ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1072 ร่างแยกเชอฮ่วน

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1072 ร่างแยกเชอฮ่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตอนนี้พลังของผู้อาวุโสคงเหลือเพียงระดับแก่นแท้ขั้นปลาย ต่อให้รวมมหาค่ายกลนี้ก็คงเทียบเท่าระดับดาราพยากรณ์ช่วงต้นคนหนึ่งเท่านั้น ผู้อาวุโสคิดว่าเป็นเช่นนี้จะรั้งข้าไว้ได้แน่หรือ” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็หัวเราะ

“แม้ไม่มั่นใจถึงสิบส่วน แต่ก็ยังมั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วน ลูกเล่นสุดท้ายของมหาค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานคือการระเบิดตัวเอง แม้มุกเม็ดนี้ของเจ้าจะเป็นอาวุธเวทเสร็จสมบูรณ์กึ่งหนึ่งที่ดูไม่เลว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันได้ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูกัน” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยถึงตรงนี้ ในดวงตาพลันปรากฏรอยยิ้มอันเย็นชาอย่างยิ่ง ปราณปีศาจที่พลุ่งพล่านอยู่หลังร่างก่อตัวเป็นเงาปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหาง แววตาดุดันจับจ้องบนร่างหลิ่วหมิงดั่งสายฟ้า

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม เงียบงันไม่พูดจา

จิตใจของจิ้งจอกชุดสีน้ำเงินตนนี้คลุ้มคลั่งแล้ว วิธีอย่างตายไปด้วยกันเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงทำได้จริงๆ

บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินไม่รีบร้อน เขาเพียงมองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชาแต่ไม่เอ่ยเร่ง

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน หลิ่วหมิงจึงแค่นเสียงเบาๆ แล้วเอ่ยตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย

“ได้ ข้าน้อยรับปากจะทำตามความต้องการของผู้อาวุโส แต่จะให้ข้าสู้กับปีศาจร้ายระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่ง อาศัยพลังของข้าตอนนี้คงตายสถานเดียว ข้าได้แต่สัญญากับท่านว่ารอถึงยามที่ข้ามีพลังเพียงพอแล้วย่อมเดินทางไปทำความปรารถนาของท่านให้เป็นจริง ช่วยท่านสังหารคู่แค้นผู้นั้น”

“เรื่องนี้แน่นอน หากเจ้าเป็นพวกไร้หัวคิดวิ่งไปตายเปล่าจริง ถ้าเช่นนั้นข้าคงกลุ้มเป็นแน่” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเห็นหลิ่วหมิงรับปากก็เปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้ายินดียิ่งทันที

“ไม่ทราบคู่แค้นตนนั้นที่ผู้อาวุโสเอ่ยถึงแท้จริงชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด ถึงเวลาข้าน้อยจะตามหาปีศาจตนนั้นได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาอีก

“เวลานี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าจะผนึกข้อมูลทั้งหมดของปีศาจตนนี้ไว้ในคำสาบานต่อจิตมาร ทันทีที่เจ้าบรรลุร่างพลังเวทแห่งฟ้าดิน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็จะเปิดเผยส่งตรงไปยังทะเลจิตรับรู้ของเจ้าเอง” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินตอบกลับมาเช่นนี้

หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ถามมากอีก ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่าได้ชักช้า เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์จากหัวใจสีแดงสดหยดหนึ่งออกมาลอยอยู่กลางอากาศทันที

บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเห็นเช่นนี้พลันสะบัดแขนเสื้อ กระดาษสีเลือดแผ่นหนึ่งลอยออกมาแล้วพุ่งหายเข้าไปในโลหิตบริสุทธิ์ พร้อมกับที่ปากท่องมนตร์ โลหิตบริสุทธิ์ก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีโลหิตดวงหนึ่งลุกไหม้อย่างรุนแรง

เห็นชัดว่าคำสาบานต่อจิตมารที่เขาใช้ไม่ใช่ประเภททั่วไปที่พบในโลกภายนอก แล้วยังเป็นชนิดที่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่งใช้ด้วยตนเองอีก มีพลังของสัญญาเวทที่ไม่ทราบชื่อรับประกัน หากหลิ่วหมิงอยากทำลายคำสาบานคงมีแต่บรรลุระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เท่านั้นจึงจะเป็นไปได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สีหน้าเคร่งครึม ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านเปลวเพลิงสีเลือด หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่เล่ห์กลอื่นเข้าไปจึงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นฟ้าเอ่ยคำสาบาน

แน่นอนเวลานี้เขาย่อมใช้ชื่อจริง อยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่ง การใช้เล่ห์เหลี่ยมย่อมไร้ความหมาย

เมื่อเอ่ยจบ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง

เปลวเพลิงสีเลือดระเบิดตัวเองกลายเป็นยันต์สีเลือดขนาดเท่ากระบวยตัวหนึ่ง พุ่งวูบเดียวจมหายเข้าไปในหน้าผากของหลิ่วหมิง

บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ยขึ้นว่า

“ดีมาก! หลิ่วหมิง เจ้าจงฟังให้ดี! เชอฮ่วนนี้ ความจริงเป็นอสูรดุร้ายยุคโบราณชนิดหนึ่งบนแผ่นดินหมานฮวงของข้า วิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนนี้หลังจากขั้นปลายจะเรียกร่างแยกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนที่แท้จริงออกมาได้ คิดว่าจุดนี้ เจ้าฝึกฝนวิชานี้มาจนถึงขั้นนี้คงรู้กระจ่างแล้ว แต่วิชาลับนี้แม้จะได้มายากอีกเท่าใด นับแต่โบราณจรดปัจจุบันแผ่นดินหมานฮวงของข้าก็มีคนรุ่นหลังที่พรสวรรค์ล้ำเลิศได้ฝึกฝนไม่น้อย ทว่าสุดท้ายส่วนใหญ่ล้วนหยุดอยู่ที่ก้าวสุดท้ายก้าวนี้ ไม่อาจเรียกร่างแยกเชอฮ่วนที่แท้จริงออกมาได้ เจ้ารู้ไหมว่าเพราะเหตุใด”

พูดถึงตรงนี้ ชิงหลานก็ใช้สายตาแฝงความนัยเหล่มองหลิ่วหมิงแวบหนึ่ง

“ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงฟังจบย่อมเปลี่ยนสีหน้าให้นอบน้อม

ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ เกินกว่าครึ่งย่อมมีวิธี!

“เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่าระหว่างภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนกลืนกินวิญญาณมีสิ่งใดที่พิเศษ?” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินไม่บอกวิธีออกมาตรงๆ แต่ย้อนถามกลับ

“หรือว่า…จะหมายถึงวิญญาณส่วนหนึ่งที่เสียไป” หลิ่วหมิงฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างได้เลาๆ

“ไม่ผิด!” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินพยักหน้านิดๆ ในดวงตาฉายแววชื่นชมเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า

“วิญญาณที่ถูกเชอฮ่วนกลืนกินเหล่านี้ แม้จะเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้แก่มันได้ แต่เนื่องจากพวกมันไม่ได้สมัครใจ ดังนั้นระหว่างที่ถูกกลืนกินจึงดิ้นรนสุดชีวิตต่อต้าน นี่จึงทำให้เกิดการสูญเสียไม่มากก็น้อย สิ่งนี้ไม่มีปัญหาในช่วงที่ปลุกภาพสัญลักษณ์ แต่หากบรรลุถึงก้าวสุดท้ายยามปลุกร่างจริงของเชอฮ่วนย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง”

“จะต้องให้วิญญาณที่ถูกกลืนกินสมัครใจเองทั้งหมดเช่นนั้นหรือ?” ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววเข้าใจ แต่จากนั้นคิ้วก็ขมวด

“ไม่เพียงเท่านี้ เชอฮ่วนเป็นปีศาจร้ายแห่งยุคโบราณในตำนาน ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้วิญญาณระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปดวงหนึ่งที่ยินยอมพร้อมใจถูกมันกลืนกิน เช่นนี้จึงจะทำให้ร่างแยกของมันตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ได้” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ

“ความหมายของผู้อาวุโสก็คือ…นั่นไยไม่ใช่…” หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ไหนเลยยังไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง

ผู้ที่พลังบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ได้ ไม่ว่าที่แผ่นดินจงเทียนหรือแผ่นดินหมานฮวงก็แทบจะเป็นบุคคลที่อยู่บนจุดสุดยอดของโลกแห่งการฝึกฝน หากไม่นับเหล่าผู้เฒ่าระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก

แม้สี่ยอดนิกายใหญ่จะเป็นนิกายที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้ แต่ผู้ที่พลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็มีเท่าขนหงส์เขากิเลน ในนิกายระดับกลางบางแห่งยิ่งเป็นบุคคลระดับบรรพจารย์

แต่เจตนาของชิงหลานผู้อยู่ตรงหน้าคือจะใช้ตัวเองเป็นก้าวสุดท้ายให้เขาบรรลุวิชาภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วน

นี่ย่อมทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงยิ่งนัก!

“ฮ่ะๆ …แทนที่จะเหลือเศษเสี้ยววิญญาณไปอีกสิบกว่าปีแล้วดับสูญ ไม่สู้เหลือความหวังน้อยนิดเอาไว้ชำระแค้นครั้งนั้น! เอาล่ะ พูดถึงตรงนี้พอแล้ว เจ้ายังมีคำถามอะไรไหม?” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยออกมาทีละคำ ดวงตาทอประกายเหี้ยมเกรียม

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสรู้ตำแหน่งแม่น้ำมืดที่อยู่ใกล้หุบเขาสิ้นสูญแห่งนี้ที่สุดหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถาม

“เจ้าเอาแผ่นหยกขาวเปล่าให้ข้าสักชิ้น” ชิงหลานเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม

หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่งทันที บนฝ่ามือมีแผ่นหยกสีขาวหม่นชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น ก่อนจะโยนไปให้ชิงหลาน

ชิงหลานยื่นมือมารับจากนั้นยกขึ้นแนบกับหน้าผากครู่หนึ่งแล้วโยนแผ่นหยกคืนให้หลิ่วหมิง

ต่อจากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิ สีหน้าเรียบเฉยแล้วหลับตานิ่ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงไม่พูดพร่ำ มือข้างหนึ่งตบรอยประทับภาพสัญลักษณ์ตรงหัวไหล่ ปากท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบาหลายประโยค

“ฟู่” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น!

แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นที่หัวไหล่ของเขา เงาวัวสีน้ำเงินเสมือนของจริงตัวหนึ่งโผล่ออกมาลอยอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้วคำรามใส่ท้องฟ้า

“ผู้อาวุโส ล่วงเกินแล้ว! หากข้าน้อยออกไปได้ จะทุ่มเต็มกำลังทำความปรารถนาของผู้อาวุโสให้บรรลุแน่นอน!” หลิ่วหมิงประสานมือให้บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินอีกครั้ง

สิ้นเสียงพูด เงาเชอฮ่วนที่ลอยอยู่ตรงหน้าพลันอ้าปากกว้าง พายุสีน้ำเงินลูกหนึ่งพัดออกมาโอบล้อมชิงหลานที่อยู่กลางอากาศ

ต่อจากนั้นทั้งร่างของชิงหลานก็ราวถูกคลุมด้วยผืนผ้าบาง เริ่มพร่าเลือนไม่ชัด ไอหมอกสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่ากระจายออกมาจากร่างที่เลือนรางพร่ามัวของเขาก่อนจะจมหายเข้ามาในตัวเชอฮ่วนพร้อมกับแสงเรืองรองสีน้ำเงิน

กระบวนการทั้งหมดดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาเพียงชั่วจิบชา บุรุษวัยกลางคนชุดน้ำเงินผู้นั้นตั้งแต่เริ่มจนสุดท้ายไม่ลืมตาหรือขยับอีกเลย

เมื่อไอหมอกสีน้ำเงินสายสุดท้ายถูกเงาวัวสีน้ำเงินกลืนกินลงไป บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินก็สลายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์

“ฟุบ!”

ตราประทับภาพสัญลักษณ์บนไหล่ซ้ายของหลิ่วหมิงฉับพลันส่งลำแสงสีน้ำเงินสว่างไสวสายหนึ่งออกมา

พลังประหลาดสายหนึ่งแผ่ออกมาจากแสงสีน้ำเงิน มีเสียงสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนคำรามแทรกอยู่ในนั้น

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด พลังเวทในร่างเขาถูกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนสูบเอาไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเงาวัวสีน้ำเงินได้พลังเวทเหล่านี้ไปก็ค่อยๆ ก่อตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อพลังเวทของเขาถูกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนสูบไปได้สามส่วน เงาเชอฮ่วนก็ส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา ร่างกายเลือนรางติดกันเจ็ดแปดครั้ง สุดท้ายก็กลายเป็นร่างจริง

มันกลายเป็นอสูรประหลาดสีน้ำเงินเข้มขนาดหลายจั้งตัวหนึ่ง คล้ายวัวแต่ก็ไม่ใช่วัว บนร่างมีเกล็ดประหลาดมากมายแผ่อยู่ทั่ว ขาทั้งสี่ข้างเป็นกีบที่รูปร่างคล้ายกรงเล็บเหยี่ยว หน้าตาโหดเหี้ยม แลดูดุร้ายยิ่งนัก

ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวิบวับ

นี่เป็นครั้งแรกที่เรียกอสูร “เชอฮ่วน” ตัวจริงออกมาได้ แม้เสียพลังเวทไปจำนวนมาก แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ภายในร่างแยกเชอฮ่วนที่กลายเป็นร่างจริงแล้วบรรจุพลังอันน่าตกตะลึงเอาไว้ เหมือนจะไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกฝนระดับดาพรายากรณ์ขั้นต้นคนหนึ่งสักเท่าไร อีกทั้งยังสืบทอดอิทธิ์ฤทธิ์ในการซ่อนตัวของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนมาอีกด้วย ไม่แผ่คลื่นพลังเวทออกมาภายนอกเลยแม้แต่น้อย

เขาเพ่งจิตแล้วเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือ

ทันใดนั้นอสูรเชอฮ่วนก็ขยับกีบทั้งสี่กลายเป็นเงาลวงตาสีน้ำเงินสายหนึ่ง พุ่งชนบนม่านแสงสีเทาตรงทางเข้าห้องศิลาอย่างรุนแรง

ม่านแสงสีเทาสั่นไหวรุนแรงแล้วแตกออกดังเพล้ง

หลิ่วหมิงยินดียิ่งนัก อสูรเชอฮ่วนร่างสมบูรณ์ ความเร็วไม่ช้ากว่ายามเป็นเงาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย อีกทั้งพลังโจมตีนี่ยังเหนือกว่าตัวเขาเองเสียอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้พลังของเขาย่อมเพิ่มขึ้นมาก แม้การเรียกอสูรเชอฮ่วนออกมาจะกินพลังเวทมาก แต่เป็นเช่นนี้ย่อมเท่ากับมีลูกน้องระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่ง หลังจากนี้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่ต้องอเนจอนาถเช่นนั้นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

หลังจากม่านแสงสีเทาแตกกระจาย แสงสีเทาบนเพดานและกำแพงสี่ด้านของห้องศิลาก็ส่องสว่างวูบวาบแล้วพังทลายตามด้วย มหาค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานพังทลายลงด้วยประการฉะนี้

ในตอนนี้เอง เสียงปริแตกก็ดังขึ้นมาจากบนแท่นศิลา

หลิ่วหมิงขยับร่างเดินเข้าไปใกล้แท่นศิลาแล้วก้มลงมอง

แล้วก็เห็นโคมสำริดโบราณเรียบง่ายดวงนั้นบนแท่นศิลา เวลานี้ฝุ่นสีเทาด้านบนร่วงหล่นลงไปเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน บนนั้นสลักอักขระค่ายกลอันซับซ้อนอย่างยิ่งเอาไว้ ตรงกลางมีภาพสัญลักษณ์ดวงตาข้างหนึ่งสลักอยู่ บนนั้นมีรอยร้าวเส้นหนึ่ง

เสียงเมื่อครู่น่าจะเป็นเสียงของสิ่งนี้แตก

โคมสำริดโบราณดวงนี้น่าจะเป็นอาวุธที่ชิงหลานฝากเสี้ยววิญญาณไว้ หรือก็คือดวงตาค่ายกลของมหาค่ายกลแม่เลห็กปราณหกประสานนั่นเอง ยามนี้ชิงหลานถูกเชอฮ่วนกลืนกิน ค่ายกลนี้ก็ถูกเขาทำลาย ของสิ่งนี้ย่อมแตกสลายไปด้วย

แต่บนผิวของโคมไฟสำริดโบราณดวงนี้ยังแผ่แสงสีน้ำเงินเรืองๆ ออกมาอยู่ คล้ายกับว่ายังมีพลังจิตวิญญาณเหลืออยู่เล็กน้อย

หลิ่วหมิงถือโคมโบราณขึ้นมาเพ่งพิจอยู่พักหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็เก็บมันไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1072 ร่างแยกเชอฮ่วน

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1072 ร่างแยกเชอฮ่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ตอนนี้พลังของผู้อาวุโสคงเหลือเพียงระดับแก่นแท้ขั้นปลาย ต่อให้รวมมหาค่ายกลนี้ก็คงเทียบเท่าระดับดาราพยากรณ์ช่วงต้นคนหนึ่งเท่านั้น ผู้อาวุโสคิดว่าเป็นเช่นนี้จะรั้งข้าไว้ได้แน่หรือ” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็หัวเราะ

“แม้ไม่มั่นใจถึงสิบส่วน แต่ก็ยังมั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วน ลูกเล่นสุดท้ายของมหาค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานคือการระเบิดตัวเอง แม้มุกเม็ดนี้ของเจ้าจะเป็นอาวุธเวทเสร็จสมบูรณ์กึ่งหนึ่งที่ดูไม่เลว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะป้องกันได้ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองดูกัน” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยถึงตรงนี้ ในดวงตาพลันปรากฏรอยยิ้มอันเย็นชาอย่างยิ่ง ปราณปีศาจที่พลุ่งพล่านอยู่หลังร่างก่อตัวเป็นเงาปีศาจจิ้งจอกเจ็ดหาง แววตาดุดันจับจ้องบนร่างหลิ่วหมิงดั่งสายฟ้า

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม เงียบงันไม่พูดจา

จิตใจของจิ้งจอกชุดสีน้ำเงินตนนี้คลุ้มคลั่งแล้ว วิธีอย่างตายไปด้วยกันเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงทำได้จริงๆ

บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินไม่รีบร้อน เขาเพียงมองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชาแต่ไม่เอ่ยเร่ง

หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน หลิ่วหมิงจึงแค่นเสียงเบาๆ แล้วเอ่ยตอบอย่างเอื่อยเฉื่อย

“ได้ ข้าน้อยรับปากจะทำตามความต้องการของผู้อาวุโส แต่จะให้ข้าสู้กับปีศาจร้ายระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่ง อาศัยพลังของข้าตอนนี้คงตายสถานเดียว ข้าได้แต่สัญญากับท่านว่ารอถึงยามที่ข้ามีพลังเพียงพอแล้วย่อมเดินทางไปทำความปรารถนาของท่านให้เป็นจริง ช่วยท่านสังหารคู่แค้นผู้นั้น”

“เรื่องนี้แน่นอน หากเจ้าเป็นพวกไร้หัวคิดวิ่งไปตายเปล่าจริง ถ้าเช่นนั้นข้าคงกลุ้มเป็นแน่” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเห็นหลิ่วหมิงรับปากก็เปลี่ยนมาพูดด้วยสีหน้ายินดียิ่งทันที

“ไม่ทราบคู่แค้นตนนั้นที่ผู้อาวุโสเอ่ยถึงแท้จริงชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด ถึงเวลาข้าน้อยจะตามหาปีศาจตนนั้นได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาอีก

“เวลานี้เจ้ายังไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าจะผนึกข้อมูลทั้งหมดของปีศาจตนนี้ไว้ในคำสาบานต่อจิตมาร ทันทีที่เจ้าบรรลุร่างพลังเวทแห่งฟ้าดิน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องก็จะเปิดเผยส่งตรงไปยังทะเลจิตรับรู้ของเจ้าเอง” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินตอบกลับมาเช่นนี้

หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ถามมากอีก ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็อย่าได้ชักช้า เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์จากหัวใจสีแดงสดหยดหนึ่งออกมาลอยอยู่กลางอากาศทันที

บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเห็นเช่นนี้พลันสะบัดแขนเสื้อ กระดาษสีเลือดแผ่นหนึ่งลอยออกมาแล้วพุ่งหายเข้าไปในโลหิตบริสุทธิ์ พร้อมกับที่ปากท่องมนตร์ โลหิตบริสุทธิ์ก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีโลหิตดวงหนึ่งลุกไหม้อย่างรุนแรง

เห็นชัดว่าคำสาบานต่อจิตมารที่เขาใช้ไม่ใช่ประเภททั่วไปที่พบในโลกภายนอก แล้วยังเป็นชนิดที่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่งใช้ด้วยตนเองอีก มีพลังของสัญญาเวทที่ไม่ทราบชื่อรับประกัน หากหลิ่วหมิงอยากทำลายคำสาบานคงมีแต่บรรลุระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เท่านั้นจึงจะเป็นไปได้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สีหน้าเคร่งครึม ใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านเปลวเพลิงสีเลือด หลังจากแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใส่เล่ห์กลอื่นเข้าไปจึงยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นฟ้าเอ่ยคำสาบาน

แน่นอนเวลานี้เขาย่อมใช้ชื่อจริง อยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ตนหนึ่ง การใช้เล่ห์เหลี่ยมย่อมไร้ความหมาย

เมื่อเอ่ยจบ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง

เปลวเพลิงสีเลือดระเบิดตัวเองกลายเป็นยันต์สีเลือดขนาดเท่ากระบวยตัวหนึ่ง พุ่งวูบเดียวจมหายเข้าไปในหน้าผากของหลิ่วหมิง

บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเห็นเช่นนี้จึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เอ่ยขึ้นว่า

“ดีมาก! หลิ่วหมิง เจ้าจงฟังให้ดี! เชอฮ่วนนี้ ความจริงเป็นอสูรดุร้ายยุคโบราณชนิดหนึ่งบนแผ่นดินหมานฮวงของข้า วิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนนี้หลังจากขั้นปลายจะเรียกร่างแยกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนที่แท้จริงออกมาได้ คิดว่าจุดนี้ เจ้าฝึกฝนวิชานี้มาจนถึงขั้นนี้คงรู้กระจ่างแล้ว แต่วิชาลับนี้แม้จะได้มายากอีกเท่าใด นับแต่โบราณจรดปัจจุบันแผ่นดินหมานฮวงของข้าก็มีคนรุ่นหลังที่พรสวรรค์ล้ำเลิศได้ฝึกฝนไม่น้อย ทว่าสุดท้ายส่วนใหญ่ล้วนหยุดอยู่ที่ก้าวสุดท้ายก้าวนี้ ไม่อาจเรียกร่างแยกเชอฮ่วนที่แท้จริงออกมาได้ เจ้ารู้ไหมว่าเพราะเหตุใด”

พูดถึงตรงนี้ ชิงหลานก็ใช้สายตาแฝงความนัยเหล่มองหลิ่วหมิงแวบหนึ่ง

“ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ” หลิ่วหมิงฟังจบย่อมเปลี่ยนสีหน้าให้นอบน้อม

ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ เกินกว่าครึ่งย่อมมีวิธี!

“เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่าระหว่างภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนกลืนกินวิญญาณมีสิ่งใดที่พิเศษ?” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินไม่บอกวิธีออกมาตรงๆ แต่ย้อนถามกลับ

“หรือว่า…จะหมายถึงวิญญาณส่วนหนึ่งที่เสียไป” หลิ่วหมิงฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างได้เลาๆ

“ไม่ผิด!” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินพยักหน้านิดๆ ในดวงตาฉายแววชื่นชมเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า

“วิญญาณที่ถูกเชอฮ่วนกลืนกินเหล่านี้ แม้จะเพิ่มพลังจิตวิญญาณให้แก่มันได้ แต่เนื่องจากพวกมันไม่ได้สมัครใจ ดังนั้นระหว่างที่ถูกกลืนกินจึงดิ้นรนสุดชีวิตต่อต้าน นี่จึงทำให้เกิดการสูญเสียไม่มากก็น้อย สิ่งนี้ไม่มีปัญหาในช่วงที่ปลุกภาพสัญลักษณ์ แต่หากบรรลุถึงก้าวสุดท้ายยามปลุกร่างจริงของเชอฮ่วนย่อมเป็นเรื่องร้ายแรง”

“จะต้องให้วิญญาณที่ถูกกลืนกินสมัครใจเองทั้งหมดเช่นนั้นหรือ?” ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววเข้าใจ แต่จากนั้นคิ้วก็ขมวด

“ไม่เพียงเท่านี้ เชอฮ่วนเป็นปีศาจร้ายแห่งยุคโบราณในตำนาน ดังนั้นอย่างน้อยก็ต้องใช้วิญญาณระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปดวงหนึ่งที่ยินยอมพร้อมใจถูกมันกลืนกิน เช่นนี้จึงจะทำให้ร่างแยกของมันตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ได้” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยอย่างนิ่งสงบ

“ความหมายของผู้อาวุโสก็คือ…นั่นไยไม่ใช่…” หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ไหนเลยยังไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง

ผู้ที่พลังบรรลุถึงระดับดาราพยากรณ์ได้ ไม่ว่าที่แผ่นดินจงเทียนหรือแผ่นดินหมานฮวงก็แทบจะเป็นบุคคลที่อยู่บนจุดสุดยอดของโลกแห่งการฝึกฝน หากไม่นับเหล่าผู้เฒ่าระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอก

แม้สี่ยอดนิกายใหญ่จะเป็นนิกายที่ใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้ แต่ผู้ที่พลังแข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ก็มีเท่าขนหงส์เขากิเลน ในนิกายระดับกลางบางแห่งยิ่งเป็นบุคคลระดับบรรพจารย์

แต่เจตนาของชิงหลานผู้อยู่ตรงหน้าคือจะใช้ตัวเองเป็นก้าวสุดท้ายให้เขาบรรลุวิชาภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วน

นี่ย่อมทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงยิ่งนัก!

“ฮ่ะๆ …แทนที่จะเหลือเศษเสี้ยววิญญาณไปอีกสิบกว่าปีแล้วดับสูญ ไม่สู้เหลือความหวังน้อยนิดเอาไว้ชำระแค้นครั้งนั้น! เอาล่ะ พูดถึงตรงนี้พอแล้ว เจ้ายังมีคำถามอะไรไหม?” บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินเอ่ยออกมาทีละคำ ดวงตาทอประกายเหี้ยมเกรียม

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสรู้ตำแหน่งแม่น้ำมืดที่อยู่ใกล้หุบเขาสิ้นสูญแห่งนี้ที่สุดหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถาม

“เจ้าเอาแผ่นหยกขาวเปล่าให้ข้าสักชิ้น” ชิงหลานเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม

หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่งทันที บนฝ่ามือมีแผ่นหยกสีขาวหม่นชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น ก่อนจะโยนไปให้ชิงหลาน

ชิงหลานยื่นมือมารับจากนั้นยกขึ้นแนบกับหน้าผากครู่หนึ่งแล้วโยนแผ่นหยกคืนให้หลิ่วหมิง

ต่อจากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิ สีหน้าเรียบเฉยแล้วหลับตานิ่ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงไม่พูดพร่ำ มือข้างหนึ่งตบรอยประทับภาพสัญลักษณ์ตรงหัวไหล่ ปากท่องมนตร์งึมงำแผ่วเบาหลายประโยค

“ฟู่” เสียงแผ่วเบาดังขึ้น!

แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นที่หัวไหล่ของเขา เงาวัวสีน้ำเงินเสมือนของจริงตัวหนึ่งโผล่ออกมาลอยอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้วคำรามใส่ท้องฟ้า

“ผู้อาวุโส ล่วงเกินแล้ว! หากข้าน้อยออกไปได้ จะทุ่มเต็มกำลังทำความปรารถนาของผู้อาวุโสให้บรรลุแน่นอน!” หลิ่วหมิงประสานมือให้บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินอีกครั้ง

สิ้นเสียงพูด เงาเชอฮ่วนที่ลอยอยู่ตรงหน้าพลันอ้าปากกว้าง พายุสีน้ำเงินลูกหนึ่งพัดออกมาโอบล้อมชิงหลานที่อยู่กลางอากาศ

ต่อจากนั้นทั้งร่างของชิงหลานก็ราวถูกคลุมด้วยผืนผ้าบาง เริ่มพร่าเลือนไม่ชัด ไอหมอกสีน้ำเงินสายแล้วสายเล่ากระจายออกมาจากร่างที่เลือนรางพร่ามัวของเขาก่อนจะจมหายเข้ามาในตัวเชอฮ่วนพร้อมกับแสงเรืองรองสีน้ำเงิน

กระบวนการทั้งหมดดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาเพียงชั่วจิบชา บุรุษวัยกลางคนชุดน้ำเงินผู้นั้นตั้งแต่เริ่มจนสุดท้ายไม่ลืมตาหรือขยับอีกเลย

เมื่อไอหมอกสีน้ำเงินสายสุดท้ายถูกเงาวัวสีน้ำเงินกลืนกินลงไป บุรุษวัยกลางคนชุดสีน้ำเงินก็สลายไปจากโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์

“ฟุบ!”

ตราประทับภาพสัญลักษณ์บนไหล่ซ้ายของหลิ่วหมิงฉับพลันส่งลำแสงสีน้ำเงินสว่างไสวสายหนึ่งออกมา

พลังประหลาดสายหนึ่งแผ่ออกมาจากแสงสีน้ำเงิน มีเสียงสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนคำรามแทรกอยู่ในนั้น

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด พลังเวทในร่างเขาถูกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนสูบเอาไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเงาวัวสีน้ำเงินได้พลังเวทเหล่านี้ไปก็ค่อยๆ ก่อตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อพลังเวทของเขาถูกภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนสูบไปได้สามส่วน เงาเชอฮ่วนก็ส่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา ร่างกายเลือนรางติดกันเจ็ดแปดครั้ง สุดท้ายก็กลายเป็นร่างจริง

มันกลายเป็นอสูรประหลาดสีน้ำเงินเข้มขนาดหลายจั้งตัวหนึ่ง คล้ายวัวแต่ก็ไม่ใช่วัว บนร่างมีเกล็ดประหลาดมากมายแผ่อยู่ทั่ว ขาทั้งสี่ข้างเป็นกีบที่รูปร่างคล้ายกรงเล็บเหยี่ยว หน้าตาโหดเหี้ยม แลดูดุร้ายยิ่งนัก

ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวิบวับ

นี่เป็นครั้งแรกที่เรียกอสูร “เชอฮ่วน” ตัวจริงออกมาได้ แม้เสียพลังเวทไปจำนวนมาก แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ภายในร่างแยกเชอฮ่วนที่กลายเป็นร่างจริงแล้วบรรจุพลังอันน่าตกตะลึงเอาไว้ เหมือนจะไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกฝนระดับดาพรายากรณ์ขั้นต้นคนหนึ่งสักเท่าไร อีกทั้งยังสืบทอดอิทธิ์ฤทธิ์ในการซ่อนตัวของภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนมาอีกด้วย ไม่แผ่คลื่นพลังเวทออกมาภายนอกเลยแม้แต่น้อย

เขาเพ่งจิตแล้วเปลี่ยนเคล็ดวิชาที่มือ

ทันใดนั้นอสูรเชอฮ่วนก็ขยับกีบทั้งสี่กลายเป็นเงาลวงตาสีน้ำเงินสายหนึ่ง พุ่งชนบนม่านแสงสีเทาตรงทางเข้าห้องศิลาอย่างรุนแรง

ม่านแสงสีเทาสั่นไหวรุนแรงแล้วแตกออกดังเพล้ง

หลิ่วหมิงยินดียิ่งนัก อสูรเชอฮ่วนร่างสมบูรณ์ ความเร็วไม่ช้ากว่ายามเป็นเงาก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย อีกทั้งพลังโจมตีนี่ยังเหนือกว่าตัวเขาเองเสียอีก

เมื่อเป็นเช่นนี้พลังของเขาย่อมเพิ่มขึ้นมาก แม้การเรียกอสูรเชอฮ่วนออกมาจะกินพลังเวทมาก แต่เป็นเช่นนี้ย่อมเท่ากับมีลูกน้องระดับดาราพยากรณ์คนหนึ่ง หลังจากนี้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่ต้องอเนจอนาถเช่นนั้นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว

หลังจากม่านแสงสีเทาแตกกระจาย แสงสีเทาบนเพดานและกำแพงสี่ด้านของห้องศิลาก็ส่องสว่างวูบวาบแล้วพังทลายตามด้วย มหาค่ายกลแม่เหล็กปราณหกประสานพังทลายลงด้วยประการฉะนี้

ในตอนนี้เอง เสียงปริแตกก็ดังขึ้นมาจากบนแท่นศิลา

หลิ่วหมิงขยับร่างเดินเข้าไปใกล้แท่นศิลาแล้วก้มลงมอง

แล้วก็เห็นโคมสำริดโบราณเรียบง่ายดวงนั้นบนแท่นศิลา เวลานี้ฝุ่นสีเทาด้านบนร่วงหล่นลงไปเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน บนนั้นสลักอักขระค่ายกลอันซับซ้อนอย่างยิ่งเอาไว้ ตรงกลางมีภาพสัญลักษณ์ดวงตาข้างหนึ่งสลักอยู่ บนนั้นมีรอยร้าวเส้นหนึ่ง

เสียงเมื่อครู่น่าจะเป็นเสียงของสิ่งนี้แตก

โคมสำริดโบราณดวงนี้น่าจะเป็นอาวุธที่ชิงหลานฝากเสี้ยววิญญาณไว้ หรือก็คือดวงตาค่ายกลของมหาค่ายกลแม่เลห็กปราณหกประสานนั่นเอง ยามนี้ชิงหลานถูกเชอฮ่วนกลืนกิน ค่ายกลนี้ก็ถูกเขาทำลาย ของสิ่งนี้ย่อมแตกสลายไปด้วย

แต่บนผิวของโคมไฟสำริดโบราณดวงนี้ยังแผ่แสงสีน้ำเงินเรืองๆ ออกมาอยู่ คล้ายกับว่ายังมีพลังจิตวิญญาณเหลืออยู่เล็กน้อย

หลิ่วหมิงถือโคมโบราณขึ้นมาเพ่งพิจอยู่พักหนึ่ง ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็เก็บมันไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+