ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 150 จัดอันดับ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 150 จัดอันดับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 150 จัดอันดับ

ที่แท้คนที่เข้าไปค้นรังวานรก่อนหน้าเขาก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งหุบเขาเก้าช่องนี้เอง!

ด้วยเหตุนี้ ทรัพยากรที่เก็บเกี่ยวได้มาทั้งหมดของศิษย์หุบช่องเก้าช่องทั้งสี่คนรวมกัน ก็เท่ากับหินจิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน

มูลค่าจำนวนนี้ทำให้หลวงจีนหลิงอวี้ทำเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยความไม่พอใจ

แต่หลังจากที่ศิษย์หอสายธารโลหิต และนิกายวาตอัคคีนำสิ่งของออกมานับดูแล้ว กลับทำให้สีหน้าของหลวงจีนหลิงอวี้ผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย

เพราะทรัพยากรที่ทั้งสองนิกายเก็บเกี่ยวมาได้นั้นสู้ของหุบเขาเก้าช่องไม่ได้

นิกายวาตอัคคีได้มาน้อยสุด ซึ่งเก็บเกี่ยวได้เท่ากับหินจิตวิญญาณเพียงเจ็ดแสนก้อนเท่านั้น และเป็นเพราะเซวี่ยชื่อนำไข่จิตวิญญาณของเหยี่ยวขนเหล็กออกมา จึงทำให้ผลการเก็บเกี่ยวของหอสายธารโลหิตสูงขึ้นไปถึงเก้าแสนก้อนหินจิตวิญญาณ

ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอสายธารโลหิตกับชื่อหยางมีสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก

ไม่นานก็เหลือเพียงแค่นิกายเอกะกับนิกายปีศาจเท่านั้น

อาจารย์ปู่เยี่ยนเห็นเช่นนี้ก็กระแอมไอเบาๆ ออกมา ประมุขนิกายปีศาจรับรู้ถึงเจตนารีบให้หยางเฉียน หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ อีกสามคนเดินไปข้างหน้าในทันที

หลิ่วหมิงได้ลองตรวจสอบหอยสังข์ย่อส่วนตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่สามารถใช้พลังจิตตรวจสอบได้ และเขาก็ได้นำมันมาซ่อนไว้ใต้ผิวหนังตรงแขนตามที่สัตว์ประหลาดครึ่งมังกรทำ แต่ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับการตรวจสอบของผู้อาวุโสระดับผลึก เขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ แต่ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาทางสีหน้า เขาเพียงแค่เดินไปข้างหน้าแล้วหยิบผ้าย่อส่วนออกมาสะบัดเบาๆ

สิ่งของมากมายได้ปรากฏขึ้นบนพื้น เห็นได้ชัดว่ามันมีกว่าของหยางเฉียน และคนอื่นๆ มาก

สิ่งนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจอุทานออกมาเบาๆ แม้แต่อาจารย์ปู่เยี่ยนก็อดที่มองดูหลิ่วหมิงไม่ได้

ผู้ที่มีทรัพยากรรองลงมาจากหลิ่วหมิงก็คือหยางเฉียน และในกองสิ่งของของเขาก็มีน้ำเต้าสีเหลืองอ่อนอยู่ใบหนึ่ง

ส่วนของคนอื่นๆ นั้น เห็นได้ชัดว่ามีน้อยกว่าพวกเขาทั้งสองมาก

เกาชงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขากับเฟิงฉานร่วมมือกับคนอื่นๆ เพื่อจัดการอสูรสิงห์พยัคฆ์จนทำให้เสียเวลาไปหลายวัน ไหนเลยจะเก็บเกี่ยวมาได้น้อยถึงเพียงนี้

ผู้อาวุโสหอสายธารโลหิตที่เคยมีประสบการณ์ตรวจสอบไปแล้วหนึ่งรอบ ก็รีบเข้ามาทางด้านหยางเฉียนเพื่อตรวจสอบน้ำเต้าสีเหลืองใบนั้น จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“นี่ก็เป็นสุราจิตวิญญาณ ทั้งยังมีคุณภาพแบบเดียวกับน้ำเต้าใบเมื่อครู่ไม่มีผิด ควรจะให้มูลค่าเท่ากัน”

“ผู้อาวุโสเฉียบแหลมยิ่งนัก สุราจิตวิญญาณเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้น้อยกับพี่อวิ๋นไปหามาจากรังของปีศาจวานรด้วยกัน และก็แบ่งกันคนละครึ่ง” หยางเฉียนกล่าวอย่างนอบน้อม

“อืม! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องประเมินมูลค่าของสุราจิตวิญญาณแล้ว ให้หินจิตวิญญาณห้าแสนก้อนเท่ากันละกัน สหายท่านอื่นคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ใช่ไหม!” ผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านนี้คิดไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนที่กล่าวกับคนอื่นๆ

คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

ต่อมาคนจำนวนหนึ่งก็เริ่มตรวจสอบทรัพยากรที่กองอยู่บนพื้น

เพราะว่าเกาชงและศิษย์อีกสองคนมีทรัพยากรไม่มาก ดังนั้นจึงถูกตรวจสอบก่อน หลังจากตรวจสอบแล้วก็พบว่ามีมูลค่าไม่ถึงสองแสนก้อนหินจิตวิญญาณ ซึ่งเทียบไม่ได้กับศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปของนิกายอื่น

แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ‘บัวพลังวารี’ ที่เจียหลานได้มาจากการฆ่าปีศาจอสูรสามตนที่อยู่ในแดนลึกลับนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในกองสิ่งของด้วย

ไม่รู้ว่าถูกนางกินเข้าไปแล้ว หรือว่าใช้วิธีการอื่นใดเก็บซ่อนไว้

“หินจิตวิญญาณสามแสนห้าหมื่นก้อน”

“หินจิตวิญญาณสามแสนแปดหมื่นก้อน”

ทรัพยากรของหยางเฉียนกับหลิ่วหมิงถูกนับออกมาตามลำดับ ผลลัพธ์คือหลิ่วหมิงมีมูลค่าของหินจิตวิญญาณมากกว่าหยางเฉียนที่มีสุราจิตวิญญาณสามหมื่นก้อน

เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์นี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจและคนจำนวนหนึ่งรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เมื่อรวมผลการเก็บเกี่ยวของศิษย์นิกายปีศาจทั้งห้าคนเข้าด้วยกันแล้ว ถึงแม้จะสู้ของนิกายจันทราสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็อยู่เหนือกว่าหุบเขาเก้าช่อง

ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนี้!

สิ่งของในกล่องหยกที่หลิ่วหมิงได้รับจากสัตว์ประหลาดครึ่งมังกรในตอนหลัง ล้วนเป็นวัตถุจิตวิญญาณที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง ถึงแม้ลำพังแค่ของอย่างเดียวไม่อาจเทียบได้กับสุราจิตวิญญาณ แต่เมื่อรวมกันเจ็ดแปดอย่างขึ้นไปกลับมีมูลค่าสูงกว่าสุราจิตวิญญาณ

นักพรตแซ่จางที่เข้าร่วมตรวจสอบด้วยก็ได้เข้าไปตรวจสอบสิ่งของตรงหน้าหลิ่วหมิงอีกรอบ สุดท้ายถึงพยักหน้ากับประมุขนิกายปีศาจเพื่อแสดงว่าไม่มีข้อผิดพลาด

ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ย่อมมองมาด้วยความดีใจเป็นธรรมดา

อาจารย์ปู่เยี่ยนได้ยินก็กล่าวกับประมุขนิกายปีศาจด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าเด็กคนนี้มีนามว่าอะไร อยู่ใต้สาขาของใคร? ครั้งนี้เขาแสดงออกได้ไม่เลว กลับไปจะต้องให้รางวัลเขาอย่างงาม”

“เรียนอาจารย์อา เด็กคนมีนามว่าไป๋ชงเทียน เป็นศิษย์ที่ศิษย์น้องจงแห่งสาขาเก้าทารกเพิ่งจะรับเป็นศิษย์ติดตาม เขาแสดงออกได้โดดเด่นถึงเพียงนี้ เหนือความคาดหมายของศิษย์หลานมาก รอกลับไปแล้วทางนิกายจะต้องตบรางวัลให้เขาอย่างแน่นอน” พอประมุขนิกายปีศาจเห็นอาจารย์อาของตนเองสนใจหลิ่วหมิงก็รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันเขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่า กลับไปจะต้องสั่งให้เกาชงห้ามไปยุ่งกับศิษย์นิกายสายนอกอย่างมู่หมิงจูอีก อย่างมากก็แค่หาคนอื่นมาเป็นเตาหลอมพลังให้ก็พอแล้ว

อาจารย์ปู่เยี่ยนได้ยินก็พยักหน้าด้วยความพอใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

ส่วนเกาชงเมื่อได้ยินจำนวนผลการเก็บเกี่ยวของหลิ่วหมิง สีหน้าก็ค่อยๆ เขียวปั๊ดขึ้นมา

เขารู้อยู่แก่ใจดีว่า ถึงแม้ตนเองจะเป็นที่โปรดปราณของประมุขนิกายปีศาจ แต่ด้วยผลงานของหลิ่วหมิงในตอนนี้ เกรงว่าต่อให้เขาอยากใช้อำนาจในนิกายบีบคั้นฝ่ายตรงข้ามก็คงไม่อาจทำได้แล้ว

แน่นอนถ้าหากเขาก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ ทุกอย่างก็จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่เกาชงคิดใคร่ครวญแล้ว ก็คิดที่จะกลับไปหาทุกวิถีทางเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณให้ได้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที

ขณะนี้อาจารย์ปู่เยี่ยนเองก็ใช้พลังจิตตรวจสอบร่างของหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ ตามปกติ เพื่อดูว่าพวกเขาจะยังซ่อนอะไรไว้อีกบ้าง

ถึงแม้ว่าบนตัวหลิ่วหมิงจะเคยมียันต์เก็บของสองสามผืน แต่เขาก็ได้เอาออกมาในก่อนหน้านั้นแล้ว และก็ให้คนอื่นๆ ตรวจสอบดูแล้วว่าในนั้นไม่มีสิ่งของใดๆ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม เมื่อพลังจิตที่แข็งแกร่งกวาดเข้ามาบนตัวของเขา ก็ทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างอดไม่ได้

โชคดีที่แรงกดดันจากพลังจิตที่แข็งแกร่งของผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านี้ก็ทำให้ศิษย์คนอื่นๆ มีสีหน้าที่ไม่ดีด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่าสีหน้าเขาปกติจะยิ่งน่าสงสัยไปใหญ่

เมื่อพลังจิตทั้งหมดถอนตัวกลับไปหมด และผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ แล้ว หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมา

“ที่แท้ก็ไม่มีนิกายไหนได้มังกรแดงตนนั้นไป! สหายมู่หรง ศิษย์นิกายเอกะของท่านก็ไม่มีหรอกหรือ?” ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอสายธารโลหิตถามมู่หรงเซวี่ยนอย่างอดไม่ได้

“ฮึ! ศิษย์นิกายพวกท่านไม่เคยเจอมังกรแดงตนนั้น แล้วศิษย์นิกายข้าจะต้องเจอด้วยเหรอ? หรือสหายท่านคิดว่าศิษย์นิกายข้าจะกล้าปิดบังข้า!” มู่หรงเซวี่ยนได้ยินก็กล่าวพร้อมกับทำสายตามองบน

“เฮ่อๆ! สหายทั้งสองใยต้องทะเลาะกันด้วย ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นเดี๋ยวพวกเราก็จะรู้เอง! พี่มู่หรง ให้ศิษย์นิกายท่านนำสิ่งของออกมาเถอะ!” ชื่อหยางกลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

“พวกเจ้าเอาสิ่งของออกมาให้หมด ห้ามเหลือสิ่งใดไว้ จะได้ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจอะไรผิดอีก” มู่หรงเซวี่ยนมีสีหน้าอึมครึม แต่ยังคงหันไปกล่าวเสียงต่ำกับศิษย์นิกายเอกะ

ศิษย์นิกายเอกะทั้งห้าได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับแล้วเดินหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็ค่อยๆ หยิบผ้าย่อส่วนออกมา

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิงอวี้ ชื่อหยาง และคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา

นิกายเอกะเก็บเกี่ยวทรัพยากรมาได้มูลค่าประมาณหินจิตวิญญาณหนึ่งล้านก้อน แต่ไหนเลยจะมีร่องรอยของมังกรแดง

และตั้งแต่ที่ศิษย์แต่ละนิกายออกมาจากแดนลึกลับ ผู้อาวุโสระดับผลึกก็รีบจับสังเกตในทันที และพวกเขาก็ไม่เจอศิษย์คนไหนทำการแอบย้ายสิ่งของที่เก็บเกี่ยวมาได้แต่อย่างใด

ถ้ำนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ดังนั้นพลังจิตของผู้อาวุโสระดับผลึกจึงครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่อยู่แล้ว

และด้วยกลิ่นไอเฉพาะตัวของมังกรแดงตนนั้น ต่อให้จะหยิบเกล็ดมังกรออกจากพื้นที่ของผ้าย่อส่วนก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตาของพวกเขาไปได้

“เฮ้อ! ดูเหมือนศิษย์ของแต่ละนิกายคงจะไม่มีโชคจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะไม่มีคนได้พบเจอกับมังกรแดงตนนั้น ช่างเป็นเรื่องที่คำนวณผิดพลาดจริงๆ” หลวงจีนหลิงอวี้ถอนหายใจกล่าวออกมา

“มันก็ไม่แน่ เพียงแต่ว่าศิษย์ที่พบเจอกับมันอาจจะเสียชีวิตในเงื้อมมือมันแล้ว” มู่หรงเซวี่ยนหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา

“ตอนนี้มาพูดเรื่องนี้จะมีประโยชน์อันใด เฮ่อๆ! ในเมื่อไม่มีใครได้มังกรแดงตนนั้นไป ก็เท่ากับหมดความยุ่งยากไปด้วย แสดงให้เห็นว่าโชคของพวกเรายังมาไม่ถึง” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กลับกล่าว ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก คนอื่นๆ ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“ใช่สิ! อันดับผลการทดสอบในครั้งนี้ออกมาแล้ว สหายทุกท่านมีข้อคัดค้านใดๆ หรือไม่?” อาจารย์ปู่เยี่ยนตาเป็นประกายแล้วกล่าวออกมา

“เฮ่อๆ! ดูท่าพี่เยี่ยนจะพอใจกับอันดับการทดสอบในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ในเมื่อก่อนหน้านั้นพวกข้าเคยพูดแล้วว่าการทดสอบในครั้งนี้ให้ใช้ผลการเก็บเกี่ยวมาตัดสิน ย่อมไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะกลับคำพูด สหายท่านอื่นๆ คิดเห็นว่าอย่างไร?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่หัวเราะและหันไปถามคนอื่นๆ

สำหรับเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ท่านนี้แล้ว หลายปีมานี้พลังของหอสายธารโลหิตพัฒนารวดเร็วมาก จนเริ่มเป็นภัยคุกคามนิกายจันทราสวรรค์เล็กน้อยแล้ว ดังนั้นนางจึงมีความสุขที่กดดันฝ่ายตรงข้ามได้

“อย่างไรการทดสอบก็เป็นการตัดสินเพื่อจัดอันดับเพียงแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น ครั้งหน้าหอสายธารโลหิตของเราจะต้องมาชิงตำแหน่งเดิมกลับมาให้ได้” ถึงแม้เซวี่ยหลิงจะมีสีหน้าอึมครึม แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายอมรับผลการทดสอบในครั้งนี้

ในเมื่อหอสายธารโลหิตที่เป็นรองแค่นิกายจันทราสวรรค์ไม่ได้ผิดคำสัญญา หลวงจีนหลิงอวี้ และคนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าคัดค้านแต่อย่างใด

ดังนั้นเหลิ่งเยวี่ยซือไท่จึงประกาศยืนยันผลการทดสอบในครั้งนี้ทันที ส่วนทรัพยากรที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงอันดับนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ผู้อาวุโสระดับผลึกอย่างพวกเขาต้องมาพะวง

แน่นอนว่าให้อาจารย์จิตวิญญาณของแต่ละนิกายตกลงกันเอง

ครึ่งวันผ่านไป ก็มีเสียงดังกึกก้องขึ้นที่ทะสาบสยบมังกร เรือกระดูกขนาดยักษ์ลำหนึ่งพาหลิ่วหมิง และคนจำนวนหนึ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า มุ่งหน้าไปยังนิกายปีศาจ

……

ครึ่งเดือนผ่านไป ทั่วทั้งนิกายปีศาจต่างก็ฮือฮาขึ้นมา

ศิษย์เกือบทุกคนต่างรู้แล้วว่าการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ ศิษย์ในนิกายแสดงความสามารถได้ยอดเยี่ยม จนชิงอันดับสองมาได้

บรรดาศิษย์ในนิกายต่างก็รู้จักศิษย์ทั้งหมดที่เข้าร่วมการทดสอบ

แต่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงมากสุดกลับไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่อย่างหยางเฉียน แต่เป็นหลิ่วหมิงที่เป็นศิษย์แกนนำคนใหม่

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด