้าวเฉียนจะเป็นบอสใหญ่ของทีมนี้

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเสียอย่างมาก และกล่าวต่อว่าเฟิงเต๋อทันที

“ทำไมคถณถึงพูดกับบอสผมแบบนั้น?”

ทั้งเฟิงเต๋อและหวานเจียงแทบสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมา

เฟิงเตจ๋อเอ่ยย้ำคำถามทันที

“ชายคนนี้เป็นบอสของทีมคุณเหรอ?”

อู่เลอยิ้มตอบทันทีว่า

“ผมพูดออกไปขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกเหรอครับว่าเขาเป็นใคร?”

“ไม่ใช่ว่า…การจะเป็นเจ้าของทีมแข่งรถต้องใช้เม็ดเงินสนับสนุนหลักล้านต่อปีเลยเหรอ? แต่เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ตัวเองมาหนิ?”

เฟิงเต๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง

“ผู้กำกับหน้าใหม่? ฮ่าฮ่า…บอสจ้าว บอสผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่?”

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันที

“อ้าวบอส อยากเป็นผู้กำกับก็ไม่บอก มีอะไรที่พวกเราพอช่วยได้บ้างไหมครับ?”

“ใช่แล้ว ถ้ามีอะไรที่พวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราพร้อมช่วยเต็มที่นะครับ อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเงินบอสได้บ้าง”

“พวกนายไล่ตามความฝันของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันอยากเป็นผู้กำกับมีชื่อเสียงบ้างน่ะ แบบปั้นหนังสักเรื่องให้ดังติดประเทศอะไรแบบนั้น”

“งั้นเอาผมไปเล่นเลย! ผมอยากเป็นแบบดอม โทเร็ตโต้!”

“ฮ่าฮ่าๆ…”

จ้าวเฉียนและพวกอู่เลอระเบิดหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

หวานเจียงก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน เธอมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นแบบนี้ เธอหันไปพูดกับจ้าวเฉียนทันที

“ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่า นายจะมาลงทุนในทีมแข่งรถด้วย วิสัยทัศน์ของนายกว้างไกลกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะ! ทีแรกก็คิดว่านายเป็นแค่ไอ้ขี้เก๊กคนหนึ่ง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะแห้งเป็นคำตอบ เจือสงสัยว่านี่เธอกำลังชมหรือด่ากันแน่?

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“เธอก็น่าจะรู้ ฉันเป็นพวกอยู่ไม่สุขถ้าเก็บเงินอยู่กับตัว ถ้าไม่ได้ระบายเงินออกไปบ้าง ฉันคงนอนไม่หลับ ก็เลยเอามาลงทุนกับความฝันของพวกเขา และฉันเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากนะ ที่เลือกเดิมพันได้ถูกทีม”

ยามนี้ความประทับใจของเฟิงเต๋อที่มีต่อจ้าวเฉียนก็คล้ายว่าจะดูดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาต้องการเจรจาเรื่องเล่นหนังกับอู่เลอเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงญาติดีกับจ้าวเฉียนเข้าไว้

แม้เขาจะไม่ค่อยต้องการที่จะยอมรับความจริงข้อนี้เท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริง บอสของอู่เลอคนที่เขาอยากได้ไปเป็นตัวเอกคือจ้าวเฉียน

เมื่อเป็นแบบนั้น เฟิงเต๋อจึงยิ้มกล่าวกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณจ้าว ผมขอคุยกับนักแข่งของคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหม?”

จ้าวเฉียนสละทิ้งรอยยิ้มก่อนหน้าไปทันที เขาส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“คงไม่ได้หรอกครับ พวกเราทั้งคู่ต่างก็กำลังสร้างหนังรถแข่ง ดังนั้นคุณคือคู่แข่งคนสำคัญของผม คงเข้าใจไม่ใช่ครับว่าหมายความว่ายังไง”

เฟิงเต๋อชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเหลือบไปยิ้มแห้งให้หวานเจียง

หวานเจียงเข้าใจทันทีว่าเฟิงเต๋อกำลังขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอจึงเร่งขยิบตาให้จ้าวเฉียน ออกมาคุยกันสองต่อสอง

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินติดตามเธอออกไป ณ มุมหนึ่ง

“นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมเราต้องขอร้องคนอย่างเขาด้วย?”

หวางนเจียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า

“นายก็รู้ว่าเขาจะสร้างประโยชน์มากแค่ไหนให้กับบริษัทพวกเรา ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว นายต้องการอะไรว่ามา!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปทันที

“มาลงอ่างอาบน้ำด้วยกันแล้วมาถูหลังให้ผมด้วย ถ้าทำได้ ผมจะลองเก็บเรื่องนี้ไปคิดดู”

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่ทันใด กล่าวดุไปว่า

“อย่าวฝัน! เอาดีๆสิ!”

“ก็ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าผมไม่ทำงานร่วมกับเขา! โอเค ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระกันอีกแล้ว ผมต้องพาทีมของผมไปเลี้ยงฉลอง!”

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเดินออกไป หวานเจียงรีบคว้าแขนและเอ่ยถามต่อทันทีว่า

“นายพาพวกเขาไปเลี้ยงที่ไหน?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ระดับผมต้องเป็นโรงแรมตงไห่เท่านั้น มีเพียงสถานที่หรูแบบนี้ที่คู่ควรกับแชมป์ของผม”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปตามความจริง

ทันใดนั้นเอง หวานเจียงก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที ในเมื่อจ้าวเฉียนไม่ยอมให้อู่เลอกับเฟิงเต๋อพเจรจากัน แล้วทำไมถึงไม่เปลี่ยนเป็นเธอเองที่เข้าไปคุยกับอู่เลอ?

“ได้! ตอนนี้ฉันว่างพอดี! ฉันจะไปอวยพรกับความสำเร็จของนาย ไปฉลองกัน!”

หวานเจียงไม่สนว่าจ้าวเฉียนจะอนุญาตให้เธอหไปหรือไม่ ทันทีที่พูดจบเธอก็วิ่งไปแสดงความยินดีกับอู่เลอ ปล่อยทิ้งจ้าวเฉียนให้ยืนงงอยู่แบบนั้น

งานฉลองดังกล่าวแน่นอนว่าอู่ซินย่อมไปร่วมด้วยแน่นอน และถ้าหวานเจียงพบกับเธอขึ้นมา ดีไม่ดีเธออาจะหลุดพูดอะไรที่กระทบกับจ้าวเฉียนแน่นอน และทั้งอู่ซินและอู่เลอจะทราบถึงตัวตนของจ้าวเฉียนทันทีว่าไม่ธรรมดา

ในตอนนี้จ้าวเฉียนไม่อยากให้อู่ซินรู้ว่า เขากำลังแอบช่วยเธออยู่ลับหลัง จ้าวเฉียนกังวลว่า ด้วยนิสัยขี้เกรงใจของอู่ซิน ในอนาคตต่อไปเธอจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากจ้าวเฉียนแน่นอน

จ้าวเฉียนจึงรีบฉุดแขนหวานเจียงกล่าวปฏิเสธสวนกลับไปทันที

“ไม่! เธอไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเราขนาดนั้น! ทำไมต้องมาอวยพรกันด้วย? ฉันรู้นะว่าเธอหวังใช้โอกาสนี้ หาช่องทางให้อู่เล่อกับเฟิงเต๋อติดต่อกัน!”

หวานเจียงโกรธอย่างมาก เธอทุบแขนจ้าวเฉียนไปสองสามทีพร้อมกล่าวว่า

“ทั้งๆที่นายรู้อยู่แล้วว่าฉันตั้งใจขนาดไหน แต่ทำไมนายยังเห็นแก่ตัว เอาความไม่ชอบขี้หน้าส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงาน ถือซะว่าหลับตาข้างหนึ่งสักครั้งได้ไหม? เขาเป็นผู้กำกับดาวรุ่งเลยนะ ถ้ามีเขาอยู่บริษัทของนายจะเติบโตขึ้นมาก!”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปทันที

“แต่ยังไงผมก็ไม่ยอม นี่เป็นงานฉลองความสำเร็จของคนในที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ! แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าล้ำเส้นให้มันมากนัก มิฉะนั้นอย่าหาว่าผมไม่สุภาพ!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็โบกมือให้อู่เลอและคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวไปเลี้ยงฉลองกันต่อที่โรงแรมตงไห่

ในเวลานี้เองก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งแหกันเข้ามา พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่เพื่อขอสัมภาษณ์อู่เลอ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เวลาแก่พวกตน

อู่เลอรู้สึกประหม่าเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับกล้องและไมค์ไหว เขารีบหันมาปรึกษากับจ้าวเฉียนทันที

“บอสควรออกหน้าแทนผมนะ”

จ้าวเฉียนเร่งคว้าตัวอู่เลอที่คิดจะวิ่งหนี และกล่าวน้ำเสียงจริงจังกับเขาขึ้นว่า

“นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนายแล้ว พอนายกลายมาเป็นนักแข่งชื่อดัง หลังจากประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย นายก็จะสามารถโยกย้ายไปสายงานอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องแข่งรถไปจนตาย นายลองคิดดูนะ พอนายเกษียญตัวเองขึ้นมา คิดว่าตัวเองยังมีแรงเหยียบคันเร่งแข่งกับพวกวัยรุ่นไฟแรงไหวเหรอ? รีบสร้างมูลค่าให้ตัวเอง พอนายแก่ตัวลง จะได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนขับรถ หรือไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าต่างๆก็ทำได้ มีนักแข่งตั้งหลายคนที่พอได้แชมป์ก็ผันตัวเองเป็นดารานักแสดง นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับนายนะ ถือซะว่าทำเพื่ออนาคตของตัวเอง ไปได้แล้ว! พวกนักข่าวรอนายอยู่!”

พออู่เลอได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกประทับใจในคำพพูดของจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังกลัวที่จะเผชิญหน้ากับพวกนักข่าวอยู่ดี

“บอส ทำไมเราถึงไม่ออกไปสัมภาษณ์ด้วยกันล่ะ? ถ้าเกิดผมตอบคำถามไหนไม่ได้ บอสจะได้ช่วยผมได้ไง”

อู่เลอเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนเองก็คิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร จึงพยักหน้าและเดินออกไปด้วยกัน

ทั้งสองเดินเข้าไปสัมภาษณ์กับพวกนักข่าว สีกหน้าท่าทางกระตือรือร้นและให้คาวมร่วมมือเป็นอย่างดี

เฟิงเต๋อที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก พลางกระซิบกับหวานเจียงน้ำเสียงต่ำว่า

“ผมไม่รู้จริงๆว่า หมอนั่นต้องโชคดีขนาดไหน ถึงฟรุ๊กไปลงทุนกับทีมนั้น”

หวานเจียงที่ยังหัวร้อนไม่หาย เธออารมณ์เสียมากในขณะนี้ จึงหันหน้าหนีไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงดูผ่อนคลายสบายๆ แต่สภาพของอู่เลอกลับดูไม่จืด ทั่วทั้งแผ่นหกลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะความประหม่า มือไม้สั่นเทา หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

ในเวลานี้เอง เฟิงเต๋อก็เดินกลับเข้ามาหาอีกครั้งและกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“คุณลงทุนในทีมนี้เท่าไหร่ครับ?”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามกลับไปเจือน้ำเสียงกวนๆ

เฟิงเต๋อยิ้มและหันมูดกับอู่เลอว่า

“เขาลงทุนกับคุณมากแค่ไหนกันเขียว? เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า และจะให้เงินคุณเป็นค่าขนมอีก10ล้านหยวน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทีม ผมรับผิดชอบเอง แต่ในอนาคตคุณต้องฟังคำสั่งของผมแค่คนเดียว ตกลงไหม?”

เฟิงเต๋อเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ไม่มีใครสามารถทนการล่อลวงด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้แน่

ต่อให้ทีมเก่งแค่ไหนแต่ถ้าขาดเงินไปก็ไม่สามารถลงแข่งได้

และที่เฟิงเต๋อกล้าวลงมุนขนาดนี้กับอู่เลอ เพราะเขาเชื่อว่า อู่เลอจะต้องกลายมาเป็นดาราดังระดับประเทศอแน่นอน และหนังเรื่องต่อไปที่เขาสร้างจะต้องทำรายได้ทะละพันล้านอีกครั้ง กล่าวได้ว่าลงทุนครั้งนี้ได้กลับคืนมานับสิบเท่า ตัวเขามีแต่ได้กับได้

อู่เลอหันควับจับจ้องจ้าวเฉียนในทันใด สีหน้าของเขาในขณะนี้ซีดเผือกราวกับจะเป็นลม

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 189 ฉันคือบอส

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 189 ฉันคือบอส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่189 ฉันคือบอส

หวานเจียพาเฟิงเต๋อมาห่าจ้าวเฉียน ส่วนทางด้านเฟิงเต๋อกลับหันไปคุยดีบอู่เลอโดยตรงว่า

“สวัสดีครับ ผมชื่อเฟิงเต๋อ ตอนนี้ผมกำลังสร้างโปรเจคหนังเกี่ยวกับธีมรถแข่งอยู่ ไม่ทราบว่าคุณสนใจเข้าวงการนี้ไหมครับ? บางทีคุณอาจได้แจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ ผมเคยทำหนังมาทั้งหมดสามเรื่อง และทั้งสามเรื่องได้รางวัลบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งหมด พร้อมกวาดรายได้กว่าพันล้านหยวน ไม่ทราบว่าคุณสนใจทางด้านนี้ไหมครับ?”

อู่เลอส่ายหัวปฏิเสธทันที

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ เป้าหมายของผมคือเป็นนักแข่งระดับโลก ไม่ใช่นักแสดงหรือดาราครับ”

เฟิงเต๋อยังคงปฏิเสธที่จะยอมแพ้และชักชวนต่อว่า

“คุณหาเงินในฐานะนักแข่งได้ปีละเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าผมดูถูกอาชีพนี้นะครับ แต่อยากให้ลองคิดดู อาชีพนี้ใช้ชีวิตเสี่ยงบนสนามอยู่ตลอดเวลา ค่าเหนื่อยที่ได้ไม่คุ้มเท่าไหร่นัก แต่เมื่อคุณมาเป็นดารา คุณสามารถนอนกินกับค่าลิขสิทธิ์ได้ในอนาคตในตอนที่ดังแล้ว”

แต่ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็กล่าวขัดจังหวะเฟิงเต๋อขึ้นทันใด

“ผู้กำกับเฟิง อย่าไปตื้อเขาเลยครับ เขาบอกว่าไม่สนก็คือไม่สนใจ”

รอยยิ้มบนใบหน้าเฟิงเต๋อจางหายไปในทันใด เขาโมโหอย่างมากที่จ้าวเฉียนมาพูดขัดจังหวะเขาแบบนี้

“นี่คุณอายุเพิ่งเท่าไหร่? ทำไมถึงพูดกับผมแบบนี้? ผมยังไม่เคยเสียมารยาทพูดแทรกคุณเลยสักครั้งนะ?”

ผู้กำกับเฟิงเต๋อคนนี้คิดว่า จ้าวเฉียนเป็นแฟนคลับของอู่เลอ และไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่า ชายคนนี้จะเป็นบอสของทีมแข่งรถทีมนี้

ไม่ต้องพูดถึงเฟิงเต๋อ แม้แต่หวานเจียงเองก็ไม่คิดว่าจ้าวเฉียนจะเป็นบอสใหญ่ของทีมนี้

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเสียอย่างมาก และกล่าวต่อว่าเฟิงเต๋อทันที

“ทำไมคถณถึงพูดกับบอสผมแบบนั้น?”

ทั้งเฟิงเต๋อและหวานเจียงแทบสะดุ้งทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้หลุดออกมา

เฟิงเตจ๋อเอ่ยย้ำคำถามทันที

“ชายคนนี้เป็นบอสของทีมคุณเหรอ?”

อู่เลอยิ้มตอบทันทีว่า

“ผมพูดออกไปขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกเหรอครับว่าเขาเป็นใคร?”

“ไม่ใช่ว่า…การจะเป็นเจ้าของทีมแข่งรถต้องใช้เม็ดเงินสนับสนุนหลักล้านต่อปีเลยเหรอ? แต่เขาเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ตัวเองมาหนิ?”

เฟิงเต๋อเอ่ยถามขึ้นด้วยความงุนงง

“ผู้กำกับหน้าใหม่? ฮ่าฮ่า…บอสจ้าว บอสผันตัวเองไปเป็นผู้กำกับตั้งแต่เมื่อไหร่?”

อู่เลอที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะขึ้นมาทันที

“อ้าวบอส อยากเป็นผู้กำกับก็ไม่บอก มีอะไรที่พวกเราพอช่วยได้บ้างไหมครับ?”

“ใช่แล้ว ถ้ามีอะไรที่พวกเราสามารถช่วยได้ พวกเราพร้อมช่วยเต็มที่นะครับ อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดเงินบอสได้บ้าง”

“พวกนายไล่ตามความฝันของตัวเองไปเถอะ ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันอยากเป็นผู้กำกับมีชื่อเสียงบ้างน่ะ แบบปั้นหนังสักเรื่องให้ดังติดประเทศอะไรแบบนั้น”

“งั้นเอาผมไปเล่นเลย! ผมอยากเป็นแบบดอม โทเร็ตโต้!”

“ฮ่าฮ่าๆ…”

จ้าวเฉียนและพวกอู่เลอระเบิดหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน

หวานเจียงก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน เธอมีความสุขอย่างมากเมื่อเห็นแบบนี้ เธอหันไปพูดกับจ้าวเฉียนทันที

“ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่า นายจะมาลงทุนในทีมแข่งรถด้วย วิสัยทัศน์ของนายกว้างไกลกว่าที่ฉันจินตนาการไว้เยอะ! ทีแรกก็คิดว่านายเป็นแค่ไอ้ขี้เก๊กคนหนึ่ง!”

จ้าวเฉียนหัวเราะแห้งเป็นคำตอบ เจือสงสัยว่านี่เธอกำลังชมหรือด่ากันแน่?

จ้าวเฉียนยิ้มตอบไปว่า

“เธอก็น่าจะรู้ ฉันเป็นพวกอยู่ไม่สุขถ้าเก็บเงินอยู่กับตัว ถ้าไม่ได้ระบายเงินออกไปบ้าง ฉันคงนอนไม่หลับ ก็เลยเอามาลงทุนกับความฝันของพวกเขา และฉันเองก็คิดว่าตัวเองโชคดีมากนะ ที่เลือกเดิมพันได้ถูกทีม”

ยามนี้ความประทับใจของเฟิงเต๋อที่มีต่อจ้าวเฉียนก็คล้ายว่าจะดูดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เขาต้องการเจรจาเรื่องเล่นหนังกับอู่เลอเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงญาติดีกับจ้าวเฉียนเข้าไว้

แม้เขาจะไม่ค่อยต้องการที่จะยอมรับความจริงข้อนี้เท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็คือความจริง บอสของอู่เลอคนที่เขาอยากได้ไปเป็นตัวเอกคือจ้าวเฉียน

เมื่อเป็นแบบนั้น เฟิงเต๋อจึงยิ้มกล่าวกับจ้าวเฉียนทันทีว่า

“ถ้าอย่างนั้นคุณจ้าว ผมขอคุยกับนักแข่งของคุณเป็นการส่วนตัวได้ไหม?”

จ้าวเฉียนสละทิ้งรอยยิ้มก่อนหน้าไปทันที เขาส่ายหัวและตอบกลับไปว่า

“คงไม่ได้หรอกครับ พวกเราทั้งคู่ต่างก็กำลังสร้างหนังรถแข่ง ดังนั้นคุณคือคู่แข่งคนสำคัญของผม คงเข้าใจไม่ใช่ครับว่าหมายความว่ายังไง”

เฟิงเต๋อชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเหลือบไปยิ้มแห้งให้หวานเจียง

หวานเจียงเข้าใจทันทีว่าเฟิงเต๋อกำลังขอความช่วยเหลือจากเธอ เธอจึงเร่งขยิบตาให้จ้าวเฉียน ออกมาคุยกันสองต่อสอง

จ้าวเฉียนพยักหน้าและเดินติดตามเธอออกไป ณ มุมหนึ่ง

“นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมเราต้องขอร้องคนอย่างเขาด้วย?”

หวางนเจียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย กล่าวตอบไปว่า

“นายก็รู้ว่าเขาจะสร้างประโยชน์มากแค่ไหนให้กับบริษัทพวกเรา ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว นายต้องการอะไรว่ามา!”

จ้าวเฉียนยิ้มตอบกลับไปทันที

“มาลงอ่างอาบน้ำด้วยกันแล้วมาถูหลังให้ผมด้วย ถ้าทำได้ ผมจะลองเก็บเรื่องนี้ไปคิดดู”

หวานเจียงกลอกตามองบนใส่ทันใด กล่าวดุไปว่า

“อย่าวฝัน! เอาดีๆสิ!”

“ก็ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าผมไม่ทำงานร่วมกับเขา! โอเค ไม่ต้องพูดอะไรไร้สาระกันอีกแล้ว ผมต้องพาทีมของผมไปเลี้ยงฉลอง!”

ขณะที่จ้าวเฉียนกำลังจะเดินออกไป หวานเจียงรีบคว้าแขนและเอ่ยถามต่อทันทีว่า

“นายพาพวกเขาไปเลี้ยงที่ไหน?”

“แน่นอนอยู่แล้ว ระดับผมต้องเป็นโรงแรมตงไห่เท่านั้น มีเพียงสถานที่หรูแบบนี้ที่คู่ควรกับแชมป์ของผม”

จ้าวเฉียนเอ่ยตอบไปตามความจริง

ทันใดนั้นเอง หวานเจียงก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที ในเมื่อจ้าวเฉียนไม่ยอมให้อู่เลอกับเฟิงเต๋อพเจรจากัน แล้วทำไมถึงไม่เปลี่ยนเป็นเธอเองที่เข้าไปคุยกับอู่เลอ?

“ได้! ตอนนี้ฉันว่างพอดี! ฉันจะไปอวยพรกับความสำเร็จของนาย ไปฉลองกัน!”

หวานเจียงไม่สนว่าจ้าวเฉียนจะอนุญาตให้เธอหไปหรือไม่ ทันทีที่พูดจบเธอก็วิ่งไปแสดงความยินดีกับอู่เลอ ปล่อยทิ้งจ้าวเฉียนให้ยืนงงอยู่แบบนั้น

งานฉลองดังกล่าวแน่นอนว่าอู่ซินย่อมไปร่วมด้วยแน่นอน และถ้าหวานเจียงพบกับเธอขึ้นมา ดีไม่ดีเธออาจะหลุดพูดอะไรที่กระทบกับจ้าวเฉียนแน่นอน และทั้งอู่ซินและอู่เลอจะทราบถึงตัวตนของจ้าวเฉียนทันทีว่าไม่ธรรมดา

ในตอนนี้จ้าวเฉียนไม่อยากให้อู่ซินรู้ว่า เขากำลังแอบช่วยเธออยู่ลับหลัง จ้าวเฉียนกังวลว่า ด้วยนิสัยขี้เกรงใจของอู่ซิน ในอนาคตต่อไปเธอจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากจ้าวเฉียนแน่นอน

จ้าวเฉียนจึงรีบฉุดแขนหวานเจียงกล่าวปฏิเสธสวนกลับไปทันที

“ไม่! เธอไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเราขนาดนั้น! ทำไมต้องมาอวยพรกันด้วย? ฉันรู้นะว่าเธอหวังใช้โอกาสนี้ หาช่องทางให้อู่เล่อกับเฟิงเต๋อติดต่อกัน!”

หวานเจียงโกรธอย่างมาก เธอทุบแขนจ้าวเฉียนไปสองสามทีพร้อมกล่าวว่า

“ทั้งๆที่นายรู้อยู่แล้วว่าฉันตั้งใจขนาดไหน แต่ทำไมนายยังเห็นแก่ตัว เอาความไม่ชอบขี้หน้าส่วนตัวมายุ่งกับเรื่องงาน ถือซะว่าหลับตาข้างหนึ่งสักครั้งได้ไหม? เขาเป็นผู้กำกับดาวรุ่งเลยนะ ถ้ามีเขาอยู่บริษัทของนายจะเติบโตขึ้นมาก!”

จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปทันที

“แต่ยังไงผมก็ไม่ยอม นี่เป็นงานฉลองความสำเร็จของคนในที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ! แล้วขอเตือนไว้ก่อนนะ อย่าล้ำเส้นให้มันมากนัก มิฉะนั้นอย่าหาว่าผมไม่สุภาพ!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็โบกมือให้อู่เลอและคนอื่นๆ ให้เตรียมตัวไปเลี้ยงฉลองกันต่อที่โรงแรมตงไห่

ในเวลานี้เองก็มีนักข่าวกลุ่มหนึ่งวิ่งแหกันเข้ามา พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่เพื่อขอสัมภาษณ์อู่เลอ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เวลาแก่พวกตน

อู่เลอรู้สึกประหม่าเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับกล้องและไมค์ไหว เขารีบหันมาปรึกษากับจ้าวเฉียนทันที

“บอสควรออกหน้าแทนผมนะ”

จ้าวเฉียนเร่งคว้าตัวอู่เลอที่คิดจะวิ่งหนี และกล่าวน้ำเสียงจริงจังกับเขาขึ้นว่า

“นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนายแล้ว พอนายกลายมาเป็นนักแข่งชื่อดัง หลังจากประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมาย นายก็จะสามารถโยกย้ายไปสายงานอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องแข่งรถไปจนตาย นายลองคิดดูนะ พอนายเกษียญตัวเองขึ้นมา คิดว่าตัวเองยังมีแรงเหยียบคันเร่งแข่งกับพวกวัยรุ่นไฟแรงไหวเหรอ? รีบสร้างมูลค่าให้ตัวเอง พอนายแก่ตัวลง จะได้ก่อตั้งโรงเรียนสอนขับรถ หรือไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าต่างๆก็ทำได้ มีนักแข่งตั้งหลายคนที่พอได้แชมป์ก็ผันตัวเองเป็นดารานักแสดง นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับนายนะ ถือซะว่าทำเพื่ออนาคตของตัวเอง ไปได้แล้ว! พวกนักข่าวรอนายอยู่!”

พออู่เลอได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกประทับใจในคำพพูดของจ้าวเฉียนเป็นอย่างมาก แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังกลัวที่จะเผชิญหน้ากับพวกนักข่าวอยู่ดี

“บอส ทำไมเราถึงไม่ออกไปสัมภาษณ์ด้วยกันล่ะ? ถ้าเกิดผมตอบคำถามไหนไม่ได้ บอสจะได้ช่วยผมได้ไง”

อู่เลอเอ่ยถาม

จ้าวเฉียนเองก็คิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร จึงพยักหน้าและเดินออกไปด้วยกัน

ทั้งสองเดินเข้าไปสัมภาษณ์กับพวกนักข่าว สีกหน้าท่าทางกระตือรือร้นและให้คาวมร่วมมือเป็นอย่างดี

เฟิงเต๋อที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก พลางกระซิบกับหวานเจียงน้ำเสียงต่ำว่า

“ผมไม่รู้จริงๆว่า หมอนั่นต้องโชคดีขนาดไหน ถึงฟรุ๊กไปลงทุนกับทีมนั้น”

หวานเจียงที่ยังหัวร้อนไม่หาย เธออารมณ์เสียมากในขณะนี้ จึงหันหน้าหนีไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง

ท่าทางการแสดงออกของจ้าวเฉียนยังคงดูผ่อนคลายสบายๆ แต่สภาพของอู่เลอกลับดูไม่จืด ทั่วทั้งแผ่นหกลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเพราะความประหม่า มือไม้สั่นเทา หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ

ในเวลานี้เอง เฟิงเต๋อก็เดินกลับเข้ามาหาอีกครั้งและกล่าวกับจ้าวเฉียนว่า

“คุณลงทุนในทีมนี้เท่าไหร่ครับ?”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามกลับไปเจือน้ำเสียงกวนๆ

เฟิงเต๋อยิ้มและหันมูดกับอู่เลอว่า

“เขาลงทุนกับคุณมากแค่ไหนกันเขียว? เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะจ่ายเพิ่มเป็นสองเท่า และจะให้เงินคุณเป็นค่าขนมอีก10ล้านหยวน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทีม ผมรับผิดชอบเอง แต่ในอนาคตคุณต้องฟังคำสั่งของผมแค่คนเดียว ตกลงไหม?”

เฟิงเต๋อเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ไม่มีใครสามารถทนการล่อลวงด้วยผลประโยชน์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้แน่

ต่อให้ทีมเก่งแค่ไหนแต่ถ้าขาดเงินไปก็ไม่สามารถลงแข่งได้

และที่เฟิงเต๋อกล้าวลงมุนขนาดนี้กับอู่เลอ เพราะเขาเชื่อว่า อู่เลอจะต้องกลายมาเป็นดาราดังระดับประเทศอแน่นอน และหนังเรื่องต่อไปที่เขาสร้างจะต้องทำรายได้ทะละพันล้านอีกครั้ง กล่าวได้ว่าลงทุนครั้งนี้ได้กลับคืนมานับสิบเท่า ตัวเขามีแต่ได้กับได้

อู่เลอหันควับจับจ้องจ้าวเฉียนในทันใด สีหน้าของเขาในขณะนี้ซีดเผือกราวกับจะเป็นลม

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+