ชายาเคียงหทัย 232-2 ได้พบองค์หญิงฉางเล่ออีกครั้ง

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 232-2 ได้พบองค์หญิงฉางเล่ออีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่ฮองเฮาออกหน้าขอร้องแทนตระกูลสวี ก็ถูกฮ่องเต้ยึดอำนาจในการปกครองวังหลังไป ถึงแม้เรื่องอื่นๆ จะยังคงปฏิบัติเช่นเดิม ด้วยเส้นสายและบารมีของฮองเฮาตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ในวังมา ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากระทำการไม่เคารพต่อนาง แต่ถึงอย่างไรฮองเฮาที่มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ กับฮองเฮาที่มีเพียงตำแหน่งลอยๆ ก็ไม่เหมือนกัน

เสนาบดีหลิ่วที่ยืนอยู่ สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด คนพวกนี้มิได้คิดที่จะเชิญให้เขานั่งลงเลยไม้แต่น้อย และถึงขั้นเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ถึงบุตรสาวของตนที่ยามนี้กุมอำนาจในวังหลังและกดขี่องค์หญิงฉางเล่อต่อหน้าเขาอีก เสนาบดีหลิ่วจึงโกรธจนหนวดขยับขึ้นลงทันที และอดเอ่ยแทรกขึ้นไม่ได้ว่า “คุณชายเฟิ่งซานที่พูดเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปสักหน่อย บุตรสาวข้ากดขี่องค์หญิงฉางเล่อตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เฟิ่งจือเหยากับจั๋วจิ้งและหลินหานที่เมื่อครู่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรส เงียบเสียงลงทันที

จั๋วจิ้งปรับสีหน้าให้กลับไปเรียบเฉยดังเดิม ผินหน้าไปปรายตามองเสนาบดีหลิ่ว “เสนาบดีหลิ่ว ที่ท่านเอ่ยขัดผู้อื่นที่กำลังพูดคุยกันโดยพลการเช่นนี้ ท่านไม่รู้จักมารยาทหรือ”

เสนาบดีหลิ่วโกรธจนตัวเซ ชี้หน้าจั๋วจิ้งอยู่เป็นนานแต่กลับพูดอันใดไม่ออก ครู่ใหญ่ถึงได้พอสงบอารมณ์ลงได้ แล้วจึงเอ่ยอย่างโกรธจัดว่า “ปล่อยให้แขกยืนรอเช่นนี้ นี่เป็นวิธีการต้อนรับแขกของตำหนักติ้งอ๋องหรือ”

“คนที่ได้รับการต้อนรับถึงเรียกว่าเป็นแขก แต่ที่มาโดยมิได้รับเชิญ…” หลินหานมองเสนาบดีหลิ่วด้วยความจริงใจ ใช้สีหน้าในการสื่อว่า พวกเรามิได้เชิญท่านขึ้นมาเลยจริงๆ

เฟิ่งจือเหยาเอามือเท้าคาง เอ่ยลอยๆ ว่า “อีกอย่างนะ เสนาบดีหลิ่ว เดิมข้ามิได้เพียงสงสัยว่าตระกูลหลิ่วไม่รู้จักกฎระเบียบ แต่เอาเข้าจริงเชื้อพระวงศ์ของต้าฉู่ทั้งหมดก็ไม่รู้จักกฎระเบียบกันหมดเลยกระมัง เมื่อครู่ยามที่ขึ้นมาด้านบน พวกเจ้าเดินกันมาอย่างไร เสนาบดีหลิ่วเดินอยู่หน้าสุด แต่องค์หญิงฉางเล่อกลับเดินรั้งท้ายสุด”

“แล้วมีปัญหาอันใด” เสนาบดีหลิ่วเอ่ยอย่างไม่เห็นขัน

เฟิ่งจือเหยาพ่นเสียงหัวเราะออกทางจมูก “เสนาบดีหลิ่ว หลิ่วกุ้ยเฟยมียศเป็นอี้ผิ่น องค์หญิงฉางเล่อก็มียศเป็นอี้ผิ่น ท่านที่เป็นเสนาบดีนี่ก็…เป็นอี้ผิ่นเช่นกัน แต่ยศอี้ผิ่นที่ว่านี้ก็ไม่เหมือนกันสักทีเดียวกระมัง ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยมียศสูงเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงอนุ องค์หญิงฉางเล่อเป็นพระธิดาสายหลักองค์โตของฮองเฮา ลองคิดดูว่า ในตระกูลพวกเจ้า จะให้อนุคนหนึ่งมาเดินนำหน้าบุตรสาวสายหลักอย่างนั้นหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบิดาของผู้ที่เป็นอนุกระมัง”

“เฟิ่งจือเหยา! เจ้า…เจ้า…” เสนาบดีหลิ่วโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว นิ้วที่ชี้หน้าเฟิ่งจือเหยาสั่นไม่ได้หยุด

เขามิอาจพูดว่าที่เฟิ่งจือเหยากล่าวนั้นไม่ถูกต้อง ด้วยเพราะตามปกติแล้ว หากเสนาบดีอย่างเขาเมื่อพบองค์หญิงฉางเล่อก็ต้องทำการคารวะ ส่วนสถานะระหว่างหลิ่วกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อนั้น เขาเองก็มิอาจพูดได้ว่ากฎระเบียบของเชื้อพระวงศ์กับบ้านคนสามัญธรรมดาทั่วไปนั้นต่างกัน ด้วยเพราะถึงแม้เมื่อยามอยู่ในวัง องค์หญิงฉางเล่อจะต้องทำความเคารพหลิ่วกุ้ยเฟยที่มากอาวุโสกว่าอยู่ครึ่งพิธี แต่สำหรับบัณฑิตในใต้หล้าแล้ว องค์หญิงฉางเล่อที่มีฐานะเป็นองค์หญิงสายหลัก อย่างไรก็สูงส่งกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นกุ้ยเฟยอย่างหลิ่วกุ้ยเฟย การที่องค์หญิงสายหลักต้องทำความเคารพกุ้ยเฟยนั้น เป็นการให้ความเคารพและแสดงมารยาทต่อผู้เป็นเสด็จพ่อ แต่นั่นมิใช่สิ่งจำเป็น

“ติ้งอ๋อง ท่านสั่งสอนลูกน้องประสาอะไร” เสนาบดีหลิ่วโกรธจนเลือกคำพูดไม่ถูก จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ม่อซิวเหยาแทน

ม่อซิวเหยาผินหน้าไปมอง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ “ข้าจะสั่งสอนลูกน้องเช่นไรแล้วไปเกี่ยวอันใดกับเจ้าเมื่อใดกัน”

ในที่สุดเสนาบดีหลิ่วก็ได้เข้าใจว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว เขาจะปฏิบัติตามที่ตนเห็นควรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งจือเหยาหรือพวกจั๋วจิ้งที่ปากคอเราะร้าย ด้านข้างยังมีสวีชิงเฉินที่นั่งเงียบมาตลอดอยู่อีกคนด้วย นั่นเป็นถึงคนที่โต้แย้งกับนักบวชชั้นสูงแห่งยุคจนกระอักเลือดได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดเลยทีเดียว

ดังนั้น เสนาบดีหลิ่วจึงถึงกับตาเหลือกและล้มลงไปทันที

เฟิ่งจือเหยากะพริบตาปริบๆ “แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรือ”

ช่วงนี้คนของม่อจิ่งฉีที่เขาได้พบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทั้งทางวาจาและการใช้กำลัง เหตุใดถึงได้กระจอกเช่นนี้นะ

สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ว่าไม่ไหว แต่นี่เป็นวิธีการถอยที่ดีที่สุดต่างหาก” นี่เป็นการบอกว่าเสนาบดีหลิ่วรู้จักที่จะยื่นออกและดึงกลับ หากยังฝืนต่อไป เกรงว่าคงถูกพวกเฟิ่งจือเหยารุมจนเป็นลมกันไปพอดี

แต่ถึงอย่างไรก็คงปล่อยให้ชายชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีนอนเหงาๆ อยู่บนพื้นเช่นนั้นไม่ได้ สวีชิงเฉินส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ตรงปากบันไดให้ปล่อยคนที่เสนาบดีหลิ่วพามาให้มานำตัวเขาออกไปหาหมอ

ภายในห้องส่วนตัวอีกด้านหนึ่ง บรรยากาศด้านในกลับแตกต่างจากด้านนอกโดยสิ้นเชิง องค์หญิงฉางเล่อจับมือเยี่ยหลีมาพูดนู้นพูดนี่ให้ฟังไม่ได้หยุด ใบหน้าเร็วเล็กสวยงามที่ยังมีความอ่อนเยาว์อยู่นั้น ดูมีความไร้เดียงสาและจริงใจขึ้นหลายส่วน

เยี่ยหลีอมยิ้มมององค์หญิงฉางเล่อ ในแววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและแววขบขัน ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี จากเด็กสาวที่เคยน่ารักน่าเอ็นดู เติบโตกลายเป็นแม่นางน้อยร่างโปร่งระหงและสวยงามเสียแล้ว

มีเพียงหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งทิ้งระยะกับทั้งสองอยู่ช่วงหนึ่ง สีหน้าเรียบดูประหนึ่งกำลังใจลอย เห็นได้ชัดว่ามิได้คิดจะท้าวความหลังอันใดกับเยี่ยหลีจริงๆ

หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้สนใจเยี่ยหลี เยี่ยหลีก็มิได้คิดจะสนใจหลิ่วกุ้ยเฟย เดิมทีคราแรกที่ได้พบหน้าเมื่อหลายปีก่อน เยี่ยหลีก็มิได้มีความรู้สึกอันดีต่อหลิ่วกุ้ยเฟยมากนักอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรสตรีที่อยู่ในวังลึกและก็ไม่ง่ายนักที่จะมีนิสัยประหลาดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นว่าหลิ่วกุ้ยเฟยมีใจให้ม่อซิวเหยาอย่างหัวปักหัวปำ และมักหาเรื่องตนทั้งโจ่งแจ้งและอย่างลับๆ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อนางจึงค่อยๆ จางหายไปจนไม่เหลือ เพราะถึงอย่างไร ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจรักใคร่ม่อซิวเหยาอย่างหมดหัวใจเพียงใด แต่ตัวนาง เยี่ยหลีต่างหากที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของม่อซิวเหยา หลิ่วกุ้ยเฟยชอบพอม่อซิวเหยา นางไม่มีความเห็นอันใด แต่หากชื่นชอบถึงขั้นไม่ชอบหน้าภรรยาที่อยู่มาก่อนแล้ว จนคอยพูดจาส่อเสียด ดูแคลนและข่มขู่ ก็ออกจะเกินไปสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกคราที่เห็นท่าทางเยือกเย็นและสูงส่งของหลิ่วกุ้ยเฟย ก็มักคิดไปถึงภาพที่นางคร่ำครวญขอร้องม่อซิวเหยาที่ในป่าเถาภายในวังวันนั้นขึ้นมาทุกคราไป จนทำให้นางอดรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาไม่ได้

“ชายาติ้งอ๋อง ได้ยินว่าท่านคลอดน้องชายที่แสนน่ารักมาคนหนึ่งหรือ” องค์หญิงฉางเล่อจับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

เยี่ยหลีอมยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว ปีนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว”

องค์หญิงฉางเล่อถอนใจพลางเอ่ยว่า “น้องชายที่เป็นบุตรของชายาติ้งอ๋องกับท่านอาติ้งอ๋องจะต้องน่ารักและฉลาดเฉลียวมากแน่ๆ เหตุใดพระชายาถึงไม่พาน้องชายมาหนานเจียงด้วยกันเล่า”

เยี่ยหลีเห็นท่าทางเสียใจของนาง ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ยกมือจึงบีบจมูกน้อยๆ ของนางแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในวังมีน้องชายอยู่ตั้งมากมาย องค์หญิงยังเห็นมาไม่พออีกหรือ”

องค์หญิงฉางเล่อส่งเสียงหึเบาๆ ทำปากยื่นเล็กน้อย “เสด็จแม่มิได้คลอดน้องชายให้ข้าเสียหน่อย ฉางเล่อไม่มีน้องชาย”

“เอาล่ะๆๆ ไม่มีน้องชาย เช่นนั้นต่อไปตัวน้อยของข้าให้เรียกองค์หญิงว่าพี่สาวดีหรือไม่” เยี่ยหลีอดเอ่ยกลั้วยิ้มขึ้นไม่ได้

องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายทันที กะพริบตาพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จริงหรือ เช่นนั้น…ข้าจะต้องให้ของขวัญแรกพบหน้ากับน้องชายหรือไม่ อือ…ยามนี้ข้าคงยังไปซีเป่ยไม่ได้ พระชายาช่วยเอากลับไปให้น้องชายแทนข้าก็แล้วกัน ต่อไปหากน้องชายได้พบหน้าข้าจะได้ชื่นชอบข้า” นางพูดไปพลาง ก้มลงมองตนเองไปพลาง ก่อนดึงกระดิ่งหยกที่ปราณีตงดงามอันหนึ่งออกมาจากข้อมือมาจับใส่มือเยี่ยหลีอย่างไม่ลังเล

เยี่ยหลีจับกระดิ่งหยกขึ้นมาด้วยความตกใจ หยกขาวชั้นดีที่แกะสลักอย่างประณีตออกมาเป็นรูปมังกรและหงส์ มังกรกับหงส์เกี่ยวพันกันเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ ระหว่างช่องว่างของมังกรกับหงส์ตรงกลาง ยังมองเห็นหยกมุกเม็ดหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงตัวห้อยอันเล็กๆ แต่ฝีมือการแกะสลักที่ปราณีตอย่างหาใดเปรียบกับหยกงามชั้นเลิศนั้น แค่เพียงมองดูก็รู้แล้วว่ามีมูลค่าไม่ธรรมดา

องค์หญิงฉางเล่อใจใหญ่เช่นนี้ แม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยเองก็อดผินหน้ามามองนางไม่ได้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “องค์หญิง ตัวห้อยหยกนั้นเป็นของที่ไทเฮาทรงประทานให้ท่านนะเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อหน้าบึ้งลงด้วยความไม่พอใจ เอ่ยว่า “เสด็จย่าประทานให้ข้าก็เป็นของข้าแล้ว ข้าอยากมอบให้ผู้ใด เกี่ยวอันใดกับหลิ่วกุ้ยเฟยด้วย”

เยี่ยหลียื่นมือไปจับองค์หญิงฉางเล่อไว้ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด ข้าขอบคุณองค์หญิงที่ประทานของขวัญให้แทนเฉินเอ๋อร์ด้วยก็แล้วกัน จะว่าไปข้าเองก็ควรมอบของขวัญกลับให้องค์หญิงแทนเฉินเอ๋อร์เช่นกัน เพียงแต่ที่ข้านำติดตัวมาไม่มีอันใดที่เหมาะจะมอบให้เป็นของขวัญเลย”

องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย กะพริบตามองเยี่ยหลี “พระชายา ข้าสามารถเลือกของขวัญเองได้หรือไม่”

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เอ่ยยิ้มๆ ว่า “องค์หญิงอยากได้อันใดหรือ”

องค์หญิงฉางเล่อลุกยืนขึ้น ก้มตัวลงเอ่ยกระซิบที่ข้างหูเยี่ยหลีอยู่สองสามประโยค

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ท่านจะเอา…ไปทำอันใด”

องค์หญิงฉางเล่อยกมุมปากขึ้น จับผมเปียที่ทิ้งตัวอยู่บนหน้าอกของตนพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็เล่นน่ะสิ คนอื่นไม่มีผู้ใดยอมให้ข้าสักคน ข้ารู้ว่าพระชายาต้องมี ก็แค่ชิ้นเดียวเอง พระชายา ได้หรือไม่เล่า”

เยี่ยหลียิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าขอกลับไปหาดูก่อน หากมีจะนำมาให้ท่าน”

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มจนตาหยีโค้ง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าชายาติ้งอ๋องดีที่สุด”

เยี่ยหลียกมือขึ้นจับผมองค์หญิงฉางเล่อ เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ใช่สิ งานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี เหตุใดเสด็จพ่อของท่านถึงได้ส่งท่านมาได้หรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาที่เคยสดใสขององค์หญิงฉางเล่อก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ชายาเคียงหทัย 232-2 ได้พบองค์หญิงฉางเล่ออีกครั้ง

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 232-2 ได้พบองค์หญิงฉางเล่ออีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่ฮองเฮาออกหน้าขอร้องแทนตระกูลสวี ก็ถูกฮ่องเต้ยึดอำนาจในการปกครองวังหลังไป ถึงแม้เรื่องอื่นๆ จะยังคงปฏิบัติเช่นเดิม ด้วยเส้นสายและบารมีของฮองเฮาตลอดเวลาหลายปีที่อยู่ในวังมา ก็ไม่มีผู้ใดกล้ากระทำการไม่เคารพต่อนาง แต่ถึงอย่างไรฮองเฮาที่มีอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือ กับฮองเฮาที่มีเพียงตำแหน่งลอยๆ ก็ไม่เหมือนกัน

เสนาบดีหลิ่วที่ยืนอยู่ สีหน้าเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด คนพวกนี้มิได้คิดที่จะเชิญให้เขานั่งลงเลยไม้แต่น้อย และถึงขั้นเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์ถึงบุตรสาวของตนที่ยามนี้กุมอำนาจในวังหลังและกดขี่องค์หญิงฉางเล่อต่อหน้าเขาอีก เสนาบดีหลิ่วจึงโกรธจนหนวดขยับขึ้นลงทันที และอดเอ่ยแทรกขึ้นไม่ได้ว่า “คุณชายเฟิ่งซานที่พูดเช่นนี้ก็ออกจะเกินไปสักหน่อย บุตรสาวข้ากดขี่องค์หญิงฉางเล่อตั้งแต่เมื่อใดกัน”

เฟิ่งจือเหยากับจั๋วจิ้งและหลินหานที่เมื่อครู่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรส เงียบเสียงลงทันที

จั๋วจิ้งปรับสีหน้าให้กลับไปเรียบเฉยดังเดิม ผินหน้าไปปรายตามองเสนาบดีหลิ่ว “เสนาบดีหลิ่ว ที่ท่านเอ่ยขัดผู้อื่นที่กำลังพูดคุยกันโดยพลการเช่นนี้ ท่านไม่รู้จักมารยาทหรือ”

เสนาบดีหลิ่วโกรธจนตัวเซ ชี้หน้าจั๋วจิ้งอยู่เป็นนานแต่กลับพูดอันใดไม่ออก ครู่ใหญ่ถึงได้พอสงบอารมณ์ลงได้ แล้วจึงเอ่ยอย่างโกรธจัดว่า “ปล่อยให้แขกยืนรอเช่นนี้ นี่เป็นวิธีการต้อนรับแขกของตำหนักติ้งอ๋องหรือ”

“คนที่ได้รับการต้อนรับถึงเรียกว่าเป็นแขก แต่ที่มาโดยมิได้รับเชิญ…” หลินหานมองเสนาบดีหลิ่วด้วยความจริงใจ ใช้สีหน้าในการสื่อว่า พวกเรามิได้เชิญท่านขึ้นมาเลยจริงๆ

เฟิ่งจือเหยาเอามือเท้าคาง เอ่ยลอยๆ ว่า “อีกอย่างนะ เสนาบดีหลิ่ว เดิมข้ามิได้เพียงสงสัยว่าตระกูลหลิ่วไม่รู้จักกฎระเบียบ แต่เอาเข้าจริงเชื้อพระวงศ์ของต้าฉู่ทั้งหมดก็ไม่รู้จักกฎระเบียบกันหมดเลยกระมัง เมื่อครู่ยามที่ขึ้นมาด้านบน พวกเจ้าเดินกันมาอย่างไร เสนาบดีหลิ่วเดินอยู่หน้าสุด แต่องค์หญิงฉางเล่อกลับเดินรั้งท้ายสุด”

“แล้วมีปัญหาอันใด” เสนาบดีหลิ่วเอ่ยอย่างไม่เห็นขัน

เฟิ่งจือเหยาพ่นเสียงหัวเราะออกทางจมูก “เสนาบดีหลิ่ว หลิ่วกุ้ยเฟยมียศเป็นอี้ผิ่น องค์หญิงฉางเล่อก็มียศเป็นอี้ผิ่น ท่านที่เป็นเสนาบดีนี่ก็…เป็นอี้ผิ่นเช่นกัน แต่ยศอี้ผิ่นที่ว่านี้ก็ไม่เหมือนกันสักทีเดียวกระมัง ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยมียศสูงเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงอนุ องค์หญิงฉางเล่อเป็นพระธิดาสายหลักองค์โตของฮองเฮา ลองคิดดูว่า ในตระกูลพวกเจ้า จะให้อนุคนหนึ่งมาเดินนำหน้าบุตรสาวสายหลักอย่างนั้นหรือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบิดาของผู้ที่เป็นอนุกระมัง”

“เฟิ่งจือเหยา! เจ้า…เจ้า…” เสนาบดีหลิ่วโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว นิ้วที่ชี้หน้าเฟิ่งจือเหยาสั่นไม่ได้หยุด

เขามิอาจพูดว่าที่เฟิ่งจือเหยากล่าวนั้นไม่ถูกต้อง ด้วยเพราะตามปกติแล้ว หากเสนาบดีอย่างเขาเมื่อพบองค์หญิงฉางเล่อก็ต้องทำการคารวะ ส่วนสถานะระหว่างหลิ่วกุ้ยเฟยกับองค์หญิงฉางเล่อนั้น เขาเองก็มิอาจพูดได้ว่ากฎระเบียบของเชื้อพระวงศ์กับบ้านคนสามัญธรรมดาทั่วไปนั้นต่างกัน ด้วยเพราะถึงแม้เมื่อยามอยู่ในวัง องค์หญิงฉางเล่อจะต้องทำความเคารพหลิ่วกุ้ยเฟยที่มากอาวุโสกว่าอยู่ครึ่งพิธี แต่สำหรับบัณฑิตในใต้หล้าแล้ว องค์หญิงฉางเล่อที่มีฐานะเป็นองค์หญิงสายหลัก อย่างไรก็สูงส่งกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นกุ้ยเฟยอย่างหลิ่วกุ้ยเฟย การที่องค์หญิงสายหลักต้องทำความเคารพกุ้ยเฟยนั้น เป็นการให้ความเคารพและแสดงมารยาทต่อผู้เป็นเสด็จพ่อ แต่นั่นมิใช่สิ่งจำเป็น

“ติ้งอ๋อง ท่านสั่งสอนลูกน้องประสาอะไร” เสนาบดีหลิ่วโกรธจนเลือกคำพูดไม่ถูก จึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ม่อซิวเหยาแทน

ม่อซิวเหยาผินหน้าไปมอง คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ “ข้าจะสั่งสอนลูกน้องเช่นไรแล้วไปเกี่ยวอันใดกับเจ้าเมื่อใดกัน”

ในที่สุดเสนาบดีหลิ่วก็ได้เข้าใจว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว เขาจะปฏิบัติตามที่ตนเห็นควรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งจือเหยาหรือพวกจั๋วจิ้งที่ปากคอเราะร้าย ด้านข้างยังมีสวีชิงเฉินที่นั่งเงียบมาตลอดอยู่อีกคนด้วย นั่นเป็นถึงคนที่โต้แย้งกับนักบวชชั้นสูงแห่งยุคจนกระอักเลือดได้ตั้งแต่อายุสิบเจ็ดเลยทีเดียว

ดังนั้น เสนาบดีหลิ่วจึงถึงกับตาเหลือกและล้มลงไปทันที

เฟิ่งจือเหยากะพริบตาปริบๆ “แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรือ”

ช่วงนี้คนของม่อจิ่งฉีที่เขาได้พบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทั้งทางวาจาและการใช้กำลัง เหตุใดถึงได้กระจอกเช่นนี้นะ

สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ “ไม่ใช่ว่าไม่ไหว แต่นี่เป็นวิธีการถอยที่ดีที่สุดต่างหาก” นี่เป็นการบอกว่าเสนาบดีหลิ่วรู้จักที่จะยื่นออกและดึงกลับ หากยังฝืนต่อไป เกรงว่าคงถูกพวกเฟิ่งจือเหยารุมจนเป็นลมกันไปพอดี

แต่ถึงอย่างไรก็คงปล่อยให้ชายชราอายุเจ็ดสิบแปดสิบปีนอนเหงาๆ อยู่บนพื้นเช่นนั้นไม่ได้ สวีชิงเฉินส่งสัญญาณให้องครักษ์ที่ยืนอยู่ตรงปากบันไดให้ปล่อยคนที่เสนาบดีหลิ่วพามาให้มานำตัวเขาออกไปหาหมอ

ภายในห้องส่วนตัวอีกด้านหนึ่ง บรรยากาศด้านในกลับแตกต่างจากด้านนอกโดยสิ้นเชิง องค์หญิงฉางเล่อจับมือเยี่ยหลีมาพูดนู้นพูดนี่ให้ฟังไม่ได้หยุด ใบหน้าเร็วเล็กสวยงามที่ยังมีความอ่อนเยาว์อยู่นั้น ดูมีความไร้เดียงสาและจริงใจขึ้นหลายส่วน

เยี่ยหลีอมยิ้มมององค์หญิงฉางเล่อ ในแววตาเต็มไปด้วยความอบอุ่นและแววขบขัน ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี จากเด็กสาวที่เคยน่ารักน่าเอ็นดู เติบโตกลายเป็นแม่นางน้อยร่างโปร่งระหงและสวยงามเสียแล้ว

มีเพียงหลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งทิ้งระยะกับทั้งสองอยู่ช่วงหนึ่ง สีหน้าเรียบดูประหนึ่งกำลังใจลอย เห็นได้ชัดว่ามิได้คิดจะท้าวความหลังอันใดกับเยี่ยหลีจริงๆ

หลิ่วกุ้ยเฟยมิได้สนใจเยี่ยหลี เยี่ยหลีก็มิได้คิดจะสนใจหลิ่วกุ้ยเฟย เดิมทีคราแรกที่ได้พบหน้าเมื่อหลายปีก่อน เยี่ยหลีก็มิได้มีความรู้สึกอันดีต่อหลิ่วกุ้ยเฟยมากนักอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรสตรีที่อยู่ในวังลึกและก็ไม่ง่ายนักที่จะมีนิสัยประหลาดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นว่าหลิ่วกุ้ยเฟยมีใจให้ม่อซิวเหยาอย่างหัวปักหัวปำ และมักหาเรื่องตนทั้งโจ่งแจ้งและอย่างลับๆ ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีต่อนางจึงค่อยๆ จางหายไปจนไม่เหลือ เพราะถึงอย่างไร ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจรักใคร่ม่อซิวเหยาอย่างหมดหัวใจเพียงใด แต่ตัวนาง เยี่ยหลีต่างหากที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของม่อซิวเหยา หลิ่วกุ้ยเฟยชอบพอม่อซิวเหยา นางไม่มีความเห็นอันใด แต่หากชื่นชอบถึงขั้นไม่ชอบหน้าภรรยาที่อยู่มาก่อนแล้ว จนคอยพูดจาส่อเสียด ดูแคลนและข่มขู่ ก็ออกจะเกินไปสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกคราที่เห็นท่าทางเยือกเย็นและสูงส่งของหลิ่วกุ้ยเฟย ก็มักคิดไปถึงภาพที่นางคร่ำครวญขอร้องม่อซิวเหยาที่ในป่าเถาภายในวังวันนั้นขึ้นมาทุกคราไป จนทำให้นางอดรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาไม่ได้

“ชายาติ้งอ๋อง ได้ยินว่าท่านคลอดน้องชายที่แสนน่ารักมาคนหนึ่งหรือ” องค์หญิงฉางเล่อจับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

เยี่ยหลีอมยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว ปีนี้อายุได้ห้าขวบแล้ว”

องค์หญิงฉางเล่อถอนใจพลางเอ่ยว่า “น้องชายที่เป็นบุตรของชายาติ้งอ๋องกับท่านอาติ้งอ๋องจะต้องน่ารักและฉลาดเฉลียวมากแน่ๆ เหตุใดพระชายาถึงไม่พาน้องชายมาหนานเจียงด้วยกันเล่า”

เยี่ยหลีเห็นท่าทางเสียใจของนาง ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ยกมือจึงบีบจมูกน้อยๆ ของนางแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ในวังมีน้องชายอยู่ตั้งมากมาย องค์หญิงยังเห็นมาไม่พออีกหรือ”

องค์หญิงฉางเล่อส่งเสียงหึเบาๆ ทำปากยื่นเล็กน้อย “เสด็จแม่มิได้คลอดน้องชายให้ข้าเสียหน่อย ฉางเล่อไม่มีน้องชาย”

“เอาล่ะๆๆ ไม่มีน้องชาย เช่นนั้นต่อไปตัวน้อยของข้าให้เรียกองค์หญิงว่าพี่สาวดีหรือไม่” เยี่ยหลีอดเอ่ยกลั้วยิ้มขึ้นไม่ได้

องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายทันที กะพริบตาพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จริงหรือ เช่นนั้น…ข้าจะต้องให้ของขวัญแรกพบหน้ากับน้องชายหรือไม่ อือ…ยามนี้ข้าคงยังไปซีเป่ยไม่ได้ พระชายาช่วยเอากลับไปให้น้องชายแทนข้าก็แล้วกัน ต่อไปหากน้องชายได้พบหน้าข้าจะได้ชื่นชอบข้า” นางพูดไปพลาง ก้มลงมองตนเองไปพลาง ก่อนดึงกระดิ่งหยกที่ปราณีตงดงามอันหนึ่งออกมาจากข้อมือมาจับใส่มือเยี่ยหลีอย่างไม่ลังเล

เยี่ยหลีจับกระดิ่งหยกขึ้นมาด้วยความตกใจ หยกขาวชั้นดีที่แกะสลักอย่างประณีตออกมาเป็นรูปมังกรและหงส์ มังกรกับหงส์เกี่ยวพันกันเป็นลูกกลมๆ เล็กๆ ระหว่างช่องว่างของมังกรกับหงส์ตรงกลาง ยังมองเห็นหยกมุกเม็ดหนึ่งอยู่ตรงกลางอีกด้วย ถึงแม้จะเป็นเพียงตัวห้อยอันเล็กๆ แต่ฝีมือการแกะสลักที่ปราณีตอย่างหาใดเปรียบกับหยกงามชั้นเลิศนั้น แค่เพียงมองดูก็รู้แล้วว่ามีมูลค่าไม่ธรรมดา

องค์หญิงฉางเล่อใจใหญ่เช่นนี้ แม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยเองก็อดผินหน้ามามองนางไม่ได้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยว่า “องค์หญิง ตัวห้อยหยกนั้นเป็นของที่ไทเฮาทรงประทานให้ท่านนะเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อหน้าบึ้งลงด้วยความไม่พอใจ เอ่ยว่า “เสด็จย่าประทานให้ข้าก็เป็นของข้าแล้ว ข้าอยากมอบให้ผู้ใด เกี่ยวอันใดกับหลิ่วกุ้ยเฟยด้วย”

เยี่ยหลียื่นมือไปจับองค์หญิงฉางเล่อไว้ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “เอาเถิด ข้าขอบคุณองค์หญิงที่ประทานของขวัญให้แทนเฉินเอ๋อร์ด้วยก็แล้วกัน จะว่าไปข้าเองก็ควรมอบของขวัญกลับให้องค์หญิงแทนเฉินเอ๋อร์เช่นกัน เพียงแต่ที่ข้านำติดตัวมาไม่มีอันใดที่เหมาะจะมอบให้เป็นของขวัญเลย”

องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย กะพริบตามองเยี่ยหลี “พระชายา ข้าสามารถเลือกของขวัญเองได้หรือไม่”

เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เอ่ยยิ้มๆ ว่า “องค์หญิงอยากได้อันใดหรือ”

องค์หญิงฉางเล่อลุกยืนขึ้น ก้มตัวลงเอ่ยกระซิบที่ข้างหูเยี่ยหลีอยู่สองสามประโยค

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ท่านจะเอา…ไปทำอันใด”

องค์หญิงฉางเล่อยกมุมปากขึ้น จับผมเปียที่ทิ้งตัวอยู่บนหน้าอกของตนพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก็เล่นน่ะสิ คนอื่นไม่มีผู้ใดยอมให้ข้าสักคน ข้ารู้ว่าพระชายาต้องมี ก็แค่ชิ้นเดียวเอง พระชายา ได้หรือไม่เล่า”

เยี่ยหลียิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าขอกลับไปหาดูก่อน หากมีจะนำมาให้ท่าน”

องค์หญิงฉางเล่อยิ้มจนตาหยีโค้ง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าชายาติ้งอ๋องดีที่สุด”

เยี่ยหลียกมือขึ้นจับผมองค์หญิงฉางเล่อ เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ใช่สิ งานอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี เหตุใดเสด็จพ่อของท่านถึงได้ส่งท่านมาได้หรือ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาที่เคยสดใสขององค์หญิงฉางเล่อก็ค่อยๆ อ่อนแสงลง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+