ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 118 จู่โจม

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 118 จู่โจม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 118 จู่โจม

ไอหมอกพิษค่อยๆ สลายหายไปท่ามกลางทะเลเพลิง ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง สะบัดแขนเสื้อใส่ทะเลเพลิง พายุอันบ้าคลั่งม้วนตัวออกไปปัดเป่าเปลวไฟจนดับสนิท เผยให้เห็นศพสองท่อนที่ไหม้เกรียมของตะขาบตัวนั้น

เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

คิดไม่ถึงว่าตะขาบตัวนี้จะต้านทานเปลวไฟได้ถึงขนาดนี้ มิเช่นนั้นคงจะถูกทะเลไฟเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะหลงเหลือซากศพไว้เช่นนี้

แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ซู่!” มองป่องกระดูกขาวที่ดูซึมกระทือก็พุ่งผ่านด้านข้างเขาไปยังซากศพชิ้นหนึ่ง หลังจากที่ก้ามยักษ์ทั้งสองฉีกซากศพอย่างบ้าคลั่ง มันก็หนีบสิ่งของสองอย่างชิ้นมาจากในนั้น

มันคือชิ้นเนื้อกลมๆ ที่มีสีม่วงแก่กับผลึกหินสีเขียวหยกหนึ่งก้อน

ชิ้นเนื้อกลมมีขนาดเท่ากำปั้น มีของเหลวสีม่วงหยดออกจากในนั้นอยู่ไม่หยุด พอมันตกลงพื้นก็ก่อให้เกิดรูดำๆ ขึ้นมา

ชิ้นเนื้อกลมๆ นี้คือถุงพิษที่อยู่ในร่างของตะขาบ

ส่วนผลึกสินสีเขียวหยกนั้น ดูผ่านๆ มันคล้ายกับผลึกหินไม้ แต่หลังจากที่สังเกตดูอย่างละเอียดกลับค้นพบว่าสีของมันขุ่นข้นกว่าผลึกหินไม้มาก

หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ตรวจสอบเพิ่มเติม แมงป่องกระดูกขาวก็อ้าปากกลืนถุงพิษลงไปในท้อง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด จุดพิษที่เกิดขึ้นบนตัวของมันก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้ร่างของมันสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว่ำลงไปบนพื้นไม่ขยับเขยื้อน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบกระตุ้นวิชาสื่อสารจิตวิญญาณเพื่อสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาว แต่จิตของมันกลับดูเลอะเลือนไม่มีการตอบสนองใดๆ

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด แมงป่องกระดูกของเขาตนนี้มีสติปัญญาค่อนข้างมาก ในเมื่อมันกล้ากลืนกินถุงพิษได้คาดว่ามันคงไม่เป็นอะไร

แต่เขากลัวว่าแมงป่องกระดูกขาวตนนี้จะสลบหลับใหลไปหลายวัน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว

อย่างที่รู้กันดีว่าอีกสิบกว่าวันให้หลังนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด มีโอกาสที่จะเกิดการปะทะอย่างดุเดือดกับศิษย์นิกายอื่นๆ เป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่มีแมงป่องกระดูกขาวตนนี้คอยช่วยล่ะก็ อาจจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง

ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น จุดพิษสีม่วงบนตัวแมงป่องกระดูกขาวก็ได้กระจายไปทั่วร่างแล้ว หลังจากที่คลายแรงหนีบตรงก้ามด้านหน้าลงผลึกสีเขียวหยกก็กลิ้งหล่นมา ขณะเดียวกันก็มีไอสีเขียวพวยพุ่งออกมาห่อหุ้มแมงป่องกระดูกขาวไหวจนแม่แต่ลมฝนก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้

หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินสองสามก้าวไปเก็บผลึกสีเขียวหยกขึ้นมาดูอย่างละเอียด

ในระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ เขาถึงค้นพบว่าภายในผลึกหินสีเขียวหยกนั้นมีใยไหมสีขาวน้ำนม และมันยังส่งกลิ่นคาวจางๆ ออกมา

เขานึกถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับไม่มีสิ่งของใดคล้ายกับผลึกก้อนนี้

ดูเหมือนว่าต้องรอออกไปจากที่นี่ก่อน จากนั้นค่อยหาคนที่พอจะรู้จักมาระบุสิ่งของชิ้นนี้

ขณะที่หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ ก็กวาดสายตามองบริเวณรอบๆ ถ้ำไปด้วย จากนั้นก็เดินไปยังผนังหินที่อยู่บริเวณนั้น

อาศัยจังหวะที่แมงป่องกระดูกขาวยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้น เขาควรจะจัดการกับผลึกหินไม้กับแร่อื่นๆ ก่อน ไม่แน่อาจจะมีเรื่องน่ายินดีอื่นๆ เกิดขึ้นก็เป็นได้!

ผลึกหินไม้แต่ละก้อนถูกเขาใช้กระบี่สั้นสีเขียวงัดออกมาจากผนังหินอย่างระมัดระวัง จนได้ประมาณห้าสิบถึงหกสิบก้อน

ส่วนมากมีขนาดเท่านิ้วมือ ก้อนที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดไม่เกินลูกกำปั้นสองลูก แต่ไม่คาดคิดว่าในนั้นจะมีหินจิตวิญญาณระดับกลางอยู่สองก้อนที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ และผลึกหินที่มีขนาดใหญ่ทั้งสองนี้แม้แต่โลกภายนอกก็พบเจอได้น้อยมาก ทั้งสองก้อนคงขายรวมกันคงได้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง

แต่แร่อื่นๆ ล้วนเป็นแร่ที่มีมูลค่าไม่ค่อยสูง ซึ่งมันทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เขาได้แต่เลือกแร่ที่มีมูลค่าสูงสุดในนั้นมาสองสามก้อน ส่วนแร่อื่นๆ นั้นเขาขี้เกียจจะไปจัดการกับมัน

เมื่อเขานำผลึกหิน และสิ่งของอื่นๆ เก็บไว้ในผ้าย่อส่วนแล้วก็ค้นพบว่าแมงป่องกระดูกขาวยังไม่มีวี่แววจะฟื้นเลย เขาส่ายศีรษะแล้วก็เดินไปมารอบๆ ถ้ำเพื่อสำรวจดูว่ามีสถานที่ใดที่เขาพลาดไปบ้าง

ครู่ต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงมองไปยังร่องที่ตะขาบยักษ์ตนนั้นมุดออกมานั้น เขาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปพร้อมกับใช้มือตบไปยังขอบร่องเบาๆ คาดไม่ถึงว่ามันจะมีเสียงดัง “ตึงๆ!” ราวกับว่าข้างในมันกลวง

ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกายขึ้นมาพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ กระบี่สั้นสีเขียวได้ปรากฏขึ้นบนมือ

หลังจากที่มีแสงเย็นสะท้านยาวฉื่อกว่าๆ ฟาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว รูกลมๆ ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางยาวหลายฉื่อก็ปรากฏออกมา

แต่ข้างในมืดมากทำให้หลิ่วหมิงไม่กล้าเดินเข้าไปทันที

หลังจากที่เขาร่ายคาถาพร้อมกับดีดนิ้วออก ลูกเปลวไฟก็พุ่งออกไปแลเข้าไปในรูอันมืดมิดก่อนที่จะลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศ

แสงสีแดงขับไล่ความมืดมิดไปจนหมด!

หลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นสภาพภายในชัดเจนแล้วก็ก้มหน้ามุดเข้าไปในรูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ถ้ำข้างๆ นี้มีขนาดแค่สามสี่จั้งเท่านั้น แต่บนพื้นเต็มไปด้วยกระดูกและยังมีชั้นหญ้าแห้งหนาๆ ปูอยู่ และมุมสลัวๆ ที่เปียกชื้นนั้นมีไข่หนอนขนาดใหญ่ที่มีลายพาดกลอนสีม่วงอยู่สองใบ มันมีขนาดประมาณลูกกำปั้น และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต

เห็นได้ชัดว่าไข่หนอนทั้งสองใบนี้เป็นของตะขาบยักษ์ตัวก่อนหน้านั้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ตะขาบยักษ์ตัวนั้นเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไข่ของมันก็คงไม่ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าเขาจะนำมันไปฟักเองหรือเอาไปขายด้านนอกก็คงได้ราคาดีไม่น้อย

เขารีบหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาแล้วนำไข่ทั้งสองใบใส่ลงในนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บมันไว้ในผ้าย่อส่วนแล้วจึงไปตรวจดูโครงกระดูกบนพื้น

น่าเสียดายที่มันเป็นแค่กระดูกปีศาจอสูรระดับต่ำเท่านั้น

เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีอะไรให้ค้นหาอีกแล้วจึงเดินจากไป

หลิ่วหมิงใช้ช่วงเวลาที่เหลือหาสถานที่เงียบๆ ในถ้ำเพื่อนั่งรออย่างสงบ

เขาได้ตัดสินใจว่าจะรอแมงป่องกระดูกขาวครึ่งวัน ถ้าเลยเวลานี้ไปแล้วมันยังไม่ตื่นก็จะเก็บมันไว้ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ เพราะตนเองยังต้องรีบไปหาของล้ำค่าอีก

เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็มีไอสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากร่างของแมงป่องกระดูกขาว และมันยังมีการเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็กลายเป็นสีม่วงคล้ายกับพิษที่ตะขาบยักษ์ตัวนั้นพ่นออกมา

ดูจากพื้นดินที่สัมผัสโดนไอหมอกสีม่วงค่อยๆ กลายเป็นสีดำ ถึงแม้พิษมันจะไม่รุนแรงเท่ากับพิษของตะขาบยักษ์ในก่อนหน้านั้น แต่ก็ดูเหมือนจะต่างกันไม่มากนัก

แมงป่องกระดูกขาวตนนี้เพียงแค่กลืนกินถุงพิษของตะขาบยักษ์ มันก็ได้รับการถ่ายทอดพิษเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมาก

หลังจากมีเสียงร้อง “แกว๊ก!” ดังขึ้น ไอหมอกพิษก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับร่างของแมงป่องกระดูกขาวที่ปรากฏออกมาอีกครั้ง

นอกจากจะมีจุดสีม่วงเข้มเกิดขึ้นบนตัวของปีศาจตนนี้แล้ว ส่วนอื่นก็ไม่ไม่อะไรเปลี่ยนไป

หลิ่วหมิวหรี่ตาลงรวบรวมพลังจิตสื่อสารกับปีศาจตนนี้

ครู่ต่อมาปีศาจตนนี้ก็ส่ายหัวพร้อมกับอ้าปากพ่นไอหมอกพิษไปยังผนังหินแถวนั้น

เสียงดัง “เพล้ง!”

ไอหมอกม้วนตัวกระจายออกมาปกคลุมผนังหินไว้ ครู่เดียวผนังหินแต่ละชั้นก็ละลายออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลพร้อมกับตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว แสงสีดำม้วนตัวออกมาจากในนั้นและย่อส่วนแมงป่องกระดูกขาวก่อนที่จะเก็บมันเข้าไป

เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวเรียกเมฆเทาก้อนหนึ่งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ทะยานพุ่งขึ้นไปตามเส้นทางที่ได้ขุดไว้

แต่พอเขาทะยานพ้นปากทางที่ขุดไว้ก็เห็นแสงสีเลือดที่ปรากฏตรงหน้า ดาบยาวสีเลือดฟันลงมาบริเวณด้านหน้าอย่างรวดเร็วจนเกือบจะฟันศีรษะเขาหลุดจากบ่า

ตอนที่เขาเหาะออกมานั้นดูเหมือนจะไม่มีป้องกันตัวใดๆ เลย แต่ด้วยความที่เขาเคยชินกับการที่ต้องอยู่อย่างระมัดระวังบนเกาะมฤตยูมานานหลายปี ทำให้กระบี่จันทราหยกที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อปรากฏขึ้นมาบนมือในทันที ในสถานการณ์แบบนี้เขาขยับแขนอย่างไม่ต้องคิดด้วยความรวดเร็วจนดูลางเลือน กระบี่สั้นเล่มนี้ก็มาบังอยู่ด้านหน้าเขาแล้ว

เสียงดัง “ตู้ม!” หลิ่วหมิงแค่รู้สึกร้อนที่แขนทั้งสองข้าง ร่างของเขาก็ถูกโจมตีด้วยพลังมหาศาลจนกระเด็นออกมาและชนเข้ากับโพรงไม้ด้านหลังอย่างรุนแรง

ยังไม่ทันที่เขาจะทรงตัวได้มั่นคงและรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากนั้น พลันมีเสียงหัวเราะเยาะอันคุ้นเคยดังเข้ามาในหู

จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นตรงหน้า คมวายุเจ็ดแปดเส้นพุ่งเข้ามาด้วยเสียงอันแหลมคม มันกะที่จะฟันเขาออกเป็นชิ้นๆ

ถ้าหากเป็นศิษย์ทั่วไป หลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ล่ะก็พลังเวทย์ภายในคงถูกรบกวนจนไม่สามารถทำการป้องกันใดๆ ได้ทันแล้ว

แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากนั้นเมื่อเขาส่งพลังผ่านจิตก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาบนแขนข้างหนึ่ง เส้นสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกมาจากในร่างเขาอย่างรวดเร็ว มันถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเงาร่างสีเขียวจางๆ ขณะเดียวกันร่างกายก็อ่อนตัวราวกับไร้กระดูกบิดคดเคียวจนเหมือนจะพับได้

หลิ่วหมิงหลบหลีกคมวายุส่วนมากได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ยังมีอีกสามเส้นที่ฟันลงมา แต่หลังจากที่มีเสียงดังติดต่อกันมันก็ค่อยสลายตัวไป

หลังจากที่ร่างของหลิ่วหมิงกลับมาเป็นปกติแล้วก็ค่อยๆ ลอยลงบนพื้นที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง

มีบาดแผลยาวเล็กบนหน้าอกของเขาไม่กี่แห่ง และมีเลือดไหลออกมา แต่ดูเหมือนบาดแผลจะไม่ค่อยลึกมากนัก เขาเพียงแค่ส่งพลังเวทย์ไปยังบริเวณปากแผลก็สามารถห้ามเลือดให้หยุดไหลได้

ขณะเดียวกัน เงาร่างสีเขียวอ่อนบนตัวเขานั้นก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นสิ่งของบางอย่าง มันคือเสื้อเกราะที่ถักทอมาจากเส้นเถาวัลย์จำนวนมาก ถึงแม้มันจะดูเรียบง่ายแต่ก็เพียงพอที่จะคุ้มกันร่างกายส่วนบนที่เป็นจุดสำคัญไว้ได้

มันคือเมล็ดเถาวัลย์ที่หลิ่วหมิงเพาะไว้บนแขน และกระตุ้นใช้มันในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ และมันก็กลายเป็นเสื้อเกราะคุ้มกันร่างกายไว้

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามจู่โจมแบบกะทันหันเกินไป ทำให้เสื้อเกราะไม่สามารถคุ้มกันร่างกายทั้งหมดได้ทัน เกรงว่าคงจะไม่มีบาดแผลเช่นนี้เกิดขึ้น

แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแสดงวิชาเถาวัลย์โลหิตนำมาซึ่งความเจ็บปวดราวกับเป็นตะคริว อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกลมีชายหญิงสองคนร่วมมือกันโจมตีเขา

ผู้ชายสวมชุดสีเลือดทั้งตัว ในมือถือดาบอยู่ หน้าตาดุร้าย ดูเหมือนจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี ผู้หญิงสมชุดนิกายวาตอัคคีรูปร่างสวยหยาดเยิ้ม ดวงตารียาว ในมือถือถือดาบสั้นสีเขียวอยู่เล่มหนึ่ง

สีหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าการจู่โจมเมื่อครู่นั้นล้มเหลวเหนือการคาดหมายของพวกเขาไปมาก

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด