ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 166 ไป๋เยียนเอ๋อร์

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 166 ไป๋เยียนเอ๋อร์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 166 ไป๋เยียนเอ๋อร์

“ทำไมจะไม่ได้ เจ้าเด็กแซ่หลิ่วนั่นเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ ไม่ว่าจะด้วยพลังหรือสถานะล้วนเหมาะสมกับเยียนเอ๋อร์เป็นอย่างมาก ที่เขาไม่สนใจคุณหนูผู้ฝึกปราณของตระกูลมู่ผู้นั้น ก็เพราะว่าสถานะต่างกันมาก เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดที่ให้อภัยกันได้ แต่ด้วยรูปร่างหน้าตากับสถานะศิษย์จิตวิญญาณของเยียนเอ๋อร์ ถ้ามอบกายให้เขาล่ะก็ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่เกิดอารมณ์หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ใช่ว่าข้าเคยไปสืบหาที่มาของเขาแล้วเหรอ เขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลผู้ฝึกปราณ เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่หนีเอาชีวิตรอดมาจากเกาะมฤตยูเท่านั้น ถ้าหากพี่ใหญ่ได้เขาเป็นเขยล่ะก็ ยังต้องกลัวว่าเขาจะไม่ช่วยตระกูลไป๋เราหรือ?” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวด้วยความตื่นเต้น

หญิงชราฟังมาถึงจุดนี้ ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางก็ให้ความสนใจเช่นกัน

“ท่านแม่ น้องรอง พวกท่านอย่าลืมสิ! ตอนนั้นพวกเราเคยรับปากกับเยียนเอ๋อร์ไว้ ขอเพียงแค่นางกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ เรื่องการแต่งงานจะให้นางตัดสินใจเอง และไม่บังคับนางโดยเด็ดขาด” ไป๋ซิงหลิวเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“พี่ใหญ่ สภาพการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ถ้าตอนนี้พวกเราไม่สามารถโน้มน้าวเจ้าเด็กนั่นได้ ตระกูลไป๋เราก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมภายในคืนเดียว และในเมื่อกำแพงล้มคนทั้งหลายก็จะพากันมาซ้ำเติม ไม่แน่อาจทำให้ตระกูลต้องประสบเคราะห์ก็ได้ เพราะว่าการขยายอิทธิพลในก่อนหน้านั้น พวกเราไปกระทบโดนผลประโยชน์ของอิทธิพลอื่นไปมาก” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวอย่างกระวนกระวาย

ไป๋ซิงหลิวได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา และพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง

“อืม! เจ้ารองพูดได้มีเหตุผล แต่อย่างไรซะเยียนเอ๋อร์ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณ พวกเราไม่อาจตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของนางได้ เอาอย่างนี้เถอะ! พวกเราลองถามนางก่อน ถ้านางไม่ขัดข้องก็เป็นเรื่องดีต่อกันทั้งสองฝ่าย พวกเราก็ไม่ต้องบังคับนางด้วย” ในที่สุดหญิงชราก็ตัดสินใจกล่าวออกมา

“ดี! ในเมื่อท่านแม่กล่าวเช่นนี้แล้ว รอเยียนเอ๋อร์กลับมาแล้วค่อยพูดเรื่องนี้กับนาง” ไป๋ซิงหลิวเห็นหญิงชรากล่าวเช่นนี้ก็ได้แต่กัดฟันพูดออกมา

เรือนอีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ ราวกับว่าไม่กังวลกับเรื่องในวันพรุ่งนี้เลยแม้แต่น้อย

……

เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพลันค่อยๆ ขยับตัว และลืมตาทั้งสองขึ้นมา เขามองไปบนหลังคาอย่างเฉยชาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หลับตาต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน

ในขณะเดียวกัน เหนือจวนตระกูลไป๋ขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง ชายหญิงคู่หนึ่งต่างก็เหยียบเมฆเทาคนละก้อน และยืนเคียงบ่ากัน พวกเขาจ้องลงมาตรงเรือนที่หลิ่วหมิงอยู่

“ปกติตระกูลไป๋ทั้งตระกูลมีกลิ่นไอศิษย์จิตวิญญาณเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ดูท่าน้องชายเจ้าคงจะกลับจวนแล้ว” ชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงิน ใบหน้าหล่อเหลาหันมากล่าวกับหญิงร่างอรชรสวมหมวกคลุมยาวสีเขียวที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้ม

“อืม! หลายวันก่อนที่ข้าจะไปจากจวน เรือนหลังนี้ยังคงว่างเปล่า ดูท่าชงเทียนคงจะอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน ถ้ามีเวลาล่ะก็ข้าจะแนะนำน้องชายของข้าให้เจ้ารู้จักภายในสองวันนี้” หญิงสาวสวมหมวกคลุมยาวสีเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ

“ดี! ถึงแม้ข้ามาครั้งนี้เพราะอยากเจอหน้าเจ้า แต่ขณะเดียวกันก็อยากเห็นหน้าว่าที่น้องเขยคนนี้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ตั้งแต่ที่น้องสาวข้าถูกขังอยู่ในจวน นางก็ไม่เคยพูดถึงน้องชายเจ้าในทางที่ดีเลย แต่ในจดหมายของน้าสาวกลับกล่าวชื่นชมน้องชายเจ้าเป็นอย่างมาก ในเมื่อเขากลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจได้ คิดว่าคงมีดีกว่าคนอื่นๆ มาก” ชายชุดคลุมสีน้ำเงินกลับหัวเราะและกล่าวออกมา

“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าต้องขอบคุณพี่มู่มาก ถ้าไม่ใช่ว่าพี่มู่หลิงแจ้งข่าวให้น้องได้ทันเวลา ตระกูลไป๋คงไม่รู้ข่าวที่น้องชายกลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ ยิ่งไม่กว่านั้นคงไม่อาจขยายอิทธิพลของตระกูลไป๋ได้ทันเวลา” หญิงสวมหมวกคลุมยาวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม

ชายชุดคลุมน้ำเงินคือผู้ส่งสาส์นของตระกูลมู่นั่นเอง เขาก็คือศิษย์จิตวิญญาณของหุบเขาเก้าช่อง และฟังจากคำพูดแล้วเขายังเป็นพี่ชายของมู่หมิงจูอีกด้วย

แน่นอนว่าหญิงสาวสวมหมวกคลุมยาวก็คือไป๋เยียนเอ๋อร์ที่เป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นั้น

“เฮ่อๆ! ตระกูลผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา เป็นการยากที่จะรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในนิกายบ้าง เป็นเรื่องปกติที่ต้องรอหลายเดือนหรือครึ่งปีถึงจะทราบเรื่องราวที่แท้จริง ที่ตระกูลมู่ทราบเรื่องราวทางนั้นได้ ก็เป็นเพราะว่าน้าสาวของข้าใช้วิธีการพิเศษในการส่งข่าวสาร แต่ถึงข้าไม่พูดน้องชายเจ้าก็คงส่งข่าวกลับมาตระกูลไป๋อยู่แล้ว ข้าเพียงแค่ช่วยเสริมส่งเล็กน้อยเท่านั้น อีกอย่างน้องสาวข้าก็กำลังจะแต่งงานกับน้องชายเจ้า พอถึงเวลานั้นตระกูลไป๋กับตระกูลมู่ก็ไม่ต้องแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแล้ว” มู่หลิงหัวเราะและกล่าวออกมา

“น้องเองก็หวังว่าพวกเราทั้งสองตระกูลจะสานสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น เช่นนี้แล้วไม่ว่าตระกูลไหนอยากจะจัดการพวกเรา มันก็ต้องมีหวาดกลัวกันบ้างล่ะ! ครั้งนี้มีเวลาไม่มากพอน้องเลยไม่ได้พาท่านเที่ยวชมนอกเมืองหลูสุ่ย ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสน้องจะพาท่านเที่ยวเล่นให้หนำใจไปเลย ตอนนี้พวกเราลงไปกันเถอะ! น้องได้เตรียมที่พักไว้ให้พี่มู่หลิงแล้ว ช่วงสองวันนี้พวกเราต้องหารือเรื่องความร่วมมือกันระหว่างสองตระกูลอย่างละเอียด” ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆ ร่อนลงไปยังจวนสกุลไป๋ที่อยู่ด้านล่างก่อน

ชายหนุ่มชุดคลุมน้ำเงินมองตามหลังของไป๋เยียนเอ๋อร์ด้วยความหลงไหล จากนั้นก็ร่อนตามลงมา

ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็มาปรากฏตัวในห้องรับแขกของตระกูลไป๋ ซึ่งนายท่านตระกูลไป๋ รองนายท่าน และผู้อาวุโสต่างก็นั่งอยู่บนเก้าอี้แล้ว และกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่

“เยียนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็กลับมา พ่อคิดว่าเจ้าจะมาสายกว่านี้ซะอีก” พอไป๋ซิงหลิวเห็นลูกสาวก็กล่าวด้วยความดีใจ

“เยียนเอ๋อร์คารวะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านอารอง!” ไป๋เยียนเอ๋อร์คาระวะทั้งสามเสร็จแล้วถึงได้ถอดหมวกคลุมออกมา

หญิงสาวนางนี้มีอายุยี่สิบกว่าปี ผิวละเอียดอ่อน ใบหน้าสวยราวกับดอกท้อ ดวงตาสดใสดูมีชีวิตชีวา ระหว่างคิ้วของนางดูสวยงามอย่างบอกไม่ถูก รูปร่างหน้าตางดงามจนยากจะหาสิ่งใดมาเปรียบเปรยได้

“รีบลุกขึ้นมาเถอะ! ครั้งนี้ต้องลำบากเจ้าแล้ว ใช่สิ! ผู้ส่งสาส์นตระกูลมู่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าด้วยหรือไม่?” ประจักษ์ชัดว่าหญิงชรารักและเอ็นดูไป๋เยียนเอ๋อร์เป็นอย่างมาก นางโบกมือให้ไป๋เยียนเอ๋อร์ลุกขึ้นแล้วถึงกล่าวอย่างระมัดระวัง

“ท่านย่าวางใจเถอะ! ข้าได้จัดที่พักให้เขาเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างพวกเราก็เดินทางมาทั้งคืน คาดว่าตอนนี้เขาคงตอนหลับไปแล้ว” ไปเยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนี้ก็ดี ตราบใดที่พวกเรายังไม่ได้พูดคุยกับเจ้าเด็กนั่น จะยอมให้ทั้งสองเจอหน้ากันไม่ได้เป็นอันขาด” หญิงชราได้ยินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แต่พวกเราก็มีเวลาไม่มากนัก จะต้องดึงเขามาเป็นพวกภายในระยะเวลาสั้นๆ ให้ได้ อย่างน้อยก็ห้ามให้เขาเปิดโปงสถานะแท้จริงในตอนนี้เด็ดขาด มิเช่นนั้นตระกูลไป๋เราคงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าจริงๆ แต่ทำไมเจ้าเด็กแซ่หลิ่วถึงได้มาแบบกะทันหันเช่นนี้ ปกติสิบศิษย์แกนนำคนใหม่จะต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ได้รับและเก็บตัวหลายเดือนก่อนไม่ใช่หรือ?” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวอย่างกังวล

“ตามหลักแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น เพราะพวกเขาต้องเตรียมตัวสำหรับทดสอบความเป็นความตายในหนึ่งปีให้หลัง นอกเสียจากว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในนิกายปีศาจโดยที่พวกเราไม่รู้” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น มันจะมีผลต่อแผนการเราไหม?” นายท่านตระกูลไป๋สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป

“เรื่องนี้ก็พูดยาก เพราะข่าวที่พวกเราได้รับในครั้งก่อนนั้น เป็นเรื่องที่คนผู้นี้กลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจ อีกอย่างยังเป็นฝั่งตระกูลมู่ที่ส่งข่าวนี้มาให้ แต่ท่านพ่อไม่ต้องกังวล พวกเราได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน ครั้งนี้จึงได้วางคนของพวกเราไว้บริเวณนิกายปีศาจแล้ว พอพวกเขาสืบข่าวอะไรมาได้ก็จะใช้วิหคส่งข่าวมาทันที ตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือหาวิธีดึงเขามาเป็นพวกให้ได้” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“อืม! ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่เยียนเอ๋อร์เจ้าก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าเงื่อนไขที่พวกเราได้เสนอไว้ในก่อนหน้านั้น จะสามารถโน้มน้าวเจ้าเด็กนี่ได้หรือไม่?” หญิงชราลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็มันเหลือเฟืออย่างแน่นอน แต่หลังจากที่คนผู้นี้กลายเป็นศิษย์แกนนำแล้ว เกรงว่าจะพูดยาก ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ ต่อให้จะบอกเรื่องสวมรอยเป็นคนอื่นให้กับผู้ฝึกฝนระดับสูงของนิกายปีศาจ แต่ก็คงจะถูกลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเราไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับเขาได้ กลัวว่าหลังจากที่คนผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งแล้ว เขาคงไม่อยากจะพัวพันกับตระกูลไป๋ และรีบลงมือตัดสัมพันธ์กับตระกูลไป๋โดยเร็ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เงื่อนไขในตอนแรกมันก็ดูตื้นเขินไปหน่อย” ไป๋เยียนเอ๋อร์ถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวออกมา

“แต่เงื่อนไขก่อนหน้านั้นเป็นข้อจำกัดสูงสุดที่ตระกูลไป๋เราสามารถทำได้ เพราะเดิมทีตระกูลไป๋เราก็เป็นแค่ตระกูลผู้ฝึกปราณระดับสาม และไม่ได้มีทรัพยากรสะสมมากมายอะไร” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวด้วยความกระวนกระวาย

“แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจแล้ว ด้วยจำนวนทรัพยากรที่เขาได้รับ เป็นเรื่องยากที่เขาจะสนใจทรัพยากรอันน้อยนิดของตระกูลไป๋” ไป๋เยียนเอ๋อร์ส่ายศีรษะแล้วกล่าวอย่างไปตรงมา

“ถ้าเป็นเช่นนี้ เยียนเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าถ้าใช้วิธีการอื่นจะสามารถผูกมัดคนผู้นี้ไว้กับตระกูลไป๋เราได้อีกครั้งหรือไม่?” หญิงชราทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกไป

“โอ้! ความหมายของท่านย่าคือ…” ไป๋เยียนเอ๋อร์กะพริบตา และถามออกไปราวกับคิดอะไรอยู่

“เยียนเอ๋อร์ ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า เมื่อวานข้ากับพ่อเจ้า และอารองของเจ้าได้ปรึกษากันนิดหน่อย พวกเราต่างก็คิดว่ามีวิธีการหนึ่งที่อาจจะโน้มน้าวเจ้าเด็กนี่ได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า ดังนั้นย่าจึงอยากถามเจ้าก่อน หากให้เจ้าหมั้นกับคนผู้นี้เจ้าจะยินยอมหรือไม่?” หญิงชราขยับไม้เท้าเบาๆ และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“ท่านย่ากับท่านพ่อคิดจะรับคนผู้นี้เป็นลูกเขย? เรื่องนี้ข้าไม่อาจตอบท่านย่ากับท่านพ่อได้ในตอนนี้ รอพบกับเจ้าตัวก่อนถึงจะตัดสินใจได้” พอไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่านางจะไม่โมโห แต่กลับคิดอะไรบางอย่างอยู่ซักพักแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง

“เฮ่อๆ! แน่นอนว่าย่อมได้ อีกเดี๋ยวเยียนเอ๋อร์ก็ไปพบคนผู้นี้สักหน่อย ลองหยั่งเชิงเขาดู จากนั้นค่อยให้พ่อกับอาเจ้าออกหน้าไปคุยรายละเอียด ข้าแก่ปูนนี้ไม่ขอออกหน้าแล้ว” พอหญิงชราเห็นไป๋เยียนเอ๋อร์ไม่ได้ปฏิเสธ ใบหน้าเหี่ยวย่นของนางก็เผยรอยยิ้มออกมา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด