ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 122 วิหคปีศาจกับวานรยักษ์

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 122 วิหคปีศาจกับวานรยักษ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 122 วิหคปีศาจกับวานรยักษ์

พอชื่อหยาง หลิงอวี้ และคนอื่นๆ ได้ยินก็รู้สึกตะลึงงันอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา

“ศิษย์นิกายข้าทั้งสิบคนที่เข้าไปในแดนลึกลับนั้น สหายเหลิ่งเยวี่ยก็เคยเห็นกับตามาแล้ว ท่านคิดว่ามีใครเข้าตาท่านบ้าง?” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็อึ้งไปทันทีแต่ก็รีบถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์คนอื่นๆ นั้นพูดยาก แต่ศิษย์สองคนที่มีใบหน้าคล้ายกันนั้นคงจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังจิตบางอย่างโดยเฉพาะใช่ไหม?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวอย่างราบเรียบ

“ไม่ผิด! ข้าเองก็สนใจพวกเขาทั้งสอง ถึงแม้การฝึกฝนของทั้งสองจะยังตื้นเขิน แต่คลื่นพลังจิตที่แผ่ออกมานั้นศิษย์ทั่วไปไม่อาจทำเช่นนี้ได้” อาจารย์อาเยี่ยนเองก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“เฮ่อๆ! พลังจิตที่ผิดปกติของสองพี่สองแซ่หลานนั้นไม่อาจปิดบังสหายทุกท่านได้ แท้จริงแล้วพวกเขาทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ไม่เพียงแต่จะมีพลังจิตแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีพรสวรรค์ในการครอบงำจิต ดังนั้นวิชาที่พวกเขาฝึกก็เป็นเคล็ดวิชาพลังจิตที่ร้ายกาจที่สุดของนิกายเอกะ” มู่หรงเซวี่ยนหัวเราะแล้วกล่าวด้วยสีหน้าทระนงองอาจ

“ครอบงำจิต? คือการรวมพลังจิตของคนหลายคนเข้าด้วยกันดังในตำนาน และคนๆ เดียวสามารถแสดงวิชาได้เทียบเท่ากับคนหลายคน!” สีหน้าเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“สหายเหลิ่งเยวี่ยมีความรู้กว้างไกลเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าครู่เดียวก็รู้วิธีการใช้ประโยชน์ของพลังนี้แล้ว แต่พลังเช่นนี้ใช้ได้กับพวกเขาแค่สองคนเท่านั้นไม่อาจครอบงำพลังจิตของคนอื่นๆ ให้มารวมกันได้” มู่หรงเซวี่ยนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“นี่เป็นพรสวรรค์ที่ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พลังจิตของศิษย์นิกายเอกะทั้งสองนี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก ถ้าสามารถแสดงเคล็ดวิชาการครอบงำจิตได้อีกล่ะก็ ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันก็ไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ มิน่าล่ะสหายมู่หรงยอมจ่ายค่าตอบแทนเป็นอย่างมากเพื่อโอกาสในการเข้าแดนลึกลับนี้ ไม่ทราบว่านิกายของท่านหาศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อันเหลือเชื่อนี้มาได้อย่างไร” หลวงจีนหลิงอวี้ถอนหายใจกล่าวอย่างฉิจฉา

“พี่หลิงอวี้กล่าวผิดแล้ว นิกายเอกะของพวกเราไม่ได้เป็นคนเสาะหาพี่น้องตระกูลหลานนี้ แต่พวกเขาเป็นทายาทสายตรงของผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสองสามรุ่นก่อนนั้นที่บากหน้านำสิ่งของมายืนยันตัวตน และมาอยู่นิกายของพวกเราได้ไม่ถึงปีกว่าๆ เมื่อตอนที่เข้ามานั้นพวกเขาก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเข้ามาอยู่ในตำแหน่งสิบศิษย์แกนนำของนิกายเราได้อย่างง่ายดาย” มู่หรงเซวี่ยนส่ายหน้ากล่าวออกมา

“บากหน้ามาเอง? นิกายเอกะได้ของล้ำค่าจริงๆ!” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวพึมพำ โดยที่ไม่สามารถปิดบังความอิจฉาที่ปรากฏบนใบหน้าได้

ตอนนี้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงศิษย์หญิงนิกายปีศาจที่มีร่างละเมอฝันอย่างเจียหลาน

ถ้าร่างละเมอฝันของเจียหลานเผชิญหน้ากับศิษย์นิกายเอกะทั้งสองล่ะก็ ร่างละเมอฝันไม่เพียงแต่จะใช้ไม่ได้ผลกับพวกเขา แต่ยังอาจจะถูกควบคุมไปด้วย

“เฮ่อๆ! นี่ก็กล่าวได้ว่านิกายของเราดวงดีมาก ถึงได้มีศิษย์เช่นนี้มาขอเข้านิกายเอง” มู่หรงเซวี่ยนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

คนอื่นๆ สบตากันสักพักแล้วต่างก็รู้สึกเป็นห่วงศิษย์ของตนเองขึ้นมาเล็กน้อย

ด้วยวิชาครอบงำจิตของสองพี่น้องตระกูลหลาน ถ้าหากแสดงเคล็ดวิชาพลังจิตที่มีอานุภาพร้ายแรงออกมา มันก็เพียงพอที่จะทำร้ายคู่ต่อสู้ในลักษณะที่ไร้ตัวตนได้ ซึ่งใครก็ไม่อาจบอกได้ว่าศิษย์ในนิกายของตนจะสามารถต้านทานมันได้

……

สองวันต่อมา บริเวณด้านล่างหน้าผาสูงชันตรงเชิงยอดเขาใหญ่ เจียหลานจ้องมองศิษย์หนุ่มนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้งด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่ในตาของนางมีแสงสีม่วงหมุนวนอยู่ไม่หยุด

ชายผู้นั้นถือกระบี่ยาวสีเงินยืนจ้องมองเจียหลานโดยไม่ขยับเขยื้อน แต่การแสดงออกบนใบหน้าเดี๋ยวก็ยิ้มแหยๆ เดี๋ยวก็กัดฟันกรอดๆ กระบี่ยาวในมือเขาเดี๋ยวก็ยกขึ้นเดี๋ยวก็วางลง ราวกับว่ามีคนสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีหยดเหงื่อโผล่ขึ้นมาบนหน้าผากเจียหลาน แต่หลังจากส่งเสียงฮัดฮัดออกมาแล้ว แสงสีม่วงในตาทั้งสองกลับเข้มขึ้นมากกว่าเดิม ถ้ามองดูอย่างละเอียดจะพบว่าในส่วนลึกของลูกตาทั้งสองจะมีอักขระขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารปรากฏอยู่ลางๆ

ร่างของชายนิกายจันทราสวรรค์เริ่มสั่นสะท้านก่อนที่จะยิ้มแหยๆ ออกมา จากนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าในแบบอื่นออกมาอีกเลย เขาค่อยๆ ยกกระบี่ยาวขึ้น สุดท้ายก็มาจี้อยู่บนต้นคอของตนเอง

สีหน้าของเจียหลานไร้ความรู้สึก แต่ก็คำรามเสียงต่ำออกมาในฉับพลัน

เสียงดัง “ตุ๊บ!”

ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ใช้กระบี่ยาวตัดศีรษะตนเองจนหลุดจากบ่า

ร่างไร้ศีรษะล้มลงบนพื้น แต่ศีรษะกลิ้งไปบนพื้นได้สองสามรอบก็หยุดลง แต่ใบหน้ายังยิ้มแหยๆ เช่นเดิม

เจียหลานถอนหายใจยาวออกมา แต่แก้มทั้งสองข้ามกลับมีสีแดงเข้มผิดปกติ นางรีบหยิบเม็ดโอสถสีฟ้าใส่ปากกลืนลงไป

จากนั้นแสงสีม่วงในตาทั้งสองก็จางหายไป นางกลับมาเป็นดรุณีน้อยธรรมดาที่สวยสดงดงามตามเดิม นางรีบนั่งขัดสมาธิลงเพื่อกำหนดลมหายใจเข้าฌานโดยไม่สนใจสิ่งใด จนเมื่อชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เจียหลานถึงได้ลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง

เขาจ้องมองร่างไร้ศีรษะก่อนที่จะส่ายหน้า แล้วก็จ้องมองไปยังต้นหญ้าเล็กสีเหลืองทองต้นหนึ่งที่อยู่บนหน้าผาสูง

ก่อนหน้านั้นที่ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์โจมตีนางแบบไม่ทันตั้งตัวก็เพื่อหญ้าหอกทองคำในตำนานต้นนี้

……

สามวันต่อมา หลิ่วหมิงปรากฏตัวบริเวณเนินเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงไหล่เขายักษ์ เขาเงยหน้ามองเขาสูงชันที่เป็นเส้นแนวดิ่งจนต้องขมวดคิ้วขึ้นมา

หลายวันนี้เขาค้นหาพืชหญ้าจิตวิญญาณจากบริเวณด้านล่างของเขายักษ์ และเก็บเกี่ยวมาได้ค่อนข้างมาก ในระหว่างนั้นยังฆ่าปีศาจอสูรไปสองสามตัว แถมยังพบกับศิษย์นิกายอื่นๆ หลายครั้ง

แต่ต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกันจึงไม่มีใครคิดจะลงมือ และพวกเขาต่างก็ทำเป็นมองไม่เห็นกันและกัน

เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้เข้าใจดีว่าคนที่ยังมีชีวิตรอดมาถึงบนเขาได้ คงไม่ใช่ผู้ที่อ่อนแออย่างแน่นอน

ถ้ายังไม่มีความมั่นใจ ต่างก็ย่อมไม่กล้าหลับหูหลับตาไปหาเรื่องอีกฝ่ายอย่างแน่นอน

พอเห็นว่ามีเวลาเหลือไม่ค่อยมากแล้ว หลิ่วหมิงถึงได้ออกไปจากหุบเขาเล็กๆ ที่มีพืชจิตวิญญาณค่อนข้างมากเพื่อขึ้นไปด้านบนอย่างน่าเสียดาย

เพราะว่าด้านบนเขาใหญ่ยังมียอดเขามากถึงห้าลูก หลิ่วหมิงย่อมเลือกไปยังยอดเขาที่อยู่ใกล้กับตัวเขาที่สุด

แต่ว่าตอนที่เขาเดินมาถึงสถานที่แห่งนี้ ด้านหน้าก็ไม่มีทางที่สามารถเดินไปต่อได้แล้ว ถ้าไม่ใช้มือเท้าทั้งสี่ปีนป่าย ก็ต้องแสดงวิชาทะยานเวหาเพื่อขี่เมฆเหาะขึ้นไป

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ก็มีเสียงร้องดังยาวอย่างน่าเวทนาดังมาจากบนยอดเขา จากนั้นก็มีเสียงแผดร้องดังขึ้น สิ่งของสีดำหล่นลงมาจากฟ้า มันดูราวกับจะหล่นลงมาโดนตัวเขาพอดี

เขารู้สึกหวาดกลัว ก่อนที่จะถอยไปไกลหลายจั้ง

ผลลัพธ์คือหลังจากที่มีเสียง “ตู้ม!” ดังขึ้น ร่างที่สวมชุดของศิษย์นิกายปีศาจก็หล่นลงบนหินแตกละเอียดตรงเนินเขาด้วยเลือดเนื้อที่ดูพร่ามัว

ใบหน้าหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขารีบมองขึ้นไปบนฟ้าแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จึงเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วก้มหน้าดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงใช้เท้าแตะให้พลิกตัวให้หงายขึ้นมา

“หมิ่นโซ่ว!”

ถึงแม้ใบหน้าจะถูกก้อนหินบนพื้นทุบจนเลือดไหลอยู่ตลอด แต่พอเขามองไปก็จำเจ้าของร่างนั้นได้ทันที ตอนนี้นี้ตกใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว

ก่อนหน้านั้นไม่นาน ศิษย์นิกายปีศาจสังกัดสาขาพิษจิตวิญญาณผู้นี้เคยกล่าวคำพูดข่มขู่เขาอยู่ ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะมาเสียชีวิตอยู่ข้างหน้าเขาเช่นนี้

หรือว่าจะมีคนแอบโจมตีอยู่ด้านบน?

หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบเรียกสติกลับมาแล้วก็สังเกตดูร่างไร้วิญญาณอยู่ไม่หยุด

ถึงแม้บนตัวศพจะเต็มไปด้วยเลือด แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาเสียชีวิต

เขามองไปยังศีรษะของศพด้วยตาที่เป็นประกาย

บนศีรษะมีรูเลือดขนาดใหญ่ และเลือดสดๆ ก็ไหลทะลักออกมาอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วก้มลงหยิบสิ่งของบางอย่างขึ้นมาจากเส้นผมของศพ จากนั้นก็วางมันลงบนฝ่ามือแล้วเริ่มตรวจสอบอย่างละเอียด

มันเป็นขนนกสีดำที่ดูแข็งแกร่งมาก ขอบของมันบางอย่างน่าอัศจรรย์ และแหลมคมยาวกับคมดาบ

หลังจากตรวจสอบดูขนนกสีดำในมือแล้ว สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

เกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว ไม่คาดคิดว่าบนนั้นจะมีวิหคปีศาจอยู่

ถึงแม้จะไม่ทราบว่าวิหคปีศาจตนนี้มีลักษณะอย่างไร แต่ดูจากรอยกรงเล็บบนศีรษะของหมิ่นโซ่วก็พอจะจินตนาการถึงความดุร้ายของมันได้

มิเช่นนั้นผู้ที่มีพิษไปทั้งตัวอย่างหมิ่นโซ่วคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เดิมทีวิหคปีศาจก็เป็นปีศาจอสูรที่รับมือยากอยู่แล้ว ต่อให้จะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจแค่ไหนเพียงแค่มันกระพือปีกบิน ไม่ว่าใครก็ตามก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ เท่านั้น

ถ้าถูกวิหคปีศาจโจมตีจากระยะไกล ก็คงได้แต่ภาวนาให้ตัวเองโชคดีแค่นั้น

หลิ่วหมิงส่ายศีรษะระงับความคิดที่จะขึ้นไปข้างบน หลังจากค้นเอาสิ่งของบนตัวหมิ่นโซ่วมาเก็บไว้แล้วก็ปล่อยลูกเปลวไฟออกมาเผาร่างนั้นจนกลายเป็นขี้เถ้า

เขาเปลี่ยนทิศทางไปยังยอดเขาอีกลูกที่อยู่ใกล้ๆ

……

สองชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขากำลังมองดูความคึกคักตรงป่าดงดิบที่อยู่ไม่ไกลแห่งหนึ่งด้วยความตะลึงจนตาค้าง

เขาเห็นชายหน้าดำที่มีปีกสีเงินติดอยู่ที่หลังกำลังกวัดแกว่งกระบองสีทองขนาดใหญ่ต่อสู้กับวานรยักษ์สูงหลายจั้งที่โอบท่อนไม้ใหญ่ด้วยเสียงอันดัง

คนหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว กระบองสีทองในมือกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงากระบองจำนวนมาก อีกตนหนึ่งก็หอบท่อนไม้ขนาดยาวสิบกว่าจั้ง มันแค่ปัดกวาดไปมาแบบง่ายๆ เพียงไม่กี่ครั้ง แต่มันก็รุนแรงราวกับหินแตกกระจายจนสวรรค์ตะลึง และทำให้คู่ต่อสู้ต้องถอยอยู่ไม่หยุด

สถานที่ที่หนึ่งคนหนึ่งวานรผ่าน ต้นไม้จำนวนมากแตกละเอียดเป็นจุน พริบตาเดียวก็มีหลุมขนาดต่างๆ เกิดขึ้นในป่าดงดิบมากมาย ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกอกสั่นขวัญหายอยู่ไม่หยุด

ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าไปใกล้สักหน่อย ไม่ว่าจะโดนท่อนไม้ใหญ่หรือกระบองสีทอง ก็คงเละเป็นชิ้นจนต้องร้องขอชีวิต

แต่หลังจากที่สอดส่ายสายตาไปมาเล็กน้อย ก็ค้นพบว่ายังมีคนหลายคนแอบซ่อนตัวอยู่บริเวณแถวนั้น

ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับชายหน้าดำหรือเป็นคนอื่นๆ ที่มีความคิดเช่นเดียวกับเขา

และในขณะนี้เองดูเหมือนว่าชายหน้าดำจะลุกฮือขึ้นมา พร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาตบสิ่งของบางอย่างตรงหน้าอกทันทีก่อนที่จะมีเสียงดังครืดคราดออกมา จากนั้นเสื้อเกราะสีเลือดก็ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันก็มีหนามไผ่สิบกว่าอันพุ่งออกมาจากด้านในของเสื้อเกราะ มันทั้งหมดแทงออกมาจากบริเวณหน้าอกของชายหนุ่ม

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด