ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 79 ขาดนายไม่ได้

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 79 ขาดนายไม่ได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่79 ขาดนายไม่ได้

หลิวเปาจ้องเขม็งไปยังWeChatที่หยางหู่ส่งมา มือไม้สั่นเทาด้วยความโกรธจัด

“หยางหู่แกมันมากเกินไปแล้ว! คิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงเลยเหรอวะ!”

ในเวลานั้นเอง อีกสามสี่คนที่อยู่ข้างๆ หลิวเปาก็เอ่ยชึ้นว่า

“พี่เปา พวกเราเริ่มจากไปจับตัวพี่น้องของหยางหู่เป็นตัวประกันดีกว่าไหม?”

ลู่ฉิงลูกน้องหลิวซีกล่าวเสริมขึ้นว่า

“ที่อาหมิงพูดไปก็เข้าท่านะครับ แทนที่จะรอให้มันโจมตี เราสู้เปิดฉากจัดการมันก่อนเลย แต่เริ่มจากใครอันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ”

เหลียงฮุ่ย ลูกน้องอีกคนของหลิวซีพยักหน้าและกล่าวว่า

“ผมเองก็คิดแบบเดียวกันครับ อย่าคิดยอมแพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่ทำอะไรเลยดีกว่า ถ้าจะต้องสู้เราก็ขอสู้ให้เต็มที่ ยังดีกว่าให้พวกมันมานั่งหัวเราะเยาะเรา”

หลิวเปารู้สึกประทับใจไม่น้อยในความกล้าของพวกนี้ แต่ละคนไม่กลัวความตาย แต่ถึงอย่างไร เขาไม่เหมือนกับเจ้าสี่คนนนี้ เบื้องหลังของหลิวเปายังมีครอบครัวที่คอยปกป้องดูแล และคนอีกมากมายที่อยู่ภายใต้การดูแล การตัดสินใจโดยไม่ทันยั้งคิดให้ดี อาจส่งผลเสียกระทบไปถึงพวกเขาได้

ทว่าด้วยนิสัยของหลิวเปาเอง เขาก็ไม่เต็มใจยอมแพ้ให้อีกฝ่ายกดหัวตัวเองไปตลอดเช่นกัน เพราะสุดท้ายนี้ระหว่างเขากับหยางหู่ใครแข็งแกร่งกว่าใครกลับยังไม่แน่ชัด

“ฉันเข้าใจดีว่าพวกแกหมายถึงอะไร แต่ฉันยังมีคนที่ต้องปกป้อง ขอเก็บเรื่องนี้ไปคิดก่อน เที่ยงพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบว่าจะต่อสู้หรือประนีประนอม”

พวกลูกน้องทั้งสี่และหลิวซีต่างพยักหน้าตอบและแยกย้ายกลับไปพักผ่อน

หลิวเปาไม่ได้นอนเลยในคืนนั้น เขานั่งคิดจนรุ่งสาง ไม่ว่าจะครุ่นคิดยังไง การเปิดศึกกับหยางหู่ให้ตายไปข้างมันก็เสียมากกว่าได้อยู่ดี

เพื่อความปลอดภัย จ้าวเฉียนขับรถมาส่งหงซิ่วถึงบริษัทด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอเดินขึ้นลิฟต์ไป ค่อยขับไปทำงาน

ที่โรงแรมตงไห่ในคืนที่ผ่านมา จางหยางทั้งเสียหน้าและคับแค้นใจอย่างมาก เขาต้องการหาเรื่องให้จ้าวเฉียน เพื่อความสะใจล้วนๆ หากเป็นการดีที่สุดไล่มันออกไปจากบริษัทนี้ถาวรไปเลย

“ทุกคนฟังทางนี้หน่อย เราจะมีการโยกย้ายตำแหน่งงานกันอีกครั้ง จึงอยากแจ้งให้ทุกคนทราบ”

ทุกคนต่างแห่มารวมตัวรอบข้างจางหยาง แม่แต่หวังเฉียงเองก็ออกมาด้วยเพื่อรับฟังอย่างเงียบงัน

“ขอบคุณทุกคนมากครับ เนื่องจากผมรู้สึกว่า จ้าวเฉียนมีความสามารถเกินกว่าที่จะทำงานในแผนกวางแผน มันเป็นงานที่ไร้ทักษะและไม่ค่อยเอื้อต่อความสามารถของเขาเท่าไหร่ ดังนั้น ผมจึงตีดสินใขย้ายเขาไปที่แผนกการตลาดแทน เพื่อรับผิดชอบเจรจากับบริษัทคู่ค้าโดยตรง ทั้งหมดก็ทำไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวบริษัทเอง จ้าวเฉียน ตำแหน่งของนายสูงขึ้นอีกระดับนึงแล้ว นายรู้สึกยังไงบ้าง?”

ไม่ว่าจะให้จ้าวเฉียนทำงานแบบไหนย่อมไม่มีปัฯ หา อย่างไรก็ตามเขายังไม่คิดทุ้มทุนซื้ฟางนี่ทั้งบริษัทแน่นอน

“ผู้จีดการจางพูดเล่นหรือเปล่าครับ? ผมทำงานวางแผนมาโดยตลอด เพิ่งบังเอิญไปดิลกับบริษัทได้แค่ไม่กี่แห่งเอง ผมคงไม่มีหัวด้านธุรกิจขนาดนั้น ถ้าให้ผมทำงานในตำแหน่งเก่าน่าจะสบายใจกว่าครับ ก็ผลที่ออกมาไม่ตรงต่อความคาดหวังของผู้จัดการจาง”

เจตนาของจางหยางคือตั้งใจทำให้จ้าวเฉียนต้องอับอายขายขี้หน้า ดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อไปว่า

“อย่าถ่อมตัวไปเลย ความสามารถของคุณสูงขนาดไหนทุกคนล้วนประจักษ์ดีแล้วไม่ใช่เหรอ? จริงไหมทุกคน?”

บรรดาเพื่อนร่วมงานที่เฝ้ามองด้วยความตื่นอดตื่นเต้น ไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็คิดเพียงว่าช่วงนี้จ้าวเฉียนทำผลงานโดดเด่นเป็นพิเศษ จนสะดุดตาจางหยางเข้า ดังนั้น พวกเขาเองจึงต้องการให้จ้าวเฉียนย้ายไปทำสายงานที่เหมาะสมกว่าเช่นกัน

“ผู้จัดการจางพูดถูกแล้ว ผมเองก็คิดว่าจ้าวเฉียนมีความสามารถอย่างมากในด้านนี้ ทำงานอยู่แค่ในผนกวางแผน ผมว่ามันก็ดูน่าเสียดายไปหน่อย”

“ฉันเองก็ขอสนับสนุนความคิดของผู้จัดการจางเหมือนกัน จ้าวเฉียน นายอย่าถ่อมตัวเลย นายเป็นคนมีความรู้ความสามารถ คิดซะว่าทำเพื่อบริษัทนะ”

“ใช่แล้ว ฉันเองก็คิดเหมือนกัน!”

โดยปกติแล้ว จ้าวเฉียนไม่เคยคล้อยตามคำชมของพวกเขาอยู่แล้ว และเอ่ยตอบทันทีว่า

“ผมเข้าใจความรู้สึกของทุกคนดีนะครับ แต่ผมไม่ได้มีความสามารถมากมายอะไรขนาดนั้น ตอนนี้อยู่ในช่วงวัยรุ่นไฟแรง แถมยังสนใจตัวเกมเป็นพิเศษ ในสายวางแผนออกไอเดียน่าจะเหมาะสมกับผมกว่าน่ะครับ การจะออกไปดิลงานกับคู่ค้า ผมทำได้แค่ระดับมือสมัครเล่น ไม่ใช่มืออาชีพ”

จางหยางไม่ยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่นอน เขาจึงกล่าวว่า

“จ้าวเฉียน นายประสบความล้มเหลวในฐานะผู้จัดการ เป็นหัวหน้าแผนกวางแผนก็ไม่ค่อยมีเพื่อนร่วมงานพอใจเท่าไหร่นัก แผนการตลาดก็ไม่เอา ถ้าอย่างนั้นให้ฉันทำยังไงดี? ไล่ออกดีไหม?”

หวังเฉียงคว้าโอกาสนี้กล่าวแทรกขึ้นทันทีว่า

“จ่าวเฉียน นายเป็นคนมีความสามารถ แถมยังมีวิสัยทัศน์กว้างไหล ฟางนี่เล็งเห็นว่านายมีศักยภาพตั้งแต่ยังหนุ่ม จะสามารถก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ในเร็ววันแน่นอน ตอนนี้บริษัทก็มอบโอกาสนั้นแก่นายแล้ว แต่ทำไมกลับไม่รับมันเอาไว้?”

เจวียงหยวนเองก็ต้องการให่จ้าวเฉียนออกจากแผนกวางแผนเช่นกัน และเขาจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกวางแผนแทน นั้นจึงเป็นสาเหตุให้เขาเอ่ยปากสนับสนุนให้จ้าวเฉียนย้ายไปทำแผนกการตลาด

และนี่ยังเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้แก้แค้นจ้าวเฉียน

หวังเฉียงที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่าย่อมทราดีว่า การจะไปดิลกับบริษัทสักแห่งให้จับมือลงนามด้วยมันยากแค่ไหน ตราบเท่าที่จ้าวเฉียนถูกย้ายไปที่แผนกการตลาด เขาและเจียงเสี่ยวปิงจะมีโอกาสอีกมากในการเล่นงานเขาจากจุดผิดพลาดดังกล่าว และอาจใช้โอกาสนี้ไล่จ้าวเฉียนไปทำงานอยู่ในแผนกทำความสะอาด แบบที่อีกฝ่ายเคยทำกับเขา

อย่างไรเสีย ห้าปีแห่งการขัดเกลา ทั้งความคิดวิเคราะห์ของจ้าวเฉียนตกผลึกคล้ายถูกเจียระไนจนกลายเป็นเพชรเม็ดงาม เขาอ่านเกมทุกอย่างออก และรู้ว่าคนพวกนี้กำลังวางแผนอะไร ไม่มีหุนหันพลันแล่นแบบตัวเขาในวัยหนุ่ม ไม่เปลี่ยนใจเพียงเพราะลมปากของคนอื่น

“ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ แต่ผมขอทำงานอยู่ในแผนกวางแผนเงียบๆ คนเดียวดีกว่า”

น้ำเสียงของจางหยางเปลี่ยนไปทันที เขากล่าวยั่วยุขึ้นทันทีว่า

“กลัวว่าตัวเองไม่มีความสามารถพอรึไง?”

จ้าวเฉียนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า

“ใช่ครับ คุณเองก็เข้าใจดีหนิ”

ไม่ว่าไม้อ่อนไม้แข็งอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ หวังเฉียงและจางหยางไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เพื่อจะให้จ้าวเฉียนรับตำแหน่งนี้

จางหยางยังคงมุ่งมานะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำให้จ้าวเฉียนเสียหน้าให้จงได้!

“พูดกันตามตรงเลยแล้วกันนะ ตอนนี้คนในแผนกวางแผนมันค่อยข้างล้นแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะปลดพนักงานออก แต่เนื่องจากนายอุทิศตัวให้กับบริษัทของเราอย่างหนัด และสร้างผลงานโดดเด่นมากมาย ดังนั้นฉันจึงอยากให้นายย้ายไปอยู่ที่แผนกการตลาด หวังว่าจะไม่ปฏิเสธนะ ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะไม่มีทางเลือกอื่น แล้วต้องไล่นายออกจริงๆ เท่านี้ก็เข้าใจตรงกันแล้วนะ จะย้ายตำแหน่งงานหรือออกจากบริษัทดี?”

ในขณะเดียวกัน ฟางนี่ที่กำลังแอบฟังอยู่ในห้องทำงานตัวเอง ทันทีที่สถานการณ์พัฒนามาถึงจุดนี้ เธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และเปิดประตูดังปังออกมาโดยเร็ว

“นี่พวกนายมายืนคุยอะไรกันในเวลางาน? คิดจะอู้กันเหรอ?”

ฟางนี่ทราบดีว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่เธอแค่เล่นบทเป็นคนโง่เท่านั้น

หวังเฉียงรีบอธิบายให้ฟังทันทีว่า

“ประธานฟาง จ้าวเฉียนกำลังจะลาออกแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะพยายามพูดยังไง เขาก็ไม่ยอม จะออกให้ได้ เขาทำกำไรอย่างมากให้กับบริษัท และบริษัทอยู่ไม่ได้แน่ถ้าไม่มีเขา”

ฟางนี่หันควับจับจ้องไปทางหวังเฉียง ก่อนจะหันมายิ้มให้จ้าวเฉียนและพูดว่า

“จ้าวเฉียน นายมาคุยกับฉันที่ห้องทำงาน”

การทำงานต้องขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลล้วนๆ ถ้าไม่มีความสุขก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป และจ้าวเฉียนต้องการให้จางหยางและคนอื่นๆ รู้ว่า บริษัทยังมีปัญญาเดินหน้าต่อไปไหวไหมถ้าไม่มีเขา?

จ้าวเฉียนส่ายหัวพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มว่า

“ประธานฟาง ผมคิดว่าไม่มีอะไรใดๆ จำเป็นต้องพูดกันอีกแล้ว ผมไม่ชอบรู้แบบการทำงานในแผนกการตลาด ถ้าจะต้องบังคัญกันขนาดนี้ สู้เลิกจ้างผมไปเลยง่ายกว่าไหม? อยากได้คนเก่งๆ มาทำแผนกการตลาด ก็ไปจ้างคนมาใหม่ล่ะกันครับ ก็ลองคิดดูนะครับประธานฟาง ผมทำผลงานโดดเด่นมากมายให้กับคุณ แต่กลับรุมกันสร้างปัญหาให้ผมแบบนี้ มันยุติธรรมแล้วเหรอครับ? ช่างเถอะ ผมเองก็ไม่ค่อยอยากอยู่ที่นี่แล้วเหมือนกัน”

ฟางนี่ที่ได้ยินแบบนั้รนพลันรู้สึกวิตกกังวลหนัก ถ้าจ้าวเฉียนบอกกับบริษัทซิงหยวนว่า เขาถูกฟางนี่และคนในบริษัทรุมกันรังแก บางที่ทางซิงหยาวนอาจจะถอนความร่วมมือกับบริษัทเกมฟางนี่แน่นอนในอนาคต ถ้าเป็นแบบนั้นจริง บริษัทของเธอจะต้องกลับสู่หายนะเสี่ยงล้มละลายอีกครั้ง!

ขณะที่ฟางนี่กำลังจะเอ่ยขอร้องให้จ้าวเฉียนอยู่ต่อ แต่จู่ๆ จางหยางก็แสยะยิ้มเยาะ และพูดขั้นอย่างดูถูกดูแคลนว่า

“จ้าวเฉียน นายไปเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน? พูดอย่างกับว่าบริษัทของเราต้องการนายมาก? ถ้าขาดนายไปบริษัทเราคงไปต่อไม่ได้แน่เลย…งั้นเหรอ? ก็เอาสิ เชิญไสหัวไปซะ เผื่อบริษัทแห่งนี้จะพัฒนาขึ้นมาบ้าง!”

จ้าวเฉียนเพียงรวนหัวเราะตอบและไม่เอ่ยตอบใดๆ กลับไปเลย เขาหมุนตัวกลับไปเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างสบายอกสบายใจ

ทันใดนั้นเอง ฟางนี่ก็รีบวิ่งตามจ้าวเฉียนและจับมือรั้งเขาไม่ให้ไปไหน เธอกล่าวขอร้องขึ้นว่า

“จ้าวเฉียน นายอย่าเพิ่งหัวเสียเลยนะ พวกเขาจะไปเข้าใจความสำคัญของนายได้ยังไง? แต่ฉันเชื่อมั่นนะ เชื่อมั่นในความสามารถของนาย อีกอย่างนายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? บริษัทแห่งนี้เชื่อว่า บริษัทเกมฟางนี่ ดังนั้นไม่มีใครใหญ่ไปกว่าฉันอีกแล้ว! บริษัทนี้จะไปต่อไม่ได้แน่นอนถ้าไม่มีนาย! ฉันขาดนายไปไม่ได้จริงๆ!”

จางหยางทั้งตกใจทั้งโกรธจัดเมื่อได้ยินฟางนี่พูดออกไปแบบนี้ เธอเป็นถึงภรรยาของเขา และการที่เธอพูดเช่นนี้ออกไป มันไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าเขาฉะใหญ่ต่อหน้าทุกคนเหรอ? เขาเพิ่งกล่าวสบประมาทไปเองว่า เชิญไสหัวไป เผื่อบริษัทแห่งนี้จะพัฒนาขึ้นบ้าง ในขณะที่ฟางนี่กลับบอกไปว่า บริษัทนี้จะไปต่อไม่ได้ถ้าไม่มีมัน และเธอก็ขาดจ้าวเฉียนไปไม่ได้จริงๆ!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด