ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1005 หยั่งเชิง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1005 หยั่งเชิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงมองส่งเยวี่ยชีแล้วจึงหมุนตัวกลับมา เขาพลิกมือเรียกป้ายประจำตัวสีดำขลับชิ้นนั้นที่ผู้อาวุโสกู่มอบให้มาพินิจดูครู่หนึ่ง จากนั้นจึงอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์หยดหนึ่งลงบนนั้น

ป้ายประจำตัวทอแสงสีดำจางๆ ออกมาชั้นหนึ่งแล้วยิงแสงพิสุทธิ์สายหนึ่งตกต้องบนประตูใหญ่ของถ้ำที่พักในทันใด

กึกๆ!

ประตูใหญ่ของถ้ำที่พักเปิดออกอย่างเชื่องช้า หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเก็บป้ายประจำตัวไป เขาก้าวเท้าเดินเข้าไป ทันใดนั้นเสียงด้านนอกก็มลายหายไปสิ้น

เดินเข้าประตูไปได้ไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงห้องโถงที่มีเสากลมต้นหนึ่ง หลิ่วหมิงมองรอบด้านแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ถ้ำที่พักแห่งนี้เห็นได้ชัดว่ามีห้องโถงตรงกลางเป็นศูนย์กลาง รอบด้านมีห้องศิลาแยกออกไปอยู่หลายห้อง บนประตูห้องศิลาแต่ละห้องเขียนตัวอักษรกำกับว่าทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินไว้อย่างชัดเจน แล้วยังมีประตูของห้องศิลาสองห้องว่างเปล่าไม่มีตัวอักษร

เห็นชัดว่าที่นี่เป็นถ้ำที่พักซึ่งมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันหลายคน

หลิ่วหมิงเรียกป้ายประจำตัวออกมา ด้านหลังมีอักษรกำกับอยู่อย่างที่คิดเขียนไว้ว่า “ทอง”

ตอนนี้เองประตูห้องที่เขียนคำว่าไม้กำกับอยู่ก็ส่งเสียงดังกึกถูกคนผลักออกมาจากด้านใน หญิงสาวงามผู้สวมชุดยาวสีแดงเพลิงคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน

หลังจากนั้นประตูห้องศิลาที่เขียนคำว่าน้ำ ไฟ ดิน กำกับอยู่ก็เปิดออกมาตามต่อกัน ผู้ฝึกฝนสามคนทยอยเดินออกมา คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหลังค่อม อีกคนหนึ่งคือบุรุษผู้เปลือยท่อนบนสะพายคันศรใหญ่เฉียงอยู่บนแผ่นหลัง แล้วก็มีบุรุษหนุ่มผู้ใบหน้าหล่อเหลาอีกคนหนึ่ง ท่วงท่าที่ขยับดูสง่างามราวกับคุณชายจากโลกปุถุชนคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองบนร่างสี่คนตรงหน้า ในใจตกใจเล็กน้อย ทั้งสี่คนนี้ล้วนพลังระดับแก่นเสมือนและมีพลังน่าตะลึง ทุกคนในที่นั้นพลังล้วนแข็งแกร่งกว่าเยวี่ยชีมากนัก

“เมื่อครู่ได้รับข่าวจากนิกายบอกว่าหน่วยบุกทะลวงของพวกเราได้รองหัวหน้ามาคนหนึ่ง คิดว่าคงจะเป็นท่านนี้สินะ?” หญิงสาวชุดแดงมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างไม่หลบเลี่ยงสักนิด แล้วเอ่ยขึ้นเช่นนี้

สิ้นเสียง ทั้งสี่คนก็หยุดยืนนิ่ง เหมือนยืนตามสบายแต่กลับตีวงล้อมหลิ่วหมิงไว้เลือนราง แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาเชื่อมต่อกันแล้วกดดันเข้าใส่หลิ่วหมิง

“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว หากไม่มีหน้าใหม่คนที่สองมา เช่นนั้นก็คงเป็นข้าไม่ผิดแล้ว พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นสมาชิกของหน่วยย่อยที่เจ็ดหรือ?” หลิ่วหมิงดวงทอประกายวูบหนึ่ง แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด เอ่ยขึ้นท่ามกลางพลังที่ทั้งสี่คนร่วมมือกันกดดันได้อย่างสบายๆ

ในแดนมายาเขามักจะประมือกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อยู่เสมอ ไหนเลยจะสนใจแรงกดดันน้อยนิดนี้ของผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนกระจอกๆ สี่คน

ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายผู้หล่อเหลาสบตากันครั้งหนึ่ง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากบนร่างลดน้อยลงอย่างไม่รู้ตัว

“หลิ่วหมิงหรือ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อนี้มาก่อน ได้ยินว่าหลายปีนี้โด่งดังที่นิกายยิ่งนัก ฮ่าๆ พวกเราทั้งสี่คนตรงนี้คนไหนไม่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในนิกาย ท่านอย่าได้คิดอาศัยชื่อเสียงข่มพวกเรา” หญิงสาวชุดแดงไม่ตอบคำถามของหลิ่วหมิงแต่กลับเอ่ยโต้อย่างเป็นอริเล็กน้อย

“ผู้แซ่หลิ่วมายังทางปีศาจร้ายแห่งนี้เพราะต้องการฝึกปรือพลังเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่น ส่วนตำแหน่งรองหัวหน้าอันใดนี้ล้วนเป็นคำสั่งของผู้อาวุโส หากทุกท่านต้องการและคิดว่าตนเหมาะกับหน้าที่ยิ่งกว่า ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะยกให้ไม่ได้” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ อย่างไม่สนใจไยดี

เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจจะเป็นรองหัวหน้าอะไรอยู่แล้ว แต่สี่คนตรงหน้าพบหน้ากันก็ข่มกันทันทีเช่นนี้ เขาย่อมไม่เกรงใจอันใดเช่นกัน

“เหอะ คิดจะเป็นรองหัวหน้าของพวกเรา ท่านก็ต้องแสดงความสามารถสักหน่อยให้ประจักษ์บ้างกระมัง ขอลองฝีมือก่อนค่อยว่ากัน!” แม้หญิงสาวชุดแดงจะเป็นผู้ฝึกฝนสตรี แต่นิสัยกลับหุนหันพลันแล่นที่สุดในหมู่ทั้งสี่คน ร่างกายขยับวูบเดียวพลันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“ซานเหนียง ให้ข้าลองพลังของสหายหลิ่วดีกว่า” บุรุษผู้สะพายคันศรแดงผู้นั้นยกมือขวางหน้าหญิงสาวชุดแดง สายตาทอประกายเย็นเยียบ ส่วนอีกมือหนึ่งพลิกจับข้อมือของหลิ่วหมิงไว้ดั่งสายฟ้าแลบ

ลมปราณและกายเนื้อของบุรุษผู้สะพายศรแดงล้วนหนาหนัก เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกร่างที่หายากคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงขยับคิ้ว แขนสะบัดเล็กน้อยก็หลบพ้นการคว้าจับของบุรุษได้อย่างง่ายดาย จากนั้นแกว่งแขนครั้งเดียวก็เกิดเงาเลือนรางหลายสาย ฝ่ามือย้อนกลับไปจับข้อมือของบุรุษผู้สะพายศรแดง

บุรุษผู้สะพายศรแดงเห็นหลิ่วหมิงสู้กับตนเองด้วยกำลังตรงๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มหยันเล็กน้อย

ครู่ต่อมาแขนสองข้างก็ปะทะกัน เสียงตุบดังขึ้น บุรุษผู้สะพายศรแดงรู้สึกว่ากำลังมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาจากบนแขน เลือดลมในร่างปั่นป่วนวูบหนึ่งจนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้ ในใจตะลึงงัน

เมื่อย้อนกลับไปมองหลิ่วหมิง เขากลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยให้บุรุษร่างใหญ่

เมื่อครู่ทั้งสองคนล้วนไม่ได้ใช้พลังเวท อาศัยกำลังของกายเนื้อโจมตี

พวกหญิงสาวชุดแดงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป

พวกเขาสี่คนทำงานร่วมกันอยู่ที่หน่วนย่อยแห่งนี้มานานแล้ว ต่างฝ่ายรู้จักพลังของอีกฝ่ายดีอย่างยิ่ง บุรุษผู้สะพายศรแดงเป็นผู้ฝึกฝนร่างชื่อดังแห่งยอดเขาทองคำ เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสจางเม่า พละกำลังมหาศาลในร่างเพียงพอยกขุนเขาฉุดดึงสายน้ำ แม้จะนับไม่ได้ว่าเป็นผู้ฝึกร่างที่สุดยอดที่สุดในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นสมือนของกองทัพแสงทอง แต่อย่างน้อยก็ติดอันดับหนึ่งในห้า วันนี้ประมือกันกลับพ่ายแพ้ให้แก่หลิ่วหมิงในด้านพละกำลังซึ่งถนัดที่สุด นี่จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร

บุรุษผู้สะพายศรแดงใบหน้าทะมึนดุจสายน้ำในทันที เขาสูดหายใจลึก สองแขนมีเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น กล้ามเนื้อฉับพลันขยายตัวหนาขึ้นกว่าตอนนี้อีกหนึ่งเท่า หลังจากนั้นเขาจึงยกแขน แสงสีแดงสายแล้วสายเล่าปะทุออกมาจากบนแขน ต่อยหนึ่งหมัดโจมตีใส่หลิ่วหมิงอย่างเชื่องช้า

บนกำปั้นไม่มีกระแสลมแรงแผ่ออกมาแม้แต่น้อย มันเหมือนช้าแต่ความจริงเร็ว วูบเดียวก็พุ่งมาถึงตรงหน้าของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยกขึ้น ฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่องยื่นออกมาต้านกำปั้นของบุรุษผู้สะพายศรแดงเอาไว้ ห้านิ้วออกแรงบีบ แสงสีแดงบนกำปั้นบุรุษร่างใหญ่แตกสลายในพริบตา

จุดที่ฝ่ามือกับหมัดปะทะกันเกิดเสียงทึบเหมือนไม้ตายปริแตก หลังจากนั้นก็ไม่เกิดปฏิกิริยาอันใดอีก

ในที่สุดบุรุษผู้สะพายศรแดงก็เปลี่ยนสีหน้า เขารู้สึกว่าพละกำลังของตนราวกับตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในทะเล ไม่อาจสะเทือนอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย นอกจากนี้ห้านิ้วที่งอเข้าหากันของอีกฝ่ายยังกุมกำปั้นยักษ์ไว้แน่นราวกับตะขอเหล็ก ทำให้เขาไม่อาจกระดิกได้สักนิด

“อ้าก!”

บุรุษร่างใหญ่ตวาดเสียงดัง เท้ากระทืบบนพื้นดินอย่างแรงครั้งหนึ่ง รอบร่างเปล่งแสงสีแดงสว่างจ้า กระแสลมรุนแรงสายหนึ่งระเบิดออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าห้านิ้วสั่นสะท้าน เหมือนจะยึดจับอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่

แต่ครู่ต่อมาแววตาของเขาก็เย็นเยียบ ปราณสีดำหนาทึบปรากฏขึ้นบนฝ่ามือกดแสงสีแดงบนร่างบุรุษร่างใหญ่ลงได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่แขนดูเหมือนสะบัดเบาๆ ตามสบายเท่านั้น

บุรุษผู้สะพายศรแดงฉับพลันรู้สึกว่าพลังมหาศาลน่าหวาดกลัวจนทำให้คนหวาดหวั่นสายหนึ่งโถมมาถึง ร่างกายครึ่งหนึ่งชาในพริบตา หลังจากร้องตะโกนออกไปเมื่อครู่ ร่างกายก็ลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้

ขณะที่เขากำลังจะชนกำแพงด้านหลัง เงาคนร่างหนึ่งก็ขยับไหว ผู้เฒ่าหลังค่อมผู้นั้นฉับพลันโฉบออกมา แสงสีเหลืองส่องสว่างในมือ ไม้เท้าปะการังด้ามหนึ่งปรากฏขึ้น แสงสีเหลืองสายหนึ่งยกร่างบุรุษคันศรแดงไว้ รับร่างของเขาไว้ได้อย่างแผ่วเบา

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขณะที่ยืนเอามือไพล่หลัง

“สหายหลิ่วพลังแข็งแกร่งจริงๆ ข้านับถือ” ผู้เฒ่าหลังค่อมปิดปากสนิท แต่เสียงอู้อี้กลับดังออกมาจากท้องน้อย นั่นคือวิชาพูดด้วยท้องที่เห็นได้ยาก

เวลานี้บุรุษผู้สะพายคันศรแดงร่อนลงบนพื้น สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก เขาโคจรพลังเวทหลายรอบติดกว่าจะปรับเลือดลมที่ติดขัดในร่างให้ลื่นไหลได้

“พี่หลิ่วอย่าได้ถือโทษ พวกเราหาได้มีใจคิดท้าทาย แค่ต้องการเห็นว่าสหายมีพลังเท่าไรกันแน่เท่านั้น อย่างไรในทางปีศาจร้ายแห่งนี้ทุกแห่งหนก็อันตราย หากรองหัวหน้าพลังไม่พอ พวกเราย่อมเป็นอันตราย แต่ดูจากตอนนี้ พลังของสหายหลิ่วแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้ไม่น้อย เช่นนี้พวกเราก็วางใจได้แล้ว” คุณชายหล่อเหลาที่อยู่ด้านข้างหยิบพัดพับเล่มหนึ่งออกมาสะบัดกางออกดังพรึ่บ แล้วพัดเบาๆ สองสามหนพร้อมกับหัวเราะแผ่วเบา

หญิงสาวชุดแดงได้ยินก็แค่นเสียงเหอะแผ่วเบา แม้บนใบหน้ายังมีสีหน้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก

เวลานี้บุรุษคันศรแดงฟื้นสีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว สายตาที่มองมาหาหลิ่วหมิงมีแววตานับถือเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หวังว่าหลังจากนี้จะได้รับความร่วมมือจากทุกท่าน ทำภารกิจที่เบื้องบนมอบหมายให้ลุล่วงด้วยกัน” หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยขึ้นเรียบๆ

ทั้งสี่คนคำนับกลับด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็ไม่มองทั้งสี่คนอีกแต่มองสำรวจด้านในห้องโถงใหญ่

“สหายหลิ่วมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก น่าจะยังไม่รู้จักพวกเรามากนัก ถ้าเช่นนั้นให้คนแก่ผู้นี้แนะนำสั้นๆ สักหน่อย หน่วยย่อยนี้ของพวกเรานับรวมหัวหน้ากับสหายหลิ่วเข้าไปด้วยมีทั้งหมดหกคน นอกจากหัวหน้า ถ้ำที่พักแห่งนี้พวกเราห้าคนใช้ร่วมกัน ต่างคนมีห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง พื้นที่เพียงพอ ให้ยามปกติไม่กระทบกันและกัน นอกจากห้องของแต่ละคน ที่นี่ยังมีห้องศิลาสองห้องเป็นห้องหลอมอาวุธกับห้องปรุงโอสถให้ทุกคนใช้ร่วมกัน แต่พวกเราล้วนไม่ถนัดศาสตร์เหล่านี้จึงปล่อยว่างไว้มาตลอด” ผู้เฒ่าหลังค่อมใช้การพูดด้วยท้องอธิบายกับหลิ่วหมิง

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หลิ่วหมิงพยักหน้าทักทายทั้งสี่คนแล้วเข้าไปในห้องที่เขียนอักษรคำว่าทองกำกับไว้ของตนเอง

ในห้องโถงใหญ่ที่มีเสากลม บุรุษร่างใหญ่มองหลิ่วหมิงเข้าไปในห้องจากนั้นจึงหันหน้าเดินกลับไปในห้องของตนเองโดยไม่พูดสักคำ

“ครั้งนี้สหายเซียวพ่ายแพ้พละกำลังของหลิ่วหมิง ดูท่าคงจะเสียหน้าอยู่บ้าง” คุณชายหนุ่มหุบพัดตบกับฝ่ามือเบาๆ ดังปั้บ แล้วหัวเราะเอ่ยขึ้น

“แม้หลิ่วหมิงผู้นี้จะดูอายุไม่มาก แต่ในนิกายกลับมีชื่อเสียงไม่น้อย วันนี้ได้พบ ความสามารถไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ เบื้องบนส่งเขามาเป็นตำแหน่งรองหัวหน้านี้ก็น่าจะใคร่ครวญมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว” ผู้เฒ่าหลังค่อมเอ่ยเรียบๆ

“เหอะ ของจริงจะเป็นอย่างไรก็รอดูภารกิจต่อไปเถอะ” หญิงสาวชุดแดงแค่นเสียงหยันแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้อง ปิดประตูเสียงดังลั่น

ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายยิ้มจืดเจื่อนมองหน้ากัน เห็นชัดว่าจนปัญญากับอารมณ์ร้อนของสตรีนางนี้

หลังจากทั้งสองสนทนากันสั้นๆ ต่างก็กลับไปยังห้องศิลาที่ตนเองอยู่

หลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องของตนแล้วกวาดสายตามองไปเรื่อย พบว่าพื้นที่ด้านในนับว่ากว้างขวางทีเดียว ขนาดราวสิบถึงยี่สิบจั้ง แบ่งออกเป็นหลายห้องอย่างเรียบง่าย ห้องนอน ห้องทำสมาธิ มีครบครัน

บนกำแพงเห็นชัดว่าวางชั้นจำกัดกั้นเสียงเอาไว้ เสียงด้านนอกจึงไม่ลอยเข้ามาอย่างสิ้นเชิง

หลิ่วหมิงพยักหน้านิดๆ นับว่าพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมแห่งนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1005 หยั่งเชิง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1005 หยั่งเชิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงมองส่งเยวี่ยชีแล้วจึงหมุนตัวกลับมา เขาพลิกมือเรียกป้ายประจำตัวสีดำขลับชิ้นนั้นที่ผู้อาวุโสกู่มอบให้มาพินิจดูครู่หนึ่ง จากนั้นจึงอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์หยดหนึ่งลงบนนั้น

ป้ายประจำตัวทอแสงสีดำจางๆ ออกมาชั้นหนึ่งแล้วยิงแสงพิสุทธิ์สายหนึ่งตกต้องบนประตูใหญ่ของถ้ำที่พักในทันใด

กึกๆ!

ประตูใหญ่ของถ้ำที่พักเปิดออกอย่างเชื่องช้า หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วเก็บป้ายประจำตัวไป เขาก้าวเท้าเดินเข้าไป ทันใดนั้นเสียงด้านนอกก็มลายหายไปสิ้น

เดินเข้าประตูไปได้ไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงห้องโถงที่มีเสากลมต้นหนึ่ง หลิ่วหมิงมองรอบด้านแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ถ้ำที่พักแห่งนี้เห็นได้ชัดว่ามีห้องโถงตรงกลางเป็นศูนย์กลาง รอบด้านมีห้องศิลาแยกออกไปอยู่หลายห้อง บนประตูห้องศิลาแต่ละห้องเขียนตัวอักษรกำกับว่าทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินไว้อย่างชัดเจน แล้วยังมีประตูของห้องศิลาสองห้องว่างเปล่าไม่มีตัวอักษร

เห็นชัดว่าที่นี่เป็นถ้ำที่พักซึ่งมีคนอาศัยอยู่ร่วมกันหลายคน

หลิ่วหมิงเรียกป้ายประจำตัวออกมา ด้านหลังมีอักษรกำกับอยู่อย่างที่คิดเขียนไว้ว่า “ทอง”

ตอนนี้เองประตูห้องที่เขียนคำว่าไม้กำกับอยู่ก็ส่งเสียงดังกึกถูกคนผลักออกมาจากด้านใน หญิงสาวงามผู้สวมชุดยาวสีแดงเพลิงคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน

หลังจากนั้นประตูห้องศิลาที่เขียนคำว่าน้ำ ไฟ ดิน กำกับอยู่ก็เปิดออกมาตามต่อกัน ผู้ฝึกฝนสามคนทยอยเดินออกมา คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหลังค่อม อีกคนหนึ่งคือบุรุษผู้เปลือยท่อนบนสะพายคันศรใหญ่เฉียงอยู่บนแผ่นหลัง แล้วก็มีบุรุษหนุ่มผู้ใบหน้าหล่อเหลาอีกคนหนึ่ง ท่วงท่าที่ขยับดูสง่างามราวกับคุณชายจากโลกปุถุชนคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองบนร่างสี่คนตรงหน้า ในใจตกใจเล็กน้อย ทั้งสี่คนนี้ล้วนพลังระดับแก่นเสมือนและมีพลังน่าตะลึง ทุกคนในที่นั้นพลังล้วนแข็งแกร่งกว่าเยวี่ยชีมากนัก

“เมื่อครู่ได้รับข่าวจากนิกายบอกว่าหน่วยบุกทะลวงของพวกเราได้รองหัวหน้ามาคนหนึ่ง คิดว่าคงจะเป็นท่านนี้สินะ?” หญิงสาวชุดแดงมองสำรวจหลิ่วหมิงอย่างไม่หลบเลี่ยงสักนิด แล้วเอ่ยขึ้นเช่นนี้

สิ้นเสียง ทั้งสี่คนก็หยุดยืนนิ่ง เหมือนยืนตามสบายแต่กลับตีวงล้อมหลิ่วหมิงไว้เลือนราง แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาเชื่อมต่อกันแล้วกดดันเข้าใส่หลิ่วหมิง

“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว หากไม่มีหน้าใหม่คนที่สองมา เช่นนั้นก็คงเป็นข้าไม่ผิดแล้ว พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นสมาชิกของหน่วยย่อยที่เจ็ดหรือ?” หลิ่วหมิงดวงทอประกายวูบหนึ่ง แล้วก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่งอย่างไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด เอ่ยขึ้นท่ามกลางพลังที่ทั้งสี่คนร่วมมือกันกดดันได้อย่างสบายๆ

ในแดนมายาเขามักจะประมือกับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์อยู่เสมอ ไหนเลยจะสนใจแรงกดดันน้อยนิดนี้ของผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนกระจอกๆ สี่คน

ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายผู้หล่อเหลาสบตากันครั้งหนึ่ง ในดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แรงกดดันจิตวิญญาณที่แผ่ออกมาจากบนร่างลดน้อยลงอย่างไม่รู้ตัว

“หลิ่วหมิงหรือ ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงชื่อนี้มาก่อน ได้ยินว่าหลายปีนี้โด่งดังที่นิกายยิ่งนัก ฮ่าๆ พวกเราทั้งสี่คนตรงนี้คนไหนไม่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในนิกาย ท่านอย่าได้คิดอาศัยชื่อเสียงข่มพวกเรา” หญิงสาวชุดแดงไม่ตอบคำถามของหลิ่วหมิงแต่กลับเอ่ยโต้อย่างเป็นอริเล็กน้อย

“ผู้แซ่หลิ่วมายังทางปีศาจร้ายแห่งนี้เพราะต้องการฝึกปรือพลังเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่น ส่วนตำแหน่งรองหัวหน้าอันใดนี้ล้วนเป็นคำสั่งของผู้อาวุโส หากทุกท่านต้องการและคิดว่าตนเหมาะกับหน้าที่ยิ่งกว่า ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะยกให้ไม่ได้” หลิ่วหมิงเอ่ยเรียบๆ อย่างไม่สนใจไยดี

เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจจะเป็นรองหัวหน้าอะไรอยู่แล้ว แต่สี่คนตรงหน้าพบหน้ากันก็ข่มกันทันทีเช่นนี้ เขาย่อมไม่เกรงใจอันใดเช่นกัน

“เหอะ คิดจะเป็นรองหัวหน้าของพวกเรา ท่านก็ต้องแสดงความสามารถสักหน่อยให้ประจักษ์บ้างกระมัง ขอลองฝีมือก่อนค่อยว่ากัน!” แม้หญิงสาวชุดแดงจะเป็นผู้ฝึกฝนสตรี แต่นิสัยกลับหุนหันพลันแล่นที่สุดในหมู่ทั้งสี่คน ร่างกายขยับวูบเดียวพลันก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง

“ซานเหนียง ให้ข้าลองพลังของสหายหลิ่วดีกว่า” บุรุษผู้สะพายคันศรแดงผู้นั้นยกมือขวางหน้าหญิงสาวชุดแดง สายตาทอประกายเย็นเยียบ ส่วนอีกมือหนึ่งพลิกจับข้อมือของหลิ่วหมิงไว้ดั่งสายฟ้าแลบ

ลมปราณและกายเนื้อของบุรุษผู้สะพายศรแดงล้วนหนาหนัก เห็นชัดว่าเป็นผู้ฝึกร่างที่หายากคนหนึ่ง

หลิ่วหมิงขยับคิ้ว แขนสะบัดเล็กน้อยก็หลบพ้นการคว้าจับของบุรุษได้อย่างง่ายดาย จากนั้นแกว่งแขนครั้งเดียวก็เกิดเงาเลือนรางหลายสาย ฝ่ามือย้อนกลับไปจับข้อมือของบุรุษผู้สะพายศรแดง

บุรุษผู้สะพายศรแดงเห็นหลิ่วหมิงสู้กับตนเองด้วยกำลังตรงๆ มุมปากก็เผยรอยยิ้มหยันเล็กน้อย

ครู่ต่อมาแขนสองข้างก็ปะทะกัน เสียงตุบดังขึ้น บุรุษผู้สะพายศรแดงรู้สึกว่ากำลังมหาศาลสายหนึ่งส่งผ่านมาจากบนแขน เลือดลมในร่างปั่นป่วนวูบหนึ่งจนถอยหลังไปก้าวหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้ ในใจตะลึงงัน

เมื่อย้อนกลับไปมองหลิ่วหมิง เขากลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยให้บุรุษร่างใหญ่

เมื่อครู่ทั้งสองคนล้วนไม่ได้ใช้พลังเวท อาศัยกำลังของกายเนื้อโจมตี

พวกหญิงสาวชุดแดงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป

พวกเขาสี่คนทำงานร่วมกันอยู่ที่หน่วนย่อยแห่งนี้มานานแล้ว ต่างฝ่ายรู้จักพลังของอีกฝ่ายดีอย่างยิ่ง บุรุษผู้สะพายศรแดงเป็นผู้ฝึกฝนร่างชื่อดังแห่งยอดเขาทองคำ เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสจางเม่า พละกำลังมหาศาลในร่างเพียงพอยกขุนเขาฉุดดึงสายน้ำ แม้จะนับไม่ได้ว่าเป็นผู้ฝึกร่างที่สุดยอดที่สุดในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นสมือนของกองทัพแสงทอง แต่อย่างน้อยก็ติดอันดับหนึ่งในห้า วันนี้ประมือกันกลับพ่ายแพ้ให้แก่หลิ่วหมิงในด้านพละกำลังซึ่งถนัดที่สุด นี่จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงได้อย่างไร

บุรุษผู้สะพายศรแดงใบหน้าทะมึนดุจสายน้ำในทันที เขาสูดหายใจลึก สองแขนมีเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น กล้ามเนื้อฉับพลันขยายตัวหนาขึ้นกว่าตอนนี้อีกหนึ่งเท่า หลังจากนั้นเขาจึงยกแขน แสงสีแดงสายแล้วสายเล่าปะทุออกมาจากบนแขน ต่อยหนึ่งหมัดโจมตีใส่หลิ่วหมิงอย่างเชื่องช้า

บนกำปั้นไม่มีกระแสลมแรงแผ่ออกมาแม้แต่น้อย มันเหมือนช้าแต่ความจริงเร็ว วูบเดียวก็พุ่งมาถึงตรงหน้าของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยกขึ้น ฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่องยื่นออกมาต้านกำปั้นของบุรุษผู้สะพายศรแดงเอาไว้ ห้านิ้วออกแรงบีบ แสงสีแดงบนกำปั้นบุรุษร่างใหญ่แตกสลายในพริบตา

จุดที่ฝ่ามือกับหมัดปะทะกันเกิดเสียงทึบเหมือนไม้ตายปริแตก หลังจากนั้นก็ไม่เกิดปฏิกิริยาอันใดอีก

ในที่สุดบุรุษผู้สะพายศรแดงก็เปลี่ยนสีหน้า เขารู้สึกว่าพละกำลังของตนราวกับตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในทะเล ไม่อาจสะเทือนอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อย นอกจากนี้ห้านิ้วที่งอเข้าหากันของอีกฝ่ายยังกุมกำปั้นยักษ์ไว้แน่นราวกับตะขอเหล็ก ทำให้เขาไม่อาจกระดิกได้สักนิด

“อ้าก!”

บุรุษร่างใหญ่ตวาดเสียงดัง เท้ากระทืบบนพื้นดินอย่างแรงครั้งหนึ่ง รอบร่างเปล่งแสงสีแดงสว่างจ้า กระแสลมรุนแรงสายหนึ่งระเบิดออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าห้านิ้วสั่นสะท้าน เหมือนจะยึดจับอีกฝ่ายไว้ไม่อยู่

แต่ครู่ต่อมาแววตาของเขาก็เย็นเยียบ ปราณสีดำหนาทึบปรากฏขึ้นบนฝ่ามือกดแสงสีแดงบนร่างบุรุษร่างใหญ่ลงได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่แขนดูเหมือนสะบัดเบาๆ ตามสบายเท่านั้น

บุรุษผู้สะพายศรแดงฉับพลันรู้สึกว่าพลังมหาศาลน่าหวาดกลัวจนทำให้คนหวาดหวั่นสายหนึ่งโถมมาถึง ร่างกายครึ่งหนึ่งชาในพริบตา หลังจากร้องตะโกนออกไปเมื่อครู่ ร่างกายก็ลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่อาจควบคุมได้

ขณะที่เขากำลังจะชนกำแพงด้านหลัง เงาคนร่างหนึ่งก็ขยับไหว ผู้เฒ่าหลังค่อมผู้นั้นฉับพลันโฉบออกมา แสงสีเหลืองส่องสว่างในมือ ไม้เท้าปะการังด้ามหนึ่งปรากฏขึ้น แสงสีเหลืองสายหนึ่งยกร่างบุรุษคันศรแดงไว้ รับร่างของเขาไว้ได้อย่างแผ่วเบา

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขณะที่ยืนเอามือไพล่หลัง

“สหายหลิ่วพลังแข็งแกร่งจริงๆ ข้านับถือ” ผู้เฒ่าหลังค่อมปิดปากสนิท แต่เสียงอู้อี้กลับดังออกมาจากท้องน้อย นั่นคือวิชาพูดด้วยท้องที่เห็นได้ยาก

เวลานี้บุรุษผู้สะพายคันศรแดงร่อนลงบนพื้น สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก เขาโคจรพลังเวทหลายรอบติดกว่าจะปรับเลือดลมที่ติดขัดในร่างให้ลื่นไหลได้

“พี่หลิ่วอย่าได้ถือโทษ พวกเราหาได้มีใจคิดท้าทาย แค่ต้องการเห็นว่าสหายมีพลังเท่าไรกันแน่เท่านั้น อย่างไรในทางปีศาจร้ายแห่งนี้ทุกแห่งหนก็อันตราย หากรองหัวหน้าพลังไม่พอ พวกเราย่อมเป็นอันตราย แต่ดูจากตอนนี้ พลังของสหายหลิ่วแข็งแกร่งกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้ไม่น้อย เช่นนี้พวกเราก็วางใจได้แล้ว” คุณชายหล่อเหลาที่อยู่ด้านข้างหยิบพัดพับเล่มหนึ่งออกมาสะบัดกางออกดังพรึ่บ แล้วพัดเบาๆ สองสามหนพร้อมกับหัวเราะแผ่วเบา

หญิงสาวชุดแดงได้ยินก็แค่นเสียงเหอะแผ่วเบา แม้บนใบหน้ายังมีสีหน้าไม่ยินยอมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก

เวลานี้บุรุษคันศรแดงฟื้นสีหน้ากลับมาเป็นปกติแล้ว สายตาที่มองมาหาหลิ่วหมิงมีแววตานับถือเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็หวังว่าหลังจากนี้จะได้รับความร่วมมือจากทุกท่าน ทำภารกิจที่เบื้องบนมอบหมายให้ลุล่วงด้วยกัน” หลิ่วหมิงประสานมือเอ่ยขึ้นเรียบๆ

ทั้งสี่คนคำนับกลับด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็ไม่มองทั้งสี่คนอีกแต่มองสำรวจด้านในห้องโถงใหญ่

“สหายหลิ่วมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก น่าจะยังไม่รู้จักพวกเรามากนัก ถ้าเช่นนั้นให้คนแก่ผู้นี้แนะนำสั้นๆ สักหน่อย หน่วยย่อยนี้ของพวกเรานับรวมหัวหน้ากับสหายหลิ่วเข้าไปด้วยมีทั้งหมดหกคน นอกจากหัวหน้า ถ้ำที่พักแห่งนี้พวกเราห้าคนใช้ร่วมกัน ต่างคนมีห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง พื้นที่เพียงพอ ให้ยามปกติไม่กระทบกันและกัน นอกจากห้องของแต่ละคน ที่นี่ยังมีห้องศิลาสองห้องเป็นห้องหลอมอาวุธกับห้องปรุงโอสถให้ทุกคนใช้ร่วมกัน แต่พวกเราล้วนไม่ถนัดศาสตร์เหล่านี้จึงปล่อยว่างไว้มาตลอด” ผู้เฒ่าหลังค่อมใช้การพูดด้วยท้องอธิบายกับหลิ่วหมิง

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หลิ่วหมิงพยักหน้าทักทายทั้งสี่คนแล้วเข้าไปในห้องที่เขียนอักษรคำว่าทองกำกับไว้ของตนเอง

ในห้องโถงใหญ่ที่มีเสากลม บุรุษร่างใหญ่มองหลิ่วหมิงเข้าไปในห้องจากนั้นจึงหันหน้าเดินกลับไปในห้องของตนเองโดยไม่พูดสักคำ

“ครั้งนี้สหายเซียวพ่ายแพ้พละกำลังของหลิ่วหมิง ดูท่าคงจะเสียหน้าอยู่บ้าง” คุณชายหนุ่มหุบพัดตบกับฝ่ามือเบาๆ ดังปั้บ แล้วหัวเราะเอ่ยขึ้น

“แม้หลิ่วหมิงผู้นี้จะดูอายุไม่มาก แต่ในนิกายกลับมีชื่อเสียงไม่น้อย วันนี้ได้พบ ความสามารถไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ เบื้องบนส่งเขามาเป็นตำแหน่งรองหัวหน้านี้ก็น่าจะใคร่ครวญมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว” ผู้เฒ่าหลังค่อมเอ่ยเรียบๆ

“เหอะ ของจริงจะเป็นอย่างไรก็รอดูภารกิจต่อไปเถอะ” หญิงสาวชุดแดงแค่นเสียงหยันแล้วหมุนตัวเดินเข้าห้อง ปิดประตูเสียงดังลั่น

ผู้เฒ่าหลังค่อมกับคุณชายยิ้มจืดเจื่อนมองหน้ากัน เห็นชัดว่าจนปัญญากับอารมณ์ร้อนของสตรีนางนี้

หลังจากทั้งสองสนทนากันสั้นๆ ต่างก็กลับไปยังห้องศิลาที่ตนเองอยู่

หลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องของตนแล้วกวาดสายตามองไปเรื่อย พบว่าพื้นที่ด้านในนับว่ากว้างขวางทีเดียว ขนาดราวสิบถึงยี่สิบจั้ง แบ่งออกเป็นหลายห้องอย่างเรียบง่าย ห้องนอน ห้องทำสมาธิ มีครบครัน

บนกำแพงเห็นชัดว่าวางชั้นจำกัดกั้นเสียงเอาไว้ เสียงด้านนอกจึงไม่ลอยเข้ามาอย่างสิ้นเชิง

หลิ่วหมิงพยักหน้านิดๆ นับว่าพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมแห่งนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+