ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 105 การต่อสู้อันดุเดือด (6)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 105 การต่อสู้อันดุเดือด (6) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 105 การต่อสู้อันดุเดือด (6)

พระจันทร์กลมๆ ชนเข้ากับมังกรสีเลือดอย่างจัง จนเกิดเสียงดังสะเทือนไปทั่วเขา!

หลังจากที่แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา พระจันทร์กลมก็ฟันเข้าตั้งแต่หัวจนถึงกลางตัวของมังกรโดยไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้

แต่ครู่ต่อมา มังกรก็ระเบิดตัวออกกลายเป็นทะเลเลือดอันพวยพุ่งห่อหุ้มพระจันทร์สีเขียวไว้

ถึงแม้พระจันทร์จะหมุนวนอย่างรวดเร็ว และแสงสีเขียวที่เปล่งออกมาจะกวาดเอาหมอกเลือดแถวนั้นไปจนหมด แต่ไอเลือดจำนวนมากก็ยังพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นคาว

หมอกเลือดกับแสงเขียวปะทะกันอย่างดุเดือด ทำให้รูปร่างของพระจันทร์ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าเท่านั้น

ชายฉกรรจ์หัวล้านเห็นเช่นนี้ พลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก

แต่ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับทำเสียงฮึดฮัด และทำท่ามือชี้ไปยังพระจันทร์สีเขียวโดยฉับพลัน

พระจันทร์ส่งเสียงดัง “ตู้ม!” แล้วก็แตกกระจายออกมาราวกับกระจก และยังปล่อยปราณกระบี่แหลมเล็กเกือบร้อยเส้นออกมา

ภายใต้ปราณกระบี่หนาแน่นจำนวนมากที่ฟันลงมา ทำให้ทะเลเลือดถูกเจาะทะลุกลายเป็นรูสีขาว ปราณกระบี่จำนวนมากพุ่งผ่านจากตรงนั้นไปหากู่เจวี๋ย

ยังไม่ทันที่ปราณกระบี่จะฟันเข้ามาถึง ไอเย็นสะท้านจากความคมของพวกมันก็ทำให้ชายฉกรรจ์สั่นระริกขึ้นมา

กู่เจวี๋ยตกใจเป็นอย่างมาก คิดที่จะแสดงวิชาต้านทาน แต่สายตาทั้งสองพลันมืดดำแล้วล้มลงไปบนพื้น ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าในตัวของเขาไม่มีพลังเวทย์เหลือแล้ว สีหน้าของเขาขาวซีดขึ้นมา

เสียงดัง “เพล้ง!” เพล้ง!”

ภายใต้การม้วนตัวของพายุสีดำ พริบตาเดียวปราณกระบี่หลายเส้นถูกพัดกระเด็นออกไป

จากนั้นก็มีคลื่นสั่นไหวเหนือตัวกู่เจวี๋ย ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ปรากฏตัวออกมา และกล่าวอย่างราบเรียบ

“ไป๋ชงเทียนชนะการประลองในครั้งนี้”

พอเขากล่าวจบ ก็แวบมาปรากฏตัวบริเวณที่กู่เจวี๋ยอยู่ จากนั้นก็มีเสียงตบลงบนตัวเขาดัง “ป้าบ!” “ป้าบ!”

ใบหน้าอันซีดขาวของชายฉกรรจ์กลับมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที

ขณะนี้ หมอกเลือดบนแท่นประลองถูกแสงกระบี่สีเขียวฟาดฟันจนสลายไปหมดสิ้น และแสงกระบี่สีเขียวก็เหลืออยู่แค่สิบกว่าเส้นเท่านั้น และมันก็ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน เหลือไว้เพียงแค่กระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่ร่วงลงมาจากอากาศ

หลิ่วหมิงเรียกมันเข้ามาหาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ก็กลายเป็นแสงสีเขียวลอยกลับมา แล้วจมหายไปเข้าในแขนเสื้อ

“เจ้าทำมันได้อย่างไร ข้าเคยทดสอบมันมาด้วยตนเองแล้วพบว่าพลังการฟาดฟันของกระบี่กระดูกโลหิตปีศาจเล่มนี้ อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปที่มีแค่สองสามชั้นจำกัดไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน” ถึงแม้ชายฉกรรจ์หัวล้านจะฝืนยืนขึ้นมายืนบนแท่นประลองได้อย่างมั่นคง แต่ยังคงใช้สายตาแปลกประหลาดในการถามหลิ่วหมิง

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน! อาจเป็นเพราะพลังเวทย์ในตอนท้ายของศิษย์พี่ไม่พอ เลยไม่ได้ปล่อยอานุภาพการโจมตีที่แท้จริงออกมากระมัง” หลิ่วหมิงตอบแบบเลี่ยงๆ

แต่ในใจเขากลับเข้าใจมันดี ถ้าหากว่าเทียบพลังเวทย์กันล่ะก็ ของเขามีเหลือน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามมากนัก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการโจมตีในก่อนหน้านี้เขาคิดหาวิธีลดการใช้พลังเวทย์ล่ะก็ เกรงว่าผู้ที่พลังเวทย์หมดก่อนจะต้องเป็นเขาอย่างแน่นอน

เพียงแต่พลังเวทย์ของเขาบริสุทธิ์กว่าศิษย์ทั่วไปมาก ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะมีพลังเวทย์ไม่พอ แต่เมื่อเขาแสดงวิชาอานุภาพของมันกลับไม่ลดลงเลย ทำให้คนอื่นมองกลอุบายนี้ไม่ออก

และในตอนท้ายที่เขาแปลงอาวุธจิตวิญญาณเป็นพระจันทร์สีเขียวเพื่อใช้ในการโจมตีครั้งสุดท้าย ถึงเป็นการใช้พลังเวทย์ทั้งหมดที่เขามี

เป็นดังที่กู่เจวี๋ยกล่าวก็คือ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาทำการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ล่ะก็ เขาจะต้องไม่ใช่ผู้แพ้อย่างแน่นอน!

ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายโดยทั่วไปที่สามารถกระตุ้นชั้นจำกัดที่สามของกระบี่สั้นได้ และสุดท้ายยังปล่อยปราณกระบี่ได้หกถึงสิบเส้นได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะมีผู้ที่ปล่อยได้เกือบร้อยเส้นอย่างหลิ่วหมิง

เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้ว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ สามารถเพิ่มอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

“ฮึ! ข้าใช้พลังเวทย์ในการโจมตีครั้งสุดท้ายไปเท่าไหร่ ทำไมตัวข้าเองจะไม่รู้!” กู่เจวี๋ยทำเสียงฮึดฮัดแล้วคิดที่จะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามต่อไปอย่างไร

ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงนั้นกลับกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เอาล่ะ! ในเมื่อการประลองจบแล้ว พวกเจ้าก็ลงไปเถอะ! หรือว่าต้องให้ข้าส่งพวกเจ้าลงไปด้วยตนเอง?”

พอกู่เจวี๋ยและหลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นสะท้าน รีบโค้งตัวคารวะแล้วกล่าวว่า “มิกล้า” จากนั้นก็แยกย้ายกันเดินไปยังใต้ธงของตนเอง

แต่พอหลิ่วหมิงเดินไปได้ครึ่งทาง พลันมีเสียงราบเรียบดังเข้ามาในหู

“คืนนี้ยามสามมารอข้าตรงป่าที่ห่างจากที่นี่สามลี้”

เสียงนี้คือเสียงของผู้อาวุโสร่างท้วมที่ชื่อ ‘อาจารย์อาหร่วน’ นั่นเอง หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจแต่ยังคงเดินไปนั่งลงตรงขอบแท่นประลอง โดยไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า

ขณะนี้ บนลานหยกกลับเงียบเป็นเป่าสาก!

“การประลองเมื่อครู่ ทุกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?”

ผ่านไปสักครู่ ประมุขนิกายปีศาจถึงได้ค่อยๆ เอ่ยปากถามออกมา

“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังของศิษย์หลายไป๋หรือว่าศิษย์หลานกู่ล้วนแข็งแกร่งทั้งนั้น พูดได้ว่าเกินความคาดหมายของพวกเราไปมาก เกรงว่าทั้งคู่ต่างก็มีพลังในการแย่งชิงห้าอันดับแรก…ไม่ใช่สิ! ต้องสามอันดับแรกต่างหาก!” หญิงแซ่หลินถอนหายใจกล่าวออกมา

ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

ถ้ารู้แต่แรกว่าหลิ่วหมิงมีร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์อันลึกลับนี้แฝงอยู่ ตอนนั้นเขาคงยอมผิดใจกับกุยหรูฉวนเพื่อแย่งหลิ่วหมิงมาสังกัดในสาขาของตนเองแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เท่ากับว่ามีศิษย์ในสาขาของตนอยู่ในตำแหน่งศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกตั้งสองคนแล้ว

แน่นอนว่าตอนนี้มันสายไปแล้ว กุยหรูฉวนไม่มีทางมอบหลิ่วหมิงให้สาขาระบำปีศาจอย่างแน่นอน

“เป็นเช่นนี้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์หลานกู่! จุ๊ๆ! ไม่คาดคิดว่าเขาจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ควบคุมกระดูกได้สำเร็จ! ศิษย์น้องจาง เหมือนกับว่าเขาเป็นศิษย์สาขายันต์มหาเวทย์ของเจ้าใช่ไหม! หรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้สังเกตเห็นพรสวรรค์ของศิษย์ผู้นี้” ฉู่ฉี่เองก็ถามนักพรตวัยกลางคนที่ชื่อ ‘อาจารย์อาจาง’ ด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ก่อนหน้านี้กู่เจวี๋ยมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ และไม่ได้เข้าเป็นศิษย์ติดตามของสาขาเรา ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเขาแอบฝึกวิชาควบคุมกระดูกได้สำเร็จ ถ้ารู้เรื่องนี้แต่แรกทำไมข้าจะไม่ให้ความสำคัญ และทำการชี้แนะให้กับเขาล่ะ ต่อให้จะไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ แต่อาศัยพรสวรรค์ในการฝึกวิชาระดับสูงได้สำเร็จเช่นนี้ มันก็คุ้มค่าที่สาขาเราจะมอบทรัพยากรให้แก่เขา แต่ว่าตอนนี้มันก็ยังไม่สายเกินไป ขอแค่ศิษย์ผู้นี้ฝึกฝนวิชานี้จนถึงเขตแดนที่มั่นคงแล้ว ก็เท่ากับว่าสิ่งของหลายอย่างที่สาขาของเราได้ปิดผนึกไว้นั้นสามารถหาคนควบคุมได้แล้ว” ตอนแรกอาจารย์อาจางหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น แต่ครู่เดียวก็ตอบกลับไปด้วยความตื่นเต้น

“ไม่เลว นับตั้งแต่ปรมาจารย์ลิ่วยินก่อตั้งนิกายมา ผู้ที่สามารถฝึกฝนวิชาควบคุมกระดูกได้สำเร็จก็มีอยู่แค่สามสี่คนเท่านั้น และสิ่งของหลายสิ่งนั้นก็มีเพียงแค่ผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้สำเร็จถึงจะควบคุมมันได้โดยที่ตนเองไม่เป็นอะไรเลย ศิษย์น้องจาง ถึงแม้กู่เจวี๋ยผู้นี้จะไม่ติดอยู่ในศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก แต่กลับไปก็ต้องให้การชี้แนะเขาให้ดีๆ ไม่แน่ต่อไปเขาอาจเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของนิกายเราก็ได้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ศิษย์พี่ท่านประมุขวางใจเถอะ! หลังการประลองใหญ่ครั้งนี้จบลง ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ติดตามเอง จะต้องฝึกฝนวิชาควบคุมกระดูกให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบให้ได้” อาจารย์อาจางกล่าวโดนไม่ต้องคิด

“ดีมาก! ศิษย์น้องกุย การประลองครั้งนี้ศิษย์หลานไป๋ก็แสดงมันออกมาได้ดีมาก ไม่เพียงแต่ผนึกประทับวิชาคมวายุได้เท่านั้น ไม่คาดคิดว่าแม้แต่วิชากระสุนไฟก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบเช่นกัน ดูท่าคงจะเป็นร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ในตำนานจริงๆ และยังเป็นร่างจิตวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าร่างจิตวิญญาณแบบอื่นๆ แต่กระบี่สั้นในมือที่แปลงเป็นพระจันทร์ในการโจมตีตอนท้ายเล่มนั้น ทำไมข้าถึงดูคุ้นตามากนัก ใช่อาวุธจิตวิญญาณที่เจ้าให้หรือไม่?” ประมุขนิกายปีศาจหันหน้าไปถามกุยหรูฉวนด้วยความสงสัย

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าชงเทียนผนึกประทับวิชากระสุนไฟได้แล้ว ส่วนอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นข้าไม่ได้มอบมันให้กับเขา ถ้าข้าจำมันไม่ผิดล่ะก็มันเป็นกระบี่จันทราหยกที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณของสหายอวี๋แห่งนิกายจันทราสวรรค์ ตอนที่สหายอวี๋เสียชีวิตจากมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตัวนั้น ศิษย์ผู้นี้อยู่บริเวณนั้นพอดี” กุยหรูฉวนระงับอาการตื่นเต้นจากการที่เห็นหลิ่วหมิงชนะแล้วรีบตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็แอบตำหนิหลิ่วหมิงอยู่ในใจ ไม่คาดคิดว่าเขาจะยังปิดบังเรื่องราวต่างๆ ไว้มากถึงเพียงนี้

“ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าเขาจะดวงดีไม่น้อย กระบี่จันทราหยกเล่มนี้ข้าเองก็พอจะรู้ความเป็นมาของมันมาบ้าง ตอนแรกมันก็ไม่ใช่ของนิกายจันทราสวรรค์ แต่ตอนนี้ถูกศิษย์ในนิกายของเราเก็บได้ก็เท่ากับว่าเป็นของนิกายเราแล้ว ถ้าหากว่าทางนิกายจันทราสวรรค์ส่งคนมาสอบถามเรื่องนี้ล่ะก็ เจ้าก็ตอบเขาไปเช่นนี้แล้วกัน” ประมุขนิกายปีศาจนึกได้ในฉับพลัน และหัวเราะกล่าวออกมา

“ถ้าเช่นนั้น ศิษย์น้องขอขอบคุณแทนศิษย์ผู้นี้ด้วย” กุยหรูฉวนได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ตามหลักแล้ว อาวุธจิตวิญญาณที่เก็บได้นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีเจ้าของ ใครเก็บได้ก็จะไม่มอบให้กับคนอื่น แต่ถ้าหากว่านิกายจันทราสวรรค์มาสอบถามเรื่องนี้ถึงที่ย่อมมีเรื่องกวนใจเข้ามาอย่างแน่นอน

เพราะนี่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง นิกายจันทราสวรรค์เป็นถึงนิกายที่แข็งแกร่งในแคว้น ย่อมไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ

แต่ตอนนี้ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมใช้สถานะประมุขนิกายต้านทานเรื่องยุ่งยากจากนิกายจันทราสวรรค์ได้ ต่อไปหลิ่วหมิงก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว

ประจักษ์ชัดว่าการแสดงออกของหลิ่วหมิง ทำให้ประมุขนิกายเห็นความสำคัญของเขาขึ้นมา

“การประลองครั้งนี้ ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีศิษย์ที่ซ่อนพลังไว้เยอะขนาดนี้ ตอนแรกข้ายังกังวลว่าศิษย์รุ่นนี้ของเราจะเทียบนิกายอื่นๆ ไม่ได้ ตอนนี้กลับโล่งใจเป็นอย่างมาก” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวกับอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม

“นี่เป็นเพราะการคุ้มครองของปรมาจารย์ นิกายของเราถึงได้ปรากฏศิษย์ที่โดดเด่นเช่นนี้ออกมา”

“ไม่แน่ต่อไปนิกายของเราจะได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง”

อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็พูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น

การประลองใหญ่ครั้งนี้ได้ปรากฏตัวศิษย์ที่มีความโดดเด่นตั้งมากมาย ซึ่งมันห่างจากที่พวกเขาคาดคิดไว้มาก และต่างจากการประลองในครั้งก่อนๆ อย่างสิ้นเชิง

“แต่พวกเราก็ไม่ควรดีใจกันเร็วเกินไป ข้าได้ยินมาว่าทางนิกายจันทราสวรรค์ และนิกายอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ปรากฏอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนิกายจันทราสวรรค์ที่ก่อนหน้านั้นได้ค้นพบศิษย์ที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ผู้หนึ่ง เดิมทีการฝึกกระบี่ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าหากมีร่างกระบี่นี้ประสานกันมันคงร้ายกาจกว่าที่เราจะคาดเดาได้ เกรงว่าอนาคตของศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ คงไม่ด้อยกว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์อย่างแน่นอน ในกลุ่มศิษย์ใหม่ของนิกายวาตอัคคี ก็ได้ยินมาว่ามีศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณวารี และอัคคีอยู่ด้วยกัน ส่วนหอสายธารโลหิตกับหุบเขาเก้าช่องนั้นถึงแม้จะไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมา แต่เชื่อว่าคงจะไม่ขาดแคลนศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ ศิษย์สิบอันดับแรกในการประลองใหญ่นี้ จะต้องไม่ทำให้อันดับในการทดสอบความเป็นความตายของนิกายเรารั้งท้ายอีกต่อไป” รอยยิ้มบนใบหน้าของประมุขนิกายหายไปอีกครั้ง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด