ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1081 เพลิงจิตมายามารกับการถ่ายเทพลังจิตวิญญาณ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1081 เพลิงจิตมายามารกับการถ่ายเทพลังจิตวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แก่นแท้สิบสามทวาร เรื่องเช่นนี้…ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ…”

อยู่ดีๆ ก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งทวาร ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่ ยังดีที่ร่างกายไม่มีความผิดปกติหรืออาการประหลาดอื่นใดอีก

“ช่างเถิด คิดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ก่อนอื่นต้องฟื้นสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน…”

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องร้ายอันใดจึงวางเรื่องนี้ลง แล้วเตรียมเก็บไว้ครุ่นคิดทีหลัง

ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาเรียกโอสถรักษาอาการบาดเจ็บอีกหลายเม็ดจากในแหวนย่อส่วนออกมากิน ความเย็นสบายสายหนึ่งแผ่ไปตามสี่แขนขาและร้อยกระดูกในร่างอีกครั้ง

เขาฝืนโคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ บนร่างฉับพลันมีปราณสีดำอ่อนจางแผ่ออกมา

เวลานี้ฤทธิ์ของค่ายกลรวมจิตวิญญาณยังคงอยู่ ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินจากหินจิตวิญญาณที่เขาทุ่มหมดตัวยังไม่สลายไป ปราณหยินกับปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินสายแล้วสายเล่ารุมล้อมเข้าไปในร่างกายของเขา

ความเร็วในการดูดซับปราณจิตวิญญาณกับปราณหยินของเขาเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า แล้วยังมีสายเลือดปีศาจสวรรค์อยู่ในตัวด้วย ร่างกายที่เกือบจะแหลกสลายฉับพลันฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้จึงแยกกันไปยืนฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาของค่ายกลรวมจิตวิญญาณ เฝ้าคอยอย่างนิ่งสงบ ป้องกันไม่ให้มีคนนอกรบกวน

สามวันสามคืนหลังจากนั้น ใจกลางชั้นจำกัดที่วังน้ำวนสีดำที่ก้นแม่น้ำมืดปรากฏรังไหมหมอกสีดำที่สูงกว่าตัวคนเล็กน้อยรังหนึ่ง ผิวของมันมีปราณสีดำเคลื่อนวนอยู่อย่างเชื่องช้า เหนือรังไหมหมอก มีไอหมอกสีขาวดำสองสีก่อตัวเป็นพายุหมุนรูปร่างคล้ายกรวยลูกหนึ่ง

ทันใดนั้นเสียงแหลมยาวก็ดังออกมาจากในรังไหมหมอก ปราณสีดำรอบด้านปั่นป่วนอย่างรุนแรงก่อนหายไปราวกับหิมะละลาย เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่เปลือยท่อนบนอยู่ด้านใน

ยามนี้บาดแผลบนร่างของเขาหายดีจนหมดแล้ว ท่าทางกระปรี้ประเปร่า

สองแขนเขาประกบกันเบื้องหน้าแล้วแยกออก ถึงไม่ได้กระตุ้นพลังเวทแม้แต่น้อย ทว่ากลับเกิดคลื่นเสียงที่ตาเปล่ามองเห็นวงแล้ววงเล่าแผ่ออกไปกลางอากาศรอบด้าน

“ยินดีกับนายท่านที่ผนึกแก่นแท้สำเร็จ ระดับพลังก้าวหน้าครั้งใหญ่!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่บินเข้ามาจากนอกค่ายกลรวมจิตวิญญาณเอ่ยแสดงความยินดี

“ครั้งนี้ผ่านด่านเคราะห์สายฟ้าสิบสามระลอกต่อเนื่อง เรียกได้ว่าหวุดหวิดเกือบตาย โชคดีที่พวกเจ้าทั้งสองเฝ้าคุ้มกันอยู่ตลอด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วหยิบชุดตัวยาวสีน้ำเงินชุดหนึ่งออกมาจากในแหวนมิติพลางเอ่ยขึ้นมา

“นายท่านพูดอันใด ปกป้องนายท่านเดิมก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา” หญิงสาวที่สวมชุดผ้าตาข่ายสีดำยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ

เด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้ารัวเช่นเดียวกัน

“ไม่ว่าจะว่าอย่างไร พวกเจ้าก็ทำความชอบครั้งใหญ่ ตอนนี้อาการบาดเจ็บของข้าหายดีหมดแล้ว ไม่ต้องการผู้คุ้มกันแล้ว ต่อไปข้าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่งเพื่อให้ระดับพลังมั่นคง พวกเจ้าต่างก็ไปฝึกวิชาของตนเอง เร่งผนึกแก่นแท้ให้ได้ในเร็ววันเถิด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางสั่งเช่นนี้

สภาพแวดล้อมที่ก้นแม่น้ำมืดเหมาะกับการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างยิ่ง เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ระดับพลังยังไม่มั่นคงอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเคล็ดวิชากระดูกดำก็ฝึกฝนได้ถึงขั้นที่เก้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงคิดจะอยู่ที่นี่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำทั้งสิบขั้นให้สำเร็จ

ขั้นที่สิบของเคล็ดวิชากระดูกดำเทียบเท่ากับพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น สำหรับหลิ่วหมิงที่เพิ่งผนึกแก่นแท้สำเร็จ คิดว่าตนเองคงไม่มีปัญหาอันใด

“เจ้าค่ะ!” เซียเอ๋ร์ตอบรับคำหนึ่งก็เดินไปนั่งขัดสมาธิด้านข้าง

เฟยเอ๋อร์แหงนหน้ามองชั้นจำกัดบนท้องฟ้า อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไว้แล้วทำปากยู่ สุดท้ายก็หายตัวไปนั่งบนพื้นที่ว่างอีกฝั่งหนึ่ง ปราณสีดำลอยขึ้นมาหุ้มทั้งร่างเอาไว้

หลิ่วหมิงกำสองมือแน่น เส้นเอ็นกับกระดูกในร่างฉับพลันส่งเสียงราวกับอสนีบาตครางทุ้มต่ำติดกันเป็นพรวน พลังเวทบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายแล้วสายเล่าทะลักออกมาจากแก่นแท้สีขาวดำเหนือทะเลจิตวิญญาณ

เขาเชื่อว่าหากยามนี้ใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ พลังของเขาคงจะแข็งแกร่งกว่าก่อนเลื่อนระดับหลายเท่า มุกบรรพตธาราที่เดิมเขาไร้กำลังจะใช้ดังใจ ยามนี้ก็น่าจะควบคุมได้เกินหนึ่งก้านธูปแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ ทวารทั้งสิบสามบนผิวของแก่นแท้สีดำขาวยังเป็นดั่งจมูกและปาก ระหว่างที่ตนเองหายใจเข้าออกก็โคจรพลังเวททั่วร่างได้อย่างง่ายดาย เขาในตอนนี้ไม่ว่าใช้วิชาหรืออาวุธจิตวิญญาณอันใดล้วนเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย

นอกจากนี้หลังเข้าสู่ระดับแก่นแท้ เขายังได้อายุขัยเพิ่มมาอีกเนิ่นนาน

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกมีอายุขัยราวพันปี ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มีชีวิตอยู่ได้นานห้าพันปี

“เหอะ แค่ผนึกแก่นแท้สำเร็จ เจ้าก็ดีใจเช่นนี้แล้ว! เอาล่ะ ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระ เข้ามา” ระหว่างที่จิตใจของหลิ่วหมิงกำลังฮึกเหิม เสียงเย็นชาของหลัวโหวก็ดังขึ้นในหู

หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียนที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณ ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง คนก็มาปรากฏตัวอยู่ในมิติของกรงขังแล้ว

หลังจากเขาเข้าสู่ระดับแก่นแท้ มิติของกรงขังก็ใหญ่ขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย มันขยายจนมีขนาดถึงสิบลี้เสมือนเป็นโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง ท้องนภาสีเทาขมุกขมัวมีปราณสีดำสายน้อยเคลื่อนไหวว่องไวลอยละล่องไปทั่ว

ไม่ไกลเบื้องหน้า หลัวโหวกำลังไพล่มือไว้ด้านหลัง ยืนนิ่งอยู่ข้างศิลาหุนเทียน ดวงตามายาบนศิลาปิดสนิท มีแสงประหลาดอย่างหนึ่งทอแสงอยู่รอบด้าน

“ผู้อาวุโสหลัวโหว!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบขยับตัวมาปรากฏตัวหน้าศิลาหุนเทียน แล้วค้อมกายคำนับหลัวโหว

หลัวโหวมองสำรวจหลิ่วหมิงจากบนจรดล่างแล้วพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆว่า

“ก็นับว่าไม่เลว ผ่านสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าสร้างกายเนื้อใหม่มาแล้ว ของที่สะเปะสะปะเหล่านั้นในร่างกายก็ถูกกำจัดออกไปจนหมด แล้วยังมีโชคประจวบเหมาะครอบครองสายเลือดของปีศาจสวรรค์ ในที่สุดรากฐานก็มั่นคงขึ้นมาหน่อย”

“…ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหลัวโหวเรียกผู้เยาว์เข้ามา มีเรื่องอันใดหรือ?” คำพูดร้ายกาจเย็นชาของหลัวโหว หลิ่วหมิงพบเจอจนชินนานแล้วจึงเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“ตอนนี้เจ้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว นับว่าบรรลุเงื่อนไขพื้นฐานของการเป็นเจ้าของกรงขังอย่างหวุดหวิด” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

หลิ่วหมิงได้ยินพลันยินดี แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอันใด เสียงเย็นชาของหลัวโหวก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก หลายปีนี้ แม้ข้าจะฉุดรั้งสารพัด แต่จิตวิญญาณอาวุธของกรงขังก็กำลังค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เจ้ากับข้าต้องลงมือให้เร็วขึ้นแล้ว”

หลิ่วหมิงพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด รีบประสานมือเอ่ยว่า “ผู้เยาว์ความรู้น้อย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ผู้อาวุโสจัดการ”

หลัวโหวไม่พูดไม่จาแต่ยกมือขึ้นดีดนิ้ว แสงเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาก่อนจะจมหายเข้าไปในหน้าผากของหลิ่วหมิง

“นี่คือ…” หลิ่วหมิงไม่หลบ แสงเจิดจ้าจึงเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ของเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แล้วกลายเป็นตัวอักษรน้อยสีเทาตัวแล้วตัวเล่าสลักอยู่ในจิตของหลิ่วหมิง

“แม้ตอนนี้เจ้าจะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว แต่เพิ่งจะเริ่มควบคุมกรงขังได้ก้าวแรกเท่านั้น เทียบกับจิตวิญญาณอาวุธยังด้อยกว่าไกลนัก หากอยากเป็นเจ้าของกรงขังอย่างแท้จริง ต้องรอเจ้าบรรลุระดับดาราพยารกณ์ก่อนจึงจะได้ ถึงเวลาต่อให้จิตวิญญาณอาวุธตื่นขึ้นมาก็ไม่อาจแย่งสิทธิความเป็นนายจากมือเจ้าได้”

“ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเวลา หลังจากนี้ทุกเดือนเจ้าต้องหยดโลหิตบริสุทธิ์หยดหนึ่งเข้าไปในดวงตามายา หลังจากนั้นใช้วิชาลับบทนั้นที่ข้าเพิ่งถ่ายทอดให้เจ้า เปลี่ยนโลหิตบริสุทธิ์เป็นเพลิงจิตมายามาร วิธีนี้จะยืดเวลาตื่นของจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังได้ อีกทั้งเพลิงจิตมายามารจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมกรงขังของเจ้าให้สูงขึ้น สั่งสมพลังอย่างช้าๆ เพื่อวันหน้ายามสู้ตัดสินกับจิตวิญญาณอาวุธจะได้ควบคุมกรงขังได้อย่างสมบูรณ์” หลัวโหวปล่อยแขนลง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” วิชาลับนั้นเมื่อครู่ไม่ได้เข้าใจยาก หลิ่วหมิงเข้าใจแก่นสำคัญของมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างทันที

“สาเหตุที่ข้าไม่ปรากฏตัวเลยหลายสิบปีนี้ ความจริงก็เพราะซ่อนตัวอยู่ลึกข้างในมิติกรงขัง คอยดึงรั้งจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังปราณกับความทุ่มเทมากมาย จนวันนี้ในที่สุดก็ดึงพลังจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของ ‘นายท่านคนก่อน’ แต่ละรุ่นที่กรงขังกลืนเข้าไปในอดีต ถ่ายเทเข้าไปในร่างของเจ้าเพื่อเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของเจ้าได้” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

“คำพูดนี้จริงหรือ” หลิ่วหมิงยินดียิ่งนัก

“วินาทีนั้นก่อนจะผนึกแก่นแท้ เจ้าก็เคยสัมผัสแล้วมิใช่หรือ! ข้าจะหลอกลวงเจ้าหรือ? แต่ก่อนหน้านี้เป็นการถ่ายเทแบบครั้งเดียว ต่อไปจะทำทีละน้อยเป็นเวลานาน แม้ทำเช่นนี้จะสร้างความเสียหายให้แก่ตัวกรงขังประมาณหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาสนใจแล้ว” หลัวโหวแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยขึ้นมา

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ลงแรงช่วยเหลือมากมายเช่นนี้ วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอน” ครั้งนี้หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อมจริงๆ

หากได้รับพลังจิตวิญญาณถ่ายเทเข้าร่างเช่นนี้บ่อยครั้ง ระดับพลังของตนคงเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

“เรื่องตอบแทนไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง เพียงอย่าลืมเรื่องที่สัญญากับข้าไว้ตอนแรกก็พอ อีกอย่างวิธีนี้เกี่ยวพันถึงต้นกำเนิดของกรงขัง หากใช้มากเกินไปจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังย่อมสัมผัสได้ จนกระตุ้นให้มันเร่งตื่นจากหลับใหล อีกทั้งทุกครั้งที่ใช้ล้วนสิ้นเปลืองพลังปราณขอข้าไม่น้อย ยี่สิบปีต่อจากนี้ทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งข้าจะถ่ายเทให้เจ้าหนึ่งครั้ง ส่วนจะช่วยเจ้าได้ถึงระดับใดก็ต้องดูโชคของเจ้าแล้ว” หลัวโหวอธิบาย

“ขอรับ ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว!” แม้หลิ่วหมิงจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ในใจก็รู้ว่านี่เป็นโชควาสนาใหญ่หลวงแล้ว

“อย่างอื่นไม่มีอะไรแล้ว เจ้าออกไปได้ ก่อนใช้วิชาลับถ่ายเทพลังจิตวิญญาณครั้งหน้า ข้ายังต้องเตรียมการอีกหน่อย ถึงเวลาจะแจ้งเจ้าเอง” หลัวโหวไล่แขกอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ร่างกายขยับวูบหนึ่งหมายจะเร้นกายหายไป

“ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ผู้เยาว์มีบางเรื่องต้องการคำชี้แนะ” หลิ่วหมิงนึกบางอย่างออกจึงรีบส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

“เรื่องใด?” หลัวโหวได้ยินก็ขมวดคิ้วหันกลับมา

“ผู้อาวุโสน่าจะทราบอยู่แล้วว่าการผนึกแก่นแท้ของผู้เยาว์ครั้งนี้ เรียกด่านเคราะห์สายฟ้ามาสองครั้ง ตอนนี้บนแก่นแท้ของผู้เยาว์มีทวารช่องที่สิบสามปรากฏขึ้น จากที่ผู้เยาว์ทราบผู้ฝึกฝนทั้งหลายทั้งปวง อย่างมากที่สุดก็พบแค่แก่นแท้สิบสองทวารเท่านั้น หรือว่าทวารที่สิบสามนี้จะเป็นเรื่องผิดปกติ? ไม่ทราบว่าจะต้อง…” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย

“แม้ข้าเพิ่งเคยได้ยินว่ามีแก่นแท้สิบสามทวารเป็นครั้งแรก ทว่านับแต่โบราณจรดปัจจุบัน ทวารบนแก่นแท้ของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ยิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์กับการฝึกฝนมาก เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไปนัก” หลัวโหวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้

หลิ่วหมิงฟังแล้วจึงโล่งอก ทันใดนั้นก็เหมือนนึกถึงสิ่งใดขึ้นได้จึงเอ่ยปากถามอีกครั้ง

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าเส้นนั้นที่ผู้อาวุโสหลัวโหวให้ผู้เยาว์ผนึกไว้ในทะเลจิตวิญญาณ ยามนี้เหมือนจะกลายเป็นตราประทับสายฟ้าห้าสีเส้นหนึ่งปรากฏอยู่บนแก่นแท้ของผู้เยาว์แล้ว ตอนนี้ผู้เยาว์ควรทำอย่างไร?”

“สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าเริ่มกลายเป็นตราประทับสายฟ้าเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่ามันอยู่ในร่างของเจ้าอย่างมั่นคงแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เรื่องนี้มีแต่เป็นประโยชน์กับเจ้า อีกอย่างเจ้าวางใจใช้วิชาสายฟ้าสวรรค์ได้แล้ว” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

สิ้นเสียง ร่างกายของหลัวโหวก็เลือนหายไป

“ถ้าเช่นนั้นผู้เยาว์ก็วางใจแล้ว” หลิ่วหมิงรีบประสานมือ ในใจยกก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งลงได้ในที่สุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1081 เพลิงจิตมายามารกับการถ่ายเทพลังจิตวิญญาณ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1081 เพลิงจิตมายามารกับการถ่ายเทพลังจิตวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“แก่นแท้สิบสามทวาร เรื่องเช่นนี้…ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ…”

อยู่ดีๆ ก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งทวาร ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่ ยังดีที่ร่างกายไม่มีความผิดปกติหรืออาการประหลาดอื่นใดอีก

“ช่างเถิด คิดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ ก่อนอื่นต้องฟื้นสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน…”

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องร้ายอันใดจึงวางเรื่องนี้ลง แล้วเตรียมเก็บไว้ครุ่นคิดทีหลัง

ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาเรียกโอสถรักษาอาการบาดเจ็บอีกหลายเม็ดจากในแหวนย่อส่วนออกมากิน ความเย็นสบายสายหนึ่งแผ่ไปตามสี่แขนขาและร้อยกระดูกในร่างอีกครั้ง

เขาฝืนโคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ บนร่างฉับพลันมีปราณสีดำอ่อนจางแผ่ออกมา

เวลานี้ฤทธิ์ของค่ายกลรวมจิตวิญญาณยังคงอยู่ ปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินจากหินจิตวิญญาณที่เขาทุ่มหมดตัวยังไม่สลายไป ปราณหยินกับปราณจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินสายแล้วสายเล่ารุมล้อมเข้าไปในร่างกายของเขา

ความเร็วในการดูดซับปราณจิตวิญญาณกับปราณหยินของเขาเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า แล้วยังมีสายเลือดปีศาจสวรรค์อยู่ในตัวด้วย ร่างกายที่เกือบจะแหลกสลายฉับพลันฟื้นคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์เห็นเช่นนี้จึงแยกกันไปยืนฝั่งซ้ายกับฝั่งขวาของค่ายกลรวมจิตวิญญาณ เฝ้าคอยอย่างนิ่งสงบ ป้องกันไม่ให้มีคนนอกรบกวน

สามวันสามคืนหลังจากนั้น ใจกลางชั้นจำกัดที่วังน้ำวนสีดำที่ก้นแม่น้ำมืดปรากฏรังไหมหมอกสีดำที่สูงกว่าตัวคนเล็กน้อยรังหนึ่ง ผิวของมันมีปราณสีดำเคลื่อนวนอยู่อย่างเชื่องช้า เหนือรังไหมหมอก มีไอหมอกสีขาวดำสองสีก่อตัวเป็นพายุหมุนรูปร่างคล้ายกรวยลูกหนึ่ง

ทันใดนั้นเสียงแหลมยาวก็ดังออกมาจากในรังไหมหมอก ปราณสีดำรอบด้านปั่นป่วนอย่างรุนแรงก่อนหายไปราวกับหิมะละลาย เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่เปลือยท่อนบนอยู่ด้านใน

ยามนี้บาดแผลบนร่างของเขาหายดีจนหมดแล้ว ท่าทางกระปรี้ประเปร่า

สองแขนเขาประกบกันเบื้องหน้าแล้วแยกออก ถึงไม่ได้กระตุ้นพลังเวทแม้แต่น้อย ทว่ากลับเกิดคลื่นเสียงที่ตาเปล่ามองเห็นวงแล้ววงเล่าแผ่ออกไปกลางอากาศรอบด้าน

“ยินดีกับนายท่านที่ผนึกแก่นแท้สำเร็จ ระดับพลังก้าวหน้าครั้งใหญ่!” เซียเอ๋อร์กับเฟยเอ๋อร์ที่บินเข้ามาจากนอกค่ายกลรวมจิตวิญญาณเอ่ยแสดงความยินดี

“ครั้งนี้ผ่านด่านเคราะห์สายฟ้าสิบสามระลอกต่อเนื่อง เรียกได้ว่าหวุดหวิดเกือบตาย โชคดีที่พวกเจ้าทั้งสองเฝ้าคุ้มกันอยู่ตลอด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ แล้วหยิบชุดตัวยาวสีน้ำเงินชุดหนึ่งออกมาจากในแหวนมิติพลางเอ่ยขึ้นมา

“นายท่านพูดอันใด ปกป้องนายท่านเดิมก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา” หญิงสาวที่สวมชุดผ้าตาข่ายสีดำยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ

เด็กน้อยที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้ารัวเช่นเดียวกัน

“ไม่ว่าจะว่าอย่างไร พวกเจ้าก็ทำความชอบครั้งใหญ่ ตอนนี้อาการบาดเจ็บของข้าหายดีหมดแล้ว ไม่ต้องการผู้คุ้มกันแล้ว ต่อไปข้าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกระยะหนึ่งเพื่อให้ระดับพลังมั่นคง พวกเจ้าต่างก็ไปฝึกวิชาของตนเอง เร่งผนึกแก่นแท้ให้ได้ในเร็ววันเถิด” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ พลางสั่งเช่นนี้

สภาพแวดล้อมที่ก้นแม่น้ำมืดเหมาะกับการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างยิ่ง เขาเพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ระดับพลังยังไม่มั่นคงอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งเคล็ดวิชากระดูกดำก็ฝึกฝนได้ถึงขั้นที่เก้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงคิดจะอยู่ที่นี่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำทั้งสิบขั้นให้สำเร็จ

ขั้นที่สิบของเคล็ดวิชากระดูกดำเทียบเท่ากับพลังระดับแก่นแท้ขั้นต้น สำหรับหลิ่วหมิงที่เพิ่งผนึกแก่นแท้สำเร็จ คิดว่าตนเองคงไม่มีปัญหาอันใด

“เจ้าค่ะ!” เซียเอ๋ร์ตอบรับคำหนึ่งก็เดินไปนั่งขัดสมาธิด้านข้าง

เฟยเอ๋อร์แหงนหน้ามองชั้นจำกัดบนท้องฟ้า อยากจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไว้แล้วทำปากยู่ สุดท้ายก็หายตัวไปนั่งบนพื้นที่ว่างอีกฝั่งหนึ่ง ปราณสีดำลอยขึ้นมาหุ้มทั้งร่างเอาไว้

หลิ่วหมิงกำสองมือแน่น เส้นเอ็นกับกระดูกในร่างฉับพลันส่งเสียงราวกับอสนีบาตครางทุ้มต่ำติดกันเป็นพรวน พลังเวทบริสุทธิ์อย่างที่สุดสายแล้วสายเล่าทะลักออกมาจากแก่นแท้สีขาวดำเหนือทะเลจิตวิญญาณ

เขาเชื่อว่าหากยามนี้ใช้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ พลังของเขาคงจะแข็งแกร่งกว่าก่อนเลื่อนระดับหลายเท่า มุกบรรพตธาราที่เดิมเขาไร้กำลังจะใช้ดังใจ ยามนี้ก็น่าจะควบคุมได้เกินหนึ่งก้านธูปแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ ทวารทั้งสิบสามบนผิวของแก่นแท้สีดำขาวยังเป็นดั่งจมูกและปาก ระหว่างที่ตนเองหายใจเข้าออกก็โคจรพลังเวททั่วร่างได้อย่างง่ายดาย เขาในตอนนี้ไม่ว่าใช้วิชาหรืออาวุธจิตวิญญาณอันใดล้วนเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย

นอกจากนี้หลังเข้าสู่ระดับแก่นแท้ เขายังได้อายุขัยเพิ่มมาอีกเนิ่นนาน

ผู้ฝึกฝนระดับผลึกมีอายุขัยราวพันปี ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มีชีวิตอยู่ได้นานห้าพันปี

“เหอะ แค่ผนึกแก่นแท้สำเร็จ เจ้าก็ดีใจเช่นนี้แล้ว! เอาล่ะ ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระ เข้ามา” ระหว่างที่จิตใจของหลิ่วหมิงกำลังฮึกเหิม เสียงเย็นชาของหลัวโหวก็ดังขึ้นในหู

หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบถ่ายเทพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียนที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณ ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือนไปวูบหนึ่ง คนก็มาปรากฏตัวอยู่ในมิติของกรงขังแล้ว

หลังจากเขาเข้าสู่ระดับแก่นแท้ มิติของกรงขังก็ใหญ่ขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย มันขยายจนมีขนาดถึงสิบลี้เสมือนเป็นโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง ท้องนภาสีเทาขมุกขมัวมีปราณสีดำสายน้อยเคลื่อนไหวว่องไวลอยละล่องไปทั่ว

ไม่ไกลเบื้องหน้า หลัวโหวกำลังไพล่มือไว้ด้านหลัง ยืนนิ่งอยู่ข้างศิลาหุนเทียน ดวงตามายาบนศิลาปิดสนิท มีแสงประหลาดอย่างหนึ่งทอแสงอยู่รอบด้าน

“ผู้อาวุโสหลัวโหว!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบขยับตัวมาปรากฏตัวหน้าศิลาหุนเทียน แล้วค้อมกายคำนับหลัวโหว

หลัวโหวมองสำรวจหลิ่วหมิงจากบนจรดล่างแล้วพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆว่า

“ก็นับว่าไม่เลว ผ่านสายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าสร้างกายเนื้อใหม่มาแล้ว ของที่สะเปะสะปะเหล่านั้นในร่างกายก็ถูกกำจัดออกไปจนหมด แล้วยังมีโชคประจวบเหมาะครอบครองสายเลือดของปีศาจสวรรค์ ในที่สุดรากฐานก็มั่นคงขึ้นมาหน่อย”

“…ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสหลัวโหวเรียกผู้เยาว์เข้ามา มีเรื่องอันใดหรือ?” คำพูดร้ายกาจเย็นชาของหลัวโหว หลิ่วหมิงพบเจอจนชินนานแล้วจึงเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“ตอนนี้เจ้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว นับว่าบรรลุเงื่อนไขพื้นฐานของการเป็นเจ้าของกรงขังอย่างหวุดหวิด” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

หลิ่วหมิงได้ยินพลันยินดี แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอันใด เสียงเย็นชาของหลัวโหวก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก หลายปีนี้ แม้ข้าจะฉุดรั้งสารพัด แต่จิตวิญญาณอาวุธของกรงขังก็กำลังค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เจ้ากับข้าต้องลงมือให้เร็วขึ้นแล้ว”

หลิ่วหมิงพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด รีบประสานมือเอ่ยว่า “ผู้เยาว์ความรู้น้อย ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ผู้อาวุโสจัดการ”

หลัวโหวไม่พูดไม่จาแต่ยกมือขึ้นดีดนิ้ว แสงเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาก่อนจะจมหายเข้าไปในหน้าผากของหลิ่วหมิง

“นี่คือ…” หลิ่วหมิงไม่หลบ แสงเจิดจ้าจึงเข้าไปในทะเลจิตรับรู้ของเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก แล้วกลายเป็นตัวอักษรน้อยสีเทาตัวแล้วตัวเล่าสลักอยู่ในจิตของหลิ่วหมิง

“แม้ตอนนี้เจ้าจะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว แต่เพิ่งจะเริ่มควบคุมกรงขังได้ก้าวแรกเท่านั้น เทียบกับจิตวิญญาณอาวุธยังด้อยกว่าไกลนัก หากอยากเป็นเจ้าของกรงขังอย่างแท้จริง ต้องรอเจ้าบรรลุระดับดาราพยารกณ์ก่อนจึงจะได้ ถึงเวลาต่อให้จิตวิญญาณอาวุธตื่นขึ้นมาก็ไม่อาจแย่งสิทธิความเป็นนายจากมือเจ้าได้”

“ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเวลา หลังจากนี้ทุกเดือนเจ้าต้องหยดโลหิตบริสุทธิ์หยดหนึ่งเข้าไปในดวงตามายา หลังจากนั้นใช้วิชาลับบทนั้นที่ข้าเพิ่งถ่ายทอดให้เจ้า เปลี่ยนโลหิตบริสุทธิ์เป็นเพลิงจิตมายามาร วิธีนี้จะยืดเวลาตื่นของจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังได้ อีกทั้งเพลิงจิตมายามารจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมกรงขังของเจ้าให้สูงขึ้น สั่งสมพลังอย่างช้าๆ เพื่อวันหน้ายามสู้ตัดสินกับจิตวิญญาณอาวุธจะได้ควบคุมกรงขังได้อย่างสมบูรณ์” หลัวโหวปล่อยแขนลง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” วิชาลับนั้นเมื่อครู่ไม่ได้เข้าใจยาก หลิ่วหมิงเข้าใจแก่นสำคัญของมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างทันที

“สาเหตุที่ข้าไม่ปรากฏตัวเลยหลายสิบปีนี้ ความจริงก็เพราะซ่อนตัวอยู่ลึกข้างในมิติกรงขัง คอยดึงรั้งจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังปราณกับความทุ่มเทมากมาย จนวันนี้ในที่สุดก็ดึงพลังจิตวิญญาณส่วนหนึ่งของ ‘นายท่านคนก่อน’ แต่ละรุ่นที่กรงขังกลืนเข้าไปในอดีต ถ่ายเทเข้าไปในร่างของเจ้าเพื่อเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของเจ้าได้” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

“คำพูดนี้จริงหรือ” หลิ่วหมิงยินดียิ่งนัก

“วินาทีนั้นก่อนจะผนึกแก่นแท้ เจ้าก็เคยสัมผัสแล้วมิใช่หรือ! ข้าจะหลอกลวงเจ้าหรือ? แต่ก่อนหน้านี้เป็นการถ่ายเทแบบครั้งเดียว ต่อไปจะทำทีละน้อยเป็นเวลานาน แม้ทำเช่นนี้จะสร้างความเสียหายให้แก่ตัวกรงขังประมาณหนึ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาสนใจแล้ว” หลัวโหวแค่นเสียงหยันแล้วเอ่ยขึ้นมา

“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งนักที่ลงแรงช่วยเหลือมากมายเช่นนี้ วันหน้าจะต้องตอบแทนแน่นอน” ครั้งนี้หลิ่วหมิงค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อมจริงๆ

หากได้รับพลังจิตวิญญาณถ่ายเทเข้าร่างเช่นนี้บ่อยครั้ง ระดับพลังของตนคงเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

“เรื่องตอบแทนไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง เพียงอย่าลืมเรื่องที่สัญญากับข้าไว้ตอนแรกก็พอ อีกอย่างวิธีนี้เกี่ยวพันถึงต้นกำเนิดของกรงขัง หากใช้มากเกินไปจิตวิญญาณอาวุธของกรงขังย่อมสัมผัสได้ จนกระตุ้นให้มันเร่งตื่นจากหลับใหล อีกทั้งทุกครั้งที่ใช้ล้วนสิ้นเปลืองพลังปราณขอข้าไม่น้อย ยี่สิบปีต่อจากนี้ทุกช่วงระยะเวลาหนึ่งข้าจะถ่ายเทให้เจ้าหนึ่งครั้ง ส่วนจะช่วยเจ้าได้ถึงระดับใดก็ต้องดูโชคของเจ้าแล้ว” หลัวโหวอธิบาย

“ขอรับ ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว!” แม้หลิ่วหมิงจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่ในใจก็รู้ว่านี่เป็นโชควาสนาใหญ่หลวงแล้ว

“อย่างอื่นไม่มีอะไรแล้ว เจ้าออกไปได้ ก่อนใช้วิชาลับถ่ายเทพลังจิตวิญญาณครั้งหน้า ข้ายังต้องเตรียมการอีกหน่อย ถึงเวลาจะแจ้งเจ้าเอง” หลัวโหวไล่แขกอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ร่างกายขยับวูบหนึ่งหมายจะเร้นกายหายไป

“ผู้อาวุโสโปรดรอสักครู่ ผู้เยาว์มีบางเรื่องต้องการคำชี้แนะ” หลิ่วหมิงนึกบางอย่างออกจึงรีบส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

“เรื่องใด?” หลัวโหวได้ยินก็ขมวดคิ้วหันกลับมา

“ผู้อาวุโสน่าจะทราบอยู่แล้วว่าการผนึกแก่นแท้ของผู้เยาว์ครั้งนี้ เรียกด่านเคราะห์สายฟ้ามาสองครั้ง ตอนนี้บนแก่นแท้ของผู้เยาว์มีทวารช่องที่สิบสามปรากฏขึ้น จากที่ผู้เยาว์ทราบผู้ฝึกฝนทั้งหลายทั้งปวง อย่างมากที่สุดก็พบแค่แก่นแท้สิบสองทวารเท่านั้น หรือว่าทวารที่สิบสามนี้จะเป็นเรื่องผิดปกติ? ไม่ทราบว่าจะต้อง…” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย

“แม้ข้าเพิ่งเคยได้ยินว่ามีแก่นแท้สิบสามทวารเป็นครั้งแรก ทว่านับแต่โบราณจรดปัจจุบัน ทวารบนแก่นแท้ของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ยิ่งมากก็ยิ่งมีประโยชน์กับการฝึกฝนมาก เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลเกินไปนัก” หลัวโหวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้

หลิ่วหมิงฟังแล้วจึงโล่งอก ทันใดนั้นก็เหมือนนึกถึงสิ่งใดขึ้นได้จึงเอ่ยปากถามอีกครั้ง

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าเส้นนั้นที่ผู้อาวุโสหลัวโหวให้ผู้เยาว์ผนึกไว้ในทะเลจิตวิญญาณ ยามนี้เหมือนจะกลายเป็นตราประทับสายฟ้าห้าสีเส้นหนึ่งปรากฏอยู่บนแก่นแท้ของผู้เยาว์แล้ว ตอนนี้ผู้เยาว์ควรทำอย่างไร?”

“สายฟ้าเทพเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าเริ่มกลายเป็นตราประทับสายฟ้าเก้าสวรรค์ชั้นฟ้าแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่ามันอยู่ในร่างของเจ้าอย่างมั่นคงแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เรื่องนี้มีแต่เป็นประโยชน์กับเจ้า อีกอย่างเจ้าวางใจใช้วิชาสายฟ้าสวรรค์ได้แล้ว” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

สิ้นเสียง ร่างกายของหลัวโหวก็เลือนหายไป

“ถ้าเช่นนั้นผู้เยาว์ก็วางใจแล้ว” หลิ่วหมิงรีบประสานมือ ในใจยกก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งลงได้ในที่สุด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+