ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1102 ป่าวงกตใบไม้เลือดกับค่ายกลตะวันระอุ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1102 ป่าวงกตใบไม้เลือดกับค่ายกลตะวันระอุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พื้นที่รอบนอกก่อนเข้าไปยังสุสานราชายมโลกมีหลายเขต เนินเศษศิลาแห่งนี้เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่าผ่านง่ายที่สุด ดังนั้นพวกหลิ่วหมิงสองคนจึงเลือกเข้าสุสานราชายมโลกจากที่นี่

แม้เป็นเช่นนั้นแต่ทันทีที่ทั้งสองคนเหยียบย่างเข้ามาในเนินเศษศิลา หลิ่วหมิงก็สัมผัสได้ว่าใต้ฝ่าเท้าหนักอึ้ง พลังเวทในร่างไหลรั่วราวกับถูกระบายออก สองตามืดดับ ทั้งร่างร่วงจากท้องฟ้าอย่างเร็วไว

ยังดีที่เขาตั้งสติเรียกพลังจิตจากหนอนพลังจิตออกมาใช้ในพริบตา ดวงตาทั้งสองจึงฟื้นกลับเป็นปกติ ก่อนจะร่อนลงบนเนินเศษศิลา

ยามนั้นสภาพของอินหลิวก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ทราบเขาใช้วิธีใด หลังจากพลิกกายกลางอากาศครั้งหนึ่ง ความเร็วที่ร่างกายร่วงลงมาก็ลดลงอย่างฉับพลันแล้วร่อนลงบนเศษศิลากองหนึ่งอย่างเชื่องช้า

“ที่แห่งนี้มีชั้นจำกัดผนึกนภาอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ระยะทางที่เหลืออีกหลายร้อยลี้คงจะต้องเดินทางนับเดือน” หลิ่วหมิงเหยียบเศษศิลาเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม

“หากเพียงเท่านั้นก็ช่างเถิด แต่ด้านหน้ายังมีชั้นจำกัดประหลาดพิสดารอีกไม่น้อย เจ้ากับข้าต้องเตรียมใจให้พร้อม” อินหลิวพยักหน้าแล้วเอ่ยเช่นนี้

ในตอนนี้เอง “ฮู่” สายลมหนาวก็พัดกรรโชกมาล้อมทั้งสองคนไว้ในพริบตา

เศษศิลาจำนวนมากดีดเข้าใส่ร่างกายของทั้งสองเสียงดังเปรี้ยงปร้างประหนึ่งห่ากระสุน

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงส่งผ่านมาจากทั่วร่าง เขารีบโคจรพลังเวทในตัว ไอหมอกสีดำทะลักจากทั้งร่างล้อมตนเองเอาไว้ ในที่สุดจึงขวางเศษหินมืดฟ้ามัวดินแล้วเดินหน้าต่อได้

อึดใจต่อมาเขากลับพบพลังเวทที่ตนเองใช้อยู่มีเวลานี้เพียงสองหรือสามส่วนจากยามพลังสูงสุดเท่านั้น ในใจอดไม่ได้ยิ้มฝืดเฝื่อน

เข้ามาในเขตรอบนอกของสุสานราชายมโลกก็ถูกผลกระทบจากชั้นจำกัดมากมายเช่นนี้แล้ว เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเผ่ายมโลกมากมายเช่นนั้นมาแล้วไม่ได้กลับ

อีกด้านหนึ่งของสายลมหนาว ไอหมอกสีเทาขยับไหวไม่หยุด เสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างดังขึ้นไม่ขาด

เทียบกับหลิ่วหมิงผู้เป็นเผ่ามนุษย์และมีร่างกายแข็งแกร่ง อินหลิวผู้มีร่างกายบอบบางกว่าเวลานี้อเนจอนาถอย่างยิ่ง เศษหินแต่ละก้อนกระทบบนกายเนื้ออ่อนแอของเขาล้วนเท่ากับการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งหนึ่ง

ยังดีที่เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบเรียกกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งออกมาทันที จากนั้นจิตกระบี่มหึมาสายหนึ่งพลันกวาดออกมาจากร่าง ม่านกระบี่สีดำถี่ยิบบดบังร่างกายเขาไว้ข้างใต้

ทันทีที่เศษหินเต็มฟ้าสัมผัสถูกม่านกระบี่ก็เกิดเสียงระเบิดทุ้มต่ำดังระรัว จากนั้นพวกมันจึงกลายเป็นฝุ่นลอยหายไป

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กว่าสายลมหนาวจะสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงกับอินหลิว

หลิ่วหมิงสีหน้าดูเป็นปกติ แต่เสื้อผ้าสีเทาบนร่างขาดวิ่นไม่เหลือดี

ส่วนอินหลิวหอบหายใจหนักๆ สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย สภาพเหมือนใช้พลังเวทเกินขนาดไปบ้าง

“สหายอิน เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว

“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร กายเนื้อเป็นจุดอ่อนข้อใหญ่ของพวกเราเผ่ายมโลก การโจมตีระดับนั้นเมื่อครู่หากถูกโจมตีโดนทั้งหมดคงบาดเจ็บไม่น้อย จะว่าไปพี่อิ่นกายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้ผิดคาดยิ่งนัก แต่ยิ่งเข้าใกล้สุสานราชายมโลก ชั้นจำกัดก็ยิ่งร้ายกาจ พี่อิ่นระวังให้มากหน่อยดีกว่า” อินหลิวถอนหายใจยาว แววตาวูบไหวเอ่ยขึ้นมา

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาได้ฝึกวิชาลับฝึกฝนร่างพิเศษบางอย่างมาจริงๆ ดังนั้นกายเนื้อจึงพอฝืนผ่านมาได้ แต่วิชาขี่กระบี่ของพี่อินหลิวล้ำเลิศนัก ทำให้ผู้แซ่อิ่นเปิดหูเปิดตาแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างคลุมเครือ แล้วเปลี่ยนประเด็นทันที

“วิชากระบี่เท่านี้ของข้านับเป็นอะไรได้ สถานที่แห่งนี้ไม่สมควรอยู่นาน พวกเรารีบเร่งเดินทางเถิด” อินหลิวหัวเราะฮ่าๆ หลังจากนั้นจึงยกมือข้างหนึ่งกวักอากาศ ไอหมอกสีฟ้าอ่อนกลุ่มหนึ่งม้วนออกมาจากแขนเสื้อแล้วเลื้อยพันอยู่ตรงเท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะกลายเป็นรองเท้าจิตวิญญาณสีเขียวเข้มคู่หนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็หยิบโอสถสีดำขลับเม็ดหนึ่งออกมากิน

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสีหน้าที่ซีดเผือดอยู่บ้างของอินหลิวก็ฟื้นกลับมาดังเดิม

หลิ่วหมิงพลิกมือปัดฝุ่นบนร่างแล้วเดินหน้าต่อ

อินหลิวมีรองเท้าจิตวิญญาณช่วยเสริม ใต้เท้าดั่งมีสายลมช่วยทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ส่วนหลิ่วหมิงเองก็ใช้วิชาตัวเบา ก้าวเท้าเร็วประหนึ่งเหาะ มุ่งหน้าเคียงคู่ไปกับอินหลิว

เกือบครึ่งวันหลังจากนั้นทั้งสองคนก็พบการจู่โจมจากสายลมหนาวอีกเจ็ดแปดครั้ง ในที่สุดก็ฟันฝ่าขวากหนามเดินทางผ่านเนินเศษศิลามาได้

หลังจากข้ามพ้นเนินเขาเตี้ยที่ทอดต่อกันเป็นแนวก็มาถึงหน้าป่าทึบสีโลหิตอันหนาทึบผืนนั้นที่เห็นก่อนหน้านี้

ทว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากที่คิด ด้านในป่าทึบผืนนี้กลับแผ่ลมปราณหนาวเย็นสายหนึ่งออกมา ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้นแล้วต้นเล่างอกจากพื้นดินเรียงรายเป็นระเบียบ แลดูเงียบสงัดอย่างยิ่ง

ลำต้นของต้นไม้โบราณเหล่านี้เป็นสีน้ำตาลหม่น ตรงรากมีเถาวัลย์คดเคี้ยวสีดำเลื้อยพันอยู่ กิ่งก้านสาขาแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด บนกิ่งมีใบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือสีเลือดใบแล้วใบเล่าเกาะกลุ่มเต็มไปหมด

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเห็นแต่สีเลือด มองไม่เห็นท้องฟ้าหรือดวงตะวันแม้แต่น้อย

“ที่นี่คือ ‘ป่าวงกตใบไม้เลือด’ เล่ากันว่าหากเดินเลี้ยวขวาทุกครั้งที่พบทางแยกก็จะออกจากป่าทึบผืนนี้ได้อย่างราบรื่น แต่ไม่เคยมีการพิสูจน์มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ” อินหลิวเอ่ยอย่างจริงจัง

“ผู้ที่ขายข้อมูลนี้ก็คงเป็นผู้ที่รอดออกมาจากป่าทึบแห่งนี้ แต่เพื่อรับรองความปลอดภัย อย่างไรก็สำรวจสักหน่อยก่อนค่อยว่ากันดีกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรอยู่

“พี่อิ่นพูดมีเหตุผล ระวังสักหน่อยย่อมดี”

อินหลิวพยักหน้าพลางตบถุงผ้าข้างเอวเบาๆ ไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งม้วนตัวออกมากลายเป็นวานรสูงหนึ่งฉื่อกว่าตัวหนึ่งที่มีขนยาวสีดำทั้งตัว

วานรตนนี้กระโดดโลดเต้นอยู่ครั้งสองครั้ง ร่างกายก็พุ่งหายเข้าไปในป่าทึบ

ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากลึกเข้าไปในป่าทึบ จากนั้นก็เงียบหายไป

“เส้นทางน่าจะไม่ผิด แต่ลึกเข้าไปในป่าแห่งนี้เหมือนจะมีอสูรแห่งความมืดตัวอื่นอาศัยอยู่อีก ภูตวานรแขนยาวตัวนี้ของข้าแม้พลังเพียงระดับผลึกขั้นกลาง และเมื่ออยู่ที่นี่ก็ถูกกดพลังไว้บางส่วน แต่ความเร็วของมันก็ว่องไวไม่ธรรมดา ต่อให้เผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับแก่นแท้ก็ไม่ตายง่ายดายเช่นนี้” อินหลิวถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยดังนี้

“มาถึงตอนนี้พวกเราย่อมไม่มีทางอื่นให้เดินอ้อมได้อีก ทิศทางอื่นมีแต่จะยิ่งอันตรายกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ในเมื่อพี่อิ่นไม่หวาดกลัวอสูรแห่งความมืดที่นี่ ผู้แซ่อินย่อมร่วมทางไปด้วยจนถึงที่สุด” อินหลิวครุ่นคิดเล็กน้อยก็เหมือนตัดสินใจแน่วแน่ ยกเท้าก้าวเข้าสู่ป่าทึบสีเลือดนำไปก่อน

หลิ่วหมิงลอยละล่องติดตามไป

ทั้งสองคนเพิ่งจะก้าวเข้าไปในป่าทึบได้ร้อยกว่าจั้ง อุณหภูมิของอากาศรอบตัวก็ลดต่ำอย่างฉับพลัน ลมปราณเย็นยะเยือกอย่างที่สุดสายหนึ่งราวกับจะเยือกแข็งอากาศทั้งหมด รอบด้านเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยินชัดเจน

ลมปราณเย็นยะเยือกนี้ทำให้ในใจหลิ่วหมิงเพิ่มความระวังขึ้นไปอีก

เมื่อทั้งสองคนมาถึงทางแยกแห่งที่สอง ทันใดนั้นลมหนาวสายหนึ่งก็พัดมาทิ่มแทงแผ่นหลัง เงาสีเทาสายหนึ่งพุ่งออกมา

หลิ่วหมิงเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว ร่างกายขยับแผ่วเบาก็หลบพ้นอย่างหมดจด อินหลิวก็เหมือนจะคาดเดาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน สองเท้ากระทืบพื้นอย่างแรงครั้งหนึ่งพุ่งถอยหลังออกมา

“แซกๆ”

แสงสีเทาพุ่งพรวดเข้ามาก่อนจะเผยให้เห็นร่างหมาป่ายักษ์ดุร้ายขนยาวสีเทาทั้งร่างตัวหนึ่ง

หมาป่าตัวนี้สูงราวสามสี่จั้ง รอบตัวมีไอหมอกสีเทาสายน้อยวนเวียน ตรงลำคอมีลวดลายจิตวิญญาณสีแดงเส้นหนึ่งเรียงกันอย่างสมดุล กรงเล็บแหลมคมสี่ข้างวาววับคมกริบอย่างยิ่ง ดูจากลมปราณเห็นชัดว่าบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้นแล้ว

“พี่อิ่น อยู่ภายใต้ชั้นจำกัดเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องดันทุรังสู้!”

อินหลิวเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด แขนเสื้อสะบัด แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา ม้วนรอบตัวหมาป่ายักษ์ห่างหนึ่งจั้ง กลายเป็นแสงสีแดงผืนใหญ่ล้อมมันไว้

ส่วนหลิ่วหมิงพลิกมือเรียกมุกกลมสีทองสองเม็ดออกมาขว้างใส่จุดที่หมาป่ายักษ์อยู่

“บึ๊ม” เสียงดังสนั่น แสงสีแดงที่มีอสนีบาตสีทองแทรกอยู่พุ่งขึ้นฟ้า

อากาศในป่าทึบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใบไม้สีเลือดกลายเป็นละอองแสงสีแดงจุดแล้วจุดเล่าจากการโจมตีอันดุดัน

ชั่วขณะหนึ่งแสงสีเลือดลอยล่องเต็มท้องฟ้าประหนึ่งฝนโลหิตโปรยปราย

พวกหลิ่วหมิงไม่สนใจสภาพของหมาป่ายักษ์ตัวนี้แต่อาศัยฝนโลหิตหลบซ่อน ทะยานไปยังทางแยกถัดไปโดยไม่หันศีรษะกลับมามอง

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็อาศัยยันต์และอาวุธจิตวิญญาณใช้แล้วทิ้งจำนวนหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของอสูรแห่งความมืดที่พบแต่ละครั้ง แล้วเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

ไม่รู้ว่าข่าวผิดพลาดหรือป่ามหึมาเกินไป ป่าทึบผืนนี้จึงเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองคนเดินทางนานหนึ่งวันหนึ่งคืน จนแม้แต่หลิ่วหมิงที่เตรียมตัวมาพร้อมสรรพ ตอนนี้ก็เริ่มทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว

ระหว่างนี้พวกเขาบังเอิญพบหมียักษ์ลายโลหิตระดับแก่นแท้ขั้นกลางตัวหนึ่งอย่างไม่คาดคิด

หมียักษ์ตัวนี้พลังมหาศาลอย่างยิ่ง ในสภาวะที่ถูกกดพลังอยู่ หลิ่วหมิงฝืนอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของตนกับวิชาท่าร่างอันลึกลับ ร่วมกับการโจมตีด้วยวิชาลับที่เหมือนระเบิดของอินหลิวสังหารมันได้อย่างยากลำบากยิ่งนัก

หลังจากนั้นเมื่อทั้งสองคนพบอสูรแห่งความมืดเหล่านี้อีกจึงไม่คิดสู้ติดพัน ส่วนใหญ่หลิ่วหมิงจะใช้คุกมืดขังมันไว้แล้วหนีอย่างว่องไว

เวลาผ่านไปถึงครึ่งเดือน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงขอบของป่าทึบสีเลือดผืนนี้ ทว่าภาพที่อยู่เบื้องหลังป่าทึบกลับทำให้ทั้งสองคนเบิกตาค้างลิ้นผูกเป็นปมอย่างห้ามไม่ได้!

ถัดจากป่าทึบคือดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง ยังไม่ทันก้าวเข้าไปลมปราณร้อนระอุก็โถมใส่หน้า ตรงข้ามกับป่าทึบสีเลือดอย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองก็เห็นแสงสีทองแสบตาระยิบระยับอยู่กลางท้องฟ้า แสงสีทองสายแล้วสายเล่าแผ่ลงมาจากท้องนภา

เขาหรี่ตาสองข้างจึงพอมองเห็นว่าบนท้องนภามีดวงตะวันร้อนระอุสีทองสิบดวงลอยสูงอยู่ด้านบน เมื่อทอดสายตามองไกลๆ จึงเห็นว่ารอบดินแดนรกร้างว่างเปล่าอย่างยิ่ง มองไปไม่เห็นสุดปลายอย่างสิ้นเชิง

“ค่ายกลตะวันระอุ!” อินหลิวหลุดปากออกมา สีหน้าตกตะลึงอยู่รางๆ

หลิ่วหมิงได้ยินพลันสีหน้าเคร่งขรึม

แม้เขาไม่เคยได้ยินชื่อค่ายกลนี้มาก่อน แต่แค่คำว่า “ตะวันระอุ” สองคำ ไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจความหมายของมันได้

เขายื่นมือเข้าไปในแสงสีทองอย่างเชื่องช้า ลมปราณร้อนระอุสายหนึ่งแล่นเข้าใส่ ผิวด้านนอกถูกอุณหภูมิร้อนผ่าวย่างจนค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ไอหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าสลายไปช้าๆ

“กายเนื้อของพี่อิ่นแข็งแกร่งจริงๆ ถึงขนาดต้านทานแสงทองคำทมิฬนี่ได้” อินหลิวเห็นเช่นนี้ก็ทำหน้าแปลกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 1102 ป่าวงกตใบไม้เลือดกับค่ายกลตะวันระอุ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 1102 ป่าวงกตใบไม้เลือดกับค่ายกลตะวันระอุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พื้นที่รอบนอกก่อนเข้าไปยังสุสานราชายมโลกมีหลายเขต เนินเศษศิลาแห่งนี้เป็นเส้นทางที่เรียกได้ว่าผ่านง่ายที่สุด ดังนั้นพวกหลิ่วหมิงสองคนจึงเลือกเข้าสุสานราชายมโลกจากที่นี่

แม้เป็นเช่นนั้นแต่ทันทีที่ทั้งสองคนเหยียบย่างเข้ามาในเนินเศษศิลา หลิ่วหมิงก็สัมผัสได้ว่าใต้ฝ่าเท้าหนักอึ้ง พลังเวทในร่างไหลรั่วราวกับถูกระบายออก สองตามืดดับ ทั้งร่างร่วงจากท้องฟ้าอย่างเร็วไว

ยังดีที่เขาตั้งสติเรียกพลังจิตจากหนอนพลังจิตออกมาใช้ในพริบตา ดวงตาทั้งสองจึงฟื้นกลับเป็นปกติ ก่อนจะร่อนลงบนเนินเศษศิลา

ยามนั้นสภาพของอินหลิวก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน แต่ไม่ทราบเขาใช้วิธีใด หลังจากพลิกกายกลางอากาศครั้งหนึ่ง ความเร็วที่ร่างกายร่วงลงมาก็ลดลงอย่างฉับพลันแล้วร่อนลงบนเศษศิลากองหนึ่งอย่างเชื่องช้า

“ที่แห่งนี้มีชั้นจำกัดผนึกนภาอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ระยะทางที่เหลืออีกหลายร้อยลี้คงจะต้องเดินทางนับเดือน” หลิ่วหมิงเหยียบเศษศิลาเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม

“หากเพียงเท่านั้นก็ช่างเถิด แต่ด้านหน้ายังมีชั้นจำกัดประหลาดพิสดารอีกไม่น้อย เจ้ากับข้าต้องเตรียมใจให้พร้อม” อินหลิวพยักหน้าแล้วเอ่ยเช่นนี้

ในตอนนี้เอง “ฮู่” สายลมหนาวก็พัดกรรโชกมาล้อมทั้งสองคนไว้ในพริบตา

เศษศิลาจำนวนมากดีดเข้าใส่ร่างกายของทั้งสองเสียงดังเปรี้ยงปร้างประหนึ่งห่ากระสุน

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าความเจ็บปวดรุนแรงส่งผ่านมาจากทั่วร่าง เขารีบโคจรพลังเวทในตัว ไอหมอกสีดำทะลักจากทั้งร่างล้อมตนเองเอาไว้ ในที่สุดจึงขวางเศษหินมืดฟ้ามัวดินแล้วเดินหน้าต่อได้

อึดใจต่อมาเขากลับพบพลังเวทที่ตนเองใช้อยู่มีเวลานี้เพียงสองหรือสามส่วนจากยามพลังสูงสุดเท่านั้น ในใจอดไม่ได้ยิ้มฝืดเฝื่อน

เข้ามาในเขตรอบนอกของสุสานราชายมโลกก็ถูกผลกระทบจากชั้นจำกัดมากมายเช่นนี้แล้ว เขาเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเผ่ายมโลกมากมายเช่นนั้นมาแล้วไม่ได้กลับ

อีกด้านหนึ่งของสายลมหนาว ไอหมอกสีเทาขยับไหวไม่หยุด เสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างดังขึ้นไม่ขาด

เทียบกับหลิ่วหมิงผู้เป็นเผ่ามนุษย์และมีร่างกายแข็งแกร่ง อินหลิวผู้มีร่างกายบอบบางกว่าเวลานี้อเนจอนาถอย่างยิ่ง เศษหินแต่ละก้อนกระทบบนกายเนื้ออ่อนแอของเขาล้วนเท่ากับการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งหนึ่ง

ยังดีที่เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบเรียกกระบี่ยาวสีดำเล่มหนึ่งออกมาทันที จากนั้นจิตกระบี่มหึมาสายหนึ่งพลันกวาดออกมาจากร่าง ม่านกระบี่สีดำถี่ยิบบดบังร่างกายเขาไว้ข้างใต้

ทันทีที่เศษหินเต็มฟ้าสัมผัสถูกม่านกระบี่ก็เกิดเสียงระเบิดทุ้มต่ำดังระรัว จากนั้นพวกมันจึงกลายเป็นฝุ่นลอยหายไป

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปเต็มๆ กว่าสายลมหนาวจะสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นร่างกายของหลิ่วหมิงกับอินหลิว

หลิ่วหมิงสีหน้าดูเป็นปกติ แต่เสื้อผ้าสีเทาบนร่างขาดวิ่นไม่เหลือดี

ส่วนอินหลิวหอบหายใจหนักๆ สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย สภาพเหมือนใช้พลังเวทเกินขนาดไปบ้าง

“สหายอิน เจ้าไม่เป็นไรกระมัง” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว

“ตอนนี้ยังไม่เป็นไร กายเนื้อเป็นจุดอ่อนข้อใหญ่ของพวกเราเผ่ายมโลก การโจมตีระดับนั้นเมื่อครู่หากถูกโจมตีโดนทั้งหมดคงบาดเจ็บไม่น้อย จะว่าไปพี่อิ่นกายเนื้อแข็งแกร่งเช่นนี้ผิดคาดยิ่งนัก แต่ยิ่งเข้าใกล้สุสานราชายมโลก ชั้นจำกัดก็ยิ่งร้ายกาจ พี่อิ่นระวังให้มากหน่อยดีกว่า” อินหลิวถอนหายใจยาว แววตาวูบไหวเอ่ยขึ้นมา

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยมีวาสนาได้ฝึกวิชาลับฝึกฝนร่างพิเศษบางอย่างมาจริงๆ ดังนั้นกายเนื้อจึงพอฝืนผ่านมาได้ แต่วิชาขี่กระบี่ของพี่อินหลิวล้ำเลิศนัก ทำให้ผู้แซ่อิ่นเปิดหูเปิดตาแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างคลุมเครือ แล้วเปลี่ยนประเด็นทันที

“วิชากระบี่เท่านี้ของข้านับเป็นอะไรได้ สถานที่แห่งนี้ไม่สมควรอยู่นาน พวกเรารีบเร่งเดินทางเถิด” อินหลิวหัวเราะฮ่าๆ หลังจากนั้นจึงยกมือข้างหนึ่งกวักอากาศ ไอหมอกสีฟ้าอ่อนกลุ่มหนึ่งม้วนออกมาจากแขนเสื้อแล้วเลื้อยพันอยู่ตรงเท้าทั้งสองข้าง ก่อนจะกลายเป็นรองเท้าจิตวิญญาณสีเขียวเข้มคู่หนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็หยิบโอสถสีดำขลับเม็ดหนึ่งออกมากิน

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นสีหน้าที่ซีดเผือดอยู่บ้างของอินหลิวก็ฟื้นกลับมาดังเดิม

หลิ่วหมิงพลิกมือปัดฝุ่นบนร่างแล้วเดินหน้าต่อ

อินหลิวมีรองเท้าจิตวิญญาณช่วยเสริม ใต้เท้าดั่งมีสายลมช่วยทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ส่วนหลิ่วหมิงเองก็ใช้วิชาตัวเบา ก้าวเท้าเร็วประหนึ่งเหาะ มุ่งหน้าเคียงคู่ไปกับอินหลิว

เกือบครึ่งวันหลังจากนั้นทั้งสองคนก็พบการจู่โจมจากสายลมหนาวอีกเจ็ดแปดครั้ง ในที่สุดก็ฟันฝ่าขวากหนามเดินทางผ่านเนินเศษศิลามาได้

หลังจากข้ามพ้นเนินเขาเตี้ยที่ทอดต่อกันเป็นแนวก็มาถึงหน้าป่าทึบสีโลหิตอันหนาทึบผืนนั้นที่เห็นก่อนหน้านี้

ทว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากที่คิด ด้านในป่าทึบผืนนี้กลับแผ่ลมปราณหนาวเย็นสายหนึ่งออกมา ต้นไม้โบราณสูงเสียดฟ้าต้นแล้วต้นเล่างอกจากพื้นดินเรียงรายเป็นระเบียบ แลดูเงียบสงัดอย่างยิ่ง

ลำต้นของต้นไม้โบราณเหล่านี้เป็นสีน้ำตาลหม่น ตรงรากมีเถาวัลย์คดเคี้ยวสีดำเลื้อยพันอยู่ กิ่งก้านสาขาแผ่ขยายไม่มีที่สิ้นสุด บนกิ่งมีใบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือสีเลือดใบแล้วใบเล่าเกาะกลุ่มเต็มไปหมด

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองเห็นแต่สีเลือด มองไม่เห็นท้องฟ้าหรือดวงตะวันแม้แต่น้อย

“ที่นี่คือ ‘ป่าวงกตใบไม้เลือด’ เล่ากันว่าหากเดินเลี้ยวขวาทุกครั้งที่พบทางแยกก็จะออกจากป่าทึบผืนนี้ได้อย่างราบรื่น แต่ไม่เคยมีการพิสูจน์มาก่อนจึงไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ” อินหลิวเอ่ยอย่างจริงจัง

“ผู้ที่ขายข้อมูลนี้ก็คงเป็นผู้ที่รอดออกมาจากป่าทึบแห่งนี้ แต่เพื่อรับรองความปลอดภัย อย่างไรก็สำรวจสักหน่อยก่อนค่อยว่ากันดีกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรอยู่

“พี่อิ่นพูดมีเหตุผล ระวังสักหน่อยย่อมดี”

อินหลิวพยักหน้าพลางตบถุงผ้าข้างเอวเบาๆ ไอหมอกสีเทากลุ่มหนึ่งม้วนตัวออกมากลายเป็นวานรสูงหนึ่งฉื่อกว่าตัวหนึ่งที่มีขนยาวสีดำทั้งตัว

วานรตนนี้กระโดดโลดเต้นอยู่ครั้งสองครั้ง ร่างกายก็พุ่งหายเข้าไปในป่าทึบ

ผ่านไปเพียงครึ่งเค่อก็ได้ยินเสียงโหยหวนดังมาจากลึกเข้าไปในป่าทึบ จากนั้นก็เงียบหายไป

“เส้นทางน่าจะไม่ผิด แต่ลึกเข้าไปในป่าแห่งนี้เหมือนจะมีอสูรแห่งความมืดตัวอื่นอาศัยอยู่อีก ภูตวานรแขนยาวตัวนี้ของข้าแม้พลังเพียงระดับผลึกขั้นกลาง และเมื่ออยู่ที่นี่ก็ถูกกดพลังไว้บางส่วน แต่ความเร็วของมันก็ว่องไวไม่ธรรมดา ต่อให้เผชิญกับคู่ต่อสู้ระดับแก่นแท้ก็ไม่ตายง่ายดายเช่นนี้” อินหลิวถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยดังนี้

“มาถึงตอนนี้พวกเราย่อมไม่มีทางอื่นให้เดินอ้อมได้อีก ทิศทางอื่นมีแต่จะยิ่งอันตรายกว่า” หลิ่วหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ในเมื่อพี่อิ่นไม่หวาดกลัวอสูรแห่งความมืดที่นี่ ผู้แซ่อินย่อมร่วมทางไปด้วยจนถึงที่สุด” อินหลิวครุ่นคิดเล็กน้อยก็เหมือนตัดสินใจแน่วแน่ ยกเท้าก้าวเข้าสู่ป่าทึบสีเลือดนำไปก่อน

หลิ่วหมิงลอยละล่องติดตามไป

ทั้งสองคนเพิ่งจะก้าวเข้าไปในป่าทึบได้ร้อยกว่าจั้ง อุณหภูมิของอากาศรอบตัวก็ลดต่ำอย่างฉับพลัน ลมปราณเย็นยะเยือกอย่างที่สุดสายหนึ่งราวกับจะเยือกแข็งอากาศทั้งหมด รอบด้านเงียบกริบ แม้แต่เสียงลมหายใจก็ยังได้ยินชัดเจน

ลมปราณเย็นยะเยือกนี้ทำให้ในใจหลิ่วหมิงเพิ่มความระวังขึ้นไปอีก

เมื่อทั้งสองคนมาถึงทางแยกแห่งที่สอง ทันใดนั้นลมหนาวสายหนึ่งก็พัดมาทิ่มแทงแผ่นหลัง เงาสีเทาสายหนึ่งพุ่งออกมา

หลิ่วหมิงเตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว ร่างกายขยับแผ่วเบาก็หลบพ้นอย่างหมดจด อินหลิวก็เหมือนจะคาดเดาอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน สองเท้ากระทืบพื้นอย่างแรงครั้งหนึ่งพุ่งถอยหลังออกมา

“แซกๆ”

แสงสีเทาพุ่งพรวดเข้ามาก่อนจะเผยให้เห็นร่างหมาป่ายักษ์ดุร้ายขนยาวสีเทาทั้งร่างตัวหนึ่ง

หมาป่าตัวนี้สูงราวสามสี่จั้ง รอบตัวมีไอหมอกสีเทาสายน้อยวนเวียน ตรงลำคอมีลวดลายจิตวิญญาณสีแดงเส้นหนึ่งเรียงกันอย่างสมดุล กรงเล็บแหลมคมสี่ข้างวาววับคมกริบอย่างยิ่ง ดูจากลมปราณเห็นชัดว่าบรรลุระดับแก่นแท้ขั้นต้นแล้ว

“พี่อิ่น อยู่ภายใต้ชั้นจำกัดเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องดันทุรังสู้!”

อินหลิวเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยอย่างไม่ลังเลสักนิด แขนเสื้อสะบัด แสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา ม้วนรอบตัวหมาป่ายักษ์ห่างหนึ่งจั้ง กลายเป็นแสงสีแดงผืนใหญ่ล้อมมันไว้

ส่วนหลิ่วหมิงพลิกมือเรียกมุกกลมสีทองสองเม็ดออกมาขว้างใส่จุดที่หมาป่ายักษ์อยู่

“บึ๊ม” เสียงดังสนั่น แสงสีแดงที่มีอสนีบาตสีทองแทรกอยู่พุ่งขึ้นฟ้า

อากาศในป่าทึบสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใบไม้สีเลือดกลายเป็นละอองแสงสีแดงจุดแล้วจุดเล่าจากการโจมตีอันดุดัน

ชั่วขณะหนึ่งแสงสีเลือดลอยล่องเต็มท้องฟ้าประหนึ่งฝนโลหิตโปรยปราย

พวกหลิ่วหมิงไม่สนใจสภาพของหมาป่ายักษ์ตัวนี้แต่อาศัยฝนโลหิตหลบซ่อน ทะยานไปยังทางแยกถัดไปโดยไม่หันศีรษะกลับมามอง

ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็อาศัยยันต์และอาวุธจิตวิญญาณใช้แล้วทิ้งจำนวนหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงการโจมตีของอสูรแห่งความมืดที่พบแต่ละครั้ง แล้วเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดพัก

ไม่รู้ว่าข่าวผิดพลาดหรือป่ามหึมาเกินไป ป่าทึบผืนนี้จึงเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองคนเดินทางนานหนึ่งวันหนึ่งคืน จนแม้แต่หลิ่วหมิงที่เตรียมตัวมาพร้อมสรรพ ตอนนี้ก็เริ่มทนไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว

ระหว่างนี้พวกเขาบังเอิญพบหมียักษ์ลายโลหิตระดับแก่นแท้ขั้นกลางตัวหนึ่งอย่างไม่คาดคิด

หมียักษ์ตัวนี้พลังมหาศาลอย่างยิ่ง ในสภาวะที่ถูกกดพลังอยู่ หลิ่วหมิงฝืนอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของตนกับวิชาท่าร่างอันลึกลับ ร่วมกับการโจมตีด้วยวิชาลับที่เหมือนระเบิดของอินหลิวสังหารมันได้อย่างยากลำบากยิ่งนัก

หลังจากนั้นเมื่อทั้งสองคนพบอสูรแห่งความมืดเหล่านี้อีกจึงไม่คิดสู้ติดพัน ส่วนใหญ่หลิ่วหมิงจะใช้คุกมืดขังมันไว้แล้วหนีอย่างว่องไว

เวลาผ่านไปถึงครึ่งเดือน ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงขอบของป่าทึบสีเลือดผืนนี้ ทว่าภาพที่อยู่เบื้องหลังป่าทึบกลับทำให้ทั้งสองคนเบิกตาค้างลิ้นผูกเป็นปมอย่างห้ามไม่ได้!

ถัดจากป่าทึบคือดินแดนรกร้างกว้างใหญ่ผืนหนึ่ง ยังไม่ทันก้าวเข้าไปลมปราณร้อนระอุก็โถมใส่หน้า ตรงข้ามกับป่าทึบสีเลือดอย่างชัดเจน

หลิ่วหมิงเงยหน้ามองก็เห็นแสงสีทองแสบตาระยิบระยับอยู่กลางท้องฟ้า แสงสีทองสายแล้วสายเล่าแผ่ลงมาจากท้องนภา

เขาหรี่ตาสองข้างจึงพอมองเห็นว่าบนท้องนภามีดวงตะวันร้อนระอุสีทองสิบดวงลอยสูงอยู่ด้านบน เมื่อทอดสายตามองไกลๆ จึงเห็นว่ารอบดินแดนรกร้างว่างเปล่าอย่างยิ่ง มองไปไม่เห็นสุดปลายอย่างสิ้นเชิง

“ค่ายกลตะวันระอุ!” อินหลิวหลุดปากออกมา สีหน้าตกตะลึงอยู่รางๆ

หลิ่วหมิงได้ยินพลันสีหน้าเคร่งขรึม

แม้เขาไม่เคยได้ยินชื่อค่ายกลนี้มาก่อน แต่แค่คำว่า “ตะวันระอุ” สองคำ ไม่ต้องพูดมากก็เข้าใจความหมายของมันได้

เขายื่นมือเข้าไปในแสงสีทองอย่างเชื่องช้า ลมปราณร้อนระอุสายหนึ่งแล่นเข้าใส่ ผิวด้านนอกถูกอุณหภูมิร้อนผ่าวย่างจนค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ไอหมอกสีดำสายแล้วสายเล่าสลายไปช้าๆ

“กายเนื้อของพี่อิ่นแข็งแกร่งจริงๆ ถึงขนาดต้านทานแสงทองคำทมิฬนี่ได้” อินหลิวเห็นเช่นนี้ก็ทำหน้าแปลกใจ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+