ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1085 ภารกิจของราชายมโลก

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1085 ภารกิจของราชายมโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี้เหยียนเดินมาถึงริมโต๊ะก็ลงมือชงชาจิตวิญญาณกาหนึ่งด้วยตนเองแล้วรินให้หลิ่วหมิงถ้วยหนึ่ง กลิ่นชาหอมสะอาดจางๆ ลอยโชยมาทันที หลิ่วหมิงมองถ้วยชาตรงหน้าแวบหนึ่งแต่ไม่เอื้อมมือไปหยิบ เห็นหลิ่วหมิงระวังระไวเช่นนี้ ปี้เหยียนกลับไม่ได้เผยความไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามหลังจากรินชาจิตวิญญาณให้ตนเองดื่มถ้วยหนึ่งโดยไม่มีสีหน้าผิดปกติสักนิดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากต่อว่า “ไม่ปิดบังพี่อิ่นหาน ฐานะที่แท้จริงของข้าคือเป็นแม่ทัพมืดคนหนึ่งในกองทัพวารีมืดของท่านราชายมโลก” หลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าปี้เหยียนคงมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงแม่ทัพมืดแห่งกองทัพวารีมืด เขามาถึงเมืองปี้โยวได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงนับว่าเข้าใจสถานการณ์ในเมืองอยู่บ้าง เมืองปี้โยวแห่งนี้คือเมืองเอกของแดนวารีมืดและเป็นที่พำนักของราชายมโลก ใต้ปกครองของราชายมโลกย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ไม่น้อย ในเมืองปี้โยวขุมกำลังใต้สังกัดราชายมโลกหลักๆ แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งในนั้นก็คือกองทัพหยกมืด เทียบได้กับกองทหารรักษาเมืองของเมืองต่างๆ ในยมโลก รับผิดชอบดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการคุ้มกันในยามปกติของเมืองปี้โยว กองทัพหยกมืดมีคนมากมาย ล้วนแต่เป็นเผ่ายมโลกที่แม่ทัพมืดธรรมดาใต้บัญชาของราชายมโลกเลือกมาตามใจ นอกเหนือจากนั้นก็คือ “กองทัพวารีมืด” ซึ่งเป็นกลุ่มองครักษ์ที่ราชายมโลกเลือกด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนสนิทที่แท้จริงของราชายมโลกด้วย กองทัพวารีมืดมีจำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนเป็นลูกน้องคนสำคัญของปี้โยว แม่ทัพมืดของกองทัพวารีมืดย่อมเป็นคนสนิทของปี้โยว ผู้ที่ถูกยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ต้องตาได้ย่อมไม่มีทางธรรมดาเช่นนี้อย่างที่เห็นภายนอก “ที่แท้พี่ปี้เหยียนก็ฐานะสูงส่ง มิน่าจึงตามหาข้าน้อยได้ง่ายดายเช่นนี้ เสียมารยาทแล้วจริงๆ” ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับประสานมือคำนับ “พี่อิ่นหานไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ข้าเพียงแค่บังเอิญเห็นสหายในงานประมูลครั้งนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าพี่อิ่นหานมาถึงเมืองปี้โยวด้วย มิเช่นนั้นคงไปเยี่ยมเยือนที่บ้านนานแล้ว” ปี้เหยียนหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา หลิ่วหมิงหัวเราะหึๆ สีหน้าไม่แสดงท่าทีแล้วและไม่เอ่ยตอบอะไร “เอาล่ะ สนทนาสัพเพเหระพอเท่านี้ ความจริงข้าเชิญพี่อิ่นหานมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการขอให้พี่อิ่นหานช่วยจริงๆ” ปี้เหยียนหุบรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อ้อ เรื่องที่แม้แต่พี่ปี้เหยียนยังไม่อาจจัดการได้ ข้าชักจะสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างแล้ว” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเรียวแล้วล้างหูรอฟัง “ความจริงเรื่องนี้เริ่มเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ท่านปี้โยวสั่งภารกิจหนึ่งด้วยตนเอง…” ปี้เหยียนถอนหายใจแผ่วเบาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านราชายมโลก ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเข้าไปยุ่งได้ สหายไม่ต้องพูดต่อแล้ว เชิญคนอื่นเถิด” หลิ่วหมิงเพิ่งฟังได้สองประโยคก็หน้าถอดสีเอ่ยขัดกะทันหัน ออกปากปฏิเสธทันที “พี่อิ่นหานอย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้มีสาเหตุอื่นจึงมีเพียงสหายที่ช่วยเหลือได้ อีกทั้งข้าเชื่อว่าหากพี่อิ่นหานได้ฟังเรื่องค่าตอบแทนจากข้าแล้วน่าจะไม่มีทางปฏิเสธ” ปี้เหยียนเอ่ยเรียบๆ ในถ้อยคำเผยความมั่นใจในตนเอง หลิ่วหมิงขยับมุมปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา “หากข้ามองไม่ผิด วิชาที่พี่อิ่นหานฝึกฝนน่าจะเป็นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ?” เห็นหลิ่วหมิงไม่เอ่ยปากปฏิเสธ ปี้เหยียนย่อมเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมาทันที “พี่ปี้เหยียนกล่าวไม่ผิด วิชาที่ข้าฝึกฝนก็คือวิชานี้ หรือท่านก็แตกฉานวิชานี้ด้วย?” หลิ่วหมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วย้อนถามกลับหนึ่งประโยค “ฮ่ะๆ นั่นก็ไม่ใช่ แต่ข้ารู้ความเป็นมาของวิชานี้อยู่บ้างเล็กน้อย” ปี้เหยียนอ้าปากหาวแล้วเอ่ยตอบ “แม้ข้ามีวาสนาบังเอิญได้ฝึกฝนวิชานี้ แต่ข้ากลับไม่รู้ประวัติความเป็นมาของมันมากนัก ขอพี่ปี้เหยียนสั่งสอนด้วย” ดวงตาหลิ่วหมิงทอประกายแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดตอนที่เอ่ยขึ้นมา “คำว่าสั่งสอนคงไม่กล้ารับ ตามที่ข้ารู้มาความจริงแล้ววิชานี้เป็นวิชาที่ราชายมโลกนาม ‘หมิงอวี้’ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเป็นผู้สร้างขึ้นมา เคยแพร่หลายอยู่ช่วงหนึ่ง แต่นอกจากราชายมโลกผู้นั้นที่คิดค้นวิชา ภายหลังมีเผ่ายมโลกน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นปลาย หลังจากเผ่ายมโลกมากมายได้วิชานี้ไป เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด จึงไม่อาจก้าวหน้าได้อีก แม้วิชานี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนร่างกายอยู่บ้าง แต่หากไม่อาจฝึกฝนคุกมืดได้ พลังย่อมด้อยกว่าวิชายมโลกวิชาอื่นอยู่ไกล ด้วยเหตุนี้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงเป็นวิชาที่เหมือนไร้ประโยชน์วิชาหนึ่งสำหรับเผ่ายมโลกทั่วไป ตอนนี้มีน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้” ปี้เหยียนโบกมือแล้วเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่ปี้เหยียนรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้มีต้นกำเนิดมาจากยมโลกจริงๆ ตามที่ปี้เหยียนเล่าวิชานี้เหมือนจะมีข้อด้อยใหญ่หลวง แต่เขาฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ แม้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เหมือนจะไม่ได้ฝึกฝนยากเช่นนั้นดังที่ปี้เหยียนกล่าวมา หรือว่าวิชานี้จะเหมาะให้เผ่ามนุษย์ฝึกฝนมากกว่าหรือ? ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังครุ่นคิดกับตนเอง ปี้เหยียนก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ “ตอนนั้นพี่อิ่นหานอาศัยวิชานี้ฝึกฝนจนถึงระดับแก่นเสมือน วันนี้ยิ่งบรรลุระดับแก่นแท้ เป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างแท้จริง แต่พี่อิ่นหานอาจไม่รู้ พลังที่แท้จริงของวิชานี้ความจริงไม่ได้มีเท่านี้ มิเช่นนั้นราชายมโลกหมิงอวี้เมื่อตอนนั้นคงไม่อาจอาศัยวิชานี้เพียงวิชาเดียวชื่อเสียงเลื่องลือในยุคหนึ่ง” “อ้อ วิชานี้ยังมีหนทางให้ยกระดับอีกหรือ เชิญสหายสั่งสอนสักหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงฟังจบก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง รีบถามขึ้นมา เมื่อตอนนั้นเขาได้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬชุดนี้มาจากกำแพงเก็บเงาของนิกายปีศาจ ทั้งหมดแบ่งเป็นหกขั้น ยามนี้ทั้งหกขั้นเขาล้วนฝึกสำเร็จหมดแล้ว หลังจากบรรลุระดับแก่นแท้ ตนมีพลังของหกมังกรหกพยัคฆ์ก็จริง แต่เห็นชัดยิ่งว่าหากต้องการก้าวหน้าอีกขั้นยากแสนยาก แต่ในเมื่อวิชานี้เกิดจากมือของราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ หากจะมีความยอดเยี่ยมประการอื่นที่เขาไม่รู้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก “สาเหตุที่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬฝึกฝนยากเช่นนี้ อีกทั้งแม้บรรลุขั้นปลายก็ไม่อาจสำแดงพลังเช่นเมื่อครั้งกระโน้นได้ ความจริงเป็นเพราะมันขาดวิชาเสริมที่คู่กันวิชาหนึ่ง วิชานี้เมื่อตอนนั้นราชายมโลกหมิงอวี้จงใจปิดบังเอาไว้ ด้วยเหตุนี้คนที่รู้ว่ามันมีอยู่จึงน้อยนิดไม่กี่คน แต่บังเอิญหลายร้อยปีก่อนข้าได้ ‘บันทึกหมิงอวี้’ มาเล่มหนึ่ง น่าจะเป็นมรดกของราชายมโลกหมิงอวี้ตนนั้นเมื่อตอนนั้น ในนั้นไม่เพียงบันทึกเคล็ดลับการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับวิชาเสริมพิเศษวิชานี้เอาไว้ทั้งหมด แต่ยังมีข้อคิดและสิ่งที่ราชายมโลกผู้นั้นบรรลุระหว่างฝึกฝนวิชานี้อีกจำนวนหนึ่งด้วย พี่อิ่นหาน สนใจบันทึกเล่มนี้หรือไม่เล่า?” ปี้เหยียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน เขาสะบัดมือเรียกคัมภีร์หน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ สายตาของหลิ่วหมิงจ้องคัมภีร์เล่มนี้เขม็ง สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ทั้งร่างนิ่งไม่ขยับ บันทึกเล่มนี้ สำหรับเขาย่อมมีค่ามากอย่างที่ไม่ต้องบอก ไม่เพียงมีวิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แค่ข้อคิดเกี่ยวการฝึกฝนของยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันประมาณค่ามิได้แล้ว “ก็เหมือนที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ หากพี่อิ่นหานยินดีช่วยข้าอีกแรง ข้าจะมอบบันทึกเล่มนี้ให้สหายเป็นอย่างไร” ปี้เหยียนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิงอยู่ในสายตา หลังจากแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ “บันทึกเล่มนี้ล้ำค่าปานนี้ สหายยินยอมมอบให้จริงหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากย้อนถาม “หึๆ แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่ข้าอ่านมาหลายรอบแล้ว เนื้อหาด้านในเกี่ยวกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเท่านั้น แต่ตอนนี้เผ่ายมโลกที่ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมีน้อยนิดไม่กี่คน ต่อให้หยิบไปแลกในงานประมูลก็คงจะไม่อาจได้ราคาที่พึงพอใจ เกรงว่าคงมีแต่ในสายตาพี่อิ่นหานมันจึงจะเป็นสมบัติล้ำค่าประมาณค่ามิได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่หยิบออกมาง่ายดายเช่นนี้” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “พี่ปี้ต้องการให้ผู้แซ่อิ่นช่วยอย่างไร? ในเมื่อค่าตอบแทนที่สหายยินดีมอบให้ล้ำค่าเช่นนี้ เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก พลังของข้ามีจำกัด แม้ต้องการบันทึกเล่มนี้มาก แต่ก็ถนอมชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมากกว่า” แววตาของหลิ่วหมิงเยือกเย็นขึ้น “เป็นดังเช่นนี้ที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านราชายมโลกสั่งเมื่อตอนนั้น เนื้อหารายละเอียดข้ายังเปิดเผยก่อนไม่ได้ บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มีค่าประมาณไม่ได้ต่อพี่อิ่นหาน หากต้องการจะไม่เสี่ยงอันตรายสักหน่อยได้อย่างไร?” ปี้เหยียนฟังแล้ว ดวงตาก็ทอประกายวิบวับ หลิ่วหมิงเงียบไปทันที ปี้เหยียนกลับยกถ้วยชาจิบชาจิตวิญญาณอีกคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ราวกับมั่นใจว่าหลิ่วหมิงจะไม่มีทางปฏิเสธ “ได้ เรื่องนี้ข้ารับปาก ไม่ทราบพี่ปี้เหยียนจะลงมือเมื่อใด?” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา เขาชั่งน้ำหนักอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่อาจทิ้งบันทึกหมิงอวี้เล่มนั้นได้ อีกทั้งพลังของเขาในตอนนี้ สิ่งที่อันตรายต่อระดับแก่นแท้ สำหรับตัวเขาก็ไม่นับเป็นสิ่งใดทั้งสิ้น “พี่อิ่นหานช่างเด็ดขาด เพื่อภารกิจครั้งนี้ข้ายังเชิญสหายตนอื่นมาอีกหลายตน หลังจากนี้สองเดือนจะรวมตัวกันอีกครั้งแล้วค่อยออกเดินทางอย่างเป็นทางการ” ปี้เหยียนเห็นหลิ่วหมิงรับปากแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นยืน “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะกลับที่พักก่อน พี่ปี้เหยียนเตรียมตัวพร้อมแล้วก็มาหาข้าอีกครั้งแล้วกัน” หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน หลังจากเอ่ยลาปี้เหยียนคำหนึ่งก็หมุนตัวจะเดินออกไปด้านนอก “พี่อิ่นหานรอประเดี๋ยวก่อน!” ปี้เหยียนเอ่ยปากเรียกหลิ่วหมิงไว้ หลิ่วหมิงได้ยินก็หมุนตัวกลับมา ดวงตาฉายแววตั้งคำถาม ปี้เหยียนไม่พูดพร่ำ โยนคัมภีร์สีฟ้าในมือให้หลิ่วหมิง หลิ่วหมิงยื่นมือรับไว้อย่างไม่ทันคิด เขาใช้จิตสัมผัสกวาดด้านในรอบหนึ่งแล้วมองปี้เหยียนอย่างไม่เข้าใจ “พี่ปี้ นี่หมายความเช่นไร?” “ภารกิจครั้งนี้ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะเป็นส่วนสำคัญยิ่ง แม้ยามนี้เจ้าฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงมากแล้ว แต่ก็ยังห่างจากจุดที่จะทำภารกิจสำเร็จอยู่อีกเล็กน้อย บันทึกเล่มนี้มอบให้เจ้าก่อน หวังว่าพี่อิ่นหานจะใช้เวลาสองเดือนนี้ศึกษาให้มากที่สุด พยายามยกระดับพลังของวิชานี้ให้ได้ สองเดือนหลังจากนี้ข้าจะเดินทางไปทดสอบพลังวิชานี้ของพี่อิ่นหาน ต้องบรรลุเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้เท่านั้น พวกเราจึงจะลงมือได้” ปี้เหยียนอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ถ้าหาก…ถึงเวลาผู้แซ่อิ่นไม่บรรลุเงื่อนไขของพี่ปี้เหยียน หรือเอาของสิ่งนี้แล้วหนีไปเลย จะทำอย่างไรเล่า?” หลิ่วหมิงลูบคัมภีร์ในมืออยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

ปี้เหยียนเดินมาถึงริมโต๊ะก็ลงมือชงชาจิตวิญญาณกาหนึ่งด้วยตนเองแล้วรินให้หลิ่วหมิงถ้วยหนึ่ง กลิ่นชาหอมสะอาดจางๆ ลอยโชยมาทันที

หลิ่วหมิงมองถ้วยชาตรงหน้าแวบหนึ่งแต่ไม่เอื้อมมือไปหยิบ

เห็นหลิ่วหมิงระวังระไวเช่นนี้ ปี้เหยียนกลับไม่ได้เผยความไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามหลังจากรินชาจิตวิญญาณให้ตนเองดื่มถ้วยหนึ่งโดยไม่มีสีหน้าผิดปกติสักนิดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากต่อว่า

“ไม่ปิดบังพี่อิ่นหาน ฐานะที่แท้จริงของข้าคือเป็นแม่ทัพมืดคนหนึ่งในกองทัพวารีมืดของท่านราชายมโลก”

หลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าปี้เหยียนคงมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงแม่ทัพมืดแห่งกองทัพวารีมืด

เขามาถึงเมืองปี้โยวได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงนับว่าเข้าใจสถานการณ์ในเมืองอยู่บ้าง

เมืองปี้โยวแห่งนี้คือเมืองเอกของแดนวารีมืดและเป็นที่พำนักของราชายมโลก ใต้ปกครองของราชายมโลกย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ไม่น้อย

ในเมืองปี้โยวขุมกำลังใต้สังกัดราชายมโลกหลักๆ แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งในนั้นก็คือกองทัพหยกมืด เทียบได้กับกองทหารรักษาเมืองของเมืองต่างๆ ในยมโลก รับผิดชอบดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการคุ้มกันในยามปกติของเมืองปี้โยว

กองทัพหยกมืดมีคนมากมาย ล้วนแต่เป็นเผ่ายมโลกที่แม่ทัพมืดธรรมดาใต้บัญชาของราชายมโลกเลือกมาตามใจ

นอกเหนือจากนั้นก็คือ “กองทัพวารีมืด” ซึ่งเป็นกลุ่มองครักษ์ที่ราชายมโลกเลือกด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนสนิทที่แท้จริงของราชายมโลกด้วย

กองทัพวารีมืดมีจำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนเป็นลูกน้องคนสำคัญของปี้โยว แม่ทัพมืดของกองทัพวารีมืดย่อมเป็นคนสนิทของปี้โยว ผู้ที่ถูกยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ต้องตาได้ย่อมไม่มีทางธรรมดาเช่นนี้อย่างที่เห็นภายนอก

“ที่แท้พี่ปี้เหยียนก็ฐานะสูงส่ง มิน่าจึงตามหาข้าน้อยได้ง่ายดายเช่นนี้ เสียมารยาทแล้วจริงๆ” ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับประสานมือคำนับ

“พี่อิ่นหานไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ข้าเพียงแค่บังเอิญเห็นสหายในงานประมูลครั้งนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าพี่อิ่นหานมาถึงเมืองปี้โยวด้วย มิเช่นนั้นคงไปเยี่ยมเยือนที่บ้านนานแล้ว” ปี้เหยียนหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา

หลิ่วหมิงหัวเราะหึๆ สีหน้าไม่แสดงท่าทีแล้วและไม่เอ่ยตอบอะไร

“เอาล่ะ สนทนาสัพเพเหระพอเท่านี้ ความจริงข้าเชิญพี่อิ่นหานมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการขอให้พี่อิ่นหานช่วยจริงๆ” ปี้เหยียนหุบรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“อ้อ เรื่องที่แม้แต่พี่ปี้เหยียนยังไม่อาจจัดการได้ ข้าชักจะสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างแล้ว” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเรียวแล้วล้างหูรอฟัง

“ความจริงเรื่องนี้เริ่มเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ท่านปี้โยวสั่งภารกิจหนึ่งด้วยตนเอง…” ปี้เหยียนถอนหายใจแผ่วเบาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า

“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านราชายมโลก ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเข้าไปยุ่งได้ สหายไม่ต้องพูดต่อแล้ว เชิญคนอื่นเถิด”

หลิ่วหมิงเพิ่งฟังได้สองประโยคก็หน้าถอดสีเอ่ยขัดกะทันหัน ออกปากปฏิเสธทันที

“พี่อิ่นหานอย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้มีสาเหตุอื่นจึงมีเพียงสหายที่ช่วยเหลือได้ อีกทั้งข้าเชื่อว่าหากพี่อิ่นหานได้ฟังเรื่องค่าตอบแทนจากข้าแล้วน่าจะไม่มีทางปฏิเสธ” ปี้เหยียนเอ่ยเรียบๆ ในถ้อยคำเผยความมั่นใจในตนเอง

หลิ่วหมิงขยับมุมปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา

“หากข้ามองไม่ผิด วิชาที่พี่อิ่นหานฝึกฝนน่าจะเป็นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ?” เห็นหลิ่วหมิงไม่เอ่ยปากปฏิเสธ ปี้เหยียนย่อมเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมาทันที

“พี่ปี้เหยียนกล่าวไม่ผิด วิชาที่ข้าฝึกฝนก็คือวิชานี้ หรือท่านก็แตกฉานวิชานี้ด้วย?” หลิ่วหมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วย้อนถามกลับหนึ่งประโยค

“ฮ่ะๆ นั่นก็ไม่ใช่ แต่ข้ารู้ความเป็นมาของวิชานี้อยู่บ้างเล็กน้อย” ปี้เหยียนอ้าปากหาวแล้วเอ่ยตอบ

“แม้ข้ามีวาสนาบังเอิญได้ฝึกฝนวิชานี้ แต่ข้ากลับไม่รู้ประวัติความเป็นมาของมันมากนัก ขอพี่ปี้เหยียนสั่งสอนด้วย” ดวงตาหลิ่วหมิงทอประกายแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดตอนที่เอ่ยขึ้นมา

“คำว่าสั่งสอนคงไม่กล้ารับ ตามที่ข้ารู้มาความจริงแล้ววิชานี้เป็นวิชาที่ราชายมโลกนาม ‘หมิงอวี้’ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเป็นผู้สร้างขึ้นมา เคยแพร่หลายอยู่ช่วงหนึ่ง แต่นอกจากราชายมโลกผู้นั้นที่คิดค้นวิชา ภายหลังมีเผ่ายมโลกน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นปลาย หลังจากเผ่ายมโลกมากมายได้วิชานี้ไป เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด จึงไม่อาจก้าวหน้าได้อีก แม้วิชานี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนร่างกายอยู่บ้าง แต่หากไม่อาจฝึกฝนคุกมืดได้ พลังย่อมด้อยกว่าวิชายมโลกวิชาอื่นอยู่ไกล ด้วยเหตุนี้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงเป็นวิชาที่เหมือนไร้ประโยชน์วิชาหนึ่งสำหรับเผ่ายมโลกทั่วไป ตอนนี้มีน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้” ปี้เหยียนโบกมือแล้วเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่ปี้เหยียนรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้มีต้นกำเนิดมาจากยมโลกจริงๆ ตามที่ปี้เหยียนเล่าวิชานี้เหมือนจะมีข้อด้อยใหญ่หลวง แต่เขาฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ แม้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เหมือนจะไม่ได้ฝึกฝนยากเช่นนั้นดังที่ปี้เหยียนกล่าวมา

หรือว่าวิชานี้จะเหมาะให้เผ่ามนุษย์ฝึกฝนมากกว่าหรือ?

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังครุ่นคิดกับตนเอง ปี้เหยียนก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ

“ตอนนั้นพี่อิ่นหานอาศัยวิชานี้ฝึกฝนจนถึงระดับแก่นเสมือน วันนี้ยิ่งบรรลุระดับแก่นแท้ เป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างแท้จริง แต่พี่อิ่นหานอาจไม่รู้ พลังที่แท้จริงของวิชานี้ความจริงไม่ได้มีเท่านี้ มิเช่นนั้นราชายมโลกหมิงอวี้เมื่อตอนนั้นคงไม่อาจอาศัยวิชานี้เพียงวิชาเดียวชื่อเสียงเลื่องลือในยุคหนึ่ง”

“อ้อ วิชานี้ยังมีหนทางให้ยกระดับอีกหรือ เชิญสหายสั่งสอนสักหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงฟังจบก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง รีบถามขึ้นมา

เมื่อตอนนั้นเขาได้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬชุดนี้มาจากกำแพงเก็บเงาของนิกายปีศาจ ทั้งหมดแบ่งเป็นหกขั้น ยามนี้ทั้งหกขั้นเขาล้วนฝึกสำเร็จหมดแล้ว หลังจากบรรลุระดับแก่นแท้ ตนมีพลังของหกมังกรหกพยัคฆ์ก็จริง แต่เห็นชัดยิ่งว่าหากต้องการก้าวหน้าอีกขั้นยากแสนยาก

แต่ในเมื่อวิชานี้เกิดจากมือของราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ หากจะมีความยอดเยี่ยมประการอื่นที่เขาไม่รู้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

“สาเหตุที่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬฝึกฝนยากเช่นนี้ อีกทั้งแม้บรรลุขั้นปลายก็ไม่อาจสำแดงพลังเช่นเมื่อครั้งกระโน้นได้ ความจริงเป็นเพราะมันขาดวิชาเสริมที่คู่กันวิชาหนึ่ง วิชานี้เมื่อตอนนั้นราชายมโลกหมิงอวี้จงใจปิดบังเอาไว้ ด้วยเหตุนี้คนที่รู้ว่ามันมีอยู่จึงน้อยนิดไม่กี่คน แต่บังเอิญหลายร้อยปีก่อนข้าได้ ‘บันทึกหมิงอวี้’ มาเล่มหนึ่ง น่าจะเป็นมรดกของราชายมโลกหมิงอวี้ตนนั้นเมื่อตอนนั้น ในนั้นไม่เพียงบันทึกเคล็ดลับการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับวิชาเสริมพิเศษวิชานี้เอาไว้ทั้งหมด แต่ยังมีข้อคิดและสิ่งที่ราชายมโลกผู้นั้นบรรลุระหว่างฝึกฝนวิชานี้อีกจำนวนหนึ่งด้วย พี่อิ่นหาน สนใจบันทึกเล่มนี้หรือไม่เล่า?” ปี้เหยียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน เขาสะบัดมือเรียกคัมภีร์หน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ

สายตาของหลิ่วหมิงจ้องคัมภีร์เล่มนี้เขม็ง สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ทั้งร่างนิ่งไม่ขยับ

บันทึกเล่มนี้ สำหรับเขาย่อมมีค่ามากอย่างที่ไม่ต้องบอก ไม่เพียงมีวิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แค่ข้อคิดเกี่ยวการฝึกฝนของยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันประมาณค่ามิได้แล้ว

“ก็เหมือนที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ หากพี่อิ่นหานยินดีช่วยข้าอีกแรง ข้าจะมอบบันทึกเล่มนี้ให้สหายเป็นอย่างไร”

ปี้เหยียนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิงอยู่ในสายตา หลังจากแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ

“บันทึกเล่มนี้ล้ำค่าปานนี้ สหายยินยอมมอบให้จริงหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากย้อนถาม

“หึๆ แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่ข้าอ่านมาหลายรอบแล้ว เนื้อหาด้านในเกี่ยวกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเท่านั้น แต่ตอนนี้เผ่ายมโลกที่ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมีน้อยนิดไม่กี่คน ต่อให้หยิบไปแลกในงานประมูลก็คงจะไม่อาจได้ราคาที่พึงพอใจ เกรงว่าคงมีแต่ในสายตาพี่อิ่นหานมันจึงจะเป็นสมบัติล้ำค่าประมาณค่ามิได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่หยิบออกมาง่ายดายเช่นนี้” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“พี่ปี้ต้องการให้ผู้แซ่อิ่นช่วยอย่างไร? ในเมื่อค่าตอบแทนที่สหายยินดีมอบให้ล้ำค่าเช่นนี้ เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก พลังของข้ามีจำกัด แม้ต้องการบันทึกเล่มนี้มาก แต่ก็ถนอมชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมากกว่า” แววตาของหลิ่วหมิงเยือกเย็นขึ้น

“เป็นดังเช่นนี้ที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านราชายมโลกสั่งเมื่อตอนนั้น เนื้อหารายละเอียดข้ายังเปิดเผยก่อนไม่ได้ บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มีค่าประมาณไม่ได้ต่อพี่อิ่นหาน หากต้องการจะไม่เสี่ยงอันตรายสักหน่อยได้อย่างไร?” ปี้เหยียนฟังแล้ว ดวงตาก็ทอประกายวิบวับ

หลิ่วหมิงเงียบไปทันที

ปี้เหยียนกลับยกถ้วยชาจิบชาจิตวิญญาณอีกคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ราวกับมั่นใจว่าหลิ่วหมิงจะไม่มีทางปฏิเสธ

“ได้ เรื่องนี้ข้ารับปาก ไม่ทราบพี่ปี้เหยียนจะลงมือเมื่อใด?” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา

เขาชั่งน้ำหนักอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่อาจทิ้งบันทึกหมิงอวี้เล่มนั้นได้ อีกทั้งพลังของเขาในตอนนี้ สิ่งที่อันตรายต่อระดับแก่นแท้ สำหรับตัวเขาก็ไม่นับเป็นสิ่งใดทั้งสิ้น

“พี่อิ่นหานช่างเด็ดขาด เพื่อภารกิจครั้งนี้ข้ายังเชิญสหายตนอื่นมาอีกหลายตน หลังจากนี้สองเดือนจะรวมตัวกันอีกครั้งแล้วค่อยออกเดินทางอย่างเป็นทางการ” ปี้เหยียนเห็นหลิ่วหมิงรับปากแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นยืน

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะกลับที่พักก่อน พี่ปี้เหยียนเตรียมตัวพร้อมแล้วก็มาหาข้าอีกครั้งแล้วกัน” หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน หลังจากเอ่ยลาปี้เหยียนคำหนึ่งก็หมุนตัวจะเดินออกไปด้านนอก

“พี่อิ่นหานรอประเดี๋ยวก่อน!” ปี้เหยียนเอ่ยปากเรียกหลิ่วหมิงไว้

หลิ่วหมิงได้ยินก็หมุนตัวกลับมา ดวงตาฉายแววตั้งคำถาม

ปี้เหยียนไม่พูดพร่ำ โยนคัมภีร์สีฟ้าในมือให้หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยื่นมือรับไว้อย่างไม่ทันคิด เขาใช้จิตสัมผัสกวาดด้านในรอบหนึ่งแล้วมองปี้เหยียนอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ปี้ นี่หมายความเช่นไร?”

“ภารกิจครั้งนี้ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะเป็นส่วนสำคัญยิ่ง แม้ยามนี้เจ้าฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงมากแล้ว แต่ก็ยังห่างจากจุดที่จะทำภารกิจสำเร็จอยู่อีกเล็กน้อย บันทึกเล่มนี้มอบให้เจ้าก่อน หวังว่าพี่อิ่นหานจะใช้เวลาสองเดือนนี้ศึกษาให้มากที่สุด พยายามยกระดับพลังของวิชานี้ให้ได้ สองเดือนหลังจากนี้ข้าจะเดินทางไปทดสอบพลังวิชานี้ของพี่อิ่นหาน ต้องบรรลุเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้เท่านั้น พวกเราจึงจะลงมือได้” ปี้เหยียนอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ถ้าหาก…ถึงเวลาผู้แซ่อิ่นไม่บรรลุเงื่อนไขของพี่ปี้เหยียน หรือเอาของสิ่งนี้แล้วหนีไปเลย จะทำอย่างไรเล่า?” หลิ่วหมิงลูบคัมภีร์ในมืออยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1085 ภารกิจของราชายมโลก

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1085 ภารกิจของราชายมโลก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ปี้เหยียนเดินมาถึงริมโต๊ะก็ลงมือชงชาจิตวิญญาณกาหนึ่งด้วยตนเองแล้วรินให้หลิ่วหมิงถ้วยหนึ่ง กลิ่นชาหอมสะอาดจางๆ ลอยโชยมาทันที หลิ่วหมิงมองถ้วยชาตรงหน้าแวบหนึ่งแต่ไม่เอื้อมมือไปหยิบ เห็นหลิ่วหมิงระวังระไวเช่นนี้ ปี้เหยียนกลับไม่ได้เผยความไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามหลังจากรินชาจิตวิญญาณให้ตนเองดื่มถ้วยหนึ่งโดยไม่มีสีหน้าผิดปกติสักนิดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากต่อว่า “ไม่ปิดบังพี่อิ่นหาน ฐานะที่แท้จริงของข้าคือเป็นแม่ทัพมืดคนหนึ่งในกองทัพวารีมืดของท่านราชายมโลก” หลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าปี้เหยียนคงมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงแม่ทัพมืดแห่งกองทัพวารีมืด เขามาถึงเมืองปี้โยวได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงนับว่าเข้าใจสถานการณ์ในเมืองอยู่บ้าง เมืองปี้โยวแห่งนี้คือเมืองเอกของแดนวารีมืดและเป็นที่พำนักของราชายมโลก ใต้ปกครองของราชายมโลกย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ไม่น้อย ในเมืองปี้โยวขุมกำลังใต้สังกัดราชายมโลกหลักๆ แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งในนั้นก็คือกองทัพหยกมืด เทียบได้กับกองทหารรักษาเมืองของเมืองต่างๆ ในยมโลก รับผิดชอบดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการคุ้มกันในยามปกติของเมืองปี้โยว กองทัพหยกมืดมีคนมากมาย ล้วนแต่เป็นเผ่ายมโลกที่แม่ทัพมืดธรรมดาใต้บัญชาของราชายมโลกเลือกมาตามใจ นอกเหนือจากนั้นก็คือ “กองทัพวารีมืด” ซึ่งเป็นกลุ่มองครักษ์ที่ราชายมโลกเลือกด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนสนิทที่แท้จริงของราชายมโลกด้วย กองทัพวารีมืดมีจำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนเป็นลูกน้องคนสำคัญของปี้โยว แม่ทัพมืดของกองทัพวารีมืดย่อมเป็นคนสนิทของปี้โยว ผู้ที่ถูกยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ต้องตาได้ย่อมไม่มีทางธรรมดาเช่นนี้อย่างที่เห็นภายนอก “ที่แท้พี่ปี้เหยียนก็ฐานะสูงส่ง มิน่าจึงตามหาข้าน้อยได้ง่ายดายเช่นนี้ เสียมารยาทแล้วจริงๆ” ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับประสานมือคำนับ “พี่อิ่นหานไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ข้าเพียงแค่บังเอิญเห็นสหายในงานประมูลครั้งนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าพี่อิ่นหานมาถึงเมืองปี้โยวด้วย มิเช่นนั้นคงไปเยี่ยมเยือนที่บ้านนานแล้ว” ปี้เหยียนหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา หลิ่วหมิงหัวเราะหึๆ สีหน้าไม่แสดงท่าทีแล้วและไม่เอ่ยตอบอะไร “เอาล่ะ สนทนาสัพเพเหระพอเท่านี้ ความจริงข้าเชิญพี่อิ่นหานมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการขอให้พี่อิ่นหานช่วยจริงๆ” ปี้เหยียนหุบรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “อ้อ เรื่องที่แม้แต่พี่ปี้เหยียนยังไม่อาจจัดการได้ ข้าชักจะสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างแล้ว” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเรียวแล้วล้างหูรอฟัง “ความจริงเรื่องนี้เริ่มเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ท่านปี้โยวสั่งภารกิจหนึ่งด้วยตนเอง…” ปี้เหยียนถอนหายใจแผ่วเบาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านราชายมโลก ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเข้าไปยุ่งได้ สหายไม่ต้องพูดต่อแล้ว เชิญคนอื่นเถิด” หลิ่วหมิงเพิ่งฟังได้สองประโยคก็หน้าถอดสีเอ่ยขัดกะทันหัน ออกปากปฏิเสธทันที “พี่อิ่นหานอย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้มีสาเหตุอื่นจึงมีเพียงสหายที่ช่วยเหลือได้ อีกทั้งข้าเชื่อว่าหากพี่อิ่นหานได้ฟังเรื่องค่าตอบแทนจากข้าแล้วน่าจะไม่มีทางปฏิเสธ” ปี้เหยียนเอ่ยเรียบๆ ในถ้อยคำเผยความมั่นใจในตนเอง หลิ่วหมิงขยับมุมปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา “หากข้ามองไม่ผิด วิชาที่พี่อิ่นหานฝึกฝนน่าจะเป็นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ?” เห็นหลิ่วหมิงไม่เอ่ยปากปฏิเสธ ปี้เหยียนย่อมเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมาทันที “พี่ปี้เหยียนกล่าวไม่ผิด วิชาที่ข้าฝึกฝนก็คือวิชานี้ หรือท่านก็แตกฉานวิชานี้ด้วย?” หลิ่วหมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วย้อนถามกลับหนึ่งประโยค “ฮ่ะๆ นั่นก็ไม่ใช่ แต่ข้ารู้ความเป็นมาของวิชานี้อยู่บ้างเล็กน้อย” ปี้เหยียนอ้าปากหาวแล้วเอ่ยตอบ “แม้ข้ามีวาสนาบังเอิญได้ฝึกฝนวิชานี้ แต่ข้ากลับไม่รู้ประวัติความเป็นมาของมันมากนัก ขอพี่ปี้เหยียนสั่งสอนด้วย” ดวงตาหลิ่วหมิงทอประกายแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดตอนที่เอ่ยขึ้นมา “คำว่าสั่งสอนคงไม่กล้ารับ ตามที่ข้ารู้มาความจริงแล้ววิชานี้เป็นวิชาที่ราชายมโลกนาม ‘หมิงอวี้’ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเป็นผู้สร้างขึ้นมา เคยแพร่หลายอยู่ช่วงหนึ่ง แต่นอกจากราชายมโลกผู้นั้นที่คิดค้นวิชา ภายหลังมีเผ่ายมโลกน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นปลาย หลังจากเผ่ายมโลกมากมายได้วิชานี้ไป เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด จึงไม่อาจก้าวหน้าได้อีก แม้วิชานี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนร่างกายอยู่บ้าง แต่หากไม่อาจฝึกฝนคุกมืดได้ พลังย่อมด้อยกว่าวิชายมโลกวิชาอื่นอยู่ไกล ด้วยเหตุนี้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงเป็นวิชาที่เหมือนไร้ประโยชน์วิชาหนึ่งสำหรับเผ่ายมโลกทั่วไป ตอนนี้มีน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้” ปี้เหยียนโบกมือแล้วเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่ปี้เหยียนรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้มีต้นกำเนิดมาจากยมโลกจริงๆ ตามที่ปี้เหยียนเล่าวิชานี้เหมือนจะมีข้อด้อยใหญ่หลวง แต่เขาฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ แม้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เหมือนจะไม่ได้ฝึกฝนยากเช่นนั้นดังที่ปี้เหยียนกล่าวมา หรือว่าวิชานี้จะเหมาะให้เผ่ามนุษย์ฝึกฝนมากกว่าหรือ? ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังครุ่นคิดกับตนเอง ปี้เหยียนก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ “ตอนนั้นพี่อิ่นหานอาศัยวิชานี้ฝึกฝนจนถึงระดับแก่นเสมือน วันนี้ยิ่งบรรลุระดับแก่นแท้ เป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างแท้จริง แต่พี่อิ่นหานอาจไม่รู้ พลังที่แท้จริงของวิชานี้ความจริงไม่ได้มีเท่านี้ มิเช่นนั้นราชายมโลกหมิงอวี้เมื่อตอนนั้นคงไม่อาจอาศัยวิชานี้เพียงวิชาเดียวชื่อเสียงเลื่องลือในยุคหนึ่ง” “อ้อ วิชานี้ยังมีหนทางให้ยกระดับอีกหรือ เชิญสหายสั่งสอนสักหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงฟังจบก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง รีบถามขึ้นมา เมื่อตอนนั้นเขาได้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬชุดนี้มาจากกำแพงเก็บเงาของนิกายปีศาจ ทั้งหมดแบ่งเป็นหกขั้น ยามนี้ทั้งหกขั้นเขาล้วนฝึกสำเร็จหมดแล้ว หลังจากบรรลุระดับแก่นแท้ ตนมีพลังของหกมังกรหกพยัคฆ์ก็จริง แต่เห็นชัดยิ่งว่าหากต้องการก้าวหน้าอีกขั้นยากแสนยาก แต่ในเมื่อวิชานี้เกิดจากมือของราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ หากจะมีความยอดเยี่ยมประการอื่นที่เขาไม่รู้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก “สาเหตุที่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬฝึกฝนยากเช่นนี้ อีกทั้งแม้บรรลุขั้นปลายก็ไม่อาจสำแดงพลังเช่นเมื่อครั้งกระโน้นได้ ความจริงเป็นเพราะมันขาดวิชาเสริมที่คู่กันวิชาหนึ่ง วิชานี้เมื่อตอนนั้นราชายมโลกหมิงอวี้จงใจปิดบังเอาไว้ ด้วยเหตุนี้คนที่รู้ว่ามันมีอยู่จึงน้อยนิดไม่กี่คน แต่บังเอิญหลายร้อยปีก่อนข้าได้ ‘บันทึกหมิงอวี้’ มาเล่มหนึ่ง น่าจะเป็นมรดกของราชายมโลกหมิงอวี้ตนนั้นเมื่อตอนนั้น ในนั้นไม่เพียงบันทึกเคล็ดลับการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับวิชาเสริมพิเศษวิชานี้เอาไว้ทั้งหมด แต่ยังมีข้อคิดและสิ่งที่ราชายมโลกผู้นั้นบรรลุระหว่างฝึกฝนวิชานี้อีกจำนวนหนึ่งด้วย พี่อิ่นหาน สนใจบันทึกเล่มนี้หรือไม่เล่า?” ปี้เหยียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน เขาสะบัดมือเรียกคัมภีร์หน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ สายตาของหลิ่วหมิงจ้องคัมภีร์เล่มนี้เขม็ง สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ทั้งร่างนิ่งไม่ขยับ บันทึกเล่มนี้ สำหรับเขาย่อมมีค่ามากอย่างที่ไม่ต้องบอก ไม่เพียงมีวิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แค่ข้อคิดเกี่ยวการฝึกฝนของยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันประมาณค่ามิได้แล้ว “ก็เหมือนที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ หากพี่อิ่นหานยินดีช่วยข้าอีกแรง ข้าจะมอบบันทึกเล่มนี้ให้สหายเป็นอย่างไร” ปี้เหยียนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิงอยู่ในสายตา หลังจากแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ “บันทึกเล่มนี้ล้ำค่าปานนี้ สหายยินยอมมอบให้จริงหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากย้อนถาม “หึๆ แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่ข้าอ่านมาหลายรอบแล้ว เนื้อหาด้านในเกี่ยวกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเท่านั้น แต่ตอนนี้เผ่ายมโลกที่ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมีน้อยนิดไม่กี่คน ต่อให้หยิบไปแลกในงานประมูลก็คงจะไม่อาจได้ราคาที่พึงพอใจ เกรงว่าคงมีแต่ในสายตาพี่อิ่นหานมันจึงจะเป็นสมบัติล้ำค่าประมาณค่ามิได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่หยิบออกมาง่ายดายเช่นนี้” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “พี่ปี้ต้องการให้ผู้แซ่อิ่นช่วยอย่างไร? ในเมื่อค่าตอบแทนที่สหายยินดีมอบให้ล้ำค่าเช่นนี้ เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก พลังของข้ามีจำกัด แม้ต้องการบันทึกเล่มนี้มาก แต่ก็ถนอมชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมากกว่า” แววตาของหลิ่วหมิงเยือกเย็นขึ้น “เป็นดังเช่นนี้ที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านราชายมโลกสั่งเมื่อตอนนั้น เนื้อหารายละเอียดข้ายังเปิดเผยก่อนไม่ได้ บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มีค่าประมาณไม่ได้ต่อพี่อิ่นหาน หากต้องการจะไม่เสี่ยงอันตรายสักหน่อยได้อย่างไร?” ปี้เหยียนฟังแล้ว ดวงตาก็ทอประกายวิบวับ หลิ่วหมิงเงียบไปทันที ปี้เหยียนกลับยกถ้วยชาจิบชาจิตวิญญาณอีกคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ราวกับมั่นใจว่าหลิ่วหมิงจะไม่มีทางปฏิเสธ “ได้ เรื่องนี้ข้ารับปาก ไม่ทราบพี่ปี้เหยียนจะลงมือเมื่อใด?” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา เขาชั่งน้ำหนักอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่อาจทิ้งบันทึกหมิงอวี้เล่มนั้นได้ อีกทั้งพลังของเขาในตอนนี้ สิ่งที่อันตรายต่อระดับแก่นแท้ สำหรับตัวเขาก็ไม่นับเป็นสิ่งใดทั้งสิ้น “พี่อิ่นหานช่างเด็ดขาด เพื่อภารกิจครั้งนี้ข้ายังเชิญสหายตนอื่นมาอีกหลายตน หลังจากนี้สองเดือนจะรวมตัวกันอีกครั้งแล้วค่อยออกเดินทางอย่างเป็นทางการ” ปี้เหยียนเห็นหลิ่วหมิงรับปากแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นยืน “ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะกลับที่พักก่อน พี่ปี้เหยียนเตรียมตัวพร้อมแล้วก็มาหาข้าอีกครั้งแล้วกัน” หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน หลังจากเอ่ยลาปี้เหยียนคำหนึ่งก็หมุนตัวจะเดินออกไปด้านนอก “พี่อิ่นหานรอประเดี๋ยวก่อน!” ปี้เหยียนเอ่ยปากเรียกหลิ่วหมิงไว้ หลิ่วหมิงได้ยินก็หมุนตัวกลับมา ดวงตาฉายแววตั้งคำถาม ปี้เหยียนไม่พูดพร่ำ โยนคัมภีร์สีฟ้าในมือให้หลิ่วหมิง หลิ่วหมิงยื่นมือรับไว้อย่างไม่ทันคิด เขาใช้จิตสัมผัสกวาดด้านในรอบหนึ่งแล้วมองปี้เหยียนอย่างไม่เข้าใจ “พี่ปี้ นี่หมายความเช่นไร?” “ภารกิจครั้งนี้ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะเป็นส่วนสำคัญยิ่ง แม้ยามนี้เจ้าฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงมากแล้ว แต่ก็ยังห่างจากจุดที่จะทำภารกิจสำเร็จอยู่อีกเล็กน้อย บันทึกเล่มนี้มอบให้เจ้าก่อน หวังว่าพี่อิ่นหานจะใช้เวลาสองเดือนนี้ศึกษาให้มากที่สุด พยายามยกระดับพลังของวิชานี้ให้ได้ สองเดือนหลังจากนี้ข้าจะเดินทางไปทดสอบพลังวิชานี้ของพี่อิ่นหาน ต้องบรรลุเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้เท่านั้น พวกเราจึงจะลงมือได้” ปี้เหยียนอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้าง “ถ้าหาก…ถึงเวลาผู้แซ่อิ่นไม่บรรลุเงื่อนไขของพี่ปี้เหยียน หรือเอาของสิ่งนี้แล้วหนีไปเลย จะทำอย่างไรเล่า?” หลิ่วหมิงลูบคัมภีร์ในมืออยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

ปี้เหยียนเดินมาถึงริมโต๊ะก็ลงมือชงชาจิตวิญญาณกาหนึ่งด้วยตนเองแล้วรินให้หลิ่วหมิงถ้วยหนึ่ง กลิ่นชาหอมสะอาดจางๆ ลอยโชยมาทันที

หลิ่วหมิงมองถ้วยชาตรงหน้าแวบหนึ่งแต่ไม่เอื้อมมือไปหยิบ

เห็นหลิ่วหมิงระวังระไวเช่นนี้ ปี้เหยียนกลับไม่ได้เผยความไม่พอใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามหลังจากรินชาจิตวิญญาณให้ตนเองดื่มถ้วยหนึ่งโดยไม่มีสีหน้าผิดปกติสักนิดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากต่อว่า

“ไม่ปิดบังพี่อิ่นหาน ฐานะที่แท้จริงของข้าคือเป็นแม่ทัพมืดคนหนึ่งในกองทัพวารีมืดของท่านราชายมโลก”

หลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

แม้เขาเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่าปี้เหยียนคงมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงแม่ทัพมืดแห่งกองทัพวารีมืด

เขามาถึงเมืองปี้โยวได้ช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงนับว่าเข้าใจสถานการณ์ในเมืองอยู่บ้าง

เมืองปี้โยวแห่งนี้คือเมืองเอกของแดนวารีมืดและเป็นที่พำนักของราชายมโลก ใต้ปกครองของราชายมโลกย่อมมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ไม่น้อย

ในเมืองปี้โยวขุมกำลังใต้สังกัดราชายมโลกหลักๆ แบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งในนั้นก็คือกองทัพหยกมืด เทียบได้กับกองทหารรักษาเมืองของเมืองต่างๆ ในยมโลก รับผิดชอบดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการคุ้มกันในยามปกติของเมืองปี้โยว

กองทัพหยกมืดมีคนมากมาย ล้วนแต่เป็นเผ่ายมโลกที่แม่ทัพมืดธรรมดาใต้บัญชาของราชายมโลกเลือกมาตามใจ

นอกเหนือจากนั้นก็คือ “กองทัพวารีมืด” ซึ่งเป็นกลุ่มองครักษ์ที่ราชายมโลกเลือกด้วยตนเอง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนสนิทที่แท้จริงของราชายมโลกด้วย

กองทัพวารีมืดมีจำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนเป็นลูกน้องคนสำคัญของปี้โยว แม่ทัพมืดของกองทัพวารีมืดย่อมเป็นคนสนิทของปี้โยว ผู้ที่ถูกยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ต้องตาได้ย่อมไม่มีทางธรรมดาเช่นนี้อย่างที่เห็นภายนอก

“ที่แท้พี่ปี้เหยียนก็ฐานะสูงส่ง มิน่าจึงตามหาข้าน้อยได้ง่ายดายเช่นนี้ เสียมารยาทแล้วจริงๆ” ในใจหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วพร้อมกับประสานมือคำนับ

“พี่อิ่นหานไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป ข้าเพียงแค่บังเอิญเห็นสหายในงานประมูลครั้งนี้เท่านั้น ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าพี่อิ่นหานมาถึงเมืองปี้โยวด้วย มิเช่นนั้นคงไปเยี่ยมเยือนที่บ้านนานแล้ว” ปี้เหยียนหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้นมา

หลิ่วหมิงหัวเราะหึๆ สีหน้าไม่แสดงท่าทีแล้วและไม่เอ่ยตอบอะไร

“เอาล่ะ สนทนาสัพเพเหระพอเท่านี้ ความจริงข้าเชิญพี่อิ่นหานมาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการขอให้พี่อิ่นหานช่วยจริงๆ” ปี้เหยียนหุบรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“อ้อ เรื่องที่แม้แต่พี่ปี้เหยียนยังไม่อาจจัดการได้ ข้าชักจะสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างแล้ว” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วเรียวแล้วล้างหูรอฟัง

“ความจริงเรื่องนี้เริ่มเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ท่านปี้โยวสั่งภารกิจหนึ่งด้วยตนเอง…” ปี้เหยียนถอนหายใจแผ่วเบาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยต่ออย่างเชื่องช้า

“เรื่องที่เกี่ยวข้องกับท่านราชายมโลก ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะเข้าไปยุ่งได้ สหายไม่ต้องพูดต่อแล้ว เชิญคนอื่นเถิด”

หลิ่วหมิงเพิ่งฟังได้สองประโยคก็หน้าถอดสีเอ่ยขัดกะทันหัน ออกปากปฏิเสธทันที

“พี่อิ่นหานอย่าเพิ่งรีบร้อน เรื่องนี้มีสาเหตุอื่นจึงมีเพียงสหายที่ช่วยเหลือได้ อีกทั้งข้าเชื่อว่าหากพี่อิ่นหานได้ฟังเรื่องค่าตอบแทนจากข้าแล้วน่าจะไม่มีทางปฏิเสธ” ปี้เหยียนเอ่ยเรียบๆ ในถ้อยคำเผยความมั่นใจในตนเอง

หลิ่วหมิงขยับมุมปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา

“หากข้ามองไม่ผิด วิชาที่พี่อิ่นหานฝึกฝนน่าจะเป็นวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬสินะ?” เห็นหลิ่วหมิงไม่เอ่ยปากปฏิเสธ ปี้เหยียนย่อมเปลี่ยนประเด็นถามขึ้นมาทันที

“พี่ปี้เหยียนกล่าวไม่ผิด วิชาที่ข้าฝึกฝนก็คือวิชานี้ หรือท่านก็แตกฉานวิชานี้ด้วย?” หลิ่วหมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วย้อนถามกลับหนึ่งประโยค

“ฮ่ะๆ นั่นก็ไม่ใช่ แต่ข้ารู้ความเป็นมาของวิชานี้อยู่บ้างเล็กน้อย” ปี้เหยียนอ้าปากหาวแล้วเอ่ยตอบ

“แม้ข้ามีวาสนาบังเอิญได้ฝึกฝนวิชานี้ แต่ข้ากลับไม่รู้ประวัติความเป็นมาของมันมากนัก ขอพี่ปี้เหยียนสั่งสอนด้วย” ดวงตาหลิ่วหมิงทอประกายแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดตอนที่เอ่ยขึ้นมา

“คำว่าสั่งสอนคงไม่กล้ารับ ตามที่ข้ารู้มาความจริงแล้ววิชานี้เป็นวิชาที่ราชายมโลกนาม ‘หมิงอวี้’ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเป็นผู้สร้างขึ้นมา เคยแพร่หลายอยู่ช่วงหนึ่ง แต่นอกจากราชายมโลกผู้นั้นที่คิดค้นวิชา ภายหลังมีเผ่ายมโลกน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นปลาย หลังจากเผ่ายมโลกมากมายได้วิชานี้ไป เมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้ว ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด จึงไม่อาจก้าวหน้าได้อีก แม้วิชานี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนร่างกายอยู่บ้าง แต่หากไม่อาจฝึกฝนคุกมืดได้ พลังย่อมด้อยกว่าวิชายมโลกวิชาอื่นอยู่ไกล ด้วยเหตุนี้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงเป็นวิชาที่เหมือนไร้ประโยชน์วิชาหนึ่งสำหรับเผ่ายมโลกทั่วไป ตอนนี้มีน้อยคนนักที่จะฝึกฝนวิชานี้” ปี้เหยียนโบกมือแล้วเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ พี่ปี้เหยียนรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนี้มีต้นกำเนิดมาจากยมโลกจริงๆ ตามที่ปี้เหยียนเล่าวิชานี้เหมือนจะมีข้อด้อยใหญ่หลวง แต่เขาฝึกฝนมาจนถึงวันนี้ แม้ยากลำบากอยู่บ้าง แต่เหมือนจะไม่ได้ฝึกฝนยากเช่นนั้นดังที่ปี้เหยียนกล่าวมา

หรือว่าวิชานี้จะเหมาะให้เผ่ามนุษย์ฝึกฝนมากกว่าหรือ?

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังครุ่นคิดกับตนเอง ปี้เหยียนก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ

“ตอนนั้นพี่อิ่นหานอาศัยวิชานี้ฝึกฝนจนถึงระดับแก่นเสมือน วันนี้ยิ่งบรรลุระดับแก่นแท้ เป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างแท้จริง แต่พี่อิ่นหานอาจไม่รู้ พลังที่แท้จริงของวิชานี้ความจริงไม่ได้มีเท่านี้ มิเช่นนั้นราชายมโลกหมิงอวี้เมื่อตอนนั้นคงไม่อาจอาศัยวิชานี้เพียงวิชาเดียวชื่อเสียงเลื่องลือในยุคหนึ่ง”

“อ้อ วิชานี้ยังมีหนทางให้ยกระดับอีกหรือ เชิญสหายสั่งสอนสักหน่อยเถิด” หลิ่วหมิงฟังจบก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง รีบถามขึ้นมา

เมื่อตอนนั้นเขาได้วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬชุดนี้มาจากกำแพงเก็บเงาของนิกายปีศาจ ทั้งหมดแบ่งเป็นหกขั้น ยามนี้ทั้งหกขั้นเขาล้วนฝึกสำเร็จหมดแล้ว หลังจากบรรลุระดับแก่นแท้ ตนมีพลังของหกมังกรหกพยัคฆ์ก็จริง แต่เห็นชัดยิ่งว่าหากต้องการก้าวหน้าอีกขั้นยากแสนยาก

แต่ในเมื่อวิชานี้เกิดจากมือของราชายมโลกระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ หากจะมีความยอดเยี่ยมประการอื่นที่เขาไม่รู้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

“สาเหตุที่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬฝึกฝนยากเช่นนี้ อีกทั้งแม้บรรลุขั้นปลายก็ไม่อาจสำแดงพลังเช่นเมื่อครั้งกระโน้นได้ ความจริงเป็นเพราะมันขาดวิชาเสริมที่คู่กันวิชาหนึ่ง วิชานี้เมื่อตอนนั้นราชายมโลกหมิงอวี้จงใจปิดบังเอาไว้ ด้วยเหตุนี้คนที่รู้ว่ามันมีอยู่จึงน้อยนิดไม่กี่คน แต่บังเอิญหลายร้อยปีก่อนข้าได้ ‘บันทึกหมิงอวี้’ มาเล่มหนึ่ง น่าจะเป็นมรดกของราชายมโลกหมิงอวี้ตนนั้นเมื่อตอนนั้น ในนั้นไม่เพียงบันทึกเคล็ดลับการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับวิชาเสริมพิเศษวิชานี้เอาไว้ทั้งหมด แต่ยังมีข้อคิดและสิ่งที่ราชายมโลกผู้นั้นบรรลุระหว่างฝึกฝนวิชานี้อีกจำนวนหนึ่งด้วย พี่อิ่นหาน สนใจบันทึกเล่มนี้หรือไม่เล่า?” ปี้เหยียนเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน เขาสะบัดมือเรียกคัมภีร์หน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ

สายตาของหลิ่วหมิงจ้องคัมภีร์เล่มนี้เขม็ง สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ทั้งร่างนิ่งไม่ขยับ

บันทึกเล่มนี้ สำหรับเขาย่อมมีค่ามากอย่างที่ไม่ต้องบอก ไม่เพียงมีวิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แค่ข้อคิดเกี่ยวการฝึกฝนของยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอันประมาณค่ามิได้แล้ว

“ก็เหมือนที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ หากพี่อิ่นหานยินดีช่วยข้าอีกแรง ข้าจะมอบบันทึกเล่มนี้ให้สหายเป็นอย่างไร”

ปี้เหยียนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิงอยู่ในสายตา หลังจากแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ก็เอ่ยต่ออย่างสบายๆ

“บันทึกเล่มนี้ล้ำค่าปานนี้ สหายยินยอมมอบให้จริงหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากย้อนถาม

“หึๆ แม้ของสิ่งนี้จะล้ำค่า แต่ข้าอ่านมาหลายรอบแล้ว เนื้อหาด้านในเกี่ยวกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเท่านั้น แต่ตอนนี้เผ่ายมโลกที่ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมีน้อยนิดไม่กี่คน ต่อให้หยิบไปแลกในงานประมูลก็คงจะไม่อาจได้ราคาที่พึงพอใจ เกรงว่าคงมีแต่ในสายตาพี่อิ่นหานมันจึงจะเป็นสมบัติล้ำค่าประมาณค่ามิได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่หยิบออกมาง่ายดายเช่นนี้” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“พี่ปี้ต้องการให้ผู้แซ่อิ่นช่วยอย่างไร? ในเมื่อค่าตอบแทนที่สหายยินดีมอบให้ล้ำค่าเช่นนี้ เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก พลังของข้ามีจำกัด แม้ต้องการบันทึกเล่มนี้มาก แต่ก็ถนอมชีวิตน้อยๆ ของตัวเองมากกว่า” แววตาของหลิ่วหมิงเยือกเย็นขึ้น

“เป็นดังเช่นนี้ที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่านราชายมโลกสั่งเมื่อตอนนั้น เนื้อหารายละเอียดข้ายังเปิดเผยก่อนไม่ได้ บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มีค่าประมาณไม่ได้ต่อพี่อิ่นหาน หากต้องการจะไม่เสี่ยงอันตรายสักหน่อยได้อย่างไร?” ปี้เหยียนฟังแล้ว ดวงตาก็ทอประกายวิบวับ

หลิ่วหมิงเงียบไปทันที

ปี้เหยียนกลับยกถ้วยชาจิบชาจิตวิญญาณอีกคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน ราวกับมั่นใจว่าหลิ่วหมิงจะไม่มีทางปฏิเสธ

“ได้ เรื่องนี้ข้ารับปาก ไม่ทราบพี่ปี้เหยียนจะลงมือเมื่อใด?” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สุดท้ายหลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยออกมา

เขาชั่งน้ำหนักอยู่นาน ในที่สุดก็ไม่อาจทิ้งบันทึกหมิงอวี้เล่มนั้นได้ อีกทั้งพลังของเขาในตอนนี้ สิ่งที่อันตรายต่อระดับแก่นแท้ สำหรับตัวเขาก็ไม่นับเป็นสิ่งใดทั้งสิ้น

“พี่อิ่นหานช่างเด็ดขาด เพื่อภารกิจครั้งนี้ข้ายังเชิญสหายตนอื่นมาอีกหลายตน หลังจากนี้สองเดือนจะรวมตัวกันอีกครั้งแล้วค่อยออกเดินทางอย่างเป็นทางการ” ปี้เหยียนเห็นหลิ่วหมิงรับปากแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นยืน

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะกลับที่พักก่อน พี่ปี้เหยียนเตรียมตัวพร้อมแล้วก็มาหาข้าอีกครั้งแล้วกัน” หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน หลังจากเอ่ยลาปี้เหยียนคำหนึ่งก็หมุนตัวจะเดินออกไปด้านนอก

“พี่อิ่นหานรอประเดี๋ยวก่อน!” ปี้เหยียนเอ่ยปากเรียกหลิ่วหมิงไว้

หลิ่วหมิงได้ยินก็หมุนตัวกลับมา ดวงตาฉายแววตั้งคำถาม

ปี้เหยียนไม่พูดพร่ำ โยนคัมภีร์สีฟ้าในมือให้หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยื่นมือรับไว้อย่างไม่ทันคิด เขาใช้จิตสัมผัสกวาดด้านในรอบหนึ่งแล้วมองปี้เหยียนอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ปี้ นี่หมายความเช่นไร?”

“ภารกิจครั้งนี้ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจะเป็นส่วนสำคัญยิ่ง แม้ยามนี้เจ้าฝึกฝนได้ถึงขั้นสูงมากแล้ว แต่ก็ยังห่างจากจุดที่จะทำภารกิจสำเร็จอยู่อีกเล็กน้อย บันทึกเล่มนี้มอบให้เจ้าก่อน หวังว่าพี่อิ่นหานจะใช้เวลาสองเดือนนี้ศึกษาให้มากที่สุด พยายามยกระดับพลังของวิชานี้ให้ได้ สองเดือนหลังจากนี้ข้าจะเดินทางไปทดสอบพลังวิชานี้ของพี่อิ่นหาน ต้องบรรลุเงื่อนไขที่ข้าตั้งไว้เท่านั้น พวกเราจึงจะลงมือได้” ปี้เหยียนอธิบายพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“ถ้าหาก…ถึงเวลาผู้แซ่อิ่นไม่บรรลุเงื่อนไขของพี่ปี้เหยียน หรือเอาของสิ่งนี้แล้วหนีไปเลย จะทำอย่างไรเล่า?” หลิ่วหมิงลูบคัมภีร์ในมืออยู่ครู่หนึ่งก็ถามขึ้นมาคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+