ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1086 บันทึกหมิงอวี้

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1086 บันทึกหมิงอวี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หึๆ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของพี่อิ่นหานจะต้องบรรลุเงื่อนไขของข้าได้แน่ ส่วนเรื่องหอบของหนี…” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ มือเปล่งแสงสีแดง ผลึกสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ผลึกแก้วใสแวววาวทอแสงสีแดงประหลาดอยู่เรืองๆ ด้านในมีเส้นโลหิตหน้าตาเหมือนหนอนนับไม่ถ้วนคืบคลานอยู่อย่างเชื่องช้า แลดูลึกลับ “นี่คือผลึกยมโลกคำสาปโลหิต พี่ปี้เหยียนหมายความว่า…” หลิ่วหมิงเหลือบมองผลึกหินแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอันใดออกมา ระหว่างทางมาเมืองปี้โยวแห่งนี้ หลิ่วหมิงได้รู้เรื่องราวของเผ่ายมโลกมาไม่มากก็น้อย เขารู้ว่าผลึกยมโลกคำสาปโลหิตนี่คือสิ่งที่เหมือนสัญญาเวทหรือคำสาบานโลหิตที่เผ่ายมโลกใช้กันมานานแล้วชนิดหนึ่ง “พี่อิ่นหานรู้จักสิ่งนี้นั่นยิ่งดี! คัมภีร์เล่มนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ไม่สู้ท่านกับข้าสาบานต่อคำสาปโลหิตเพื่อแสดงความจริงใจ” ปี้เหยียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขบคิดนานนักก็พยักหน้าแสดงออกว่าไม่เห็นแย้ง ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงโยนผลึกสีเลือดมาตรงหน้าแล้วยกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาทันที ผลึกสีเลือดลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนแล้วหมุนอยู่กลางอากาศในทันใด ปี้เหยียนมองหลิ่วหมิงแล้วยกนิ้วขึ้นมาเค้นโลหิตหยดหนึ่งดีดลงบนผลึกสีเลือด ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสผลึกหินสีเลือดก้อนนี้ มันก็กลายเป็นเส้นไหมโลหิตเรียวเล็กเท่าเส้นผมเส้นแล้วเส้นเล่าจมหายเข้าไปในผลึกหินทันที ต่อจากนั้นเส้นโลหิตที่ราวกับหนอนยั้วเยี้ยในผลึกหินฉับพลันประหนึ่งมีชีวิต พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวในผลึกหินอย่างรวดเร็ว หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตาม เขายกมือขึ้นหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนผลึกหิน เมื่อเลือดจมลงไป เส้นโลหิตด้านในผลึกหินก็ขยับเร็วขึ้นอีกหลายส่วนในทันใด ท่าทางเหมือนอึดใจต่อมาจะทลายก้อนหินออกมา ทั้งสองคนสบตากันทันทีแล้วชูฝ่ามือขึ้นฟ้าพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำสาบานตามข้อตกลง ผลึกหินสีเลือดที่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนพลันเปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าแล้วส่งเสียงดัง “ปัง” จากนั้นแตกสลายไปทันที เส้นไหมโลหิตรูปร่างเหมือนหนอนยั้วเยี้ยพุ่งออกมาจากรอยแตก ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดสองสาย สายหนึ่งแล่นเข้าไปในหน้าผากของปี้เหยียน ส่วนอีกสายหนึ่งบินเข้ามาในหน้าผากของหลิ่วหมิง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเย็นที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งไหลจากหว่างคิ้วทะลวงเข้าสู่ร่างแล้วพุ่งสะเปะสะปะจนไปทั่วร่างของเขา จากนั้นพุ่งหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นผลึกหน้าตาคล้ายหนอนสีเลือดตัวหนึ่งขดอยู่บนแก่นแท้สีดำขาว เขาลองกระตุ้นพลังจิตเล็กน้อยจากทะเลจิตสัมผัสไปแตะหนอนตัวน้อยสีเลือด ผลปรากฏว่าลวดลายหนอนน้อยสีเลือดไม่ขยับราวกับเป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่หลิ่วหมิงสัมผัสลมปราณดุร้ายที่แฝงอยู่ในหนอนน้อยสีเลือดได้อย่างชัดเจน “ในเมื่อสาบานเรียบร้อย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน สองเดือนหลังจากนี้ค่อยพบกัน” หลิ่วหมิงประสานมือแล้วเก็บคัมภีร์สีฟ้าในมือไป เขาเหลือบมองกำแพงด้านหนึ่งของห้องลับเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วหมุนตัวออกจากห้องลับ หลังจากปี้เหยียนมองส่งหลิ่วหมิงออกจากห้องก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ศิลาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่งแล้วจิบคำเล็กๆ ในตอนนี้เองด้านในห้องลับก็มีเสียงดังกึก บนกำแพงด้านหนึ่งมีช่องปรากฏขึ้นมา ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของปี้เหยีนไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงสนใจแต่ลิ้มรสชา เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่ “เจ้ามอบบันทึกหมิงอวี้ให้แก่เผ่ายมโลกที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?” ผู้เฒ่าผมขาวมองปี้เหยียน คิ้วขาวขมวดพลางเอ่ยขึ้น “หึๆ คัมภีร์ ของเช่นนี้เหมาะนำมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่สุดแล้ว เพราะมันทำซ้ำได้เป็นพันหมื่น ขอเพียงลั่นวาจาสาบาน เจ้าก็มีแต่ได้กำไรไม่มีวันขาดทุน บันทึกหมิงอวี้นั่นสำหรับข้าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ หากแลกผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมาได้คนหนึ่ง สำหรับพวกเราไยไม่ใช่ได้กำไรครั้งใหญ่” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “ต่อให้เป็นเช่นนี้ อิ่นหานผู้นี้ก็แค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นตนหนึ่งเท่านั้น จากที่เจ้าเล่าสามสิบสี่สิบปีก่อนหน้านี้พลังก็เพิ่งระดับแก่นเสมือนเท่านั้น ไม่แน่อาจเพิ่งผนึกแก่นแท้ได้ไม่กี่ปีนี้ ระดับพลังยังไม่ทันมั่งคงเลยนะ! แลกเปลี่ยนเช่นนี้ เจ้าน่าจะขาดทุนไม่น้อย” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้ากระตุกไปวูบหนึ่งแล้วแค่นเสียงหยันเอ่ยออกมา “อิ่นหานผู้นี้ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ธรรมดาเช่นนั้นแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำเสมอ อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นเขาลงมือ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาใช้พลังไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งยังใช้พลัง ‘คุกมืด’ ได้แล้วด้วย นี่ย่อมเพียงพอแล้ว” ปี้เหยียนดวงตาทอประกายเอ่ยขึ้นมา “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “ทั้งที่ไม่มีวิชาเสริมแต่กลับฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขั้นปลายได้ เกรงว่าทั่วทั้งยมโลกคงมีผู้ทำได้ไม่กี่คน ทั้งพลังจิตสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อครู่แม้ไม่เปิดโปง แต่ก็คงรู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่ด้านในตั้งนานแล้ว” ปี้เหยียนยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ “ไม่มีทาง! วิชาซ่อนเร้นกายของข้าต่อให้เป็นเจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์พวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมองออก เจ้าหนูผู้นี้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นไม่นาน ไม่มีทางมีพลังจิตแข็งแกร่งปานนี้แน่…” ผู้เฒ่าผมขาวฟังแล้วก็ตกใจระคนคลางแคลง “หึๆ เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง แต่พลังของอิ่นหานผู้นี้ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี ดูท่าครั้งนี้เจ้ากับข้าจะมีหวังจับเจ้าซวีหลิงนั่น…” ปี้เหยียนพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ ออกแรงกำถ้วยชาจิตวิญญาณในมือ “เพล้ง” ถ้วยชาในมือถูกเขาบีบจนกลายเป็นผุยผงร่วงโปรยปรายลงไปเบื้องล่าง ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังใคร่ครวญความหมายในถ้อยคำที่ปี้เหยียนเอ่ยออกมาเมื่อครู่ …… เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจากหอแขกพิเศษก็ไม่มีกะจิตกะใจเข้าร่วมงานประมูลใหญ่อีกต่อไป เขาออกจากหอรุ่ยโยวทันที ตรงดิ่งกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก เขาเดินเข้าห้องลับของโรงเตี๊ยม จากนั้นสองมือสะบัดต่อเนื่อง แสงสายแล้วสายเล่าหอบธงค่ายกลในมือเขาพุ่งพรวดออกไปปักอยู่รอบห้อง เมื่อวางชั้นจำกัดหลายชั้นติดต่อกันเสร็จ เขาจึงวางใจเดินมานั่งขัดสมาธิตรงกลาง ต่อจากนั้นเขาจึงพลิกมือข้างหนึ่งเรียกคัมภีร์สีฟ้าเล่มนั้นที่ปี้เหยียนมอบให้ออกมา บนปกเขียนตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่ไว้สี่ตัวว่า “บันทึกหมิงอวี้” เขาพรูลมหายใจแผ่วเบาแล้วพลิกเปิดคัมภีร์ ตัวอักษรขนาดเล็กกับภาพวาดอันชัดเจนที่เรียงรายเป็นแถวอยู่บนหน้ากระดาษดึงความสนใจทั้งหมดของเขาไปทันที เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามหลิ่วหมิงก็ปิดคัมภีร์แล้วแหงนหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิด เนื้อหาในคัมภีร์มีไม่มาก อีกทั้งเขาฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงขั้นหกแล้วก็ดูเหมือนไม่พบอุปสรรคแต่ประการใด จึงอ่านเนื้อหาด้านในรวดเดียวจบได้อย่างรวดเร็ว เขาตัดสินได้ว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้เป็นข้อคิดในการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจริง ในนั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิชานี้บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกพบทางบรรลุ หลายจุดที่ก่อนหน้านี้ไร้รายละเอียดก็ถูกยกขึ้นมากล่าวทีละเรื่อง ทำให้เขาคิดต่อได้มากมายหลายสิ่ง นอกเหนือจากนี้ในนั้นยังมีเคล็ดลับการใช้วิชานี้อีกจำนวนหนึ่งกับข้อคิดเห็นมากมาย ล้วนทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา แต่วิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่บันทึกอยู่ในนั้นกลับทำให้เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง คัมภีร์กล่าวไว้ว่าเมื่อฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงระดับสูง แต่ละช่วงจะต้องผสานของภายนอกจำนวนหนึ่งเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงจะทะลวงอุปสรรคทำให้พลังเพิ่มขึ้นมากได้ “ผสานของภายนอกเข้าไป ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว” เนื่องจากคัมภีร์วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้นที่เขาได้มาเมื่อครั้งโน้นเคยเอ่ยถึงการอาศัยสิ่งภายนอกช่วยมาก่อนแล้วแล้ว ดังนั้นเมื่อคัมภีร์กล่าวเช่นนี้หลิ่วหมิงจึงไม่แปลกใจนัก มีบันทึกไว้ในส่วนของวิชาเสริมว่าเมื่อครั้งราชายมโลกหมิงอวี้ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เขาผสานสมบัติแห่งฟ้าดินอันล้ำค่าจำนวนมากเข้าไปในวิชาจึงทำให้พลังของวิชานี้เพิ่มขึ้นมาก สมบัติของยมโลกหลายชนิดนี้ หลิ่วหมิงรู้จักอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือสมบัติที่ชื่อว่า “หยกกระดูกเพลิงเหมันต์” ของสิ่งนี้ล้ำค่าอย่างที่สุด ได้ยินมาว่าเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณธาตุหยินที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่งได้ชนิดหนึ่ง ไม่ปรากฏในยมโลกมาหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสมบัติแห่งฟ้าดินชนิดอื่นแม้แต่ได้ยินยังไม่เคยได้ยิน แต่ดูจากชื่อของพวกมันก็มองออกว่าน่าจะเป็นธาตุหยินทั้งสิ้น “ในเมื่อวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬผสานสมบัติธาตุหยินเหล่านี้เข้าไปได้ ก็น่าจะผสานของภายนอกอย่างอื่นได้เช่นกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก็เอ่ยพึมพำออกมา เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดจริงทำจริง หยิบสมบัติแห่งฟ้าดินธาตุหยินอันล้ำค่าหลายชนิดท่ามกลางของบรรณาการของเมืองหานสุ่ยออกมาทันที ในเมื่อขายยากนักก็เอามาทดลองเองเสียเลย หลิ่วหมิงหยิบหญ้าจิตวิญญาณสีดำสนิทดั่งหมึกต้นหนึ่งขึ้นมาเป็นอย่างแรก มันก็คือหญ้าภูตยมโลกต้นหนึ่งในของบรรณการเมืองหานสุ่ยนั่นเอง สิ่งนี้มีปราณหยินแฝงอยู่เข้มข้นอย่างที่สุด บางทีอาจใช้ได้ เขายกมันขึ้นมาสำรวจตรงระดับสายตาครู่หนึ่งแล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้าง ปราณสีดำทะลักออกจากร่างโอบหญ้าภูตยมโลกต้นนี้ไว้ด้านใน “ฉึบ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง หญ้าภูตยมโลกถูกขยี้แหลกในพริบตา หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม รีบทำตามวิธีการที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทดลองผสานพลังจิตวิญญาณอันเย็นยะเยือกในหญ้าภูตยมโลกเข้าไปในลมปราณสีดำพลุ่งพล่านของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ สองชั่วยามหลังจากนั้น ปราณสีดำบนร่างเขาก็สลายไปช้าๆ ลมปราณหนาวเย็นส่วนหนึ่งของหญ้าภูตยมโลกผสานเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แต่แทบไม่มีผลทำให้พลังของวิชาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด “ดูท่าหญ้าภูตยมโลกนี่จะไม่เข้ากับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนัก…” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง จากนั้นหยิบกล่องหยกสีดำใบหนึ่งบนพื้นขึ้นมา ด้านในกล่องมีผลึกคล้ายหยกสีดำก้อนหนึ่งวางอยู่ ปราณดำสายหนึ่งผุดจากมือโอบผลึกหยกดำก้อนนี้ไว้ด้านใน สามวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงไล่ทดลองวัตถุดิบล้ำค่าในของบรรณาการไปได้เจ็ดถึงแปดชนิด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าพอใจนัก มีเพียงผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลชนิดเดียวที่ผลลัพธ์นับว่าไม่เลว แต่หากต้องการเพิ่มพลังวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้ได้มากย่อมต้องการผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลจำนวนมาก ในมือหลิ่วหมิงมีเพียงก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวเท่านี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในของบรรณการที่เมืองหานสุ่ยมอบให้ราชายมโลกอีก เห็นชัดว่าราคาคงไม่ธรรมดา หากคิดจะอาศัยผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลนี้ยกระดับพลังของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง “หรืออุตส่าห์เสียสิ่งแลกเปลี่ยนไปมากมายเช่นนั้นกว่าจะได้บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มา แต่ดันใช้ประโยชน์ได้แค่ไม่เท่าไร…” หลิ่วหมิงได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น บางทีวันหน้าอาจค่อยๆ หาสมบัติอย่างอื่นมาลองอีกได้ แต่ปี้เหยียนจำกัดเวลาให้เขาเพียงสองเดือนเท่านั้น “ใช่แล้ว!” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ฉับพลันคิดบางสิ่งออก เขาโบกมือครั้งหนึ่ง น้ำเต้าสีดำขนาดหนึ่งฉื่อกว่าใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ด้านในอัดแน่นไปด้วยหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเกือบพันหยดที่เขาเสียเวลาลำบากตรากตรำกลั่นยี่สิบปีเต็มๆ

“หึๆ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของพี่อิ่นหานจะต้องบรรลุเงื่อนไขของข้าได้แน่ ส่วนเรื่องหอบของหนี…” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ มือเปล่งแสงสีแดง ผลึกสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด

ผลึกแก้วใสแวววาวทอแสงสีแดงประหลาดอยู่เรืองๆ ด้านในมีเส้นโลหิตหน้าตาเหมือนหนอนนับไม่ถ้วนคืบคลานอยู่อย่างเชื่องช้า แลดูลึกลับ

“นี่คือผลึกยมโลกคำสาปโลหิต พี่ปี้เหยียนหมายความว่า…” หลิ่วหมิงเหลือบมองผลึกหินแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอันใดออกมา

ระหว่างทางมาเมืองปี้โยวแห่งนี้ หลิ่วหมิงได้รู้เรื่องราวของเผ่ายมโลกมาไม่มากก็น้อย เขารู้ว่าผลึกยมโลกคำสาปโลหิตนี่คือสิ่งที่เหมือนสัญญาเวทหรือคำสาบานโลหิตที่เผ่ายมโลกใช้กันมานานแล้วชนิดหนึ่ง

“พี่อิ่นหานรู้จักสิ่งนี้นั่นยิ่งดี! คัมภีร์เล่มนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ไม่สู้ท่านกับข้าสาบานต่อคำสาปโลหิตเพื่อแสดงความจริงใจ” ปี้เหยียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขบคิดนานนักก็พยักหน้าแสดงออกว่าไม่เห็นแย้ง

ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงโยนผลึกสีเลือดมาตรงหน้าแล้วยกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาทันที

ผลึกสีเลือดลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนแล้วหมุนอยู่กลางอากาศในทันใด

ปี้เหยียนมองหลิ่วหมิงแล้วยกนิ้วขึ้นมาเค้นโลหิตหยดหนึ่งดีดลงบนผลึกสีเลือด

ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสผลึกหินสีเลือดก้อนนี้ มันก็กลายเป็นเส้นไหมโลหิตเรียวเล็กเท่าเส้นผมเส้นแล้วเส้นเล่าจมหายเข้าไปในผลึกหินทันที

ต่อจากนั้นเส้นโลหิตที่ราวกับหนอนยั้วเยี้ยในผลึกหินฉับพลันประหนึ่งมีชีวิต พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวในผลึกหินอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตาม เขายกมือขึ้นหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนผลึกหิน

เมื่อเลือดจมลงไป เส้นโลหิตด้านในผลึกหินก็ขยับเร็วขึ้นอีกหลายส่วนในทันใด ท่าทางเหมือนอึดใจต่อมาจะทลายก้อนหินออกมา

ทั้งสองคนสบตากันทันทีแล้วชูฝ่ามือขึ้นฟ้าพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำสาบานตามข้อตกลง ผลึกหินสีเลือดที่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนพลันเปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าแล้วส่งเสียงดัง “ปัง” จากนั้นแตกสลายไปทันที

เส้นไหมโลหิตรูปร่างเหมือนหนอนยั้วเยี้ยพุ่งออกมาจากรอยแตก ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดสองสาย สายหนึ่งแล่นเข้าไปในหน้าผากของปี้เหยียน ส่วนอีกสายหนึ่งบินเข้ามาในหน้าผากของหลิ่วหมิง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเย็นที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งไหลจากหว่างคิ้วทะลวงเข้าสู่ร่างแล้วพุ่งสะเปะสะปะจนไปทั่วร่างของเขา จากนั้นพุ่งหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นผลึกหน้าตาคล้ายหนอนสีเลือดตัวหนึ่งขดอยู่บนแก่นแท้สีดำขาว

เขาลองกระตุ้นพลังจิตเล็กน้อยจากทะเลจิตสัมผัสไปแตะหนอนตัวน้อยสีเลือด

ผลปรากฏว่าลวดลายหนอนน้อยสีเลือดไม่ขยับราวกับเป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่หลิ่วหมิงสัมผัสลมปราณดุร้ายที่แฝงอยู่ในหนอนน้อยสีเลือดได้อย่างชัดเจน

“ในเมื่อสาบานเรียบร้อย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน สองเดือนหลังจากนี้ค่อยพบกัน” หลิ่วหมิงประสานมือแล้วเก็บคัมภีร์สีฟ้าในมือไป เขาเหลือบมองกำแพงด้านหนึ่งของห้องลับเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วหมุนตัวออกจากห้องลับ

หลังจากปี้เหยียนมองส่งหลิ่วหมิงออกจากห้องก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ศิลาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่งแล้วจิบคำเล็กๆ

ในตอนนี้เองด้านในห้องลับก็มีเสียงดังกึก บนกำแพงด้านหนึ่งมีช่องปรากฏขึ้นมา ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในอย่างเชื่องช้า

ใบหน้าของปี้เหยีนไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงสนใจแต่ลิ้มรสชา เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่

“เจ้ามอบบันทึกหมิงอวี้ให้แก่เผ่ายมโลกที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?” ผู้เฒ่าผมขาวมองปี้เหยียน คิ้วขาวขมวดพลางเอ่ยขึ้น

“หึๆ คัมภีร์ ของเช่นนี้เหมาะนำมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่สุดแล้ว เพราะมันทำซ้ำได้เป็นพันหมื่น ขอเพียงลั่นวาจาสาบาน เจ้าก็มีแต่ได้กำไรไม่มีวันขาดทุน บันทึกหมิงอวี้นั่นสำหรับข้าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ หากแลกผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมาได้คนหนึ่ง สำหรับพวกเราไยไม่ใช่ได้กำไรครั้งใหญ่” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ อิ่นหานผู้นี้ก็แค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นตนหนึ่งเท่านั้น จากที่เจ้าเล่าสามสิบสี่สิบปีก่อนหน้านี้พลังก็เพิ่งระดับแก่นเสมือนเท่านั้น ไม่แน่อาจเพิ่งผนึกแก่นแท้ได้ไม่กี่ปีนี้ ระดับพลังยังไม่ทันมั่งคงเลยนะ! แลกเปลี่ยนเช่นนี้ เจ้าน่าจะขาดทุนไม่น้อย” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้ากระตุกไปวูบหนึ่งแล้วแค่นเสียงหยันเอ่ยออกมา

“อิ่นหานผู้นี้ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ธรรมดาเช่นนั้นแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำเสมอ อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นเขาลงมือ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาใช้พลังไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งยังใช้พลัง ‘คุกมืด’ ได้แล้วด้วย นี่ย่อมเพียงพอแล้ว” ปี้เหยียนดวงตาทอประกายเอ่ยขึ้นมา

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง

“ทั้งที่ไม่มีวิชาเสริมแต่กลับฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขั้นปลายได้ เกรงว่าทั่วทั้งยมโลกคงมีผู้ทำได้ไม่กี่คน ทั้งพลังจิตสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อครู่แม้ไม่เปิดโปง แต่ก็คงรู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่ด้านในตั้งนานแล้ว” ปี้เหยียนยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ

“ไม่มีทาง! วิชาซ่อนเร้นกายของข้าต่อให้เป็นเจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์พวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมองออก เจ้าหนูผู้นี้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นไม่นาน ไม่มีทางมีพลังจิตแข็งแกร่งปานนี้แน่…” ผู้เฒ่าผมขาวฟังแล้วก็ตกใจระคนคลางแคลง

“หึๆ เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง แต่พลังของอิ่นหานผู้นี้ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี ดูท่าครั้งนี้เจ้ากับข้าจะมีหวังจับเจ้าซวีหลิงนั่น…” ปี้เหยียนพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ ออกแรงกำถ้วยชาจิตวิญญาณในมือ

“เพล้ง” ถ้วยชาในมือถูกเขาบีบจนกลายเป็นผุยผงร่วงโปรยปรายลงไปเบื้องล่าง

ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังใคร่ครวญความหมายในถ้อยคำที่ปี้เหยียนเอ่ยออกมาเมื่อครู่

……

เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจากหอแขกพิเศษก็ไม่มีกะจิตกะใจเข้าร่วมงานประมูลใหญ่อีกต่อไป เขาออกจากหอรุ่ยโยวทันที ตรงดิ่งกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก

เขาเดินเข้าห้องลับของโรงเตี๊ยม จากนั้นสองมือสะบัดต่อเนื่อง แสงสายแล้วสายเล่าหอบธงค่ายกลในมือเขาพุ่งพรวดออกไปปักอยู่รอบห้อง เมื่อวางชั้นจำกัดหลายชั้นติดต่อกันเสร็จ เขาจึงวางใจเดินมานั่งขัดสมาธิตรงกลาง

ต่อจากนั้นเขาจึงพลิกมือข้างหนึ่งเรียกคัมภีร์สีฟ้าเล่มนั้นที่ปี้เหยียนมอบให้ออกมา บนปกเขียนตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่ไว้สี่ตัวว่า “บันทึกหมิงอวี้”

เขาพรูลมหายใจแผ่วเบาแล้วพลิกเปิดคัมภีร์ ตัวอักษรขนาดเล็กกับภาพวาดอันชัดเจนที่เรียงรายเป็นแถวอยู่บนหน้ากระดาษดึงความสนใจทั้งหมดของเขาไปทันที

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามหลิ่วหมิงก็ปิดคัมภีร์แล้วแหงนหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิด

เนื้อหาในคัมภีร์มีไม่มาก อีกทั้งเขาฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงขั้นหกแล้วก็ดูเหมือนไม่พบอุปสรรคแต่ประการใด จึงอ่านเนื้อหาด้านในรวดเดียวจบได้อย่างรวดเร็ว

เขาตัดสินได้ว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้เป็นข้อคิดในการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจริง ในนั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิชานี้บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกพบทางบรรลุ หลายจุดที่ก่อนหน้านี้ไร้รายละเอียดก็ถูกยกขึ้นมากล่าวทีละเรื่อง ทำให้เขาคิดต่อได้มากมายหลายสิ่ง

นอกเหนือจากนี้ในนั้นยังมีเคล็ดลับการใช้วิชานี้อีกจำนวนหนึ่งกับข้อคิดเห็นมากมาย ล้วนทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา

แต่วิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่บันทึกอยู่ในนั้นกลับทำให้เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง

คัมภีร์กล่าวไว้ว่าเมื่อฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงระดับสูง แต่ละช่วงจะต้องผสานของภายนอกจำนวนหนึ่งเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงจะทะลวงอุปสรรคทำให้พลังเพิ่มขึ้นมากได้

“ผสานของภายนอกเข้าไป ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว” เนื่องจากคัมภีร์วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้นที่เขาได้มาเมื่อครั้งโน้นเคยเอ่ยถึงการอาศัยสิ่งภายนอกช่วยมาก่อนแล้วแล้ว ดังนั้นเมื่อคัมภีร์กล่าวเช่นนี้หลิ่วหมิงจึงไม่แปลกใจนัก

มีบันทึกไว้ในส่วนของวิชาเสริมว่าเมื่อครั้งราชายมโลกหมิงอวี้ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เขาผสานสมบัติแห่งฟ้าดินอันล้ำค่าจำนวนมากเข้าไปในวิชาจึงทำให้พลังของวิชานี้เพิ่มขึ้นมาก

สมบัติของยมโลกหลายชนิดนี้ หลิ่วหมิงรู้จักอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือสมบัติที่ชื่อว่า “หยกกระดูกเพลิงเหมันต์” ของสิ่งนี้ล้ำค่าอย่างที่สุด ได้ยินมาว่าเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณธาตุหยินที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่งได้ชนิดหนึ่ง ไม่ปรากฏในยมโลกมาหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสมบัติแห่งฟ้าดินชนิดอื่นแม้แต่ได้ยินยังไม่เคยได้ยิน แต่ดูจากชื่อของพวกมันก็มองออกว่าน่าจะเป็นธาตุหยินทั้งสิ้น

“ในเมื่อวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬผสานสมบัติธาตุหยินเหล่านี้เข้าไปได้ ก็น่าจะผสานของภายนอกอย่างอื่นได้เช่นกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก็เอ่ยพึมพำออกมา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดจริงทำจริง หยิบสมบัติแห่งฟ้าดินธาตุหยินอันล้ำค่าหลายชนิดท่ามกลางของบรรณาการของเมืองหานสุ่ยออกมาทันที ในเมื่อขายยากนักก็เอามาทดลองเองเสียเลย

หลิ่วหมิงหยิบหญ้าจิตวิญญาณสีดำสนิทดั่งหมึกต้นหนึ่งขึ้นมาเป็นอย่างแรก มันก็คือหญ้าภูตยมโลกต้นหนึ่งในของบรรณการเมืองหานสุ่ยนั่นเอง

สิ่งนี้มีปราณหยินแฝงอยู่เข้มข้นอย่างที่สุด บางทีอาจใช้ได้

เขายกมันขึ้นมาสำรวจตรงระดับสายตาครู่หนึ่งแล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้าง ปราณสีดำทะลักออกจากร่างโอบหญ้าภูตยมโลกต้นนี้ไว้ด้านใน

“ฉึบ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง หญ้าภูตยมโลกถูกขยี้แหลกในพริบตา

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม รีบทำตามวิธีการที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทดลองผสานพลังจิตวิญญาณอันเย็นยะเยือกในหญ้าภูตยมโลกเข้าไปในลมปราณสีดำพลุ่งพล่านของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ

สองชั่วยามหลังจากนั้น ปราณสีดำบนร่างเขาก็สลายไปช้าๆ ลมปราณหนาวเย็นส่วนหนึ่งของหญ้าภูตยมโลกผสานเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แต่แทบไม่มีผลทำให้พลังของวิชาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

“ดูท่าหญ้าภูตยมโลกนี่จะไม่เข้ากับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนัก…” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง จากนั้นหยิบกล่องหยกสีดำใบหนึ่งบนพื้นขึ้นมา ด้านในกล่องมีผลึกคล้ายหยกสีดำก้อนหนึ่งวางอยู่

ปราณดำสายหนึ่งผุดจากมือโอบผลึกหยกดำก้อนนี้ไว้ด้านใน

สามวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงไล่ทดลองวัตถุดิบล้ำค่าในของบรรณาการไปได้เจ็ดถึงแปดชนิด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าพอใจนัก มีเพียงผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลชนิดเดียวที่ผลลัพธ์นับว่าไม่เลว

แต่หากต้องการเพิ่มพลังวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้ได้มากย่อมต้องการผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลจำนวนมาก ในมือหลิ่วหมิงมีเพียงก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวเท่านี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในของบรรณการที่เมืองหานสุ่ยมอบให้ราชายมโลกอีก เห็นชัดว่าราคาคงไม่ธรรมดา

หากคิดจะอาศัยผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลนี้ยกระดับพลังของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

“หรืออุตส่าห์เสียสิ่งแลกเปลี่ยนไปมากมายเช่นนั้นกว่าจะได้บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มา แต่ดันใช้ประโยชน์ได้แค่ไม่เท่าไร…” หลิ่วหมิงได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น

บางทีวันหน้าอาจค่อยๆ หาสมบัติอย่างอื่นมาลองอีกได้ แต่ปี้เหยียนจำกัดเวลาให้เขาเพียงสองเดือนเท่านั้น

“ใช่แล้ว!”

หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ฉับพลันคิดบางสิ่งออก

เขาโบกมือครั้งหนึ่ง น้ำเต้าสีดำขนาดหนึ่งฉื่อกว่าใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ด้านในอัดแน่นไปด้วยหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเกือบพันหยดที่เขาเสียเวลาลำบากตรากตรำกลั่นยี่สิบปีเต็มๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1086 บันทึกหมิงอวี้

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1086 บันทึกหมิงอวี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หึๆ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของพี่อิ่นหานจะต้องบรรลุเงื่อนไขของข้าได้แน่ ส่วนเรื่องหอบของหนี…” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ มือเปล่งแสงสีแดง ผลึกสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ผลึกแก้วใสแวววาวทอแสงสีแดงประหลาดอยู่เรืองๆ ด้านในมีเส้นโลหิตหน้าตาเหมือนหนอนนับไม่ถ้วนคืบคลานอยู่อย่างเชื่องช้า แลดูลึกลับ “นี่คือผลึกยมโลกคำสาปโลหิต พี่ปี้เหยียนหมายความว่า…” หลิ่วหมิงเหลือบมองผลึกหินแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอันใดออกมา ระหว่างทางมาเมืองปี้โยวแห่งนี้ หลิ่วหมิงได้รู้เรื่องราวของเผ่ายมโลกมาไม่มากก็น้อย เขารู้ว่าผลึกยมโลกคำสาปโลหิตนี่คือสิ่งที่เหมือนสัญญาเวทหรือคำสาบานโลหิตที่เผ่ายมโลกใช้กันมานานแล้วชนิดหนึ่ง “พี่อิ่นหานรู้จักสิ่งนี้นั่นยิ่งดี! คัมภีร์เล่มนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ไม่สู้ท่านกับข้าสาบานต่อคำสาปโลหิตเพื่อแสดงความจริงใจ” ปี้เหยียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขบคิดนานนักก็พยักหน้าแสดงออกว่าไม่เห็นแย้ง ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงโยนผลึกสีเลือดมาตรงหน้าแล้วยกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาทันที ผลึกสีเลือดลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนแล้วหมุนอยู่กลางอากาศในทันใด ปี้เหยียนมองหลิ่วหมิงแล้วยกนิ้วขึ้นมาเค้นโลหิตหยดหนึ่งดีดลงบนผลึกสีเลือด ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสผลึกหินสีเลือดก้อนนี้ มันก็กลายเป็นเส้นไหมโลหิตเรียวเล็กเท่าเส้นผมเส้นแล้วเส้นเล่าจมหายเข้าไปในผลึกหินทันที ต่อจากนั้นเส้นโลหิตที่ราวกับหนอนยั้วเยี้ยในผลึกหินฉับพลันประหนึ่งมีชีวิต พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวในผลึกหินอย่างรวดเร็ว หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตาม เขายกมือขึ้นหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนผลึกหิน เมื่อเลือดจมลงไป เส้นโลหิตด้านในผลึกหินก็ขยับเร็วขึ้นอีกหลายส่วนในทันใด ท่าทางเหมือนอึดใจต่อมาจะทลายก้อนหินออกมา ทั้งสองคนสบตากันทันทีแล้วชูฝ่ามือขึ้นฟ้าพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำสาบานตามข้อตกลง ผลึกหินสีเลือดที่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนพลันเปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าแล้วส่งเสียงดัง “ปัง” จากนั้นแตกสลายไปทันที เส้นไหมโลหิตรูปร่างเหมือนหนอนยั้วเยี้ยพุ่งออกมาจากรอยแตก ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดสองสาย สายหนึ่งแล่นเข้าไปในหน้าผากของปี้เหยียน ส่วนอีกสายหนึ่งบินเข้ามาในหน้าผากของหลิ่วหมิง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเย็นที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งไหลจากหว่างคิ้วทะลวงเข้าสู่ร่างแล้วพุ่งสะเปะสะปะจนไปทั่วร่างของเขา จากนั้นพุ่งหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นผลึกหน้าตาคล้ายหนอนสีเลือดตัวหนึ่งขดอยู่บนแก่นแท้สีดำขาว เขาลองกระตุ้นพลังจิตเล็กน้อยจากทะเลจิตสัมผัสไปแตะหนอนตัวน้อยสีเลือด ผลปรากฏว่าลวดลายหนอนน้อยสีเลือดไม่ขยับราวกับเป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่หลิ่วหมิงสัมผัสลมปราณดุร้ายที่แฝงอยู่ในหนอนน้อยสีเลือดได้อย่างชัดเจน “ในเมื่อสาบานเรียบร้อย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน สองเดือนหลังจากนี้ค่อยพบกัน” หลิ่วหมิงประสานมือแล้วเก็บคัมภีร์สีฟ้าในมือไป เขาเหลือบมองกำแพงด้านหนึ่งของห้องลับเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วหมุนตัวออกจากห้องลับ หลังจากปี้เหยียนมองส่งหลิ่วหมิงออกจากห้องก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ศิลาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่งแล้วจิบคำเล็กๆ ในตอนนี้เองด้านในห้องลับก็มีเสียงดังกึก บนกำแพงด้านหนึ่งมีช่องปรากฏขึ้นมา ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของปี้เหยีนไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงสนใจแต่ลิ้มรสชา เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่ “เจ้ามอบบันทึกหมิงอวี้ให้แก่เผ่ายมโลกที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?” ผู้เฒ่าผมขาวมองปี้เหยียน คิ้วขาวขมวดพลางเอ่ยขึ้น “หึๆ คัมภีร์ ของเช่นนี้เหมาะนำมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่สุดแล้ว เพราะมันทำซ้ำได้เป็นพันหมื่น ขอเพียงลั่นวาจาสาบาน เจ้าก็มีแต่ได้กำไรไม่มีวันขาดทุน บันทึกหมิงอวี้นั่นสำหรับข้าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ หากแลกผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมาได้คนหนึ่ง สำหรับพวกเราไยไม่ใช่ได้กำไรครั้งใหญ่” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด “ต่อให้เป็นเช่นนี้ อิ่นหานผู้นี้ก็แค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นตนหนึ่งเท่านั้น จากที่เจ้าเล่าสามสิบสี่สิบปีก่อนหน้านี้พลังก็เพิ่งระดับแก่นเสมือนเท่านั้น ไม่แน่อาจเพิ่งผนึกแก่นแท้ได้ไม่กี่ปีนี้ ระดับพลังยังไม่ทันมั่งคงเลยนะ! แลกเปลี่ยนเช่นนี้ เจ้าน่าจะขาดทุนไม่น้อย” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้ากระตุกไปวูบหนึ่งแล้วแค่นเสียงหยันเอ่ยออกมา “อิ่นหานผู้นี้ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ธรรมดาเช่นนั้นแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำเสมอ อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นเขาลงมือ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาใช้พลังไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งยังใช้พลัง ‘คุกมืด’ ได้แล้วด้วย นี่ย่อมเพียงพอแล้ว” ปี้เหยียนดวงตาทอประกายเอ่ยขึ้นมา “มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง “ทั้งที่ไม่มีวิชาเสริมแต่กลับฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขั้นปลายได้ เกรงว่าทั่วทั้งยมโลกคงมีผู้ทำได้ไม่กี่คน ทั้งพลังจิตสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อครู่แม้ไม่เปิดโปง แต่ก็คงรู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่ด้านในตั้งนานแล้ว” ปี้เหยียนยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ “ไม่มีทาง! วิชาซ่อนเร้นกายของข้าต่อให้เป็นเจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์พวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมองออก เจ้าหนูผู้นี้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นไม่นาน ไม่มีทางมีพลังจิตแข็งแกร่งปานนี้แน่…” ผู้เฒ่าผมขาวฟังแล้วก็ตกใจระคนคลางแคลง “หึๆ เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง แต่พลังของอิ่นหานผู้นี้ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี ดูท่าครั้งนี้เจ้ากับข้าจะมีหวังจับเจ้าซวีหลิงนั่น…” ปี้เหยียนพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ ออกแรงกำถ้วยชาจิตวิญญาณในมือ “เพล้ง” ถ้วยชาในมือถูกเขาบีบจนกลายเป็นผุยผงร่วงโปรยปรายลงไปเบื้องล่าง ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังใคร่ครวญความหมายในถ้อยคำที่ปี้เหยียนเอ่ยออกมาเมื่อครู่ …… เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจากหอแขกพิเศษก็ไม่มีกะจิตกะใจเข้าร่วมงานประมูลใหญ่อีกต่อไป เขาออกจากหอรุ่ยโยวทันที ตรงดิ่งกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก เขาเดินเข้าห้องลับของโรงเตี๊ยม จากนั้นสองมือสะบัดต่อเนื่อง แสงสายแล้วสายเล่าหอบธงค่ายกลในมือเขาพุ่งพรวดออกไปปักอยู่รอบห้อง เมื่อวางชั้นจำกัดหลายชั้นติดต่อกันเสร็จ เขาจึงวางใจเดินมานั่งขัดสมาธิตรงกลาง ต่อจากนั้นเขาจึงพลิกมือข้างหนึ่งเรียกคัมภีร์สีฟ้าเล่มนั้นที่ปี้เหยียนมอบให้ออกมา บนปกเขียนตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่ไว้สี่ตัวว่า “บันทึกหมิงอวี้” เขาพรูลมหายใจแผ่วเบาแล้วพลิกเปิดคัมภีร์ ตัวอักษรขนาดเล็กกับภาพวาดอันชัดเจนที่เรียงรายเป็นแถวอยู่บนหน้ากระดาษดึงความสนใจทั้งหมดของเขาไปทันที เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามหลิ่วหมิงก็ปิดคัมภีร์แล้วแหงนหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิด เนื้อหาในคัมภีร์มีไม่มาก อีกทั้งเขาฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงขั้นหกแล้วก็ดูเหมือนไม่พบอุปสรรคแต่ประการใด จึงอ่านเนื้อหาด้านในรวดเดียวจบได้อย่างรวดเร็ว เขาตัดสินได้ว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้เป็นข้อคิดในการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจริง ในนั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิชานี้บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกพบทางบรรลุ หลายจุดที่ก่อนหน้านี้ไร้รายละเอียดก็ถูกยกขึ้นมากล่าวทีละเรื่อง ทำให้เขาคิดต่อได้มากมายหลายสิ่ง นอกเหนือจากนี้ในนั้นยังมีเคล็ดลับการใช้วิชานี้อีกจำนวนหนึ่งกับข้อคิดเห็นมากมาย ล้วนทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา แต่วิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่บันทึกอยู่ในนั้นกลับทำให้เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง คัมภีร์กล่าวไว้ว่าเมื่อฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงระดับสูง แต่ละช่วงจะต้องผสานของภายนอกจำนวนหนึ่งเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงจะทะลวงอุปสรรคทำให้พลังเพิ่มขึ้นมากได้ “ผสานของภายนอกเข้าไป ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว” เนื่องจากคัมภีร์วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้นที่เขาได้มาเมื่อครั้งโน้นเคยเอ่ยถึงการอาศัยสิ่งภายนอกช่วยมาก่อนแล้วแล้ว ดังนั้นเมื่อคัมภีร์กล่าวเช่นนี้หลิ่วหมิงจึงไม่แปลกใจนัก มีบันทึกไว้ในส่วนของวิชาเสริมว่าเมื่อครั้งราชายมโลกหมิงอวี้ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เขาผสานสมบัติแห่งฟ้าดินอันล้ำค่าจำนวนมากเข้าไปในวิชาจึงทำให้พลังของวิชานี้เพิ่มขึ้นมาก สมบัติของยมโลกหลายชนิดนี้ หลิ่วหมิงรู้จักอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือสมบัติที่ชื่อว่า “หยกกระดูกเพลิงเหมันต์” ของสิ่งนี้ล้ำค่าอย่างที่สุด ได้ยินมาว่าเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณธาตุหยินที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่งได้ชนิดหนึ่ง ไม่ปรากฏในยมโลกมาหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสมบัติแห่งฟ้าดินชนิดอื่นแม้แต่ได้ยินยังไม่เคยได้ยิน แต่ดูจากชื่อของพวกมันก็มองออกว่าน่าจะเป็นธาตุหยินทั้งสิ้น “ในเมื่อวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬผสานสมบัติธาตุหยินเหล่านี้เข้าไปได้ ก็น่าจะผสานของภายนอกอย่างอื่นได้เช่นกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก็เอ่ยพึมพำออกมา เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดจริงทำจริง หยิบสมบัติแห่งฟ้าดินธาตุหยินอันล้ำค่าหลายชนิดท่ามกลางของบรรณาการของเมืองหานสุ่ยออกมาทันที ในเมื่อขายยากนักก็เอามาทดลองเองเสียเลย หลิ่วหมิงหยิบหญ้าจิตวิญญาณสีดำสนิทดั่งหมึกต้นหนึ่งขึ้นมาเป็นอย่างแรก มันก็คือหญ้าภูตยมโลกต้นหนึ่งในของบรรณการเมืองหานสุ่ยนั่นเอง สิ่งนี้มีปราณหยินแฝงอยู่เข้มข้นอย่างที่สุด บางทีอาจใช้ได้ เขายกมันขึ้นมาสำรวจตรงระดับสายตาครู่หนึ่งแล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้าง ปราณสีดำทะลักออกจากร่างโอบหญ้าภูตยมโลกต้นนี้ไว้ด้านใน “ฉึบ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง หญ้าภูตยมโลกถูกขยี้แหลกในพริบตา หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม รีบทำตามวิธีการที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทดลองผสานพลังจิตวิญญาณอันเย็นยะเยือกในหญ้าภูตยมโลกเข้าไปในลมปราณสีดำพลุ่งพล่านของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ สองชั่วยามหลังจากนั้น ปราณสีดำบนร่างเขาก็สลายไปช้าๆ ลมปราณหนาวเย็นส่วนหนึ่งของหญ้าภูตยมโลกผสานเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แต่แทบไม่มีผลทำให้พลังของวิชาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด “ดูท่าหญ้าภูตยมโลกนี่จะไม่เข้ากับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนัก…” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง จากนั้นหยิบกล่องหยกสีดำใบหนึ่งบนพื้นขึ้นมา ด้านในกล่องมีผลึกคล้ายหยกสีดำก้อนหนึ่งวางอยู่ ปราณดำสายหนึ่งผุดจากมือโอบผลึกหยกดำก้อนนี้ไว้ด้านใน สามวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงไล่ทดลองวัตถุดิบล้ำค่าในของบรรณาการไปได้เจ็ดถึงแปดชนิด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าพอใจนัก มีเพียงผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลชนิดเดียวที่ผลลัพธ์นับว่าไม่เลว แต่หากต้องการเพิ่มพลังวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้ได้มากย่อมต้องการผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลจำนวนมาก ในมือหลิ่วหมิงมีเพียงก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวเท่านี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในของบรรณการที่เมืองหานสุ่ยมอบให้ราชายมโลกอีก เห็นชัดว่าราคาคงไม่ธรรมดา หากคิดจะอาศัยผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลนี้ยกระดับพลังของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง “หรืออุตส่าห์เสียสิ่งแลกเปลี่ยนไปมากมายเช่นนั้นกว่าจะได้บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มา แต่ดันใช้ประโยชน์ได้แค่ไม่เท่าไร…” หลิ่วหมิงได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น บางทีวันหน้าอาจค่อยๆ หาสมบัติอย่างอื่นมาลองอีกได้ แต่ปี้เหยียนจำกัดเวลาให้เขาเพียงสองเดือนเท่านั้น “ใช่แล้ว!” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ฉับพลันคิดบางสิ่งออก เขาโบกมือครั้งหนึ่ง น้ำเต้าสีดำขนาดหนึ่งฉื่อกว่าใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ด้านในอัดแน่นไปด้วยหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเกือบพันหยดที่เขาเสียเวลาลำบากตรากตรำกลั่นยี่สิบปีเต็มๆ

“หึๆ ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของพี่อิ่นหานจะต้องบรรลุเงื่อนไขของข้าได้แน่ ส่วนเรื่องหอบของหนี…” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ มือเปล่งแสงสีแดง ผลึกสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด

ผลึกแก้วใสแวววาวทอแสงสีแดงประหลาดอยู่เรืองๆ ด้านในมีเส้นโลหิตหน้าตาเหมือนหนอนนับไม่ถ้วนคืบคลานอยู่อย่างเชื่องช้า แลดูลึกลับ

“นี่คือผลึกยมโลกคำสาปโลหิต พี่ปี้เหยียนหมายความว่า…” หลิ่วหมิงเหลือบมองผลึกหินแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้เผยสีหน้าตกใจอันใดออกมา

ระหว่างทางมาเมืองปี้โยวแห่งนี้ หลิ่วหมิงได้รู้เรื่องราวของเผ่ายมโลกมาไม่มากก็น้อย เขารู้ว่าผลึกยมโลกคำสาปโลหิตนี่คือสิ่งที่เหมือนสัญญาเวทหรือคำสาบานโลหิตที่เผ่ายมโลกใช้กันมานานแล้วชนิดหนึ่ง

“พี่อิ่นหานรู้จักสิ่งนี้นั่นยิ่งดี! คัมภีร์เล่มนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ไม่สู้ท่านกับข้าสาบานต่อคำสาปโลหิตเพื่อแสดงความจริงใจ” ปี้เหยียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

ดวงตาของหลิ่วหมิงทอประกายวูบหนึ่ง แต่ไม่ได้ขบคิดนานนักก็พยักหน้าแสดงออกว่าไม่เห็นแย้ง

ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงโยนผลึกสีเลือดมาตรงหน้าแล้วยกมือขึ้นยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาทันที

ผลึกสีเลือดลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนแล้วหมุนอยู่กลางอากาศในทันใด

ปี้เหยียนมองหลิ่วหมิงแล้วยกนิ้วขึ้นมาเค้นโลหิตหยดหนึ่งดีดลงบนผลึกสีเลือด

ทันทีที่เลือดหยดนั้นสัมผัสผลึกหินสีเลือดก้อนนี้ มันก็กลายเป็นเส้นไหมโลหิตเรียวเล็กเท่าเส้นผมเส้นแล้วเส้นเล่าจมหายเข้าไปในผลึกหินทันที

ต่อจากนั้นเส้นโลหิตที่ราวกับหนอนยั้วเยี้ยในผลึกหินฉับพลันประหนึ่งมีชีวิต พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวในผลึกหินอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้จึงทำตาม เขายกมือขึ้นหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนผลึกหิน

เมื่อเลือดจมลงไป เส้นโลหิตด้านในผลึกหินก็ขยับเร็วขึ้นอีกหลายส่วนในทันใด ท่าทางเหมือนอึดใจต่อมาจะทลายก้อนหินออกมา

ทั้งสองคนสบตากันทันทีแล้วชูฝ่ามือขึ้นฟ้าพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำสาบานตามข้อตกลง ผลึกหินสีเลือดที่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคนพลันเปล่งแสงสีเลือดสว่างจ้าแล้วส่งเสียงดัง “ปัง” จากนั้นแตกสลายไปทันที

เส้นไหมโลหิตรูปร่างเหมือนหนอนยั้วเยี้ยพุ่งออกมาจากรอยแตก ม้วนตัวกลายเป็นแสงสีเลือดสองสาย สายหนึ่งแล่นเข้าไปในหน้าผากของปี้เหยียน ส่วนอีกสายหนึ่งบินเข้ามาในหน้าผากของหลิ่วหมิง แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเย็นที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งไหลจากหว่างคิ้วทะลวงเข้าสู่ร่างแล้วพุ่งสะเปะสะปะจนไปทั่วร่างของเขา จากนั้นพุ่งหายเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณกลายเป็นผลึกหน้าตาคล้ายหนอนสีเลือดตัวหนึ่งขดอยู่บนแก่นแท้สีดำขาว

เขาลองกระตุ้นพลังจิตเล็กน้อยจากทะเลจิตสัมผัสไปแตะหนอนตัวน้อยสีเลือด

ผลปรากฏว่าลวดลายหนอนน้อยสีเลือดไม่ขยับราวกับเป็นสิ่งที่ตายแล้ว แต่หลิ่วหมิงสัมผัสลมปราณดุร้ายที่แฝงอยู่ในหนอนน้อยสีเลือดได้อย่างชัดเจน

“ในเมื่อสาบานเรียบร้อย ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน สองเดือนหลังจากนี้ค่อยพบกัน” หลิ่วหมิงประสานมือแล้วเก็บคัมภีร์สีฟ้าในมือไป เขาเหลือบมองกำแพงด้านหนึ่งของห้องลับเหมือนเจตนาแต่ก็ไม่เจตนาแล้วหมุนตัวออกจากห้องลับ

หลังจากปี้เหยียนมองส่งหลิ่วหมิงออกจากห้องก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้ศิลาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขารินชาจิตวิญญาณถ้วยหนึ่งแล้วจิบคำเล็กๆ

ในตอนนี้เองด้านในห้องลับก็มีเสียงดังกึก บนกำแพงด้านหนึ่งมีช่องปรากฏขึ้นมา ผู้เฒ่าผมขาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านในอย่างเชื่องช้า

ใบหน้าของปี้เหยีนไม่เผยสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย เขายังคงสนใจแต่ลิ้มรสชา เห็นชัดว่ารู้อยู่ก่อนแล้วว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่

“เจ้ามอบบันทึกหมิงอวี้ให้แก่เผ่ายมโลกที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดผู้นี้ไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ?” ผู้เฒ่าผมขาวมองปี้เหยียน คิ้วขาวขมวดพลางเอ่ยขึ้น

“หึๆ คัมภีร์ ของเช่นนี้เหมาะนำมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นที่สุดแล้ว เพราะมันทำซ้ำได้เป็นพันหมื่น ขอเพียงลั่นวาจาสาบาน เจ้าก็มีแต่ได้กำไรไม่มีวันขาดทุน บันทึกหมิงอวี้นั่นสำหรับข้าจะมีก็ได้ไม่มีก็ได้ หากแลกผู้ช่วยที่แข็งแกร่งมาได้คนหนึ่ง สำหรับพวกเราไยไม่ใช่ได้กำไรครั้งใหญ่” ปี้เหยียนหัวเราะหึๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจสักนิด

“ต่อให้เป็นเช่นนี้ อิ่นหานผู้นี้ก็แค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นตนหนึ่งเท่านั้น จากที่เจ้าเล่าสามสิบสี่สิบปีก่อนหน้านี้พลังก็เพิ่งระดับแก่นเสมือนเท่านั้น ไม่แน่อาจเพิ่งผนึกแก่นแท้ได้ไม่กี่ปีนี้ ระดับพลังยังไม่ทันมั่งคงเลยนะ! แลกเปลี่ยนเช่นนี้ เจ้าน่าจะขาดทุนไม่น้อย” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้ากระตุกไปวูบหนึ่งแล้วแค่นเสียงหยันเอ่ยออกมา

“อิ่นหานผู้นี้ไม่ใช่ระดับแก่นแท้ธรรมดาเช่นนั้นแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าลางสังหรณ์ของข้าแม่นยำเสมอ อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นเขาลงมือ วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาใช้พลังไม่น้อยจริงๆ อีกทั้งยังใช้พลัง ‘คุกมืด’ ได้แล้วด้วย นี่ย่อมเพียงพอแล้ว” ปี้เหยียนดวงตาทอประกายเอ่ยขึ้นมา

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยออกมาอย่างตกตะลึง

“ทั้งที่ไม่มีวิชาเสริมแต่กลับฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขั้นปลายได้ เกรงว่าทั่วทั้งยมโลกคงมีผู้ทำได้ไม่กี่คน ทั้งพลังจิตสัมผัสของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งนัก เมื่อครู่แม้ไม่เปิดโปง แต่ก็คงรู้ว่าเจ้าซ่อนอยู่ด้านในตั้งนานแล้ว” ปี้เหยียนยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ

“ไม่มีทาง! วิชาซ่อนเร้นกายของข้าต่อให้เป็นเจ้าเมืองระดับดาราพยากรณ์พวกนั้นก็ไม่แน่ว่าจะมองออก เจ้าหนูผู้นี้เพิ่งเข้าสู่ระดับแก่นแท้ขั้นต้นไม่นาน ไม่มีทางมีพลังจิตแข็งแกร่งปานนี้แน่…” ผู้เฒ่าผมขาวฟังแล้วก็ตกใจระคนคลางแคลง

“หึๆ เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง แต่พลังของอิ่นหานผู้นี้ยิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดี ดูท่าครั้งนี้เจ้ากับข้าจะมีหวังจับเจ้าซวีหลิงนั่น…” ปี้เหยียนพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็ทอประกายเย็นเยียบ ออกแรงกำถ้วยชาจิตวิญญาณในมือ

“เพล้ง” ถ้วยชาในมือถูกเขาบีบจนกลายเป็นผุยผงร่วงโปรยปรายลงไปเบื้องล่าง

ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ราวกับกำลังใคร่ครวญความหมายในถ้อยคำที่ปี้เหยียนเอ่ยออกมาเมื่อครู่

……

เมื่อหลิ่วหมิงออกมาจากหอแขกพิเศษก็ไม่มีกะจิตกะใจเข้าร่วมงานประมูลใหญ่อีกต่อไป เขาออกจากหอรุ่ยโยวทันที ตรงดิ่งกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก

เขาเดินเข้าห้องลับของโรงเตี๊ยม จากนั้นสองมือสะบัดต่อเนื่อง แสงสายแล้วสายเล่าหอบธงค่ายกลในมือเขาพุ่งพรวดออกไปปักอยู่รอบห้อง เมื่อวางชั้นจำกัดหลายชั้นติดต่อกันเสร็จ เขาจึงวางใจเดินมานั่งขัดสมาธิตรงกลาง

ต่อจากนั้นเขาจึงพลิกมือข้างหนึ่งเรียกคัมภีร์สีฟ้าเล่มนั้นที่ปี้เหยียนมอบให้ออกมา บนปกเขียนตัวอักษรโบราณขนาดใหญ่ไว้สี่ตัวว่า “บันทึกหมิงอวี้”

เขาพรูลมหายใจแผ่วเบาแล้วพลิกเปิดคัมภีร์ ตัวอักษรขนาดเล็กกับภาพวาดอันชัดเจนที่เรียงรายเป็นแถวอยู่บนหน้ากระดาษดึงความสนใจทั้งหมดของเขาไปทันที

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามหลิ่วหมิงก็ปิดคัมภีร์แล้วแหงนหน้า ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิด

เนื้อหาในคัมภีร์มีไม่มาก อีกทั้งเขาฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาจนถึงขั้นหกแล้วก็ดูเหมือนไม่พบอุปสรรคแต่ประการใด จึงอ่านเนื้อหาด้านในรวดเดียวจบได้อย่างรวดเร็ว

เขาตัดสินได้ว่าสิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์เล่มนี้เป็นข้อคิดในการฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจริง ในนั้นมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิชานี้บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกพบทางบรรลุ หลายจุดที่ก่อนหน้านี้ไร้รายละเอียดก็ถูกยกขึ้นมากล่าวทีละเรื่อง ทำให้เขาคิดต่อได้มากมายหลายสิ่ง

นอกเหนือจากนี้ในนั้นยังมีเคล็ดลับการใช้วิชานี้อีกจำนวนหนึ่งกับข้อคิดเห็นมากมาย ล้วนทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตา

แต่วิชาเสริมของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่บันทึกอยู่ในนั้นกลับทำให้เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง

คัมภีร์กล่าวไว้ว่าเมื่อฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงระดับสูง แต่ละช่วงจะต้องผสานของภายนอกจำนวนหนึ่งเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจึงจะทะลวงอุปสรรคทำให้พลังเพิ่มขึ้นมากได้

“ผสานของภายนอกเข้าไป ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว” เนื่องจากคัมภีร์วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเล่มนั้นที่เขาได้มาเมื่อครั้งโน้นเคยเอ่ยถึงการอาศัยสิ่งภายนอกช่วยมาก่อนแล้วแล้ว ดังนั้นเมื่อคัมภีร์กล่าวเช่นนี้หลิ่วหมิงจึงไม่แปลกใจนัก

มีบันทึกไว้ในส่วนของวิชาเสริมว่าเมื่อครั้งราชายมโลกหมิงอวี้ฝึกฝนวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ เขาผสานสมบัติแห่งฟ้าดินอันล้ำค่าจำนวนมากเข้าไปในวิชาจึงทำให้พลังของวิชานี้เพิ่มขึ้นมาก

สมบัติของยมโลกหลายชนิดนี้ หลิ่วหมิงรู้จักอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือสมบัติที่ชื่อว่า “หยกกระดูกเพลิงเหมันต์” ของสิ่งนี้ล้ำค่าอย่างที่สุด ได้ยินมาว่าเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณธาตุหยินที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่งได้ชนิดหนึ่ง ไม่ปรากฏในยมโลกมาหลายร้อยปีแล้ว ส่วนสมบัติแห่งฟ้าดินชนิดอื่นแม้แต่ได้ยินยังไม่เคยได้ยิน แต่ดูจากชื่อของพวกมันก็มองออกว่าน่าจะเป็นธาตุหยินทั้งสิ้น

“ในเมื่อวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬผสานสมบัติธาตุหยินเหล่านี้เข้าไปได้ ก็น่าจะผสานของภายนอกอย่างอื่นได้เช่นกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานก็เอ่ยพึมพำออกมา

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็พูดจริงทำจริง หยิบสมบัติแห่งฟ้าดินธาตุหยินอันล้ำค่าหลายชนิดท่ามกลางของบรรณาการของเมืองหานสุ่ยออกมาทันที ในเมื่อขายยากนักก็เอามาทดลองเองเสียเลย

หลิ่วหมิงหยิบหญ้าจิตวิญญาณสีดำสนิทดั่งหมึกต้นหนึ่งขึ้นมาเป็นอย่างแรก มันก็คือหญ้าภูตยมโลกต้นหนึ่งในของบรรณการเมืองหานสุ่ยนั่นเอง

สิ่งนี้มีปราณหยินแฝงอยู่เข้มข้นอย่างที่สุด บางทีอาจใช้ได้

เขายกมันขึ้นมาสำรวจตรงระดับสายตาครู่หนึ่งแล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้าง ปราณสีดำทะลักออกจากร่างโอบหญ้าภูตยมโลกต้นนี้ไว้ด้านใน

“ฉึบ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นครั้งหนึ่ง หญ้าภูตยมโลกถูกขยี้แหลกในพริบตา

หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึม รีบทำตามวิธีการที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทดลองผสานพลังจิตวิญญาณอันเย็นยะเยือกในหญ้าภูตยมโลกเข้าไปในลมปราณสีดำพลุ่งพล่านของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ

สองชั่วยามหลังจากนั้น ปราณสีดำบนร่างเขาก็สลายไปช้าๆ ลมปราณหนาวเย็นส่วนหนึ่งของหญ้าภูตยมโลกผสานเข้าไปในวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ แต่แทบไม่มีผลทำให้พลังของวิชาเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

“ดูท่าหญ้าภูตยมโลกนี่จะไม่เข้ากับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนัก…” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเอง จากนั้นหยิบกล่องหยกสีดำใบหนึ่งบนพื้นขึ้นมา ด้านในกล่องมีผลึกคล้ายหยกสีดำก้อนหนึ่งวางอยู่

ปราณดำสายหนึ่งผุดจากมือโอบผลึกหยกดำก้อนนี้ไว้ด้านใน

สามวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงไล่ทดลองวัตถุดิบล้ำค่าในของบรรณาการไปได้เจ็ดถึงแปดชนิด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่น่าพอใจนัก มีเพียงผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลชนิดเดียวที่ผลลัพธ์นับว่าไม่เลว

แต่หากต้องการเพิ่มพลังวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬให้ได้มากย่อมต้องการผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลจำนวนมาก ในมือหลิ่วหมิงมีเพียงก้อนเล็กๆ ก้อนเดียวเท่านี้ แล้วยังเป็นหนึ่งในของบรรณการที่เมืองหานสุ่ยมอบให้ราชายมโลกอีก เห็นชัดว่าราคาคงไม่ธรรมดา

หากคิดจะอาศัยผลึกผนึกโลหิตรัตติกาลนี้ยกระดับพลังของวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคงเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

“หรืออุตส่าห์เสียสิ่งแลกเปลี่ยนไปมากมายเช่นนั้นกว่าจะได้บันทึกหมิงอวี้เล่มนี้มา แต่ดันใช้ประโยชน์ได้แค่ไม่เท่าไร…” หลิ่วหมิงได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น

บางทีวันหน้าอาจค่อยๆ หาสมบัติอย่างอื่นมาลองอีกได้ แต่ปี้เหยียนจำกัดเวลาให้เขาเพียงสองเดือนเท่านั้น

“ใช่แล้ว!”

หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ฉับพลันคิดบางสิ่งออก

เขาโบกมือครั้งหนึ่ง น้ำเต้าสีดำขนาดหนึ่งฉื่อกว่าใบหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ ด้านในอัดแน่นไปด้วยหยดพลังวารีแม่น้ำมืดเกือบพันหยดที่เขาเสียเวลาลำบากตรากตรำกลั่นยี่สิบปีเต็มๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+