ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1017 การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1017 การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อ้อ? กองทัพผีอยู่ที่ใด? ขนาดเท่าไร?” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาขมวดคิ้วถาม

“อยู่ที่ป่าหลงทิศห่างเมืองจินกวังไปทางใต้แสนลี้ อีกฝ่ายมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่ง ทหารผีอีกเกือบหนึ่งร้อย แล้วยังมีสุนัขผีอีกหลายร้อยตน” บุรุษแซ่หมิ่นตอบตามจริงอย่างไม่ปิดบัง

“สถานการณ์เช่นนี้…ยังฝ่าวงล้อมออกมาได้ไม่ง่ายจริงๆ ก่อนอื่นเล่าซิว่าหาบาตรแห่งการสร้างพบได้อย่างไร?” บุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม

“เรื่องเป็นเช่นนี้ หน่วยย่อยของผู้น้อยค้นหาทุกหนทุกแห่งแต่ไร้ผลจึงไปตามหาเผ่าภูตเจ็ดทวารที่อยู่ใกล้ๆ แห่งหนึ่ง…รองหัวหน้าหลิ่วเสี่ยงอันตรายสังหารภูตระดับแก่นแท้ตนหนึ่งตามลำพังจึงหาบาตรแห่งการสร้างพบ” บุรุษแซ่หมิ่นเล่าอย่างละเอียดทุกสิ่งทุกอย่าง

“พูดเช่นนี้ ครั้งนี้หลิ่วหมิงสร้างความชอบครั้งใหญ่สินะ! หลิ่วหมิง แม้เจ้าเป็นคนมาใหม่ แต่กองทัพแสงทองจัดการรางวัลและบทลงโทษชัดเจน ครั้งนี้ตามหาบาตรแห่งการสร้างพบได้อย่างราบรื่น เจ้ามีความชอบจริง…” บุรุษวัยกลางคนผู้สีหน้าเย็นชามองมาทางหลิ่วหมิง ในดวงตาฉายแววชื่นชม

“นอกจากนี้ตอนที่พวกเราตกอยู่ในค่ายกลผี รองหัวหน้าหลิ่วแม้ตกอยู่ในอันตรายก็ไม่ตื่นตระหนกจึงลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจนต่ำที่สุดได้” ยังไม่ทันที่บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาจะเอ่ยจบ บุรุษแซ่หมิ่นก็เอ่ยเสริมอีกครั้ง

“ดีมาก นอกจากรางวัลที่สัญญาไว้สำหรับภารกิจครั้งนี้ หลิ่วหมิงจะได้ผลึกความมืดระดับแก่นแท้อีกต่างหากสองลูก เข้าไปในคลังของกองทัพเลือกได้ตามใจ แล้วก็มอบแต้มคุณูปการของนิกายให้อีกหนึ่งแสน สักพักหลังจากนี้จะมีคนไปส่งมอบให้” บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด

“ขอบคุณผู้อาวุโสกู่ยิ่งนัก” หลิ่วหมิงฟังจับก็รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณ

“เอาล่ะ หลิ่วหมิงเจ้าออกไปก่อนเถอะ หมิ่นหรงอยู่ก่อน ครั้งนี้หน่วยย่อยที่เจ็ดเสียศิษย์ไปสองคน ข้าต้องหารือเรื่องการเพิ่มคนใหม่ให้เหมาะสมสักหน่อย” พูดได้ไม่กี่ประโยค ผู้อาวุโสแซ่กู่คนนี้ก็ออกปากไล่หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเดิมก็ไม่ได้สนใจเรื่องเบื้องบนในกองทัพแสงทองอะไรนี่อยู่แล้วจึงขอตัวออกมาทันที

ในห้องโถงใหญ่ บุรุษแซ่หมิ่นสนทนากับบุรุษวัยกลางคนใบหน้าเย็นชาต่อ

“ผลงานของหลิ่วหมิงโดดเด่นเช่นนั้นอย่างที่เจ้าเล่าจริงหรือ?” ผู้อาวุโสกู่เอ่ยถามอย่างจริงจัง

“เป็นเช่นนี้จริง จากที่ศิษย์สังเกต ชายหนุ่มผู้นี้แม้พลังอยู่ในระดับแก่นเสมือน แต่ความสามารถจริงน่าจะทัดเทียมกับข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรเลี้ยงแมงป่องกระดูกของชายหนุ่มผู้นี้เหมือนจะข่มภูตผีได้เล็กน้อย” บุรุษแซ่หมิ่นค่อยๆ เอ่ยเล่า

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปรับรางวัลสำหรับหน่วยย่อยของพวกเจ้าก่อนเถอะ ส่วนตัวเลือกสมาชิกหน่วยย่อยเหล่านั้นที่เจ้าพูดถึง ข้าจะพิจารณาดู” บุรุษผู้มีสีหน้าเย็นชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งหัวหน้าหน่วยระดับแก่นแท้ผู้นี้จากไปเช่นเดียวกัน

หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้บทสนทนาครั้งนี้ระหว่างทั้งสองคน เขากลับไปถึงถ้ำที่พักของตนนานแล้ว และกำลังนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดอะไรอยู่เงียบๆ

ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ก็คือได้รู้ว่าเงาเชอฮ่วนตัวนี้กลืนกินภูตผีจำพวกวิญญาณได้ แม้ผลจะสู้วิญญาณของปีศาจอสูรไม่ได้อยู่ไกล แต่ก็ทำให้วิชาลับภาพสัญลักษณ์ก้าวหน้าไปได้เล็กน้อยจริงๆ

หากให้เงาเช่อฮ่วนกลืนกินวิญญาณจำนวนมากต่อไป บางทีอาจมีหวังให้มันบรรลุขั้นปลาย

หลังจากคิดเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียวทันที เขาเคลื่อนพลังเวทไปยังภาพสัญลักษณ์บนหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินสว่างจ้าขึ้นใต้เสื้อ เงาวัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งกระโดดออกมาแล้วแหงนหน้ากู่ร้อง ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวส่องสว่างเห็นชัดกว่าก่อนหน้าอยู่เลือนราง

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้กับตาตนเองก็ทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่

…..

ห้องลับแห่งหนึ่งในหอหลักของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าหน้าตาธรรมดาผู้มีเส้นผมขาวโพลนยุ่งเหยิงและสวมชุดสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ที่นี่ แท่นเบื้องหน้าเขาวางบาตรแห่งการสร้างซึ่งพวกหลิ่วหมิงตามหากลับมาเอาไว้

ผู้เฒ่าพินิจตัวบาตรอย่างนิ่งสงบ สายตาหยุดอยู่ตรงรอยบนบาตร จากนั้นเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย

ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาผู้นั้นก็กำลังยืนนิ่งอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง

“โชคดีที่บาตรแห่งการสร้างใบนี้มีเพียงรอยบาดเล็กน้อย เสียพลังจิตวิญญาณไปบ้าง แต่ไม่ได้เสียหายจนถึงชั้นจำกัดต้นกำเนิด ซ่อมบำรุงเล็กน้อยก็ใช้งานต่อได้แล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าผมขาวก็พลันเอ่ยปากบอก

“ดีเหลือเกิน ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์อาเหยาแล้ว” พวกทารกเฮ่าเยวี่ยสองคนได้ยินก็โล่งอก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางนอบน้อม

แม้พวกเขาสองคนจะเป็นผู้อาวุโสในกองทัพแสงทอง ฐานะค่อนข้างสูง แต่ผู้เฒ่าตรงหน้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ แล้วยังเป็นปรมาจารย์หลอมศาสตราผู้ได้ฉายาว่าหนึ่งในสามจิตวิญญาณแห่งยอดบริสุทธิ์อีกด้วย เขาเป็นคนระดับสูงที่แท้จริงของกองทัพแสงทอง

สี่ยอดนิกายใหญ่ล้วนผลัดกันส่งผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนหนึ่งมาคุมทางปีศาจร้าย ทุกหนึ่งร้อยปีเปลี่ยนผลัดครั้งหนึ่ง ผู้มากความสามารถที่คุมทางปีศาจร้ายในปัจจุบันก็คือผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์

แต่ผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ปกติไม่ได้อยู่ที่เมืองจินกวัง แต่จะหลบเร้นซ่อนตัวอยู่ในสถานที่สักแห่งใกล้ฐานที่มั่นของเผ่ามนุษย์ ในสถานการณ์ปกติเขาจะไม่ยุ่งเรื่องในกองทัพใหญ่ทั้งหลายของเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเรื่องน้อยใหญ่ในเมืองจินกวังยามนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ไม่กี่คนตัดสินใจ

“บาตรแห่งการสร้างเก็บไว้กับข้าที่นี่เถิด ครึ่งปีหลังจากนี้ พวกเจ้าค่อยส่งคนมารับ” ผู้เฒ่าผมขาวคิดอะไรขึ้นมาได้จึงขึ้นอย่างราบเรียบ

“รับทราบ” ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ตอบเสียงนอบน้อม

“ใช่แล้ว เรื่องที่กองทัพผีร้ายจู่ๆ โจมตีป้อมปราการหมายเลขที่สิบเก้าครั้งนี้ พวกเจ้าตรวจสอบได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้เฒ่าพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา

ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายวัยกลางคนแซ่กู่แลกสายตากันแล้วกระแอมขึ้นเบาๆ ก่อนจะรายงาน

“จากในรายงาน ป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าน่าจะถูกกองทัพผีร้ายขนาดใหญ่โจมตีกะทันหัน จากนั้นถูกทำลายจนพินาศ การเคลื่อนไหวของกองทัพผีร้ายครั้งนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่าพวกมันเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงโจมตี อีกทั้งช่วงนี้ป้อมปราการอื่นก็ส่งข่าวมาตามๆ กันว่าพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกองทัพผีร้าย เมื่อรวมกับสถานการณ์เหล่านี้ การจู่โจมครั้งนี้คงจะเป็นการหยั่งเชิง อย่างไรศึกใหญ่ครั้งก่อนก็ผ่านมาเนิ่นนานนักแล้ว”

“อ้อ ที่แท้พวกเจ้าคิดเช่นนี้” ผู้เฒ่าผมขาวโพลนฟังจบก็พยักหน้า ใบหน้าราบเรียบ มองไม่ออกว่าในใจที่แท้คิดอย่างไร

ทารกเฮ่าเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตัวแล้วหุบปากทันที ในห้องเงียบไปชั่วขณะ

“เมื่อครู่ได้ข่าวว่าฐานที่มั่นกับป้อมปราการของอีกสามสำนักก็พบการจู่โจมจากกองทัพผีร้ายบ่อยครั้งเช่นกัน ดูจากแนวโน้มต่างๆ แล้วนี่เห็นชัดว่าเป็นการทำงานอย่างเป็นระบบ จะว่าไปแล้วทุกหนึ่งร้อยปีกองทัพผีร้ายจะโจมตีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ตอนนี้คำนวณเวลาดูก็ใกล้เคียงแล้ว” ผู้เฒ่าเงียบไปเนิ่นนานแล้วจึงถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา

“อาจารย์อาเหยา หากเป็นเช่นนี้จริง เมืองของเราจะต้องมีมาตรการรับมือสักหน่อยหรือไม่? แม้ผู้ที่เฝ้ารักษาป้อมปราการรอบนอกส่วนใหญ่จะมีศิษย์สายนอกเป็นหลัก แต่หากบาดเจ็บล้มตายมากเกินไป ทางนิกายก็คงตำหนิ” ทารกเฮ่าเยวี่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเกินไป พวกเราสังเกตพบการเคลื่อนไหวผิดปกติครั้งนี้ของกองทัพผีมานานแล้ว ไม่นานก่อนหน้านี้กองทัพใหญ่ทั้งสี่ต่างลอบทำสัญญากัน ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์รุกต้านรุก ส่งกำลังหลักไปทำลายฐานที่ตั้งขนาดเล็กหลายแห่งของกองทัพผีร้ายอย่างรวดเร็ว ทำลายความฮึกเหิมของกองทัพผีร้ายเสีย” ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

พวกทารกเฮ่าเยวี่ยฟังแล้วก็ใจสะท้านไปวูบหนึ่ง

แม้น้ำเสียงของผู้เฒ่าผมขาวผู้นี้จะนิ่งสงบ แต่ผู้ใดก็ตามล้วนฟังออกว่าครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จะปั่นป่วนทางปีศาจร้ายให้โกลาหล ไม่รู้ว่าศิษย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่เท่าไรจะต้องทอดร่างอยู่ในทางปีศาจร้ายอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ชั่วนิรันดร์เพราะเรื่องนี้

“หลังจากรบกันมานานปีเช่นนี้ กองทัพผีร้ายยามนี้นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์ พวกมันเปลี่ยนฐานที่มั่นอยู่บ่อยครั้ง จากข่าวสารที่พวกเรามีในตอนนี้ ดูท่าจะทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จคงไม่ใช่เรื่องง่าย กูเยวี่ย เรื่องการสืบข่าวในกองทัพผีร้ายยกให้เจ้าจัดการ เจ้าน่าจะรู้ว่าสมควรทำเช่นไร” ผู้เฒ่าพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วมองพวกบุรุษแซ่กู่ที่ยังเงียบมาตลอด

“ศิษย์รู้ว่าต้องทำเช่นไร ขออาจารย์อาโปรดวางใจ” สายตาของบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ขยับวูบไหวจากนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงเข้ม

หลังจากนั้นทั้งสามคนก็หารือกันพักหนึ่ง แล้วพวกทารกเฮ่าเยวี่ยทั้งสองคนก็ขอตัวออกจากห้องไป

“พี่กู่ เมื่อครู่อาจารย์อาเหยาพูดถึงการหาข่าวจากกองทัพผีร้าย นั่นมันเรื่องอะไรกัน” หลังออกจากห้อง ทารกเฮ่าเยวี่ยก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พี่เฮ่าเยวี่ยเพิ่งมาอยู่ในทางปีศาจร้ายไม่นาน ดังนั้นท่านจึงยังไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความจริงก่อนหน้านี้นานมาแล้วเบื้องบนเคยส่งสายลับเข้าไปแฝงตัวอยู่ในกองทัพผีร้ายเพื่อให้ได้ข่าวที่แม่นยำจากกองทัพผีร้าย” บุรุษวัยกลางคนแซ่กู่เอ่ยอย่างเชื่องช้า

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย…” ทารกเฮ่าเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“เพื่อเก็บความลับ ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการที่รู้เรื่องนี้จึงน้อยยิ่งนัก” บุรุษวัยกลางคนแซ่กู่เหลือบมองทารกเฮ่าเยวี่ยแล้วเอ่ยต่อ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การจะได้ข่าวจากกองทัพผีร้ายมาย่อมง่ายขึ้นมาก” ทารกเฮ่าเยวี่ยคลายหัวคิ้วออกเล็กน้อยแล้วพยักหน้า

“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่สายลับผู้นั้นวันนี้อยู่ในป้อมปราการภูเขายักษ์ของกองทัพผีร้าย เพื่อไม่ให้ถูกเปิดเผยตัวตน เขาจึงออกมาจากค่ายไม่ได้ พวกเราต้องส่งคนไปรับข่าวสารออกมา แต่ตัวเลือกสำหรับงานนี้จะต้องใคร่ครวญให้ดี” บุรุษวัยกลางคนทำหน้าครุ่นคิด

“มีคนผู้หนึ่ง อาจรับหน้าที่นี้ได้!” ทารกเฮ่าเยวี่ยได้ยินก็ตาเป็นประกาย

…..

สองวันให้หลัง

ในถ้ำที่พักของหน่วยย่อยที่เจ็ดแห่งกองทัพแสงทอง

เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือทั้งสองข้างอยู่บนเบาะกลมนิ่งไม่ขยับ ในทะเลจิตวิญญาณของเขามุกกลมสีเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลูกหนึ่งกำลังหมุนอย่างเชื่องช้า หมอกโลหิตวนเวียนอยู่บนผิวและขยายหดไม่หยุด

ทันใดนั้นป้ายประจำตัวของกองทัพแสงทองที่เอวของเขาก็ส่องแสงและสั่นไหวเบาๆ

“เอ๋ หรือนิกายจะมีภารกิจอีกแล้ว?”

เขาที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นแล้วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป ป้ายประจำตัวเรืองแสงแล้วมีตัวอักษรหลายแถวลอยขึ้นมา

สายตาของเขากวาดมองบนนั้นอย่างเร็วไว จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ทารกเฮ่าเยวี่ยเป็นผู้ส่งข่าวนี้มา บอกว่าให้เขารีบเดินทางไปยังหอหลักตอนนี้ มีเรื่องสำคัญต้องหารือ แต่ในข้อความไม่ได้กล่าวว่ามีเรื่องอันใด

ในดวงตาหลิ่วหมิงเผยความประหลาดใจ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนแล้วออกจากถ้ำที่พัก เขาขี่เมฆมุ่งไปยังหอสูงใจกลางของเมือง

ไม่นานเขาก็มาถึงในห้องโถงใหญ่สว่างไสวด้านในหอ

เวลานี้ในห้องโถงใหญ่ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่กำลังสนทนาอะไรกันอยู่ด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับว่ารอคอยมานานแล้ว

“คารวะผู้อาวุโสที่สอง” หลังจากหลิ่วหมิงเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็ประสานมือคำนับทั้งสองคน

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานหลิ่วจะมาเร็วเช่นนี้ ไม่ต้องมากพิธี เข้ามาเถิด” ทารกเฮ่าเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ แล้วกวักมือเรียก

บุรุษผู้มีสีหน้าเย็นชาก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาด้วย

“ไม่ทราบผู้อาวุโสทั้งสองส่งสารเรียกศิษย์มาที่นี่ มีธุระใดหรือ?” หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปหาตามคำสั่งสองสามก้าวแล้วเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1017 การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1017 การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อ้อ? กองทัพผีอยู่ที่ใด? ขนาดเท่าไร?” บุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาขมวดคิ้วถาม

“อยู่ที่ป่าหลงทิศห่างเมืองจินกวังไปทางใต้แสนลี้ อีกฝ่ายมีผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่ง ทหารผีอีกเกือบหนึ่งร้อย แล้วยังมีสุนัขผีอีกหลายร้อยตน” บุรุษแซ่หมิ่นตอบตามจริงอย่างไม่ปิดบัง

“สถานการณ์เช่นนี้…ยังฝ่าวงล้อมออกมาได้ไม่ง่ายจริงๆ ก่อนอื่นเล่าซิว่าหาบาตรแห่งการสร้างพบได้อย่างไร?” บุรุษผู้มีใบหน้าเย็นชาพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม

“เรื่องเป็นเช่นนี้ หน่วยย่อยของผู้น้อยค้นหาทุกหนทุกแห่งแต่ไร้ผลจึงไปตามหาเผ่าภูตเจ็ดทวารที่อยู่ใกล้ๆ แห่งหนึ่ง…รองหัวหน้าหลิ่วเสี่ยงอันตรายสังหารภูตระดับแก่นแท้ตนหนึ่งตามลำพังจึงหาบาตรแห่งการสร้างพบ” บุรุษแซ่หมิ่นเล่าอย่างละเอียดทุกสิ่งทุกอย่าง

“พูดเช่นนี้ ครั้งนี้หลิ่วหมิงสร้างความชอบครั้งใหญ่สินะ! หลิ่วหมิง แม้เจ้าเป็นคนมาใหม่ แต่กองทัพแสงทองจัดการรางวัลและบทลงโทษชัดเจน ครั้งนี้ตามหาบาตรแห่งการสร้างพบได้อย่างราบรื่น เจ้ามีความชอบจริง…” บุรุษวัยกลางคนผู้สีหน้าเย็นชามองมาทางหลิ่วหมิง ในดวงตาฉายแววชื่นชม

“นอกจากนี้ตอนที่พวกเราตกอยู่ในค่ายกลผี รองหัวหน้าหลิ่วแม้ตกอยู่ในอันตรายก็ไม่ตื่นตระหนกจึงลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายจนต่ำที่สุดได้” ยังไม่ทันที่บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาจะเอ่ยจบ บุรุษแซ่หมิ่นก็เอ่ยเสริมอีกครั้ง

“ดีมาก นอกจากรางวัลที่สัญญาไว้สำหรับภารกิจครั้งนี้ หลิ่วหมิงจะได้ผลึกความมืดระดับแก่นแท้อีกต่างหากสองลูก เข้าไปในคลังของกองทัพเลือกได้ตามใจ แล้วก็มอบแต้มคุณูปการของนิกายให้อีกหนึ่งแสน สักพักหลังจากนี้จะมีคนไปส่งมอบให้” บุรุษวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาเอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด

“ขอบคุณผู้อาวุโสกู่ยิ่งนัก” หลิ่วหมิงฟังจับก็รีบประสานมือเอ่ยขอบคุณ

“เอาล่ะ หลิ่วหมิงเจ้าออกไปก่อนเถอะ หมิ่นหรงอยู่ก่อน ครั้งนี้หน่วยย่อยที่เจ็ดเสียศิษย์ไปสองคน ข้าต้องหารือเรื่องการเพิ่มคนใหม่ให้เหมาะสมสักหน่อย” พูดได้ไม่กี่ประโยค ผู้อาวุโสแซ่กู่คนนี้ก็ออกปากไล่หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเดิมก็ไม่ได้สนใจเรื่องเบื้องบนในกองทัพแสงทองอะไรนี่อยู่แล้วจึงขอตัวออกมาทันที

ในห้องโถงใหญ่ บุรุษแซ่หมิ่นสนทนากับบุรุษวัยกลางคนใบหน้าเย็นชาต่อ

“ผลงานของหลิ่วหมิงโดดเด่นเช่นนั้นอย่างที่เจ้าเล่าจริงหรือ?” ผู้อาวุโสกู่เอ่ยถามอย่างจริงจัง

“เป็นเช่นนี้จริง จากที่ศิษย์สังเกต ชายหนุ่มผู้นี้แม้พลังอยู่ในระดับแก่นเสมือน แต่ความสามารถจริงน่าจะทัดเทียมกับข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอสูรเลี้ยงแมงป่องกระดูกของชายหนุ่มผู้นี้เหมือนจะข่มภูตผีได้เล็กน้อย” บุรุษแซ่หมิ่นค่อยๆ เอ่ยเล่า

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปรับรางวัลสำหรับหน่วยย่อยของพวกเจ้าก่อนเถอะ ส่วนตัวเลือกสมาชิกหน่วยย่อยเหล่านั้นที่เจ้าพูดถึง ข้าจะพิจารณาดู” บุรุษผู้มีสีหน้าเย็นชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ส่งหัวหน้าหน่วยระดับแก่นแท้ผู้นี้จากไปเช่นเดียวกัน

หลิ่วหมิงย่อมไม่รับรู้บทสนทนาครั้งนี้ระหว่างทั้งสองคน เขากลับไปถึงถ้ำที่พักของตนนานแล้ว และกำลังนั่งขัดสมาธิครุ่นคิดอะไรอยู่เงียบๆ

ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ก็คือได้รู้ว่าเงาเชอฮ่วนตัวนี้กลืนกินภูตผีจำพวกวิญญาณได้ แม้ผลจะสู้วิญญาณของปีศาจอสูรไม่ได้อยู่ไกล แต่ก็ทำให้วิชาลับภาพสัญลักษณ์ก้าวหน้าไปได้เล็กน้อยจริงๆ

หากให้เงาเช่อฮ่วนกลืนกินวิญญาณจำนวนมากต่อไป บางทีอาจมีหวังให้มันบรรลุขั้นปลาย

หลังจากคิดเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือเดียวทันที เขาเคลื่อนพลังเวทไปยังภาพสัญลักษณ์บนหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินสว่างจ้าขึ้นใต้เสื้อ เงาวัวสีน้ำเงินขนาดมหึมาที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งกระโดดออกมาแล้วแหงนหน้ากู่ร้อง ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวส่องสว่างเห็นชัดกว่าก่อนหน้าอยู่เลือนราง

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้กับตาตนเองก็ทำสีหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่

…..

ห้องลับแห่งหนึ่งในหอหลักของเมืองจินกวัง ผู้เฒ่าหน้าตาธรรมดาผู้มีเส้นผมขาวโพลนยุ่งเหยิงและสวมชุดสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ที่นี่ แท่นเบื้องหน้าเขาวางบาตรแห่งการสร้างซึ่งพวกหลิ่วหมิงตามหากลับมาเอาไว้

ผู้เฒ่าพินิจตัวบาตรอย่างนิ่งสงบ สายตาหยุดอยู่ตรงรอยบนบาตร จากนั้นเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย

ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นชาผู้นั้นก็กำลังยืนนิ่งอย่างนอบน้อมอยู่ด้านข้าง

“โชคดีที่บาตรแห่งการสร้างใบนี้มีเพียงรอยบาดเล็กน้อย เสียพลังจิตวิญญาณไปบ้าง แต่ไม่ได้เสียหายจนถึงชั้นจำกัดต้นกำเนิด ซ่อมบำรุงเล็กน้อยก็ใช้งานต่อได้แล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าผมขาวก็พลันเอ่ยปากบอก

“ดีเหลือเกิน ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนอาจารย์อาเหยาแล้ว” พวกทารกเฮ่าเยวี่ยสองคนได้ยินก็โล่งอก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางนอบน้อม

แม้พวกเขาสองคนจะเป็นผู้อาวุโสในกองทัพแสงทอง ฐานะค่อนข้างสูง แต่ผู้เฒ่าตรงหน้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ แล้วยังเป็นปรมาจารย์หลอมศาสตราผู้ได้ฉายาว่าหนึ่งในสามจิตวิญญาณแห่งยอดบริสุทธิ์อีกด้วย เขาเป็นคนระดับสูงที่แท้จริงของกองทัพแสงทอง

สี่ยอดนิกายใหญ่ล้วนผลัดกันส่งผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์คนหนึ่งมาคุมทางปีศาจร้าย ทุกหนึ่งร้อยปีเปลี่ยนผลัดครั้งหนึ่ง ผู้มากความสามารถที่คุมทางปีศาจร้ายในปัจจุบันก็คือผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งของนิกายยอดบริสุทธิ์

แต่ผู้มากความสามารถระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ผู้นี้ปกติไม่ได้อยู่ที่เมืองจินกวัง แต่จะหลบเร้นซ่อนตัวอยู่ในสถานที่สักแห่งใกล้ฐานที่มั่นของเผ่ามนุษย์ ในสถานการณ์ปกติเขาจะไม่ยุ่งเรื่องในกองทัพใหญ่ทั้งหลายของเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเรื่องน้อยใหญ่ในเมืองจินกวังยามนี้ล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ไม่กี่คนตัดสินใจ

“บาตรแห่งการสร้างเก็บไว้กับข้าที่นี่เถิด ครึ่งปีหลังจากนี้ พวกเจ้าค่อยส่งคนมารับ” ผู้เฒ่าผมขาวคิดอะไรขึ้นมาได้จึงขึ้นอย่างราบเรียบ

“รับทราบ” ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ตอบเสียงนอบน้อม

“ใช่แล้ว เรื่องที่กองทัพผีร้ายจู่ๆ โจมตีป้อมปราการหมายเลขที่สิบเก้าครั้งนี้ พวกเจ้าตรวจสอบได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้เฒ่าพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา

ทารกเฮ่าเยวี่ยกับชายวัยกลางคนแซ่กู่แลกสายตากันแล้วกระแอมขึ้นเบาๆ ก่อนจะรายงาน

“จากในรายงาน ป้อมปราการหมายเลขสิบเก้าน่าจะถูกกองทัพผีร้ายขนาดใหญ่โจมตีกะทันหัน จากนั้นถูกทำลายจนพินาศ การเคลื่อนไหวของกองทัพผีร้ายครั้งนี้ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ คล้ายกับว่าพวกมันเตรียมตัวพร้อมแล้วจึงโจมตี อีกทั้งช่วงนี้ป้อมปราการอื่นก็ส่งข่าวมาตามๆ กันว่าพบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกองทัพผีร้าย เมื่อรวมกับสถานการณ์เหล่านี้ การจู่โจมครั้งนี้คงจะเป็นการหยั่งเชิง อย่างไรศึกใหญ่ครั้งก่อนก็ผ่านมาเนิ่นนานนักแล้ว”

“อ้อ ที่แท้พวกเจ้าคิดเช่นนี้” ผู้เฒ่าผมขาวโพลนฟังจบก็พยักหน้า ใบหน้าราบเรียบ มองไม่ออกว่าในใจที่แท้คิดอย่างไร

ทารกเฮ่าเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตัวแล้วหุบปากทันที ในห้องเงียบไปชั่วขณะ

“เมื่อครู่ได้ข่าวว่าฐานที่มั่นกับป้อมปราการของอีกสามสำนักก็พบการจู่โจมจากกองทัพผีร้ายบ่อยครั้งเช่นกัน ดูจากแนวโน้มต่างๆ แล้วนี่เห็นชัดว่าเป็นการทำงานอย่างเป็นระบบ จะว่าไปแล้วทุกหนึ่งร้อยปีกองทัพผีร้ายจะโจมตีครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ตอนนี้คำนวณเวลาดูก็ใกล้เคียงแล้ว” ผู้เฒ่าเงียบไปเนิ่นนานแล้วจึงถอนหายใจเอ่ยขึ้นมา

“อาจารย์อาเหยา หากเป็นเช่นนี้จริง เมืองของเราจะต้องมีมาตรการรับมือสักหน่อยหรือไม่? แม้ผู้ที่เฝ้ารักษาป้อมปราการรอบนอกส่วนใหญ่จะมีศิษย์สายนอกเป็นหลัก แต่หากบาดเจ็บล้มตายมากเกินไป ทางนิกายก็คงตำหนิ” ทารกเฮ่าเยวี่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง

“เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเกินไป พวกเราสังเกตพบการเคลื่อนไหวผิดปกติครั้งนี้ของกองทัพผีมานานแล้ว ไม่นานก่อนหน้านี้กองทัพใหญ่ทั้งสี่ต่างลอบทำสัญญากัน ตัดสินใจว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์รุกต้านรุก ส่งกำลังหลักไปทำลายฐานที่ตั้งขนาดเล็กหลายแห่งของกองทัพผีร้ายอย่างรวดเร็ว ทำลายความฮึกเหิมของกองทัพผีร้ายเสีย” ผู้เฒ่าผมขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

พวกทารกเฮ่าเยวี่ยฟังแล้วก็ใจสะท้านไปวูบหนึ่ง

แม้น้ำเสียงของผู้เฒ่าผมขาวผู้นี้จะนิ่งสงบ แต่ผู้ใดก็ตามล้วนฟังออกว่าครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่จะปั่นป่วนทางปีศาจร้ายให้โกลาหล ไม่รู้ว่าศิษย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่เท่าไรจะต้องทอดร่างอยู่ในทางปีศาจร้ายอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ชั่วนิรันดร์เพราะเรื่องนี้

“หลังจากรบกันมานานปีเช่นนี้ กองทัพผีร้ายยามนี้นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์ พวกมันเปลี่ยนฐานที่มั่นอยู่บ่อยครั้ง จากข่าวสารที่พวกเรามีในตอนนี้ ดูท่าจะทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จคงไม่ใช่เรื่องง่าย กูเยวี่ย เรื่องการสืบข่าวในกองทัพผีร้ายยกให้เจ้าจัดการ เจ้าน่าจะรู้ว่าสมควรทำเช่นไร” ผู้เฒ่าพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปพักหนึ่ง แล้วมองพวกบุรุษแซ่กู่ที่ยังเงียบมาตลอด

“ศิษย์รู้ว่าต้องทำเช่นไร ขออาจารย์อาโปรดวางใจ” สายตาของบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่ขยับวูบไหวจากนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงเข้ม

หลังจากนั้นทั้งสามคนก็หารือกันพักหนึ่ง แล้วพวกทารกเฮ่าเยวี่ยทั้งสองคนก็ขอตัวออกจากห้องไป

“พี่กู่ เมื่อครู่อาจารย์อาเหยาพูดถึงการหาข่าวจากกองทัพผีร้าย นั่นมันเรื่องอะไรกัน” หลังออกจากห้อง ทารกเฮ่าเยวี่ยก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“พี่เฮ่าเยวี่ยเพิ่งมาอยู่ในทางปีศาจร้ายไม่นาน ดังนั้นท่านจึงยังไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ ความจริงก่อนหน้านี้นานมาแล้วเบื้องบนเคยส่งสายลับเข้าไปแฝงตัวอยู่ในกองทัพผีร้ายเพื่อให้ได้ข่าวที่แม่นยำจากกองทัพผีร้าย” บุรุษวัยกลางคนแซ่กู่เอ่ยอย่างเชื่องช้า

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย…” ทารกเฮ่าเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ

“เพื่อเก็บความลับ ผู้อาวุโสฝ่ายดำเนินการที่รู้เรื่องนี้จึงน้อยยิ่งนัก” บุรุษวัยกลางคนแซ่กู่เหลือบมองทารกเฮ่าเยวี่ยแล้วเอ่ยต่อ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การจะได้ข่าวจากกองทัพผีร้ายมาย่อมง่ายขึ้นมาก” ทารกเฮ่าเยวี่ยคลายหัวคิ้วออกเล็กน้อยแล้วพยักหน้า

“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่สายลับผู้นั้นวันนี้อยู่ในป้อมปราการภูเขายักษ์ของกองทัพผีร้าย เพื่อไม่ให้ถูกเปิดเผยตัวตน เขาจึงออกมาจากค่ายไม่ได้ พวกเราต้องส่งคนไปรับข่าวสารออกมา แต่ตัวเลือกสำหรับงานนี้จะต้องใคร่ครวญให้ดี” บุรุษวัยกลางคนทำหน้าครุ่นคิด

“มีคนผู้หนึ่ง อาจรับหน้าที่นี้ได้!” ทารกเฮ่าเยวี่ยได้ยินก็ตาเป็นประกาย

…..

สองวันให้หลัง

ในถ้ำที่พักของหน่วยย่อยที่เจ็ดแห่งกองทัพแสงทอง

เวลานี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือทั้งสองข้างอยู่บนเบาะกลมนิ่งไม่ขยับ ในทะเลจิตวิญญาณของเขามุกกลมสีเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือลูกหนึ่งกำลังหมุนอย่างเชื่องช้า หมอกโลหิตวนเวียนอยู่บนผิวและขยายหดไม่หยุด

ทันใดนั้นป้ายประจำตัวของกองทัพแสงทองที่เอวของเขาก็ส่องแสงและสั่นไหวเบาๆ

“เอ๋ หรือนิกายจะมีภารกิจอีกแล้ว?”

เขาที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นแล้วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป ป้ายประจำตัวเรืองแสงแล้วมีตัวอักษรหลายแถวลอยขึ้นมา

สายตาของเขากวาดมองบนนั้นอย่างเร็วไว จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ทารกเฮ่าเยวี่ยเป็นผู้ส่งข่าวนี้มา บอกว่าให้เขารีบเดินทางไปยังหอหลักตอนนี้ มีเรื่องสำคัญต้องหารือ แต่ในข้อความไม่ได้กล่าวว่ามีเรื่องอันใด

ในดวงตาหลิ่วหมิงเผยความประหลาดใจ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนแล้วออกจากถ้ำที่พัก เขาขี่เมฆมุ่งไปยังหอสูงใจกลางของเมือง

ไม่นานเขาก็มาถึงในห้องโถงใหญ่สว่างไสวด้านในหอ

เวลานี้ในห้องโถงใหญ่ทารกเฮ่าเยวี่ยกับบุรุษวัยกลางคนแซ่กู่กำลังสนทนาอะไรกันอยู่ด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับว่ารอคอยมานานแล้ว

“คารวะผู้อาวุโสที่สอง” หลังจากหลิ่วหมิงเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็ประสานมือคำนับทั้งสองคน

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานหลิ่วจะมาเร็วเช่นนี้ ไม่ต้องมากพิธี เข้ามาเถิด” ทารกเฮ่าเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ แล้วกวักมือเรียก

บุรุษผู้มีสีหน้าเย็นชาก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาด้วย

“ไม่ทราบผู้อาวุโสทั้งสองส่งสารเรียกศิษย์มาที่นี่ มีธุระใดหรือ?” หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปหาตามคำสั่งสองสามก้าวแล้วเอ่ยถามอย่างนิ่งสงบ

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+