ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 152 กำแพงเก็บเงากับนี่โห่ว

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 152 กำแพงเก็บเงากับนี่โห่ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 152 กำแพงเก็บเงากับนี่โห่ว

จากนั้นนักพรตวันกลางคนก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น พร้อมกับหยิบกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือออกมาสองใบ และส่งให้หลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณ แล้วรีบรับกล่องหยกมาอย่างใจจดใจจ่อก่อนที่จะเปิดฝาของมันออกในทันที

กล่องหยกใบหนึ่งบรรจุขวดหยกสีดำราวกับหมึก ส่วนกล่องหยกอีกใบกลับบรรจุแผ่นป้ายสีเงินจางๆ บนนั้นมีอักษรคำว่า “จิตวิญญาณ” สลักไว้

“นี่คือ…” หลิ่วหมิงแสดงสีหน้างงงวยอย่างอดไม่ได้

กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้กลับยิ้มน้อยๆ และอธิบายออกมา

“ศิษย์หลานไป๋ ของทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องใช้ในตอนที่ทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าหากใช้แต้มคุณูปการแลกล่ะก็ต้องมีถึงหลักหมื่นแต้ม ไม่อย่างนั้นก็อย่าแม้แต่จะคิดที่จะได้มันมาครอบครอง ในขวดหยกสีดำนี้คือไอปีศาจบริสุทธิ์ ถ้าอยากจะควบแน่นไอปีศาจบริสุทธิ์ให้เป็นปราณแข็งแกร่ง แล้วกลั่นปราณแข็งแกร่งที่ปกป้องร่างออกมาเพื่อเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณจะขาดของสิ่งนี้ไปไม่ได้ ส่วนแผ่นป้ายนั้นเป็นสิ่งที่ใช้ในการเข้าบ่อจิตวิญญาณของนิกายเรา ในเมื่อมันเป็นแผ่นป้ายสีเงินก็แสดงว่าเจ้าสามารถเข้าไปในนั้นได้หนึ่งเดือน”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณอาจารย์อาจาง!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเก็บของทั้งสองสิ่งเข้าไปอย่างระมัดระวัง

“ศิษย์น้องจาง สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายต้องได้รับอยู่แล้ว มันคนละอันกับของรางวัลที่เจ้าว่าใช่ไหม” จูชื่อยิ้มและกล่าวแทรกขึ้นมา

“ศิษย์น้องจูอย่างเพิ่งใจร้อนไป นอกจากของเหล่านี้แล้วย่อมมีของรางวัลอื่นๆ อีก สำหรับศิษย์หลานไป๋ นิกายเรายังมอบแต้มคุณูปการเป็นรางวัลให้เจ้าสามพันแต้มกับให้โอกาสทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาที่หอบูรพาจารย์อีกหนึ่งคืน” นักพรตวัยกลางคนกล่าวแบบไม่รีบร้อน

“อะไรนะ! มีโอกาสทำความเข้าใจกำแพงเก็บเงาหนึ่งคืน” ครั้งนี้กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนต่างก็รู้สึกตกตะลึง และนักพรตแซ่จงก็เผลอหลุดปากพูดออกมา

“ศิษย์พี่กุย พวกท่านก็รู้ว่ากำแพงเก็บเงาที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ในปีนั้นมีพลังไม่มากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าครั้งนี้ศิษย์หลานไป๋กับศิษย์หลานหยางสร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงล่ะก็ อาจารย์อาเยี่ยนคงจะไม่ตอบรับคำขอนี้จากศิษย์พี่ท่านประมุขอย่างแน่นอน” นักพรตแซ่จางเองก็กล่าวด้วยความอิจฉา

หลิ่วหมิงกลับจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ว่ากำแพงเก็บเงานั้นแท้จริงแล้วมันคืออะไร

แต่ในเมื่อนักพรตแซ่จงไม่พูดถึงแต้มคุณูปการสามพันแต้ม ประจักษ์ชัดว่าสิ่งของอย่างหลังคงมีมูลค่าสูงกว่ามาก

“ดูท่าครั้งนี้ท่านประมุขคงจะตบรางวัลให้พวกเขาอย่างงามจริงๆ กำแพงเก็บเงานั้นอาจารย์อาเยี่ยนเป็นผู้ดูแลด้วยตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ตามกฎแล้วมีเพียงแค่ศิษย์ที่ก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณเท่านั้น ที่ท่านยอมแหกกฎให้ไปทำความเข้าใจได้หนึ่งคืน เรื่องราวเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาอีกเดี๋ยวศิษย์น้องจะชี้แนะศิษย์หลานไป๋ด้วยตนเองใช่ไหม อย่าให้โอกาสอันดีนี้สูญเปล่าล่ะ” หลังจากที่สีหน้าตกตะลึงของกุยหรูฉวนหายไปแล้วก็ได้กล่าวกับนักพรตแซ่จงด้วยท่าทีที่เคร่งขรึม

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะอธิบายเรื่องเกี่ยวกับกำแพงเก็บเงาให้เขาฟังอย่างละเอียดเอง ชงเทียน เย็นนี้เจ้าไปยังที่พักข้าสักครา ข้ายังมีเรื่องอื่นๆ จะคุยกับเจ้า ตอนนี้หยิบป้ายประจำตัวออกมาให้อาจารย์อาจางใส่แต้มคุณูปการสามพันแต้มให้เจ้าก่อนเถอะ” นักพรตแซ่จงพยักหน้าด้วยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็หันไปสั่งหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าและขานตอบรับ จากนั้นก็ดึงป้ายประจำตัวที่อยู่ตรงคอออกมายื่นให้นักพรตแซ่จาง

นักพรตแซ่จางหยิบกระบองสั้นสีทองมาแตะลงบนแผ่นป้ายสองสามครั้ง และส่งคืนให้หลิ่วหมิงพร้อมกับกล่าวว่า

“สองก่อนหน้าทั้งหมดนี้เป็นรางวัลจากนิกายเรา และของรางวัลจากแต่ละนิกายที่เข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายก็คือหนึ่งในสิบของทรัพยากรที่เจ้านำมาจากแดนลึกลับ ตอนนี้ทางนิกายมีตัวเลือกให้เจ้าสองตัวเลือก อย่างแรกคือไม่ว่าวัตถุจิตวิญญาณใดๆ ก็ตามที่เจ้าได้มาจากแดนลึกลับจะตกเป็นของเจ้าหนึ่งในสิบ แต่ถ้ามีของที่ไม่สามารถแบ่งแยกได้ ก็ให้คิดเป็นหินจิตวิญญาณแทน อย่างที่สองคือเปลี่ยนทรัพยากรเหล่านี้เป็นหินจิตวิญญาณให้หมดแล้วมอบให้เจ้า โดยที่ราคามันจะสูงกว่าท้องตลาดในตอนนี้ถึงหนึ่งในสิบส่วน ข้าแนะนำให้เจ้าเลือกอย่างหลังจะดีกว่า เพราะว่าวัตถุจิตวิญญาณเหล่านั้นต่างก็เป็นสิ่งที่นิกายต้องกายเป็นอย่างยิ่ง และก็มีเพียงแค่นิกายเท่านั้นที่สามารถทำให้มันสำแดงผลลัพธ์ที่แท้จริงออกมาได้ อีกอย่างถ้าวัตถุจิตวิญญาณเหล่านี้ตกอยู่ในมือของเจ้าล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจจะก่อให้เกิดเรื่องยุ่งยากที่คาดไม่ถึงก็เป็นได้”

“ฮึ! หรือว่าในนิกายยังมีคนคิดไม่ดีต่อศิษย์ของข้ารึ?” พอนักพรตแซ่จงได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

“เฮ่อๆ! มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าคนนอกนิกายล่ะก็พูดยาก อีกอย่างศิษย์หลานหยางและคนอื่นๆ ต่างก็เลือกเอาหินจิตวิญญาณ ถ้าหากว่ามีศิษย์หลานไป๋คนเดียวที่เลือกเอาพืชจิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่ามันจะดูไม่ค่อยดีนัก” นักพรตวัยกลางคนฝืนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

“ช่างเถอะ! ในเมื่อศิษย์น้องจางพูดขนาดนี้แล้ว ก็ให้ศิษย์หลานไป๋เลือกหินจิตวิญญาณเถอะ!” กุยหรูฉวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์พี่พูดขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ชงเทียน เจ้าว่าอย่างไร?” นักพรตแซ่จงถอนหายใจแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง

“ศิษย์ขอทำตามคำสั่งอาจารย์!” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล

“เฮ่อๆ! ดีมาก นี่คือหินจิตวิญญาณสี่หมื่นสองพันก้อน ศิษย์หลานไป๋ เจ้ารับมันไปเถอะ!” นักพรตวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็หยิบถุงผ้าออกมาจากอกแล้วโยนให้หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงยื่นมือไปรับถุง และเปิดดูข้างในเล็กน้อย ในนั้นมีหินจิตวิญญาณระดับกลางอยู่ยี่สิบก้อนกับหินจิตวิญญาณสีขาวราวกับหยก พื้นผิวของมันเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก และแผ่กลิ่นไอพลังอันน่าตกใจมากกว่าหินจิตวิญญาณระดับกลางมาก

“นี่คือหินจิตวิญญาณระดับสูง!”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นหินจิตวิญญาณระดับนี้ เขาจ้องมองมันด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นถึงปิดถุงผ้าแล้วเก็บเข้าไป

“ดี! เสร็จเรื่องแล้วข้าขอลาก่อน” นักพรตวัยกลางคนกล่าวลาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

กุยหรูฉวน และอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่างก็ลุกไปส่ง

เมื่อพวกเขากลับเข้ามาหลิ่วหมิงก็กล่าวลาเช่นกัน

เมื่อร่างหลิ่วหมิงหายลับไปจากประตูใหญ่ จูชื่อก็ละสายตาพร้อมกับถอนหายใจออกมา

“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ถ้าหากว่าสามารถใช้หินจิตวิญญาณแลกกับพืชจิตวิญญาณของศิษย์หลานไป๋ได้ล่ะก็ ข้าคงใช้หินจิตวิญญาณของตนเองแลกไปแล้ว ใยต้องส่งคืนให้ทางนิกายด้วยเล่า ข้าเคยเห็นพืชจิตวิญญาณที่ศิษย์หลานไป๋นำออกมาจากแดนลึกลับ ในนั้นมีพืชจิตวิญญาณจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา ถึงแม้จะมีแค่หนึ่งในสิบส่วน แต่ก็ไม่แน่ว่ามันอาจช่วยพวกเราให้ทะลวงปัญหาคอขวดที่ต้องเผชิญได้”

“ช่างเถอะ! พืชจิตวิญญาณที่ศิษย์หลายไป๋นำออกมานี้เป็นของล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง อาจารย์อาเยี่ยนกับศิษย์พี่ท่านประมุขคงไม่ยอมให้ของเหล่านี้ตกอยู่ในสาขาหรอก ในทางตรงกันข้ามถ้าหากนิกายเราใช้ทรัพยากรชุดนี้จริงๆ ก็ใช่ว่าพวกเราจะไม่มีโอกาสได้รับผลประโยชน์จากมัน” กุยหรูฉวนได้ยินกลับส่ายหน้ากล่าวออกมา

“หวังว่ามันคงจะเป็นเช่นนั้น แต่ผลงานของศิษย์หลานไป๋ในนั้นครั้งนี้ทำให้สาขาของเราเข้าไปอยู่ห้าอันดับแรกของสาขาต่างๆ แล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปอีกหลายปีทรัพยากรที่สาขาเราได้รับก็จะมากกว่าแต่ก่อนอย่างน้อยเท่าตัว พวกเราก็เองก็โล่งใจไปเปราะหนึ่งด้วย น่าเสียดายที่ศิษย์หลานสือไม่ได้ออกมาจากแดนลึกลับ มิเช่นนั้นอันดับของสาขาเราคงสูงขึ้นอีกขั้น” จูชื่อพลันพูดถึงสือชวนขึ้นมา

“ในเมื่อเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายย่อมมีคนตายเป็นธรรมดา คิดเสียว่าสือชวนมีวาสนาไม่มากพอ แต่ครั้งนี้หัวบินก็ได้หายไปด้วย มันเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับศิษย์น้องจงมาก เดิมทีข้ากะรอให้พลังของหัวบินตนนี้ฟื้นฟูแล้วค่อยมอบให้ศิษย์น้องควบคุมมัน” กุยหรูฉวนได้ยินสีหน้าก็หม่นหมองขึ้นมา แต่ก็กล่าวกับนักพรตแซ่จงด้วยความรู้สึกเสียใจ

“ไม่เป็นไรหรอก! ในปีนั้นหัวบินตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส และยังถูกปิดผนึกมานานหลายปี พลังมันคงอยู่ต่ำกว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณแล้ว ถ้ารอมันฟื้นฟูมาได้ล่ะก็ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่กล้ามอบมันให้ศิษย์หลานสือใช้หรอก” นักพรตแซ่จงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“ต่อให้พลังของหัวบินตนนี้จะลดลงไปอย่างมาก แต่มันก็ยังเป็นหัวปีศาจระดับสี่ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีพลังแฝงในการเปลี่ยนเป็นเก้าทารกได้ด้วย มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าพูดหรอก เอาอย่างนี้เถอะ! กลับไปข้ากับศิษย์น้องจูจะลองคลายผนึกนี่โห่วตนนั้น ถึงแม้ว่าพลังของมันจะสู้หัวบินไม่ได้ แต่มันก็เป็นหัวปีศาจระดับสี่เหมือนกัน แต่การคลายผนึกคงต้องใช้เวลานิดหน่อย และตอนที่ปราบมันศิษย์น้องก็ต้องเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก” กุยหรูฉวนลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวกับนักพรตแซ่จง

“อะไรนะ! ศิษย์พี่ไม่เสียดายที่จะมอบหัวปีศาจตนนี้ให้ข้า!” นักพรตแซ่จงได้ยินก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา

“นี่ไม่ใช่เรื่องเสียดายหรือไม่เสียดาย มันไม่ง่ายที่ตอนนี้สาขาเราสามารถหลุดพ้นจากจุดต่ำสุดได้ ผู้อาวุโสอย่างพวกเราทั้งสามก็จำเป็นต้องเพิ่มพลังให้แข็งแกร่งโดยเร็ว แบบนี้ถึงจะสามารถรักษาอันดับไว้ได้ และในสาขาเราผู้ที่สามารถควบคุมหัวปีศาจระดับสี่ได้ก็มีแค่ข้ากับศิษย์น้องเท่านั้น ก่อนหน้านี้ที่ข้าไม่ยอมมอบนี่โห่วนี้ให้เจ้า ก็เพราะกลัวว่าระดับการฝึกฝนของเจ้ายังไม่เพียงพอซึ่งเจ้าอาจถูกทำร้ายได้” กุยหรูฉวนยิ้มขมขื่นแล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่กล้าพูดว่าสามารถสยบนี่โห่วได้อย่างแน่นอน แต่ก็พอจะเชื่อมั่นได้เจ็ดในสิบส่วนขึ้นไป” นักพรตแซ่จงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องมั่นใจเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี เอาล่ะ! เรื่องเกี่ยวกับศิษย์หลานไป๋ให้ศิษย์น้องไปจัดการก็แล้วกัน ถึงแม้พวกเราจะไม่ได้คาดหวังให้เขามีศักยภาพก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ แต่อย่างไรเขาก็สร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกายเรา ฉะนั้นศิษย์น้องต้องให้กำลังใจเขาหน่อย” จูชื่อกล่าว

“เรื่องนี้ศิษย์พี่ไม่พูด ข้าก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร” นักพรตแซ่จงกล่าวโดยไม่ต้องคิด

……

ตอนเย็น หลิ่วหมิงออกไปจากที่พักเพื่อไปยังยอดเขาอีกครั้ง และมุ่งไปยังหอที่งดงามละเอียดอ่อนแห่งหนึ่ง

ยังไม่ทันที่เขาจะไปเคาะประตู ก็มีเสียงราบเรียบของนักพรตแซ่จงดังมาจากข้างใน

“ชงเทียนมาถึงแล้วใช่ไหม เข้ามาเถอะ ข้าได้คลายผนึกจำกัดตรงประตูแล้ว”

“ทราบ! อาจารย์!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกเย็นยะเยือก และกล่าวออกไปอย่างนอบน้อม

จากนั้นเขาก็ผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

นักพรตแซ่จงกำลังถือคัมภีร์หนังโบราณสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้องโถงชั้นแรก ดูเหมือนกับว่านางนั่งรออยู่นานแล้ว

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด