ชายาเคียงหทัย 241-2 ค่ำคืนในเมืองหนานจ้าวอ๋อง

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 241-2 ค่ำคืนในเมืองหนานจ้าวอ๋อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหลยเถิงเฟิงมองทั้งสองอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องช่างมีใจให้กันอย่างดียิ่งนัก ทำให้ข้านึกอิจฉาเสียจริง” ต่อให้พวกเจ้ารักใคร่กันเพียงใด ก็ไม่จำเป็นต้องมาแสดงต่อหน้าผู้คนเช่นนี้กระมัง

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “โบราณว่าไว้ จะแต่งภรรยาก็ควรแต่งภรรยาที่มีคุณธรรม การเป็นบุรุษได้แต่งงานกับภรรยาที่ดี ย่อมไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว หากโชคดี ก็อย่างเช่นข้าที่ได้แต่งงานกับอาหลี แต่หากโชคไม่ดี…”

ประโยคที่เหลือ ม่อซิวเหยามิได้เอ่ยต่อให้จบ แต่ทุกคนที่นั่งอยู่กลับเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี เพียงแต่คนที่โชคไม่ดีนั้น ทุกคนต่างมีตัวเลือกของตนเองอยู่ในใจ ทุกคนหันมองไปทางเยี่ยหลีโดยมิได้นัดหมาย มิอาจไม่ยอมรับว่า ม่อซิวเหยาช่างโชคดีจริงๆ

ชายาติ้งอ๋องมิได้มีเพียงความงดงามอ่อนหวาน และสูงสง่าเท่านั้น แต่ความสามารถบุ๋นก็มากพอจะปกครองแคว้นได้ ความสามารถบู๊ก็สามารถทำให้แคว้นสงบร่มเย็นได้ ยามนี้หน่วยกิเลนที่น่าเกรงกลัวที่สุดของซีเป่ย ก็เป็นหน่วยที่ชายาติ้งอ๋องฝึกปรือมาด้วยตนเอง คุณชายสี่คุณชายห้าเป็นแกนนำให้ชาวบ้านเปิดที่ดินทำกินทางตอนเหนือ ทำให้พื้นที่ทางตอนเหนือที่ทิ้งร้างอยู่เปล่าๆ กลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ให้ชาวบ้านได้อยู่อาศัยและทำกินอย่างมีความสุข ซึ่งก็ได้ข่าวว่าเป็นความคิดของเยี่ยหลีเช่นกัน

ต่อให้ไม่มีเรื่องเหล่านี้ แค่เพียงเอ่ยว่าชายาติ้งอ๋องมีท่านลุงสองคนอย่างสวีหงอวี่และสวีหงเยี่ยน กับลูกพี่ลูกน้องอีกห้าคน หากผู้อื่นรู้ว่าตระกูลสวีให้ความสำคัญกับเยี่ยหลีมากมายเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษทั่วทั้งใต้หล้าคงคิดแย่งกันให้ได้แต่งงานกับสตรีที่ดีงามเช่นนี้อย่างแน่นอน

แต่ตั้งแต่ที่ม่อซิวเหยาแต่งงานกับเยี่ยหลีเป็นต้นมา ม่อซิวเหยาที่เดิมทีขลุกตัวอยู่แต่ในตำหนักติ้งอ๋อง ขาพิการทั้งสองข้าง รูปโฉมอัปลักษณ์ ทั้งยังมีอาการป่วยชุกชุม แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถแบ่งแยกเขตซีเป่ยออกไปได้ สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง ถึงขั้นมีบุตรแล้วด้วยซ้ำ นี่ถือเป็นความโชคดีเพียงใดกัน ทั้งหมดนี้ สิ่งที่ม่อซิวเหยาต้องสละไปทั้งหมด ก็มีเพียงผมที่ขาวโพลนทั้งศีรษะเท่านั้น และที่สำคัญไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่ม่อซิวเหยาผมขาวเป็นต้นมา เขากลับดูมีสง่าราศีเป็นที่ดึงดูดสายตามากขึ้นไปอีก!

แม้แต่เยี่ยหลีเองก็ถูกความหน้าหนาของม่อซิวเหยาทำให้หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แม้สีหน้าจะเรียบเฉยประหนึ่งผิวน้ำ แต่กลับลอบยื่นนิ้วอันเรียวยาวไปหยิกแรงๆ เข้าที่เอวของม่อซิวเหยาอย่างไม่ปราณี

ม่อซิวเหยาทำหน้าม่อยลงทันที “ภรรยา…”

เมื่อเห็นทั้งสองดูจะยิ่งไปกันใหญ่ สวีชิงเฉินก็กระแอมไอเบาๆ เป็นการเตือนทั้งสองว่ายังมีคนนอกอยู่ด้วย ให้ระวังกิริยา

เยี่ยหลีก็คร้านจะสนใจม่อซิวเหยาที่ทำตัวเป็นเด็ก หันมองไปทางหนึ่งที่ยังคงมีเสียงต่อสู้ดังมาไม่หยุด แล้วเอ่ยถามว่า “ซูม่านหลินสั่งเคลื่อนพลองครักษ์ที่รักษาเมืองอยู่หรือ”

สวีชิงเฉินพยักหน้าเรียบๆ ยิ้มเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง องค์หญิงอันซีก็มิใช่สตรีบอบบางที่จะยอมให้ผู้อื่นมารังแกได้ ชนเผ่าต่างๆ ที่มาร่วมงานอภิเษกในครานี้ นอกจากตระกูลของผู่อ่าแล้วยังมีตระกูลทางฝั่งตาขององค์หญิงอันซี ก็นำคนมากันไม่น้อย”

“ที่นั่น…ม่อซิวเหยา เจ้ามันคนเชื่อถือไม่ได้!” ม่อจิ่งหลีที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง มองจ้องออกไปยังจุดหนึ่งอยู่เป็นนาน แล้วจู่ๆ ก็หันมาเอ่ยตะคอกใส่ม่อซิวเหยา

ม่อซิวเหยาเอนศีรษะพิงไหล่เยี่ยหลีอย่างเกียจคร้าน ปรายตามองไปทางม่อจิ่งหลีพร้อมเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “หมายความเช่นไร”

ม่อจิ่งหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมิใช่คนซีเป่ยของเจ้า? มิใช่หน่วยกิเลน?”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็ต่างพากันลุกขึ้นยืนเดินไปทางหน้าต่างเพื่อมองให้ชัดเจนโดยทันที ก็ได้เห็นว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่บุกทะลวงเข้าไปกลางกองทหารที่วุ่นวายประหนึ่งตัดต้นไผ่ กวาดทำลายทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความเร็วในการบุกเข้าไปของพวกเขา ถึงแม้ศัตรูจะมีจำนวนมากกว่าพวกเขาอยู่หลายเท่า แต่ก็มิอาจขัดขวางพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ทุกคนต่างพากันหันมองไปทางม่อซิวเหยา นอกจากซีเป่ย นอกจากหน่วยกิเลน ไม่มีผู้ใดมีความสามารถในการรบเช่นนี้

“แย่จริง ถูกจับได้เสียแล้ว อาหลี จะทำเช่นไรดี” ม่อซิวเหยาก็ไม่บิดพลิ้ว กะพริบตาปริบๆ หันมองไปทางเยี่ยหลีอย่างไร้เดียงสา

เยี่ยหลีระบายยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ยามนี้อยู่ในช่วงฟ้ามืด ในมือซูม่านหลินมีทหารอยู่หลายพันนาย หากหน่วยฉีหลินไม่อยากให้ถูกจับได้ ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยอันใดให้เห็น นี่เห็นได้ชัดว่า ม่อซิวเหยาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้…เขาคิดจะช่วยสนับสนุนองค์หญิงอันซีอย่างนั้นหรือ

ม่อจิ่งหลีเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ม่อซิวเหยา ทุกคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของหนานเจียง ที่เจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำผิดข้อตกลง!”

ม่อซิวเหยาเบ้ปากอย่างดูแคลน ต่อให้ข้าทำผิดข้อตกลงแล้พวกเจ้าคิดจะทำเช่นไร กัดข้า?

เมื่ออ่านสิ่งที่แฝงอยู่บนใบหน้าของม่อซิวเหยาออกอย่างละเอียดแล้ว กล้ามเนื้อบนใบหน้าของม่อจิ่งหลีก็กระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เหลยเถิงเฟิงยังพอมีสติอยู่บ้าง เดิมทีเขาก็มิได้คิดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในหนานเจียงอยู่แล้ว หนานจ้าวกับซีหลิงมีเขตแดนที่ติดกันอยู่ขนาดใหญ่ ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป ก็มีเรื่องให้ปะทะกันไม่ได้หยุด อย่างไรก็คงเป็นมิตรกันไม่ได้ เจิ้นหนานอ๋องพอวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว หากภายในระยะเวลาอันสั้น ยังไม่สามารถตีต้าฉู่ให้แตกได้ เช่นนั้นก็จะเริ่มลงมือกับหนานจ้าวก่อน ดังนั้น หนานจ้าวจะอยู่ในมือผู้ใด ก็ล้วนไม่มีความหมายอันใดกับเขา

“ติ้งอ๋อง ในเมื่อพวกเราได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ที่ท่านลงมือโดยพลการเช่นนี้ อย่างไรก็คงมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับพวกเรากระมัง” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อธิบาย? ก็มิได้มีอันใดหรอก แน่นอนว่า ด้วยเพราะข้ารับปากพวกเจ้าทีหลัง แต่รับปากองค์หญิงอันซีไว้ก่อนก็เท่านั้น อีกอย่าง ข้าก็มิได้คิดที่จะยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องภายในของหนานเจียงแตแรก เพียงแต่องค์หญิงอันซีบอกว่า นางนึกสงสัยว่ามีคนจะฉวยโอกาสงานอภิเษกสมรสของนาง มาก่อความวุ่นวาย จึงมาขอยืมตัวองครักษ์ของข้าจำนวนหนึ่งไว้ให้คอยช่วยอารักขาความปลอดภัยของบ่าวสาวและแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งงานก็เท่านั้น องค์หญิงอันซีเป็นสหายสนิทกับคุณชายชิงเฉิน และก็มีไมตรีต่อชายารักของข้าเป็นอย่างมาก แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อย่างไรข้าก็คงไม่อนุญาตไม่ได้กระมัง อีกอย่างข้าก็มิได้ให้คนไปเปล่าๆ ทหารที่องค์หญิงอันซีขอยืมตัวจากข้าไป แต่ละนายเป็นเงินห้าพันสองร้อยตำลึง หากได้รับบาดเจ็บหรือตายระหว่างการต่อสู้ ยังจะต้องชดเชยเป็นเงินคนละห้าร้อยตำลึงไว้เป็นค่ายา หรือหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นค่าทำขวัญ การค้าขายที่ทั้งได้คุณธรรมและคุ้มค่าเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องมิตรไมตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าก็จะทำ”

ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ลอบกระอักเลือดในใจ

แต่เยี่ยหลีกลับทำท่าใช้ความคิด ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะคิดเรื่องทหารรับจ้างขึ้นมาเองได้ จะว่าไป หากหน่วยกิเลนกลายเป็นทหารรับจ้าง…ไม่เพียงสามารถทำเงินได้อย่างไม่น่าเกลียด แต่ที่สำคัญกว่านั้น ยังสามารถเพิ่มโอกาสในการฝึกออกรบสนามจริงได้อย่างมากอีกด้วย เพราะถึงอย่างไรหลายปีมานี้ ซีเป่ยก็เงียบสงบจนเกินไป ต่อให้มีการฝึกซ้อมที่มากกว่านี้ ก็ยังให้ผลสู้ไปลงสนามรบจริงๆ ครั้งเดียวไม่ได้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเรื่อยเปื่อยของเยี่ยหลีเอง ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีทางให้หน่วยกิเลนที่ฝึกซ้อมมาอย่างทุ่มเท กลายไปเป็นทหารรับจ้างหรอก

“อาหลีกำลังคิดอันใดอยู่หรือ” ม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีก้มหน้าลงใช้ความคิด ก็รู้ดีว่าในใจนางจะต้องมีแผนการอันใดอย่างแน่นอน จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไว้ค่อยว่ากัน”

ม่อซิวเหยาก็รู้ว่าสถานที่นี่ไม่เหมาะกับการพูดคุย เขากวาดตามองทุกคนที่ชอบมองมาทางพวกเขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก่อนลุกขึ้นโอบเยี่ยหลีอย่างเปิดเผย ให้มายืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูการต่อสู้ด้วยอีกคน

เยี่ยหลีเคยผ่านการฝึกพิเศษมาก่อน ส่วนม่อซิวเหยาก็มีวิทยายุทธแก่หล้า การมองเห็นในที่มืดของทั้งสองคนย่อมดีกว่าคนอื่นๆ มากนัก

เมื่อได้เห็นฝีมือหน่วยกิเลนจากที่ไกลๆ เยี่ยหลีก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ห้าปีกว่ามานี้อย่างไรก็มิได้ฝึกกันไปเปล่าๆ ทหารในหน่วยกิเลนทั้งหมด ล้วนผ่านการเคี่ยวกรำจากการฝึกมาแล้วทุกคน สามารถปฏิบัติภารกิจเดี่ยวได้อย่างสมบูรณ์

ม่อซิวเหยาชี้นิ้วไกลออกไป “คนของซูม่านหลินเริ่มโจมตีตำหนักองค์หญิงแล้ว”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ยามนี้ องค์หญิงอันซีน่าจะมิได้อยู่ในตำหนักองค์หญิงกระมัง”

ม่อซิวเหยายิ้ม “แน่นอนว่าไม่อยู่ ยามนี้จะรอความตายอยู่ที่ตำหนักองค์หญิงหรือ”

เกรงว่าองค์หญิงอันซีก็คงคาดไม่ถึงว่า เสด็จพ่อของนางจะถึงขั้นให้ตราคำสั่งเคลื่อนพลองครักษ์ในเมืองกับซูม่านหลิน เมื่อต้องรับมือกับทหารจำนวนนับเจ็ดแปดพันนาย แล้วยังมียอดฝีมืออีกหลายร้อยนาย ต่อให้มีหน่วยกิเลนที่ม่อซิวเหยาให้การสนับสนุน ก็ทำได้เพียงหลบหลีกคมดาบ มิอาจแข็งชนแข็งได้ เพราะถึงอย่างไร ม่อซิวเหยาก็มิได้นำคนมาหนานเจียงมากเท่าไรนัก และก็ไม่มีทางที่จะใช้กำลังพลทั้งหมดของตำหนักติ้งอ๋องเพื่อช่วยองค์หญิงอันซี

“อาหลีอยากลองเดาดูหรือไม่ว่ายามนี้องค์หญิงอันซีไปอยู่เสียที่ใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี

ทุกคนนอกจากสวีชิงเฉินต่างพากันหูตั้งรอฟังการคุยเล่นกันของฟากนี้

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองจ้องไปยังเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องล่างเป็นาน ถึงได้เอ่ยเรื่อยๆ ขึ้นว่า “จะจับกบฏต้องเริ่มจากจับหัวหน้าก่อน”

ยามนี้องค์หญิงอันซีมิได้อยู่ที่ตำหนักองค์หญิง และย่อมไม่มีทางอยู่ปะปนกับทหารในเมือง เช่นนั้นก็คงเหลือเพียงไปตามล่าตัวซูม่านหลินแล้ว มีเพียงได้ตราคำสั่งในมือซูม่านหลินมา ถึงจะสามารถควบคุมการฆ่าฟันภายในเมืองได้ องครักษ์เมืองหนานจ้าวต่างจากทหารชนเผ่าอื่นๆ ที่ฟังเพียงคำสั่งหัวหน้า พวกเขาสนใจเพียงตรา ไม่สนใจคน ยามนี้หากไม่มีตราคำสั่ง ต่อให้หนานจ้าวอ๋องมาด้วยตนเองก็ไม่แน่ว่าจะเกิดประโยชน์

“ซูม่านหลินอยู่ที่ใด”

ม่อซิวเหยายิ้มตาหยีให้เยี่ยหลี “ย่อมอยู่ในพระราชวังหนานจ้าวสิ ผู้หญิงคนนั้นอยากเป็นหนานจ้าวอ๋องจนแทบบ้า ยามนี้หากไม่อยู่ในวังแล้วจะไปอยู่ที่ใด”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย หนานจ้าวอ๋องก็ยังอยู่ในวัง ถึงแม้จะมีคนคอยอยู่คุ้มกัน หากไม่หาให้ดี ก็ไม่แน่ว่าจะหาตัวหนานจ้าวอ๋องพบได้รวดเร็วเช่นนั้น แต่หากซูม่านหลินพบตัวหนานจ้าวอ๋องก่อน ก็คงมิใช่เรื่องดีอันใดสำหรับองค์หญิงอันซี

ม่อซิวเหยายิ้ม “อาหลีวางใจเถิด หนานจ้าวอ๋องมีเล่ห์เหลี่ยมสักหน่อยสิ ถึงจะดี แต่หากคิดอยากพึ่งพิงซูม่านหลิน เกรงว่า…ตัวเขาเองคงต้องถึงคราวเคราะห์เสียแล้ว อย่าลืมว่าข้างกายซูม่านหลิน…”

เยี่ยหลีเข้าใจโดยทันที ข้างกายซูม่านหลินยังมีถานจี้จืออยู่อีกคน เขามิใช่คนที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆ หากเป็นซูม่านหลินที่ได้ชัย ถานจี้จือไม่มีทางปล่อยให้หนานจ้าวอ๋องมีชีวิตอยู่ หากหนานจ้าวอ๋องสวรรคตเสีย ตำแหน่งของซูม่านหลินก็คงไม่มั่นคงเช่นกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ชายาเคียงหทัย 241-2 ค่ำคืนในเมืองหนานจ้าวอ๋อง

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 241-2 ค่ำคืนในเมืองหนานจ้าวอ๋อง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหลยเถิงเฟิงมองทั้งสองอย่างใช้ความคิด ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องช่างมีใจให้กันอย่างดียิ่งนัก ทำให้ข้านึกอิจฉาเสียจริง” ต่อให้พวกเจ้ารักใคร่กันเพียงใด ก็ไม่จำเป็นต้องมาแสดงต่อหน้าผู้คนเช่นนี้กระมัง

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “โบราณว่าไว้ จะแต่งภรรยาก็ควรแต่งภรรยาที่มีคุณธรรม การเป็นบุรุษได้แต่งงานกับภรรยาที่ดี ย่อมไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว หากโชคดี ก็อย่างเช่นข้าที่ได้แต่งงานกับอาหลี แต่หากโชคไม่ดี…”

ประโยคที่เหลือ ม่อซิวเหยามิได้เอ่ยต่อให้จบ แต่ทุกคนที่นั่งอยู่กลับเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี เพียงแต่คนที่โชคไม่ดีนั้น ทุกคนต่างมีตัวเลือกของตนเองอยู่ในใจ ทุกคนหันมองไปทางเยี่ยหลีโดยมิได้นัดหมาย มิอาจไม่ยอมรับว่า ม่อซิวเหยาช่างโชคดีจริงๆ

ชายาติ้งอ๋องมิได้มีเพียงความงดงามอ่อนหวาน และสูงสง่าเท่านั้น แต่ความสามารถบุ๋นก็มากพอจะปกครองแคว้นได้ ความสามารถบู๊ก็สามารถทำให้แคว้นสงบร่มเย็นได้ ยามนี้หน่วยกิเลนที่น่าเกรงกลัวที่สุดของซีเป่ย ก็เป็นหน่วยที่ชายาติ้งอ๋องฝึกปรือมาด้วยตนเอง คุณชายสี่คุณชายห้าเป็นแกนนำให้ชาวบ้านเปิดที่ดินทำกินทางตอนเหนือ ทำให้พื้นที่ทางตอนเหนือที่ทิ้งร้างอยู่เปล่าๆ กลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ให้ชาวบ้านได้อยู่อาศัยและทำกินอย่างมีความสุข ซึ่งก็ได้ข่าวว่าเป็นความคิดของเยี่ยหลีเช่นกัน

ต่อให้ไม่มีเรื่องเหล่านี้ แค่เพียงเอ่ยว่าชายาติ้งอ๋องมีท่านลุงสองคนอย่างสวีหงอวี่และสวีหงเยี่ยน กับลูกพี่ลูกน้องอีกห้าคน หากผู้อื่นรู้ว่าตระกูลสวีให้ความสำคัญกับเยี่ยหลีมากมายเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษทั่วทั้งใต้หล้าคงคิดแย่งกันให้ได้แต่งงานกับสตรีที่ดีงามเช่นนี้อย่างแน่นอน

แต่ตั้งแต่ที่ม่อซิวเหยาแต่งงานกับเยี่ยหลีเป็นต้นมา ม่อซิวเหยาที่เดิมทีขลุกตัวอยู่แต่ในตำหนักติ้งอ๋อง ขาพิการทั้งสองข้าง รูปโฉมอัปลักษณ์ ทั้งยังมีอาการป่วยชุกชุม แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถแบ่งแยกเขตซีเป่ยออกไปได้ สุขภาพร่างกายก็แข็งแรง ถึงขั้นมีบุตรแล้วด้วยซ้ำ นี่ถือเป็นความโชคดีเพียงใดกัน ทั้งหมดนี้ สิ่งที่ม่อซิวเหยาต้องสละไปทั้งหมด ก็มีเพียงผมที่ขาวโพลนทั้งศีรษะเท่านั้น และที่สำคัญไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่ม่อซิวเหยาผมขาวเป็นต้นมา เขากลับดูมีสง่าราศีเป็นที่ดึงดูดสายตามากขึ้นไปอีก!

แม้แต่เยี่ยหลีเองก็ถูกความหน้าหนาของม่อซิวเหยาทำให้หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย แม้สีหน้าจะเรียบเฉยประหนึ่งผิวน้ำ แต่กลับลอบยื่นนิ้วอันเรียวยาวไปหยิกแรงๆ เข้าที่เอวของม่อซิวเหยาอย่างไม่ปราณี

ม่อซิวเหยาทำหน้าม่อยลงทันที “ภรรยา…”

เมื่อเห็นทั้งสองดูจะยิ่งไปกันใหญ่ สวีชิงเฉินก็กระแอมไอเบาๆ เป็นการเตือนทั้งสองว่ายังมีคนนอกอยู่ด้วย ให้ระวังกิริยา

เยี่ยหลีก็คร้านจะสนใจม่อซิวเหยาที่ทำตัวเป็นเด็ก หันมองไปทางหนึ่งที่ยังคงมีเสียงต่อสู้ดังมาไม่หยุด แล้วเอ่ยถามว่า “ซูม่านหลินสั่งเคลื่อนพลองครักษ์ที่รักษาเมืองอยู่หรือ”

สวีชิงเฉินพยักหน้าเรียบๆ ยิ้มเอ่ยว่า “หลีเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง องค์หญิงอันซีก็มิใช่สตรีบอบบางที่จะยอมให้ผู้อื่นมารังแกได้ ชนเผ่าต่างๆ ที่มาร่วมงานอภิเษกในครานี้ นอกจากตระกูลของผู่อ่าแล้วยังมีตระกูลทางฝั่งตาขององค์หญิงอันซี ก็นำคนมากันไม่น้อย”

“ที่นั่น…ม่อซิวเหยา เจ้ามันคนเชื่อถือไม่ได้!” ม่อจิ่งหลีที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง มองจ้องออกไปยังจุดหนึ่งอยู่เป็นนาน แล้วจู่ๆ ก็หันมาเอ่ยตะคอกใส่ม่อซิวเหยา

ม่อซิวเหยาเอนศีรษะพิงไหล่เยี่ยหลีอย่างเกียจคร้าน ปรายตามองไปทางม่อจิ่งหลีพร้อมเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “หมายความเช่นไร”

ม่อจิ่งหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าคนเหล่านั้นมิใช่คนซีเป่ยของเจ้า? มิใช่หน่วยกิเลน?”

เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็ต่างพากันลุกขึ้นยืนเดินไปทางหน้าต่างเพื่อมองให้ชัดเจนโดยทันที ก็ได้เห็นว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่บุกทะลวงเข้าไปกลางกองทหารที่วุ่นวายประหนึ่งตัดต้นไผ่ กวาดทำลายทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่ก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความเร็วในการบุกเข้าไปของพวกเขา ถึงแม้ศัตรูจะมีจำนวนมากกว่าพวกเขาอยู่หลายเท่า แต่ก็มิอาจขัดขวางพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ทุกคนต่างพากันหันมองไปทางม่อซิวเหยา นอกจากซีเป่ย นอกจากหน่วยกิเลน ไม่มีผู้ใดมีความสามารถในการรบเช่นนี้

“แย่จริง ถูกจับได้เสียแล้ว อาหลี จะทำเช่นไรดี” ม่อซิวเหยาก็ไม่บิดพลิ้ว กะพริบตาปริบๆ หันมองไปทางเยี่ยหลีอย่างไร้เดียงสา

เยี่ยหลีระบายยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ยามนี้อยู่ในช่วงฟ้ามืด ในมือซูม่านหลินมีทหารอยู่หลายพันนาย หากหน่วยฉีหลินไม่อยากให้ถูกจับได้ ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยอันใดให้เห็น นี่เห็นได้ชัดว่า ม่อซิวเหยาตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้…เขาคิดจะช่วยสนับสนุนองค์หญิงอันซีอย่างนั้นหรือ

ม่อจิ่งหลีเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ม่อซิวเหยา ทุกคนตกลงกันแล้วว่าจะไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของหนานเจียง ที่เจ้าทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำผิดข้อตกลง!”

ม่อซิวเหยาเบ้ปากอย่างดูแคลน ต่อให้ข้าทำผิดข้อตกลงแล้พวกเจ้าคิดจะทำเช่นไร กัดข้า?

เมื่ออ่านสิ่งที่แฝงอยู่บนใบหน้าของม่อซิวเหยาออกอย่างละเอียดแล้ว กล้ามเนื้อบนใบหน้าของม่อจิ่งหลีก็กระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เหลยเถิงเฟิงยังพอมีสติอยู่บ้าง เดิมทีเขาก็มิได้คิดจะยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในหนานเจียงอยู่แล้ว หนานจ้าวกับซีหลิงมีเขตแดนที่ติดกันอยู่ขนาดใหญ่ ไม่ว่ากี่ปีผ่านไป ก็มีเรื่องให้ปะทะกันไม่ได้หยุด อย่างไรก็คงเป็นมิตรกันไม่ได้ เจิ้นหนานอ๋องพอวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว หากภายในระยะเวลาอันสั้น ยังไม่สามารถตีต้าฉู่ให้แตกได้ เช่นนั้นก็จะเริ่มลงมือกับหนานจ้าวก่อน ดังนั้น หนานจ้าวจะอยู่ในมือผู้ใด ก็ล้วนไม่มีความหมายอันใดกับเขา

“ติ้งอ๋อง ในเมื่อพวกเราได้ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ที่ท่านลงมือโดยพลการเช่นนี้ อย่างไรก็คงมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้กับพวกเรากระมัง” เหลยเถิงเฟิงเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อธิบาย? ก็มิได้มีอันใดหรอก แน่นอนว่า ด้วยเพราะข้ารับปากพวกเจ้าทีหลัง แต่รับปากองค์หญิงอันซีไว้ก่อนก็เท่านั้น อีกอย่าง ข้าก็มิได้คิดที่จะยื่นมือเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องภายในของหนานเจียงแตแรก เพียงแต่องค์หญิงอันซีบอกว่า นางนึกสงสัยว่ามีคนจะฉวยโอกาสงานอภิเษกสมรสของนาง มาก่อความวุ่นวาย จึงมาขอยืมตัวองครักษ์ของข้าจำนวนหนึ่งไว้ให้คอยช่วยอารักขาความปลอดภัยของบ่าวสาวและแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแต่งงานก็เท่านั้น องค์หญิงอันซีเป็นสหายสนิทกับคุณชายชิงเฉิน และก็มีไมตรีต่อชายารักของข้าเป็นอย่างมาก แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อย่างไรข้าก็คงไม่อนุญาตไม่ได้กระมัง อีกอย่างข้าก็มิได้ให้คนไปเปล่าๆ ทหารที่องค์หญิงอันซีขอยืมตัวจากข้าไป แต่ละนายเป็นเงินห้าพันสองร้อยตำลึง หากได้รับบาดเจ็บหรือตายระหว่างการต่อสู้ ยังจะต้องชดเชยเป็นเงินคนละห้าร้อยตำลึงไว้เป็นค่ายา หรือหนึ่งหมื่นตำลึงเป็นค่าทำขวัญ การค้าขายที่ทั้งได้คุณธรรมและคุ้มค่าเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีเรื่องมิตรไมตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าก็จะทำ”

ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็ลอบกระอักเลือดในใจ

แต่เยี่ยหลีกลับทำท่าใช้ความคิด ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะคิดเรื่องทหารรับจ้างขึ้นมาเองได้ จะว่าไป หากหน่วยกิเลนกลายเป็นทหารรับจ้าง…ไม่เพียงสามารถทำเงินได้อย่างไม่น่าเกลียด แต่ที่สำคัญกว่านั้น ยังสามารถเพิ่มโอกาสในการฝึกออกรบสนามจริงได้อย่างมากอีกด้วย เพราะถึงอย่างไรหลายปีมานี้ ซีเป่ยก็เงียบสงบจนเกินไป ต่อให้มีการฝึกซ้อมที่มากกว่านี้ ก็ยังให้ผลสู้ไปลงสนามรบจริงๆ ครั้งเดียวไม่ได้ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดเรื่อยเปื่อยของเยี่ยหลีเอง ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีทางให้หน่วยกิเลนที่ฝึกซ้อมมาอย่างทุ่มเท กลายไปเป็นทหารรับจ้างหรอก

“อาหลีกำลังคิดอันใดอยู่หรือ” ม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีก้มหน้าลงใช้ความคิด ก็รู้ดีว่าในใจนางจะต้องมีแผนการอันใดอย่างแน่นอน จึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไว้ค่อยว่ากัน”

ม่อซิวเหยาก็รู้ว่าสถานที่นี่ไม่เหมาะกับการพูดคุย เขากวาดตามองทุกคนที่ชอบมองมาทางพวกเขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก่อนลุกขึ้นโอบเยี่ยหลีอย่างเปิดเผย ให้มายืนอยู่ริมหน้าต่างมองดูการต่อสู้ด้วยอีกคน

เยี่ยหลีเคยผ่านการฝึกพิเศษมาก่อน ส่วนม่อซิวเหยาก็มีวิทยายุทธแก่หล้า การมองเห็นในที่มืดของทั้งสองคนย่อมดีกว่าคนอื่นๆ มากนัก

เมื่อได้เห็นฝีมือหน่วยกิเลนจากที่ไกลๆ เยี่ยหลีก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ห้าปีกว่ามานี้อย่างไรก็มิได้ฝึกกันไปเปล่าๆ ทหารในหน่วยกิเลนทั้งหมด ล้วนผ่านการเคี่ยวกรำจากการฝึกมาแล้วทุกคน สามารถปฏิบัติภารกิจเดี่ยวได้อย่างสมบูรณ์

ม่อซิวเหยาชี้นิ้วไกลออกไป “คนของซูม่านหลินเริ่มโจมตีตำหนักองค์หญิงแล้ว”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ยามนี้ องค์หญิงอันซีน่าจะมิได้อยู่ในตำหนักองค์หญิงกระมัง”

ม่อซิวเหยายิ้ม “แน่นอนว่าไม่อยู่ ยามนี้จะรอความตายอยู่ที่ตำหนักองค์หญิงหรือ”

เกรงว่าองค์หญิงอันซีก็คงคาดไม่ถึงว่า เสด็จพ่อของนางจะถึงขั้นให้ตราคำสั่งเคลื่อนพลองครักษ์ในเมืองกับซูม่านหลิน เมื่อต้องรับมือกับทหารจำนวนนับเจ็ดแปดพันนาย แล้วยังมียอดฝีมืออีกหลายร้อยนาย ต่อให้มีหน่วยกิเลนที่ม่อซิวเหยาให้การสนับสนุน ก็ทำได้เพียงหลบหลีกคมดาบ มิอาจแข็งชนแข็งได้ เพราะถึงอย่างไร ม่อซิวเหยาก็มิได้นำคนมาหนานเจียงมากเท่าไรนัก และก็ไม่มีทางที่จะใช้กำลังพลทั้งหมดของตำหนักติ้งอ๋องเพื่อช่วยองค์หญิงอันซี

“อาหลีอยากลองเดาดูหรือไม่ว่ายามนี้องค์หญิงอันซีไปอยู่เสียที่ใด” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดี

ทุกคนนอกจากสวีชิงเฉินต่างพากันหูตั้งรอฟังการคุยเล่นกันของฟากนี้

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองจ้องไปยังเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องล่างเป็นาน ถึงได้เอ่ยเรื่อยๆ ขึ้นว่า “จะจับกบฏต้องเริ่มจากจับหัวหน้าก่อน”

ยามนี้องค์หญิงอันซีมิได้อยู่ที่ตำหนักองค์หญิง และย่อมไม่มีทางอยู่ปะปนกับทหารในเมือง เช่นนั้นก็คงเหลือเพียงไปตามล่าตัวซูม่านหลินแล้ว มีเพียงได้ตราคำสั่งในมือซูม่านหลินมา ถึงจะสามารถควบคุมการฆ่าฟันภายในเมืองได้ องครักษ์เมืองหนานจ้าวต่างจากทหารชนเผ่าอื่นๆ ที่ฟังเพียงคำสั่งหัวหน้า พวกเขาสนใจเพียงตรา ไม่สนใจคน ยามนี้หากไม่มีตราคำสั่ง ต่อให้หนานจ้าวอ๋องมาด้วยตนเองก็ไม่แน่ว่าจะเกิดประโยชน์

“ซูม่านหลินอยู่ที่ใด”

ม่อซิวเหยายิ้มตาหยีให้เยี่ยหลี “ย่อมอยู่ในพระราชวังหนานจ้าวสิ ผู้หญิงคนนั้นอยากเป็นหนานจ้าวอ๋องจนแทบบ้า ยามนี้หากไม่อยู่ในวังแล้วจะไปอยู่ที่ใด”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย หนานจ้าวอ๋องก็ยังอยู่ในวัง ถึงแม้จะมีคนคอยอยู่คุ้มกัน หากไม่หาให้ดี ก็ไม่แน่ว่าจะหาตัวหนานจ้าวอ๋องพบได้รวดเร็วเช่นนั้น แต่หากซูม่านหลินพบตัวหนานจ้าวอ๋องก่อน ก็คงมิใช่เรื่องดีอันใดสำหรับองค์หญิงอันซี

ม่อซิวเหยายิ้ม “อาหลีวางใจเถิด หนานจ้าวอ๋องมีเล่ห์เหลี่ยมสักหน่อยสิ ถึงจะดี แต่หากคิดอยากพึ่งพิงซูม่านหลิน เกรงว่า…ตัวเขาเองคงต้องถึงคราวเคราะห์เสียแล้ว อย่าลืมว่าข้างกายซูม่านหลิน…”

เยี่ยหลีเข้าใจโดยทันที ข้างกายซูม่านหลินยังมีถานจี้จืออยู่อีกคน เขามิใช่คนที่จะรับมือด้วยได้ง่ายๆ หากเป็นซูม่านหลินที่ได้ชัย ถานจี้จือไม่มีทางปล่อยให้หนานจ้าวอ๋องมีชีวิตอยู่ หากหนานจ้าวอ๋องสวรรคตเสีย ตำแหน่งของซูม่านหลินก็คงไม่มั่นคงเช่นกัน

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+