ชายาเคียงหทัย 188-1 กลับหรู่หยางครั้งแรก

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 188-1 กลับหรู่หยางครั้งแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ภายในเมืองหรู่หยาง เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดีปรีดา เหตุผลก็หาใช่ใดอื่น ด้วยเพราะชายาติ้งอ๋องที่หายตัวไปกว่าครึ่งปี กลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่เพียงชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย แม้แต่ซื่อจื่อน้อยที่อายุในครรภ์กว่าเจ็ดเดือน ก็ยังอยู่ในครรภ์ชายาติ้งอ๋องอย่างปลอดภัยอีกด้วย

 

 

ทั่วทั้งเมืองหรู่หยางจึงคึกคักผิดธรรมดา ประหนึ่งมีงานเทศกาลอย่างไรอย่างนั้น ด้วยทุกคนต่างรู้ดีว่า พระชายานำทัพใหญ่สองแสนนายออกไปต้านทัพเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลินในฐานะสตรี และตีทัพเจิ้นหนานอ๋องเสียจนย่อยยับเสียหายเกือบหมด ยามนี้เมื่อชายาติ้งอ๋องและซื่อจื่อน้อยกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่ถือว่ามีสววรค์คอยคุ้มครองตำหนักติ้งอ๋องหรือ?

 

 

ท่ามกลางสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนี้ เอาเข้าจริง ชาวบ้านต่างไม่มีเวลาไปสนใจพิธีกรรมทั้งหลายที่นักปราชญ์ผู้โด่งดังได้สั่งสอนเอาไว้ ผู้ใดสามารถให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุขกับพวกเขาได้ พวกเขาก็จะรักและเคารพและสนับสนุนคนผู้นั้น

 

 

ในยามนี้ที่ต้าฉู่เกิดศึกสงครามขึ้นไปทั่ว แต่ภายในเขตซีเป่ยที่เข้าสู่สงครามก่อน กลับเป็นสถานที่ที่สงบสุข ซึ่งกว่าครึ่งก็ด้วยเพราะสิ่งที่ชายาติ้งอ๋องทำไว้ ดังนั้นการกลับมาของชายาติ้งอ๋องจึงย่อมทำให้พวกเขายินดีจนแทบลุกขึ้นเต้น ขณะเดียวกันพวกเขาก็มีความมั่นใจกับอนาคตของซีเป่ยมากขึ้นเช่นกัน

 

 

ในขณะที่ฟากนี้กำลังครื้นเครงกันอยู่นั้น จวนผู้ว่าการที่อยู่กลางเมืองกลับยังคงเงียบสงบ ถึงแม้บนใบหน้าทุกคนจะเต็มไปด้วยความปรีด์เปรม แต่ในยามนี้กลับมิใช้ช่วงเวลาที่ควรเฉลิมฉลอง

 

 

ภายในห้องนอน เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างเตียง มองดูชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวที่นอนหลับอยู่บนเตียง แล้วรับรู้เพียงความปวดหนึบขึ้นข้างในหัวใจ

 

 

เสิ่นหยางดึงเข็มเงินบนตัวม่อซิวเหยาออกด้วยความระมัดระวัง ก่อนถอยออกไปล้างมือที่ด้านข้าง

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านเสิ่น ซิวเหยาเป็นอย่างไรบ้าง” เรื่องเมื่อยามบ่ายทำให้เยี่ยหลีตกใจไม่น้อยจริงๆ ม่อซิวเหยาที่เดิมยังดีๆ อยู่ จู่ๆ ก็เกิดเป็นลมล้มลงกับพื้น ทั้งยังดูเหมือนจะมีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดอีกด้วย

 

 

เสิ่นหยางหันมองเยี่ยหลี แล้วเอ่ยปลอบใจว่า “พระชายาวางใจเถิด ยามนี้ท่านอ๋องไม่เป็นอันใดแล้ว”

 

 

“เป็นเพราะข้าลืมเองว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไร เหตุใดท่านอ๋องถึงได้…” จากที่นางไปอาศัยอยู่ในภูเขาลึกอยู่หลายเดือน แล้วยังไปอยู่ในสุสานหลวงโดยไม่รู้วันรู้คืนอยู่อีกหลายวัน ทำให้เยี่ยหลีลืมเรื่องวันเวลาไปเสียสนิท ไม่คิดเลยว่า วันนี้จะเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงพอดี

 

 

เสิ่นหยางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องเพียงใช้การตัดชีพจรในการปิดความรู้สึกเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดที่มาทุกวันพระจันทร์เต็มดวงนั้น เดิมทีก็มิใช่ว่าจะปิดกันได้ ท่านอ๋องฝืนร่างกายตนเองเช่นนี้ ย่อมต้องทำร้ายร่างกายภายในเป็นธรรมดา โชคดีที่รู้ได้ไว จึงไม่มีอันตรายอันใดมากนัก”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ตอนที่ซิวเหยาอาการกำเริบ ข้าก็เคยเห็นมาก่อน แต่ครานี้กลับไม่เหมือนทุกครั้ง ท่านเสิ่น เกิดอันใดขึ้นกับซิวเหยา ได้โปรดบอกมาตามจริงเถิด”

 

 

เสิ่นหยางนั่งลงตรงข้ามนาง “พระชายาใจเย็นก่อน ท่านอ๋องช่วงหลายเดือนมานี้ดูอาการดีขึ้นมากก็จริง แต่มิใช่ว่าพิษในร่างกายออกฤทธิ์น้อยลง แต่เพราะความอดทนของท่านอ๋องดูจะสูงขึ้นอีกขั้น หรือจะบอกว่า…การรับรู้ความเจ็บปวดของท่านอ๋อง ดูจะรับรู้ได้ช้าลง โชคดีที่ว่า เท่าที่ข้าน้อยดู ท่านอ๋องในยามนี้มิได้มีปัญหาอื่น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ยามนี้เมื่อพระชายาปลอดภัยกลับมาแล้ว ข้าน้อยก็สามารถศึกษาพิษในร่างกายท่านอ๋องได้อย่างสบายใจเสียที”

 

 

หลายเดือนที่ผ่านมา คนที่ลำบากมีจำนวนมากเกินไปจริงๆ หนึ่งในนั้นก็รวมถึงเสิ่นหยางด้วย เขาไม่สามารถเก็บตัวอยู่ในที่เงียบๆ เป็นเวลานานๆ เพื่อศึกษาเรื่องการแพทย์ได้อย่างที่ผ่านๆ มา และยิ่งไม่สามารถออกไปไกลๆ เพื่อตามหาตัวยาที่ล้ำค่าหรือตามหาแพทย์ฝีมือดีได้ ด้วยเพราะเขาต้องคอยเฝ้าดูอาการของม่อซิวเหยาอยู่ตลอดเวลา เผื่อเกิดอันใดไม่คาดคิดขึ้น

 

 

แต่เมื่อดูจากอาการของม่อซิวเหยาแล้ว ถึงแม้เสิ่นหยางจะแอบปรับเปลี่ยนอาหารและยาบำรุงม่อซิวเหยาอยู่นับครั้งไม่ถ้วน แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เสิ่นหยางก็มั่นใจว่า ต่อให้สามารถถอนพิษในร่างกายของเขาออกได้หมด ท่านอ๋องก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสามปี เขาจะต้องทำให้ตนเองเหนื่อยตายอย่างแน่นอน ยามนี้พระชายากลับมาแล้ว เมื่อมีนางคอยดูแลท่านอ๋อง ย่อมจัดการอันใดได้ง่ายขึ้น

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า ก้มมองใบหน้าชายหนุ่มที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยแววตารู้สึกผิดและเจ็บปวด “ขอบคุณท่านเสิ่นมาก ท่านออกไปพักเถิด ทางท่านอ๋องนี่เดี๋ยวข้าคอยดูแลเอง”

 

 

เสิ่นหยางลุกขึ้นประสานมือคารวะ “ยามนี้ด้วยร่างกายของพระชายาเองก็ไม่สะดวกนัก ควรรีบพักผ่อนเช่นกัน หากมีอันใดให้คนไปเรียกข้าน้อยมาก็แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อส่งเสิ่นหยางไปแล้ว นางก็หันไปโบกมือให้บ่าวที่คอยรับใช้อยู่ เยี่ยหลีนั่งลงข้างเตียง นั่งมองใบหน้าขาวซีดของม่อซิวเหยาอยู่เงียบๆ ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าด้านซ้ายที่มีรอยแผลเป็นยาวๆ นางถอนใจออกมาเบาๆ “ซิวเหยา…”

 

 

เช้ามืด เมื่อเยี่ยหลีรู้สึกตัวตื่น ก็พบว่าตนอยู่ในอ้อมอกที่อบอุ่น จึงอึ้งไปเล็กน้อยก่อนมองไปยังฟูกที่นอนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เมื่อคืนด้วยเพราะนางไม่อยากทำให้ม่อซิวเหยาตื่น นางจึงไปนอนอยู่บนฟูกอ่อนภายในห้อง คิดไม่ถึงว่า เมื่อลืมตามาอีกทีกลับมาอยู่ในอ้อมเขนของม่อซิวเหยาเสียแล้ว

 

 

แค่นางขยับ ม่อซิวเหยาก็ลืมตาขึ้นทันที เขามิได้พูดอันใด เพียงมองเยี่ยหลีอยู่เงียบๆ เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ดีขึ้นหรือยัง”

 

 

ดวงตาม่อซิวเหยาเป็นประกาย ลูบแขนเยี่ยหลีไปมา กระชับตัวนางเข้ากับอก เอ่ยว่า “ปวด อยากนอนต่ออีกสักหน่อย”

 

 

เยี่ยหลียื่นมือไปปัดปรอยผมบนหน้าเขาออก ในใจเจ็บปวดยากจะอธิบาย ปวดไปทั้งตัวแล้วจะนอนหลับได้อย่างไร แต่ก็ไม่อยากเอ่ยขัดเขา เพียงพยักหน้าเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “เอาเถิด นอนต่ออีกสักหน่อย”

 

 

“อาหลีนอนด้วยกัน” ม่อซิวเหยาเอ่ยทั้งๆ ที่ยังหลับตา

 

 

เยี่ยหลีรับคำ “นอนเถิด”

 

 

เพียงแต่ พวกเขาที่อยากจะนอนขี้เกียจสักหน่อย แต่คนอื่นกลับไม่ให้โอกาสพวกเขาทำเช่นนั้น ไม่นาน ด้านนอกเรือนก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น เยี่ยหลีได้ยินเสียงพวกหานหมิงซีดังแว่วมา

 

 

เมื่อวานกว่าพวกนางจะกลับมาถึงก็ดึกมากแล้ว และด้วยเพราะม่อซิวเหยาสลบไสลไม่ได้สติ จึงเพียงเรียกเสิ่นหบางให้มาดูอาการ และไม่ได้ให้ผู้อื่นมาพบอีก ก็ไม่แปลกที่พวกหมิงซีจะมารบกวนกันแต่เช้า

 

 

เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งอย่างจนใจ ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ม่อซิวเหยาก็ลุกขึ้นนั่งตามมาอีกคน แต่สีหน้าดูบึ้งตึงเสียจนน่ากลัว

 

 

ทั้งสองไม่ได้เรียกหาบ่าวไพร่ เพียงค่อยๆ จัดการตนเองจนเรียบร้อย พอเปิดประตูออกไป ด้านนอกก็กำลังวุ่นวายกันอยู่พอดี มีองครักษ์ลับคอยกันผู้มาเยือนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเต็มที่ ไม่ยอมให้คนด้านนอกที่กำลังร้อนใจผ่านเข้ามาได้

 

 

เยี่ยหลีเห็นหานหมิงซียืนอยู่ตรงประตูเรือนด้านนอกด้วยสีหน้าโกรธจัด จึงเอ่ยเรียบๆ พร้อมยิ้มน้อยๆ ว่า “หมิงซี ได้ยินเสียงเจ้าแต่เช้า เอะอะโวยวายอันใดหรือ”

 

 

พอได้ยินเสียงเยี่ยหลีเท่านั้น หานหมิงซีก็อึ้งไป รีบหันหน้าไปมอง ก็เห็นสตรีในชุดสีฟ้ากำลังยืนยิ้มน้อยๆ อยู่ที่หน้าประตู สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดีทันที “จวินเหวย!”

 

 

ชั่วขณะนั้นเขาไม่ทันสนใจสิ่งอื่น หานหมิงซีพุ่งตัวไปทางเยี่ยหลีทันที แต่ถึงแม้วิชาตัวเบาของหานหมิงซีจะเรียกได้ว่าเป็นเลิศ แต่กลับมีคนที่รวดเร็วกว่าเขา

 

 

ม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยหลีไม่แม้แต่จะเปิดโอกาสให้เขาได้เข้าใกล้ ก้าวเข้ามาให้เยี่ยหลีหลบอยู่หลังตน ก่อนพุ่งฝ่ามือเข้าใส่หานหมิงซีที่กำลังพุ่งเข้ามาทันที

 

 

หานหมิงซีถึงกับตกใจ รีบตีลังกากลางอากาศถอยไปสิบกว่าก้าว ถึงจะหลบฝ่ามือนี้ของเขาได้ “ม่อซิวเหยา เจ้าบ้า เจ้าทำอันใดเนี้ย!”

 

 

คนที่อยู่รอบๆ ต่างอดปาดเหงื่อแทนหานหมิงซีไม่ได้ ด้วยเพราะพวกเขาต่างเห็นอย่างชัดเจนว่า สีหน้าของชายหนุ่มตรงหน้านั้นน่ากลัวเพียงใด

 

 

ม่อซิวเหยาไม่เอ่ยอันใดสักคำ เพียงปัดตัวพร้อมก้าวเข้าไปสะบัดมือใส่หานหมิงซีอยู่หลายที

 

 

เดิมทีวิทยายุทธของหานหมิงซีก็ธรรมดาๆ อยู่แล้ว จะไปเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร จึงทำได้เพียงหลบฝ่ามือของเขาเป็นพัลวัน ยังโชคดีที่วิชาตัวเบาของเขาถือว่าเป็นเลิศในเจียงหู มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยพลังฝ่ามือและความรุนแรงของม่อซิวเหยา ผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็ยากนักที่จะเอ่ย

 

 

“ซิวเหยา ท่านทำอันใดน่ะ” เยี่ยหลีอุทานออกมาอย่างจนใจ นี่ถือว่าเขาอารมณ์เสียจากการตื่นนอนหรือไม่นะ ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเห็นว่าม่อซิวเหยาจะลงมือโดยไม่พูดอันใดสักคำเช่นนี้

 

 

ม่อซิวเหยาชะงักไป เงยหน้าขึ้นกวาดตามองหานหมิงซีที่ยืนอยู่บนต้นไม้ไม่กล้าลงมา แล้วจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “หานหมิงซี ข้าเคยบอกว่า ให้ระวังชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไว้!”

 

 

หานหมิงซีใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม คนอื่นยืนอยู่ด้านหลังม่อซิวเหยาคงไม่รู้ แต่เขากลับเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ในแววตาที่ม่อซิวเหยาจ้องมาที่เขานั้น เป็นแววตาสังหารอย่างแท้จริง เมื่อครู่ม่อซิวเหยามิได้เพียงระบายอารมณ์ใส่ตนเท่านั้น แต่คิดที่จะฆ่าเขาจริงๆ

 

 

“เอาล่ะ” เยี่ยหลีค่อยเดินมาข้างม่อซิวเหยา ดึงมือเขามาจับไว้แน่น ชาติที่แล้วของนางเป็นพลแม่นปืน จึงไวต่อสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศโดยรอบ เหตุใดนางจะสัมผัสไม่ได้ถึงรังสีสังหารในน้ำเสียงของม่อซิเหยา

 

 

นางตบหลังมือเบาๆ เพื่อให้ม่อซิวเหยาสงบลง เมื่อรู้สึกว่าเขาผ่อนคลายลงแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยกลั้วหัวเราะกันหานหมิงซีว่า “หมิงซี ไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน พวกเจ้ามาเอะอะอันใดกันแต่เช้าหรือ”

 

 

หานหมิงซีทำเป็นลูบผม ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย เมื่อวานได้ยินว่าพระชายากลับมา แต่ดึกมากแล้ว…”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยอย่างขอลุแก่โทษว่า “ข้ากับท่านอ๋องตื่นสายเอง ทำให้ทุกท่านต้องรอนานแล้ว”

 

 

ทุกคนในที่นั้นถึงเพิ่งตั้งสติได้ รีบเอ่ยคารวะกันอย่างพร้อมเพรียงว่า “เหล่าข้าน้อยคารวะท่านอ๋องและพระชายา”

 

 

ถึงแม้ราชสำนักจะถอดถอนบรรดาศักดิ์ของม่อซิวเหยาไปแล้ว แต่ที่เมืองหรู่หยางและคนทั้งซีเป่ย กลับพร้อมใจทำประหนึ่งลืมราชโองการนั้นไปแล้วกระนั้น และยังคงเรียกม่อซิวเหยาเป็นท่านอ๋องและเยี่ยหลีเป็นพระชายาเช่นเดิม ซึ่งม่อซิวเหยาก็มิได้ว่าอันใดในเรื่องนี้ หากไม่ให้เรียกว่าท่านอ๋อง แล้วต้องคิดหาคำเรียกอื่น คงเสียเวลาไม่น้อย อีกอย่าง เขาเองก็คุ้นชินกับการที่ทุกคนเรียกขานตนว่าท่านอ๋องด้วย ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการบอกม่อจิ่งฉีว่า เขา ม่อซิวเหยา หากต้องการเป็นอ๋อง ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาแต่งตั้ง

 

 

ม่อซิวเหยาจับจ้องลูกน้องทุกคนด้วยสีหน้าบึ้งตึง ทุกคนที่มองเห็นต่างพากันใจตุ๊มๆ ต่อมๆ

 

 

ตั้งแต่เกิดเรื่องพระชายาขึ้น อารมณ์ของท่านอ๋องก็เปลี่ยนไปจนคาดเดาได้ยากเป็นพิเศษ ถึงแม้โดยรวมแล้วจะยังคงหลักแหลมเช่นเดิม แต่ในด้านอารมณ์ กลับไม่น่าเข้าใกล้เช่นในอดีต

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าของเขา ทุกคนจึงลองคิดใคร่ครวญให้ดี ก็เข้าใจว่าต้นเหตุนั้นอยู่ที่ใด พระชายากับท่านอ๋องได้พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากพรากจากกันไปนาน ย่อมอยากใช้เวลาอยู่ร่วมกันตามลำพังเพียงสองคน พวกเขามารบกวนฝันดีๆ ของท่านอ๋องกันตั้งแต่เช้า ท่านอ๋องอารมณ์ดีสิ ถึงจะแปลก ครึ่งหนึ่งจึงพากันส่งสายตาก่นด่าไปทางหานหมิงซีที่เพิ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็หันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ข้างม่อซิวเหยา

 

 

เยี่ยหลีบิดมุมปากขึ้นยิ้มน้อยๆ ดึงมือม่อซิวเหยาเงียบๆ

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “ช่างเถิด ลุกขึ้นได้แล้ว”

 

 

“ขอบพระคุณท่านอ๋อง พระชายา” ทุกคนดีใจประหนึ่งได้รับนิรโทษกรรม รีบลุกขึ้นเอ่ยขอบคุณ

 

 

เมื่อทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว คนที่ไม่มีธุระอันใดต่างรีบร้อนถอยออกไป แต่ละคนล้วนไม่ใช่คนโง่ ยามนี้ท่านอ๋องไม่อยากพบหน้าพวกเขา จึงหายตัวกันไปอย่างรู้งาน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด