ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี 83 หมดหวัง

Now you are reading ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี Chapter 83 หมดหวัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่83 หมดหวัง

เนื่องด้วยภาพถ่ายและคลิปกล้องวงจรปิดที่เป็นหลักฐาน หยางเฉิงต้องยอมจำนนและยอมรับไปตามตรงว่า เขาถูกลักพาตัวไปและมีค่าไถ่ตัวถึงสิบล้านหยวน

ส่วนทางด้านหยางหมิงก็ถูกตำรวจนำตัวไปสอบปากคำ เมื่อเห็นว่าเรื่องราวมันแดงจนเกินปกปิดไหว เขาจึงโยนความผิดทั้งหมดไปให้หลิวซี

จากนั้นหลิวซีก็เป็นรายต่อไป เขาถูกนำตัวมาสืบสวน แต่ก็ให้คำปฏิเสธทั้งหมด และอ้างว่าหยางหมิงใส่ร้ายเพราะความขับข้องใจส่วนตัว

ตำรวจสอบถามหยางหมิงว่า มีหลักฐานชิ้นใดที่สามารถพิสูจน์ได้ไหมว่า หลิวซีคือตัวการที่ลักพาตัวหยางเฉิงไป? หยางหมิงส่ายหัวตอบไปว่า

“ผมไม่สามารถโทรแจ้งตำรวจได้ เพราะมันข่มขู่ผมไว้ ดังนั้นจึงไม่มีหลักฐานใดๆ เลย แต่ตอนที่ผมให้เงินมันไปสิบล้าน พ่อของผมก็ถูกโยนทิ้งมาแถวชานเมือง ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่การลักพาตัวจริงๆ แล้วทำไมตอนที่ผมโอนเงินไปปุ๊ป พ่อของผมจึงถูกปล่อยตัวปั๊ปล่ะ?”

ตำรวจได้แต่ตอบไปว่า ทั้งหมดเป็นแค่ข้อสันนิฐานเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้ และในเมื่องไม่มีหลักฐานในสิ่งที่เกิอดขึ้น เงินสิบล้านที่โอนให้จึงถูกปัดตกไปและสรุปสำนวนได้แค่ว่าเป็นการโอนเงินซื้อขายหรือมอบให้ด้วยความเสน่ห์หาเท่านั้น

หลิวเปาในขณะนี้หวาดกลัวจัดจนเหงื่อตก แต่โชคยังดีที่ฝ่ายหยางหมิงไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดมัดตัวเขาได้ มิฉะนั้นคราวนี้ชะตาขาดแน่นอน

แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ตำรวจได้รับจดหมายไม่จ่ายหน้าซอง ภายในบรรจุUSBภาพถ่ายและคลิปวีดีโอที่บันทึกเกี่ยวกับการลักพาตัวหยางหมิง และในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิวซีก็ได้รับจดหมายแบบเดียวกัน

ตำรวจได้สรุปสำนวนคดีใหม่พร้อมหลักฐานเพรียบพร้อม หลิวซีไม่สามารถดิ้นหลุดไปไหนได้ ตำรวจสอบปากคำสืบสาวไปต่อทันทีว่า มีใครอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้อีกหรือไม่ ตราบใดที่หลิวซีให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าพนักงาน ศาลจะช่วยลดโทษให้เขาได้

หลิวซีครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนตลอดทั้งคืน จนในที่สุดก็สารภาพไปตามตรงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือหลิวเปา

“หลิวเปาเป็นคนสั่งการผมอีกทีหนึ่ง เพราะหยางหมิงไปยั่วโมโห เขาจึงคิดจะสั่งสอนให้เข็ดหลาบ จากนั้นก็สั่งให้ผมไปลักพาตัวหยางเฉิงมา และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เกิดขึ้นเลยครับ”

“แล้วนายมีหลักฐานไหม?”

“หลักฐาน? นี่ยังไม่มีหลักฐานอีกงั้นเหรอ? ผมเป็นพยานนะ!”

“เรื่องข้อกฎหมายเป็นสิ่งที่ละเอียดยิบย่อยมาก คุณต้องมีหลักฐานอะไรสักอย่างเพื่อพิสูจน์ว่า สิ่งที่พูดมาเป็นความจริง เพื่อเป็นการป้องกันการช่วยเหลือพวกเดียวกัน หรือใส่ร้ายเพราะความขับข้องใจส่วนตัว ถ้าไม่มีหลักฐานทางตำรวจก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน”

หลิวซีตกตะลึงยิ่งเมื่อได้ยิน เขาก็แค่ทำตามคำสั่งของหลิวเปาให้ลักพาตัวหยางเฉิง แต่เขาไม่มีหลักฐานใดๆ เลย แม้แต่น๊ตหรือข้อความที่เป็นลายลักอักษร ไม่มีอะไรสักอย่าง

ขณะที่หลิวเปากำลังมีปัญหาเข้ามาพัวพันไม่หยุดหย่อน แต่จ้าวเฉียนกำลังมีความสุขอย่างยิ่ง หยางหู่กับหลิวเปาเป็นปฏิปักษ์กันไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว แน่นอนว่าสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเองก็ค่อนข้างแนบแน่นเช่นกัน คราวนี้หยางหู่เพียงต้องการสั่งสอนหลิวเปาเท่านั้น ซึ่งในจุดนี้จ้าวเฉียนก็เข้าใจดี เพื่อนร่วมทางในสายเดียวกันนับสิบปี ถึงแม้จะเป็นศัตรู แต่ก็ยังมีมิตรภาพบางอย่างอยู่บ้าง

สองวันต่อมา ในช่วงเช้าจ้าวเฉียนกำลังตรวจสอบแผนงานของแพลตฟอร์มเทียนซูวและเฉียนเต๋อ ทันใดนั้นเองฟางนี่ก็โทรมาหาเขา

“ฮาโหลจ้าวเฉียน นายพอมีเวลาไหม?”

“ก็ขึ้นอยู่กับว่าปัญหาของคุณหนักแค่ไหน?”

“อ่า…นั้นสินะ คือว่าทางซิงหยวนได้ส่งคนมาตรวจสอบความคืบหน้าโปรเจค แล้วเขาก็ไม่พอใจเป็นอย่างมากและขอให้ทางเรารื้อระบบเกมออกมาทั้งหมดและทำใหม่ ทำให้เราไม่ได้รับเงินสนบสนุนในรอบแรก หากทางนั้นยังคงกดดันซ้ำแบบนี้อีก ทางเราจะยิ่งขาดทุนจนเสียดุลทางการค้าไป นายช่วยไปคุยกับทางซิงหยวนได้ไหม ขอให้พวกเขาไม่ต้องรื้อระบบทั้งหมดมาทำใหม่ แค่แก้ไขบางจุดก็พอ”

“โอ้! เรื่องภายในบริษัทงั้นเหรอครับ! คุณฟางควรปล่อยให้จางหยางกับหวังเฉียงจัดการเองดีกว่านะ! คนหนึ่งเป็นถึงผู้จัดการจบจากอเมริกา ส่วนอีกคนเป็นถึงรองผู้จัดการมากประสบการณ์ บริษัทของคุณจะต้องก้าวข้ามผ่านปัญหานี้ได้แน่นอน! มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ? นี่ถึงเวลาจิบชาของผมแล้วด้วย แค่นี้นะครับ”

จ้าวเฉียนแสยะยิ้มบางกดตัดสายทิ้งไปทันที นี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น อาหารจานหลักยังไม่มาเสิร์ฟด้วยซ้ำ…

อีกสองวันต่อมา ฟางนี่โทรหาจ้าวเฉียนอีกครั้งหนึ่ง

“ฮาโหลจ้าวเฉียน นายพอมีเวลาออกมาทานข้าวสักมื้อไหม?”

“คุณฟางบอกผมมาตรงๆ ดีกว่าครับ ว่าอยากให้ช่วยเรื่องอะไร ไม่เห็นจะต้องเกรงใจกันเลย”

“อืมเข้าใจแล้ว ซิงหยวนบอกว่าเราไม่สามารถพัฒนาเกมได้ตามมาตรฐานที่กำหนด จึงตัดสินใจฉีกสัญญาความร่วมมือ และขอให้ทางเราชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนรวมห้าล้านหยวน ฉันขอร้องเถอะนะ กรุณาช่วยพวกเราด้วยเถอะ ช่วยเข้ามาแก้ไขสถานการณ์ตอนนี้ที”

“โอ้…แค่ฟังผมก็รู้สึกสงสารคุณฟางจับใจเลยครับ แต่ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ผมแทบไม่มีเวลาว่างเลย วันนี้ก็ต้องออกมาจิบชากับเพื่อนเก่า พรุ่งนี้ก็มีนัดช็อปปิ้ง คุณก็รู้ว่าช่วงนี้มีโปรโมชั่นลดกระหน่ำ จะพลาดได้ไงจริงไหม? แค่นี้นะครับ”

พอจ้าวเฉียนพูดจบก็กดตัดสายทิ้งไป แต่อีกแค่ไม่กี่วินาทีต่อมา ฟางนี่ก็โทรเข้ามาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะหมดหวังแล้วจริงๆ และไม่มีวิธีไหนที่จะเรียกความเชื่อใจจากบริษัทซิงหยวนกลับมาได้เลย และตอนนี้เธอก็เหลือแค่วิธีเดียวก็คือ ขอความช่วยเหลือจากจ้าวเฉียน

จ้าวเฉียนจับจ้องไปที่ชื่อฟางนี่และกดปัดตัดสายทิ้งโดยตรง ทว่าจากนั้นไม่นานฟางนี่ก็โทรมาหาอีกครั้งและอีกครั้ง แต่เขาก็กดตัดสายทั้งหมดไป

ฟางนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และวางมือถือลง ตอนนี้เธอคงต้องบากหน้าไปที่ซิงหยวนเพื่อไปขอร้องด้วยตัวเองแล้ว เธอตรงไปที่ห้องทำงานของจางหยาง และขอให้เขาขับรถพาเธอไปที่บริษัทซิงหยวน

จางหยางกำลังคิดหาวิธีตลอดหลายวันที่ผ่านมา แต่จนถึงบัดนนี้ก็ยังคิดวิธีดีๆ ไม่ออกสักที เขาทำได้เพียงพยักหน้าและพาเธอไปที่ซิงหยวน เพื่อไปขอร้องด้วยกัน

แต่ในเวลาเดียวกัน หวานฮันซูก็โทรเรียกจางหยวง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลอย่างยิ่ง

“ฮาโหล จางหยาง ปัญหาในบริษัทเป็นยังไงบ้าง? ทั้งหมดคลี่คลายแล้วรึยัง? รู้ไหมว่าฉันเชื่อใจนายแค่ไหน ดังนั้นอย่ามาหลอกฉัน! ถ้าโครงการแรกหลังจากที่ฉันกลับมาจีนเละไม่เป็นท่า ฉันคงถูกทางสำนักงานใหญ่ที่อเมริกาไล่ออกแน่นอน!”

จางหยางรู้สึกผิดอย่างสุดหัวใจ แต่เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างหวานฉันซูเอาไว้ เขายังคงแสร้งตอบกลับน้ำเสียงใจเย็นว่า

“ไม่ต้องกังวลไปน่า ฉันกำลังหาวิธีอยู่ อย่าเพิ่งใจร้อนไปเลย”

“จะไม่ให้ฉันใจร้อนได้ไง! นายบอกฉันว่าบริษัทสามารถทำเงินได้หลายสิบล้านภายในเวลาสองปี แถมยังแสดงงบการเงินให้ดูตั้งมากมาย ดังนั้นฉันอุตส่าห์ติดต่อสำนักงานใหญาเพื่อเบิกเงินลงทุนให้ แล้วนี่ยังไม่ทันไร บริษัทกลับประสบปัญหาเข้าให้แล้ว! นี่มันเกี่ยวพันถึงอาชีพของฉันเลยนะ!”

จางหยางเริ่มรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยตอบปนน้ำเสียงโกรธไปว่า

“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ? ก็กำลังคิดหาวิธีอยู่นี่ไง! กูบอกมึงตอนไหนวะว่าให้มึงนั่งดูความล้มเหลวไปเฉยๆ ห่ะ?!”

หวานฮันซูถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินจางหยางสวดไปแบบนั้น เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นเจือน้ำเสียงคลุมเครือว่า

“เออ ยังไงก็เถอะ นายรีบหาวิธียุติเรื่อพวนี้โดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นเส้นทางอาชีพของฉันคงพังพินาศไปจริงๆ แน่นอน โครงการแรกที่ออกโรงมาทำเองก็มีปัญหาแบบนี้ ฉันเองก็ไม่มีอะไรจะไปอธิบายกับสำนักงานใหญ่เช่นกัน แถมยังสัญญากับทางนั้นไปอีกว่า บริษัทเกมฟางนี่จะสามารถทำกำไรได้อย่างน้อยสิบล้านในสองปีแน่นอน แต่พอตอนนี้โปรเจคถูกยกเลิก นายคิดว่าบริษัทจะสามารถรักษาฐานกำไรนี้ได้อยู่ไหม?”

“โอเค โอเค…ฉันรู้ว่าควรแก้ไขปัญหานี่ยังไง นายมั่นใจได้เลย”

หลังจากที่จางหยางวางสายไป เขาก็รีบพาฟางนี่ไปที่บริษัทซิงหยวน สำนักงานใหญ่ทันที และขอเข้าพบกัวหมิงต้า

กัวหมิงต้าเองก็ทราบมาก่อนหน้าแล้วว่า จ้าวเฉียนถูกฟางนี่ขับไล่ออกจากบริษัท ดังนั้นเขาจึงต้องการระบายความแค้นนี้แทนจ้าวเฉียน พอได้ยินว่าหางนี่ต้องการจะมาคุยกันแบบตัวต่อตัส เขาก็ส่งให้คนอื่นออกไปปฏิเสธโดยตรง

ฟางนี่และจางหยางไม่คิดยอมแพ้ พวกเขายังคงนั่งรออยู่ที่นั้นจนกระทั้งกัวหมิงต้าเลิกงาน ทั้งสองรีบตรงเข้าไปพบและขอร้องให้กัวต้าหมิงหเวลาพวกเขาหน่อย แค่ห้านาทีก็ยังดี

กัวต้าหมิงส่ายหัวและกล่าวตอบไปแค่ว่า

“ผมต้องขอโทษพวกคุณจริงๆ ตอนนี้ผมมีแขกคนสำคัญที่ต้องไปพบ คงไม่มีเวลามาว่างคุยกับพวกคุณ แค่ปฏิบัติตามสัญญายังทำไม่ได้ ผมรู้สึกอับอายแทนจริงๆ ออกไปครับ”

ฟางนี่รีบอธิบายทันทีว่า

“ดิฉันทำตามที่คุณกัวระบุไว้ในสัญญาทุกประการ ต่าพนักงานที่รับผิดชอบโปรเจคนี้กลับเพิ่งออกไปไม่นาน ดิฉันเลยไปค้นพบปัญหาระหว่างส่งมอบงานหลังจากนั้น ทั้งหมดเกิดจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกันระหว่างสองแผนก เรื่องนี้ทางดิฉันหาทางจัดการแก้ไขได้หมดแล้ว คุณกัว เราขอโอกาสอีกครั้งนะคะ ดิฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”

กัวต้าหมิงยังคงส่ายหัว ตอบปฏิเสธไปว่า

“ผมขอโทษครับ แต่ตอนนี้เราได้จับมือกับบริษัทอื่นเรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองถูกรังแกก็สามารถฟ้องศาลได้เลยนะครับ ทางเราเองก็มีหลักฐานออกมาสู้ทุกเมื่อเช่นกัน มีอะไรคุยกับพนักงานทางซิงหยวนได้เลย แล้วอย่ามาโทรมารวนผมอีก ไม่งั้นผมฟ้องในข้อหารุกล้ำความเป็นส่วนตัวแน่”

กัวหมิงต้าพูดจบก็เรียกรปภ.มาจับตัวฟางนี่และจางหยางออกไป พวกเขายอมถอยกลับไปแต่โดยดีและยืนเคว้งคว้างอยู่หน้าบริษัทซิงหยวนอยู่แบบนั้น

ฟางนี่ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้อยู่อีกต่อไป เธอปล่อยโฮร้องไห้ออกมาทันที เธอกล่าวด้วยความวิตกว่า

“ตอนนี้เราหมดหวังแล้ว! คุณต้องเชิญจ้าวเฉียนกลับมาช่วยกู้วิกฤตบริษัทเดี๋ยวนี้ ที่รัก ลดอีโก้ลงบ้างแล้วโทรไปง้อให้เขากลับมา ไม่อย่างนั้นบริษัทเราพังพินาศแน่นอน ถึงเวลานั้นเราจะมีหน้าไปบอกหวานฮันซูยังไง?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด