ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1096 ถูกเล่นงานกลับ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1096 ถูกเล่นงานกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงกับปี้เหยียนสองคนเหาะอยู่กลางท้องฟ้า ไม่นานนักลำแสงสองสายก็เหาะเร็วรี่มาแต่ไกล พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วเผยเงาร่างสองร่างออกมา

พวกเขาก็คือเผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์

“สหายปี้เหยียน พวกเรามาแล้ว!” ทั้งสองคนทักทายปี้เหยียน ส่วนหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างกลับทำเหมือนมองไม่เห็น

หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจ สีหน้านิ่งสงบเช่นปกติ

ปี้เหยียนเหล่มองหลิ่วหมิง เมื่อเห็นเขาไม่มีสีหน้าผิดปกติก็นึกแปลกใจ แต่ปากกลับยิ้มถามขึ้นว่า

“สหายทั้งสองพบร่องรอยร่างต้นของซวีหลิงหรือไม่?”

“เฮ้อ อย่าพูดเลย! ร่างแยกนั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก โฉบไปโฉบมาไม่กี่ครั้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เมื่อพวกเราหันหลังกลับ มันก็ปรากฎตัวอยู่ไกลๆ…ไล่ๆ หยุดๆ เช่นนี้ก็เจอพี่ชื่อหูเข้าจึงเดินทางมาด้วยกัน ใช่แล้ว พี่ปี้เหยียนเรียกพวกเรามารวมตัวกัน น่าจะมีคำสั่งอื่นกระมัง” เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ถอนหายใจ

“ดูจากร่องรอยร่างแยกของเขาแล้ว ร่างต้นของซวีหลิงเหมือนจะไม่คิดหนีไปไกล ในเมื่อเป็นเช่นนี้การที่เขาล่อพวกเรามาที่นี่คงมีอุบายอันใดอยู่จริงๆ ข้ากับพี่อิ่นหานหารือกันแล้วจึงคิดว่าหลังจากนี้เคลื่อนไหวด้วยกันจะดีกว่า” ปี้เหยียนเอ่ยช้าๆ

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ฟังแล้วต่างมองหน้ากัน แต่ก็พยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน

ทั้งสี่ตนรออยู่พักหนึ่ง พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนก็มารวมตัวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

พวกเขาสามตนเห็นด้วยกับความคิดของปี้เหยียนอย่างยิ่ง

“พี่ปี้เหยียน ยามนี้ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ต่อจากนี้พวกเราควรเคลื่อนไหวอย่างไร?” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเอ่ยปากถาม

“ร่างจริงของซวีหลิงยามนี้จะต้องซ่อนอยู่ในป่าผลึกหมึกแห่งนี้แน่ ทุกท่านมีความเห็นเช่นไร?” ปี้เหยียนครุ่นคิดแล้วย้อนถามกลับ

คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน เงียบงันไปชั่วขณะ

“จากที่ข้าสังเกตมาตลอดทาง ป่าผลึกหมึกแห่งนี้ยิ่งเข้าไปลึกยิ่งถูกก่อกวนจิตสัมผัสและวิชายมโลกหนักหน่วง ไม่สู้พวกเรามุ่งตรงไปใจกลางของสถานที่แห่งนี้ดีหรือไม่?” หลิ่วหมิงกระแอมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“พี่อิ่นกล่าวมาก็ไม่ใช่จะไม่มีเหตุผล ลองดูสักหน่อยก็ได้” ปี้เหยียนฟังจบก็เหมือนคิดอะไรได้จึงเอ่ยปากเห็นด้วย

พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ฟังแล้วล้วนพยักหน้า

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเดิมคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นปี้เหยียนไม่คัดค้านจึงไม่พูดอันใดเพิ่มอีก

ในเมื่อทุกคนที่นั่นล้วนไม่เห็นแย้ง ปี้เหยียนจึงออกคำสั่ง คณะเดินทางเจ็ดตนกำหนดทิศทางแล้วเริ่มเหาะเร็วรี่ไปยังใจกลางป่าผลึกหมึก

เวลาเดียวกันนี้ใต้ดินใจกลางป่าผลึกหมึก ซวีหลิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ

หุ่นมนุษย์เบื้องหน้าเขาดูเหมือนจะตื่นเต็มตาแล้ว สองตาสาดแสงสีน้ำเงินไปรอบด้าน ร่างกายสีเทามีอักขระนับไม่ถ้วนลอยออกมาจนเหมือนบนร่างหุ่นสวมชุดเกราะสีน้ำเงินชุดหนึ่งอยู่

แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดร่างกายครึ่งซ้ายของหุ่นกลับมีส่วนที่แสงสีน้ำเงินหม่นหมองกว่าส่วนอื่นอยู่มากมายจนดูประหลาดอยู่บ้าง

สายตาของซวีหลิงจับอยู่บนตำแหน่งที่แสงสีน้ำเงินหม่นแสงบนตัวหุ่น ดวงตาฉายแววเสียดายเล็กน้อย แต่จากนั้นความยินดีเปี่ยมล้นก็กลบทับ

หุ่นที่ดูไม่ใหญ่โตนักตัวนี้แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งออกมาประหนึ่งมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง

“ดี ดียิ่ง! แม้ไม่อาจควบคุมหุ่นตัวนี้ได้สมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็สำแดงพลังได้เจ็ดแปดส่วน พอทัดเทียมผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลาย ไม่เสียทีที่ข้าอดทนอดกลั้นต่อปี้โยวมานานปีเช่นนี้ แล้วยังเสี่ยงอันตรายขโมยแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์มา” ซวีหลิงพึมพำกับตนเองอย่างยินดีถึงขีดสุด

เขาสูดหายใจลึกยาว สีหน้าค่อยๆ กลับมานิ่งสงบ ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยกับตนเองว่า

“ร่างแยกถูกกำจัดไปสี่ร่างแล้ว แต่ยังดีเจ้าพวกนั้นยังอยู่ในป่าผลึกหมึก เอ๋! แล้วยังมุ่งมาที่ใจกลางอีกด้วย ประหยัดเวลาข้าแล้ว!”

รอยยิ้มเหี้ยมผุดพรายบนใบหน้าของซวีหลิง จากนั้นร่างกายก็บิดเบี้ยวเลือนรางกลายเป็นไอหมอกสีเทาสายหนึ่งลอยเข้าไปกลางหน้าผากของหุ่น หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สองสามลมหายใจหลังจากนั้น หุ่นมนุษย์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกจากประตูหิน

แม้พื้นที่ของป่าผลึกหมึกแห่งนี้จะไม่เล็ก แต่ลำแสงของพวกปี้เหยียนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เหาะมาถึงแถบใจกลางป่าผลึกหมึกแล้ว

เวลานี้ทั้งเจ็ดตนต่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ปล่อยจิตสัมผัสออกมาสำรวจ

เสาหินผลึกหมึกที่นี่สูงใหญ่กว่ารอบนอกอยู่มาก พวกมันสูงถึงร้อยจั้ง เมื่อมาถึงที่แห่งนี้พวกเขาสัมผัสได้ว่าพลังที่ก่อกวนรุนแรงกว่าเดิม

“เอ๋!”

ทันใดนั้นเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ก็อุทานขึ้นเบาๆ ร่างกายขยับเหาะไปด้านหนึ่ง

พวกปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงรีบติดตามไป

เหาะไปได้หลายลี้ ที่ว่างขนาดหลายสิบจั้งผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน เมื่ออยู่ท่ามกลางเสาผลึกหมึกสูงใหญ่รอบด้านแลดูเด่นสะดุดตายิ่งนัก

นอกเหนือจากนี้ใจกลางที่ว่างยังมีแท่นราบเรียบมันวาวที่ทำจากศิลาผลึกหมึกสีเทาขนาดหนึ่งจั้งกว่าแท่นหนึ่งอยู่ด้วย

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของแต่ละตนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ที่นี่ไม่เหมือนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ…” เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“พี่หวั่งเหลียงเมื่อครู่พบอะไรเข้าหรือ?” ปี้เหยียนกวาดสายตาสำรวจป่าอย่างละเอียดแต่ไม่พบอันใดจึงหันไปมองเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์

เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์กำลังจะอ้าปาก ทันใดนั้นพื้นดินรอบด้านก็สั่นไหว เสาผลึกหมึกบนพื้นสั่นรุนแรงแล้วเกิดเสียงดังสนั่น

“เกิดอันใดขึ้น?” คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด

หลิ่วหมิงหรี่ตาเล็กน้อย จิตสัมผัสขยายลงไปใต้ดิน ทว่าเพิ่งแผ่ลึกลงไปได้สิบยี่สิบจั้งก็สัมผัสถูกชั้นจำกัดล่องหนชั้นหนึ่ง ไม่อาจคืบหน้าต่อได้

ในตอนนี้เองผืนดินก็สะเทือนอย่างรุนแรง ระดับความรุนแรงมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่านัก เสาผลึกหมึกบนพื้นดินไม่น้อยส่งเสียงปริแตกเบาๆ

“ระวัง ใต้ดินตรงนี้มีชั้นจำกัดปิดกั้นการสำรวจของจิตสัมผัสอยู่ เกรงว่าลึกลงไปคงกำลังเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดอะไรบางอย่าง!” ปี้เหยียนเอ่ยเสียงเข้ม

“ซวีหลิงผู้นี้หลังจากร่างแยกหลายร่างถูกทำลายก็เงียบมาตลอด เรื่องประหลาดเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ซวีหลิงผู้นั้นทำหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นมา

คนที่เหลือฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปถ้วนหน้า

ข้อสันนิษฐานนี้เป็นไปได้อย่างยิ่ง!

ชั่วขณะหนึ่งทุกคนที่นั่นต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนขบคิด เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์กวาดสายตามองรอบด้านไม่หยุด

ส่วนปี้เหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของคนที่เหลืออยู่ในสายตาทั้งสิ้น สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อลอบใช้เคล็ดวิชา

ในตอนนี้เอง เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น!

“บึ๊ม” เสียงดังสนั่นดังขึ้นมาจากใต้ดิน พลังมหาศาลอันแข็งแกรงไร้เทียมทานสายหนึ่งทะลักออกมาจากใต้ดิน พื้นดินเบื้องล่างถล่มเสียงดังกึกก้อง

ดินนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟแล้วพุ่งพรวดไปทั่วทุกสารทิศ เสาผลึกหมึกบริเวณหลายลี้รอบด้านถูกถอนออกมาทั้งต้นก่อนจะพังทลายลงทีละชุ่น

พวกหลิ่วหมิงหน้าถอดสีในพริบตา จุดที่แผ่นดินระเบิดอยู่ใต้เท้าพวกเขาพอดี

แต่ทุกคนที่นั่นล้วนมิใช่ผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกธรรมดา พริบตาที่เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ร่างกายพลันทอแสงหลากสีแยกย้ายกันไปสี่ทิศแปดทางในทันใด

ก้อนดินกับศิลาผลึกหมึกที่พุ่งกระจายไปทั่วทิศ แม้จะมีแรงพุ่งมหาศาล แต่ก็ยังถูกพวกหลิ่วหมิงที่ระวังอยู่ก่อนแล้วป้องกันเอาไว้ได้ ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังถูกพลังมหาศาลสายนี้ผลักออกไปหลายสิบจั้ง

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตั้งร่างมั่นคง เงาคนสีน้ำเงินขนาดมหึมาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากใต้ดิน

แรงกดดันจิตวิญญาณแผ่ออกมามืดฟ้ามัวดินล้อมพวกหลิ่วหมิงเอาไว้ในพริบตา

ทุกคนหน้าถอดสีในทันใด แรงกดดันจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี่ราวกับขุนเขายักษ์กดทับลงมาบนร่างของพวกเขา แม้แต่การโคจรพลังเวทก็เริ่มไม่ลื่นไหล พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่ระดับพลังค่อนข้างอ่อนแอหวิดจะร่วงตกจากท้องฟ้าในทันที

เสียงบึ๊มดังสนั่น หุ่นมนุษย์สูงหลายจั้งตัวหนึ่งร่อนลงพื้นอย่างแรงด้านหน้าพวกหลิ่วหมิง

“หุ่นระดับดาราพยากรณ์…”

ปราณดำทะลักออกมาหุ้มร่างกายของหลิ่วหมิงเอาไว้ด้านใน เขาเพ่งสายตามองหุ่นที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ขณะที่มือใช้เคล็ดวิชา แสงสีเหลืองเข้มสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางปราณสีดำ

ยามนี้พวกปี้เหยียนย่อมเห็นสิ่งที่แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลตรงหน้าชัดเจนแล้ว มันก็คือหุ่นรูปร่างเหมือนมนุษย์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง พวกเขาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“ฮี่ๆ ปี้เหยียนน้อย หลายสิบปีมานี้ เจ้าไล่ล่าจนข้าต้องหลบซ่อนหัวซุกหัวซุน วันนี้พวกเราลองแลกตำแหน่งกันดูหน่อยเป็นอย่างไร” เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของซวีหลิงดังออกมาจากในหุ่นมนุษย์

ปี้เหยียนได้ยินก็หน้าเขียวในพริบตา

ในตอนนี้เองลำแสงสามสายพลันพุ่งขึ้นฟ้าแล้วพุ่งเร็วรี่ไปคนละทิศ เป้าหมายก็คือพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตน

ทั้งสามตนเห็นท่าไม่ดีก็ไม่พูดพร่ำหนีอย่างฉุกละหุก พริบตาเดียวออกไปห่างร้อยจั้ง

“คิดหนี! เหอะ วันนี้คนที่อยู่ที่นี่ ใครก็อย่าคิดจะหนีรอด!” เสียงหัวเราะเยาะของซวีหลิงดังออกมาจากในหุ่นมนุษย์

ทันใดนั้นหุ่นมนุษย์ก็ยกแขนข้างหนึ่ง แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นบนนั้น

อากาศสั่นสะเทือน เงาดำเลือนรางสามสายพุ่งพรวดไล่ตามพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินไป

เงาดำเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็มาถึงหลังร่างของทั้งสามตน

อึดใจต่อมาเสียงกรีดร้องของทั้งสามตนก็ดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

ท้องน้อยของพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเกิดรูขนาดเท่าศีรษะรูหนึ่ง ร่างพวกเขาเกือบจะขาดเป็นสองท่อน

ตุ๊บ! ศพของทั้งสามตนร่วงลงในป่าผลึกหมึกไกลๆ เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ สิ้นใจไปเช่นนี้

เพียงแค่ยกมือก็สังหารเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นกลางสามตนได้ทันที!

รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็ก แม้แต่สายตาของเขาก็เห็นเพียงเลือนราง เงาดำสามสายนั้นเหมือนจะเป็นวัตถุทรงกระสวยบางอย่าง พลังโจมตีแข็งแกร่งจนพริบตาเดียวก็แทงทะลุการป้องกันของพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตน

ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ที่มีทะนงตนมาตลอดก็หน้าดำคล่ำเครียดเช่นกัน

“หุ่นระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายรึ? ยมโลกของเรามีน้อยคนนักที่ฝึกฝนวิชาหุ่นสำเร็จ หุ่นระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้าได้ของสิ่งนี้มาจากที่ใด?” ปี้เหยียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็เรียกความสุขุมกลับมาได้บ้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม

ในเวลาเดียวกันนี้เสียงกระแสจิตแผ่วเบาของปี้เหยียนก็ดังขึ้นในหูของหลิ่วหมิง

“แยกย้ายกันหนี พวกเราไม่มีโอกาสแต่อย่างใด ตอนนี้มีเพียงพวกเราสี่ตนร่วมแรงกันเท่านั้นถึงจะคว้าโอกาสรอดน้อยนิดเอาไว้ได้”

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ขยับร่างเล็กน้อยเห็นชัดว่าได้รับเสียงกระแสจิตของปี้เหยียนแล้วเช่นกัน

“หึๆ ไม่เสียทีเป็นลูกน้องที่ปี้โยวเชื่อใจยิ่งนัก ถึงตอนนี้ยังคิดจะหลอกให้ข้าพูดอีก แต่พวกเจ้าอย่าคิดถ่วงเวลาเลย คนที่อยู่ที่นี่วันนี้จะต้องตายทั้งหมด!” เสียงของซวีหลิงเย็นยะเยือก อักขระประหลาดบนผิวของหุ่นแปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า แขนสองข้างขยายใหญ่ เงาดำมากมายหลายสายพุ่งพรวดเข้าใส่พวกหลิ่วหมิงสี่คน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1096 ถูกเล่นงานกลับ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1096 ถูกเล่นงานกลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงกับปี้เหยียนสองคนเหาะอยู่กลางท้องฟ้า ไม่นานนักลำแสงสองสายก็เหาะเร็วรี่มาแต่ไกล พวกมันส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วเผยเงาร่างสองร่างออกมา

พวกเขาก็คือเผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์

“สหายปี้เหยียน พวกเรามาแล้ว!” ทั้งสองคนทักทายปี้เหยียน ส่วนหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างกลับทำเหมือนมองไม่เห็น

หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจ สีหน้านิ่งสงบเช่นปกติ

ปี้เหยียนเหล่มองหลิ่วหมิง เมื่อเห็นเขาไม่มีสีหน้าผิดปกติก็นึกแปลกใจ แต่ปากกลับยิ้มถามขึ้นว่า

“สหายทั้งสองพบร่องรอยร่างต้นของซวีหลิงหรือไม่?”

“เฮ้อ อย่าพูดเลย! ร่างแยกนั่นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก โฉบไปโฉบมาไม่กี่ครั้งก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เมื่อพวกเราหันหลังกลับ มันก็ปรากฎตัวอยู่ไกลๆ…ไล่ๆ หยุดๆ เช่นนี้ก็เจอพี่ชื่อหูเข้าจึงเดินทางมาด้วยกัน ใช่แล้ว พี่ปี้เหยียนเรียกพวกเรามารวมตัวกัน น่าจะมีคำสั่งอื่นกระมัง” เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ถอนหายใจ

“ดูจากร่องรอยร่างแยกของเขาแล้ว ร่างต้นของซวีหลิงเหมือนจะไม่คิดหนีไปไกล ในเมื่อเป็นเช่นนี้การที่เขาล่อพวกเรามาที่นี่คงมีอุบายอันใดอยู่จริงๆ ข้ากับพี่อิ่นหานหารือกันแล้วจึงคิดว่าหลังจากนี้เคลื่อนไหวด้วยกันจะดีกว่า” ปี้เหยียนเอ่ยช้าๆ

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ฟังแล้วต่างมองหน้ากัน แต่ก็พยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน

ทั้งสี่ตนรออยู่พักหนึ่ง พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนก็มารวมตัวอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

พวกเขาสามตนเห็นด้วยกับความคิดของปี้เหยียนอย่างยิ่ง

“พี่ปี้เหยียน ยามนี้ศัตรูอยู่ในที่ลับ พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ต่อจากนี้พวกเราควรเคลื่อนไหวอย่างไร?” ผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเอ่ยปากถาม

“ร่างจริงของซวีหลิงยามนี้จะต้องซ่อนอยู่ในป่าผลึกหมึกแห่งนี้แน่ ทุกท่านมีความเห็นเช่นไร?” ปี้เหยียนครุ่นคิดแล้วย้อนถามกลับ

คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน เงียบงันไปชั่วขณะ

“จากที่ข้าสังเกตมาตลอดทาง ป่าผลึกหมึกแห่งนี้ยิ่งเข้าไปลึกยิ่งถูกก่อกวนจิตสัมผัสและวิชายมโลกหนักหน่วง ไม่สู้พวกเรามุ่งตรงไปใจกลางของสถานที่แห่งนี้ดีหรือไม่?” หลิ่วหมิงกระแอมครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“พี่อิ่นกล่าวมาก็ไม่ใช่จะไม่มีเหตุผล ลองดูสักหน่อยก็ได้” ปี้เหยียนฟังจบก็เหมือนคิดอะไรได้จึงเอ่ยปากเห็นด้วย

พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ฟังแล้วล้วนพยักหน้า

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเดิมคิดจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่เห็นปี้เหยียนไม่คัดค้านจึงไม่พูดอันใดเพิ่มอีก

ในเมื่อทุกคนที่นั่นล้วนไม่เห็นแย้ง ปี้เหยียนจึงออกคำสั่ง คณะเดินทางเจ็ดตนกำหนดทิศทางแล้วเริ่มเหาะเร็วรี่ไปยังใจกลางป่าผลึกหมึก

เวลาเดียวกันนี้ใต้ดินใจกลางป่าผลึกหมึก ซวีหลิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ

หุ่นมนุษย์เบื้องหน้าเขาดูเหมือนจะตื่นเต็มตาแล้ว สองตาสาดแสงสีน้ำเงินไปรอบด้าน ร่างกายสีเทามีอักขระนับไม่ถ้วนลอยออกมาจนเหมือนบนร่างหุ่นสวมชุดเกราะสีน้ำเงินชุดหนึ่งอยู่

แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใดร่างกายครึ่งซ้ายของหุ่นกลับมีส่วนที่แสงสีน้ำเงินหม่นหมองกว่าส่วนอื่นอยู่มากมายจนดูประหลาดอยู่บ้าง

สายตาของซวีหลิงจับอยู่บนตำแหน่งที่แสงสีน้ำเงินหม่นแสงบนตัวหุ่น ดวงตาฉายแววเสียดายเล็กน้อย แต่จากนั้นความยินดีเปี่ยมล้นก็กลบทับ

หุ่นที่ดูไม่ใหญ่โตนักตัวนี้แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งออกมาประหนึ่งมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลที่ลึกล้ำไม่อาจหยั่ง

“ดี ดียิ่ง! แม้ไม่อาจควบคุมหุ่นตัวนี้ได้สมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็สำแดงพลังได้เจ็ดแปดส่วน พอทัดเทียมผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลาย ไม่เสียทีที่ข้าอดทนอดกลั้นต่อปี้โยวมานานปีเช่นนี้ แล้วยังเสี่ยงอันตรายขโมยแก่นหยกวิญญาณพิสุทธิ์มา” ซวีหลิงพึมพำกับตนเองอย่างยินดีถึงขีดสุด

เขาสูดหายใจลึกยาว สีหน้าค่อยๆ กลับมานิ่งสงบ ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเอ่ยกับตนเองว่า

“ร่างแยกถูกกำจัดไปสี่ร่างแล้ว แต่ยังดีเจ้าพวกนั้นยังอยู่ในป่าผลึกหมึก เอ๋! แล้วยังมุ่งมาที่ใจกลางอีกด้วย ประหยัดเวลาข้าแล้ว!”

รอยยิ้มเหี้ยมผุดพรายบนใบหน้าของซวีหลิง จากนั้นร่างกายก็บิดเบี้ยวเลือนรางกลายเป็นไอหมอกสีเทาสายหนึ่งลอยเข้าไปกลางหน้าผากของหุ่น หายไปอย่างไร้ร่องรอย

สองสามลมหายใจหลังจากนั้น หุ่นมนุษย์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าเดินออกจากประตูหิน

แม้พื้นที่ของป่าผลึกหมึกแห่งนี้จะไม่เล็ก แต่ลำแสงของพวกปี้เหยียนใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เหาะมาถึงแถบใจกลางป่าผลึกหมึกแล้ว

เวลานี้ทั้งเจ็ดตนต่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ปล่อยจิตสัมผัสออกมาสำรวจ

เสาหินผลึกหมึกที่นี่สูงใหญ่กว่ารอบนอกอยู่มาก พวกมันสูงถึงร้อยจั้ง เมื่อมาถึงที่แห่งนี้พวกเขาสัมผัสได้ว่าพลังที่ก่อกวนรุนแรงกว่าเดิม

“เอ๋!”

ทันใดนั้นเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ก็อุทานขึ้นเบาๆ ร่างกายขยับเหาะไปด้านหนึ่ง

พวกปี้เหยียนเห็นเช่นนี้จึงรีบติดตามไป

เหาะไปได้หลายลี้ ที่ว่างขนาดหลายสิบจั้งผืนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน เมื่ออยู่ท่ามกลางเสาผลึกหมึกสูงใหญ่รอบด้านแลดูเด่นสะดุดตายิ่งนัก

นอกเหนือจากนี้ใจกลางที่ว่างยังมีแท่นราบเรียบมันวาวที่ทำจากศิลาผลึกหมึกสีเทาขนาดหนึ่งจั้งกว่าแท่นหนึ่งอยู่ด้วย

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของแต่ละตนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ที่นี่ไม่เหมือนเกิดขึ้นตามธรรมชาติ…” เผ่ายมโลกครึ่งแมลงเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“พี่หวั่งเหลียงเมื่อครู่พบอะไรเข้าหรือ?” ปี้เหยียนกวาดสายตาสำรวจป่าอย่างละเอียดแต่ไม่พบอันใดจึงหันไปมองเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์

เผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์กำลังจะอ้าปาก ทันใดนั้นพื้นดินรอบด้านก็สั่นไหว เสาผลึกหมึกบนพื้นสั่นรุนแรงแล้วเกิดเสียงดังสนั่น

“เกิดอันใดขึ้น?” คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด

หลิ่วหมิงหรี่ตาเล็กน้อย จิตสัมผัสขยายลงไปใต้ดิน ทว่าเพิ่งแผ่ลึกลงไปได้สิบยี่สิบจั้งก็สัมผัสถูกชั้นจำกัดล่องหนชั้นหนึ่ง ไม่อาจคืบหน้าต่อได้

ในตอนนี้เองผืนดินก็สะเทือนอย่างรุนแรง ระดับความรุนแรงมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่านัก เสาผลึกหมึกบนพื้นดินไม่น้อยส่งเสียงปริแตกเบาๆ

“ระวัง ใต้ดินตรงนี้มีชั้นจำกัดปิดกั้นการสำรวจของจิตสัมผัสอยู่ เกรงว่าลึกลงไปคงกำลังเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดอะไรบางอย่าง!” ปี้เหยียนเอ่ยเสียงเข้ม

“ซวีหลิงผู้นี้หลังจากร่างแยกหลายร่างถูกทำลายก็เงียบมาตลอด เรื่องประหลาดเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ซวีหลิงผู้นั้นทำหรือไม่?” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นมา

คนที่เหลือฟังแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปถ้วนหน้า

ข้อสันนิษฐานนี้เป็นไปได้อย่างยิ่ง!

ชั่วขณะหนึ่งทุกคนที่นั่นต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตนขบคิด เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์กวาดสายตามองรอบด้านไม่หยุด

ส่วนปี้เหยียนสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

หลิ่วหมิงเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของคนที่เหลืออยู่ในสายตาทั้งสิ้น สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อลอบใช้เคล็ดวิชา

ในตอนนี้เอง เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น!

“บึ๊ม” เสียงดังสนั่นดังขึ้นมาจากใต้ดิน พลังมหาศาลอันแข็งแกรงไร้เทียมทานสายหนึ่งทะลักออกมาจากใต้ดิน พื้นดินเบื้องล่างถล่มเสียงดังกึกก้อง

ดินนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นมาราวกับภูเขาไฟแล้วพุ่งพรวดไปทั่วทุกสารทิศ เสาผลึกหมึกบริเวณหลายลี้รอบด้านถูกถอนออกมาทั้งต้นก่อนจะพังทลายลงทีละชุ่น

พวกหลิ่วหมิงหน้าถอดสีในพริบตา จุดที่แผ่นดินระเบิดอยู่ใต้เท้าพวกเขาพอดี

แต่ทุกคนที่นั่นล้วนมิใช่ผู้ฝึกฝนเผ่ายมโลกธรรมดา พริบตาที่เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ร่างกายพลันทอแสงหลากสีแยกย้ายกันไปสี่ทิศแปดทางในทันใด

ก้อนดินกับศิลาผลึกหมึกที่พุ่งกระจายไปทั่วทิศ แม้จะมีแรงพุ่งมหาศาล แต่ก็ยังถูกพวกหลิ่วหมิงที่ระวังอยู่ก่อนแล้วป้องกันเอาไว้ได้ ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังถูกพลังมหาศาลสายนี้ผลักออกไปหลายสิบจั้ง

ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตั้งร่างมั่นคง เงาคนสีน้ำเงินขนาดมหึมาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากใต้ดิน

แรงกดดันจิตวิญญาณแผ่ออกมามืดฟ้ามัวดินล้อมพวกหลิ่วหมิงเอาไว้ในพริบตา

ทุกคนหน้าถอดสีในทันใด แรงกดดันจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่นี่ราวกับขุนเขายักษ์กดทับลงมาบนร่างของพวกเขา แม้แต่การโคจรพลังเวทก็เริ่มไม่ลื่นไหล พวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินที่ระดับพลังค่อนข้างอ่อนแอหวิดจะร่วงตกจากท้องฟ้าในทันที

เสียงบึ๊มดังสนั่น หุ่นมนุษย์สูงหลายจั้งตัวหนึ่งร่อนลงพื้นอย่างแรงด้านหน้าพวกหลิ่วหมิง

“หุ่นระดับดาราพยากรณ์…”

ปราณดำทะลักออกมาหุ้มร่างกายของหลิ่วหมิงเอาไว้ด้านใน เขาเพ่งสายตามองหุ่นที่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ขณะที่มือใช้เคล็ดวิชา แสงสีเหลืองเข้มสายหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางปราณสีดำ

ยามนี้พวกปี้เหยียนย่อมเห็นสิ่งที่แผ่แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลตรงหน้าชัดเจนแล้ว มันก็คือหุ่นรูปร่างเหมือนมนุษย์ขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง พวกเขาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

“ฮี่ๆ ปี้เหยียนน้อย หลายสิบปีมานี้ เจ้าไล่ล่าจนข้าต้องหลบซ่อนหัวซุกหัวซุน วันนี้พวกเราลองแลกตำแหน่งกันดูหน่อยเป็นอย่างไร” เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของซวีหลิงดังออกมาจากในหุ่นมนุษย์

ปี้เหยียนได้ยินก็หน้าเขียวในพริบตา

ในตอนนี้เองลำแสงสามสายพลันพุ่งขึ้นฟ้าแล้วพุ่งเร็วรี่ไปคนละทิศ เป้าหมายก็คือพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตน

ทั้งสามตนเห็นท่าไม่ดีก็ไม่พูดพร่ำหนีอย่างฉุกละหุก พริบตาเดียวออกไปห่างร้อยจั้ง

“คิดหนี! เหอะ วันนี้คนที่อยู่ที่นี่ ใครก็อย่าคิดจะหนีรอด!” เสียงหัวเราะเยาะของซวีหลิงดังออกมาจากในหุ่นมนุษย์

ทันใดนั้นหุ่นมนุษย์ก็ยกแขนข้างหนึ่ง แสงสีน้ำเงินสว่างขึ้นบนนั้น

อากาศสั่นสะเทือน เงาดำเลือนรางสามสายพุ่งพรวดไล่ตามพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินไป

เงาดำเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็มาถึงหลังร่างของทั้งสามตน

อึดใจต่อมาเสียงกรีดร้องของทั้งสามตนก็ดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน

ท้องน้อยของพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินเกิดรูขนาดเท่าศีรษะรูหนึ่ง ร่างพวกเขาเกือบจะขาดเป็นสองท่อน

ตุ๊บ! ศพของทั้งสามตนร่วงลงในป่าผลึกหมึกไกลๆ เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ สิ้นใจไปเช่นนี้

เพียงแค่ยกมือก็สังหารเผ่ายมโลกระดับแก่นแท้ขั้นกลางสามตนได้ทันที!

รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็ก แม้แต่สายตาของเขาก็เห็นเพียงเลือนราง เงาดำสามสายนั้นเหมือนจะเป็นวัตถุทรงกระสวยบางอย่าง พลังโจมตีแข็งแกร่งจนพริบตาเดียวก็แทงทะลุการป้องกันของพวกผู้เฒ่าชุดน้ำเงินสามตน

ปี้เหยียนเห็นเช่นนี้พลันหน้าถอดสี เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ที่มีทะนงตนมาตลอดก็หน้าดำคล่ำเครียดเช่นกัน

“หุ่นระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายรึ? ยมโลกของเรามีน้อยคนนักที่ฝึกฝนวิชาหุ่นสำเร็จ หุ่นระดับดาราพยากรณ์ขั้นปลายยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้าได้ของสิ่งนี้มาจากที่ใด?” ปี้เหยียนสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็เรียกความสุขุมกลับมาได้บ้าง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม

ในเวลาเดียวกันนี้เสียงกระแสจิตแผ่วเบาของปี้เหยียนก็ดังขึ้นในหูของหลิ่วหมิง

“แยกย้ายกันหนี พวกเราไม่มีโอกาสแต่อย่างใด ตอนนี้มีเพียงพวกเราสี่ตนร่วมแรงกันเท่านั้นถึงจะคว้าโอกาสรอดน้อยนิดเอาไว้ได้”

เผ่ายมโลกครึ่งแมลงกับเผ่ายมโลกหน้าพยัคฆ์ขยับร่างเล็กน้อยเห็นชัดว่าได้รับเสียงกระแสจิตของปี้เหยียนแล้วเช่นกัน

“หึๆ ไม่เสียทีเป็นลูกน้องที่ปี้โยวเชื่อใจยิ่งนัก ถึงตอนนี้ยังคิดจะหลอกให้ข้าพูดอีก แต่พวกเจ้าอย่าคิดถ่วงเวลาเลย คนที่อยู่ที่นี่วันนี้จะต้องตายทั้งหมด!” เสียงของซวีหลิงเย็นยะเยือก อักขระประหลาดบนผิวของหุ่นแปล่งแสงสีน้ำเงินเจิดจ้า แขนสองข้างขยายใหญ่ เงาดำมากมายหลายสายพุ่งพรวดเข้าใส่พวกหลิ่วหมิงสี่คน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+