ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 167 ทำข้อตกลง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 167 ทำข้อตกลง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 167 ทำข้อตกลง

ทันทีที่หลิ่วหมิงได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู เขาก็รีบหยุดการฝึกฝนในทันที ไอดำที่พวยพุ่งอยู่ก็ม้วนกลับไปในฉับพลัน ขณะเดียวกันก็ถามออกไปอย่างราบเรียบ

“ใครอยู่ด้านนอก?”

“นายน้อย ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ให้ข้าน้อยไปหาของกินที่โรงครัวให้หรือไม่?” เสียงระมัดระวังของหญิงสาวดังมาจากนอกประตู ฟังดูน้ำเสียงแล้ว นางคือสาวใช้สองคนที่ถูกส่งมารับใช้เขาเมื่อวานนี้

“ไม่ต้องแล้ว ช่วงนี้ข้าไม่ต้องการทานอาหาร” หลิ่วกล่าวโดยไม่ต้องคิด

เมื่อวานเขาเพิ่งทานโอสถทิพย์ไป เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ทานสิ่งของจากคนแปลกหน้า

“ทราบ! ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน!” เสียงหญิงหน้าประตูดูหวาดกลัวเล็กน้อย นางรีบถอยออกจากประตูเบาๆ

แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงหลับตาพักผ่อนได้ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาวแปลกหน้าดังขึ้น

“พี่หลิ่ว ข้าไป๋เยียนเอ๋อร์หวังว่าจะได้พบกับสหายท่าน”

“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูตระกูลไป๋ เชิญเข้ามาเถอะ!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไหวตัวทันที เขารีบลืมตาทั้งสองแล้วกล่าวออกมา

จากนั้นประตูห้องก็ถูกผลักออก และหญิงสาวใบหน้างดงามรูปร่างอรชรก็เดินเข้ามาจากด้านนอก

หญิงสาวผู้นี้สวมชุดสีเขียว หลังจากที่กวาดตามองหลิ่วหมิงแล้วก็พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มหวาน

“พี่หลิ่วช่างดูคล้ายกับชงเทียนหลายส่วน มิน่าล่ะเจ้ากวน เจ้ากู่ ถึงได้เกิดความคิดให้ท่านสวมรอยเป็นน้องชายข้าไปร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณ”

“จริงหรือ? ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นน้องชายเจ้ากับตา แต่คิดว่าสิ่งที่คุณหนูไป๋พูดมานั้นคงไม่มีผิด รูปลักษณ์ของข้าในตอนนี้เป็นของข้าจริงๆ โดยไม่มีการปลอมแปลง อีกอย่างชื่อเสียงของท่าน ข้าก็ได้ยินจากปากเจ้ากวนมาไม่น้อย” หลิ่วหมิงหรี่ตามองหญิงสาวนางนี้ทีหนึ่งแล้วถึงลงจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็โค้งตัวกล่าวออกมา

เขาค่อนข้างรู้สึกตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวนางนี้

“ข้าทำให้พี่หลิ่วขบขันเสียแล้ว ตระกูลไป๋เรามีข้าเป็นศิษย์จิตวิญญาณเพียงคนเดียว บางครั้งจำเป็นต้องแสดงตัวตนบ้าง” ไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยิน ก็แสดงสีหน้าแบบไม่มีทางเลี่ยงแล้วกล่าวออกมา

“จริงหรือ? ถ้าคุณหนูไป๋ไม่ชอบทำแบบนั้น ก็สามารถวางมือกับเรื่องราวทั้งหมดในตระกูลได้ ด้วยสถานะศิษย์จิตวิญญาณในนิกายจันทราสวรรค์ของท่าน ตระกูลไป๋จะบังคับเจ้าได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวออกมา

“พี่หลิ่วล้อข้าเล่นแล้ว นอกเสียจากว่าข้าจะเป็นเหมือนสหายท่านที่อยู่ตัวคนเดียว มิเช่นนั้นลูกหลานตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างข้า จะมีใครละทิ้งตระกูลโดยไม่สนใจใยดีได้ล่ะ! แต่ครั้งนี้พี่หลิ่วมาตระกูลไป๋แบบกระทันหัน คงจะมีเรื่องสำคัญสินะ!” ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะถามออกไป

“ดูท่าตระกูลไป๋คงตรวจสอบที่มาของข้าอย่างชัดเจนแล้ว แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ที่ข้ามาตระกูลไป๋ในครั้งนี้เพราะเรื่องของมู่หมิงจู ได้ยินว่าตระกูลไป๋กำหนดวันแต่งงานของข้ากับนางไว้แล้ว ทั้งยังเตรียมส่งเทียบเชิญด้วย เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร?” หลิ่วหมิงกล่าวเสร็จสีหน้าก็ดูอึมครึมขึ้นมา

“มันเป็นเรื่องจริง มีปัญหาอันใดหรือ? ข้าเคยเห็นน้องมู่หมิงจูกับตา นางสวยงามราวกับบุปผา ในเมื่อพี่หลิ่วได้หมั้นหมายกับนางไว้แล้ว พอถึงเวลาก็แต่งนางเข้ามาในตระกูล ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฮึ! มู่หมิงจูจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ข้าเห็นตั้งแต่อยู่ในนิกายแล้ว แต่ข้าจำไม่ได้ว่าเคยตอบตกลงหมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เรื่องแต่งงานกับนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าตระกูลไป๋คิดที่ใช้หญิงนางเพื่อดึงข้ามาเป็นพวกล่ะก็ จงไปหาไป๋ชงเทียนอีกคนเถอะ ไม่ต้องลากหลิ่วหมิงเข้ามายุ่งด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

“พี่หลิ่ว ท่านคงพูดล้อเล่นสินะ! คนที่มู่หมิงจูอยากแต่งก็คือท่าน คนอื่นจะมาแทนที่ได้อย่างไร ถึงแม้การหมั้นในตอนแรกจะไม่ได้รับการยินยอมจากท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบจดหมายปฏิเสธมาใช่ไหม ท่านมากลับคำในตอนนี้ทำให้ตระกูลไป๋เราลำบากใจมาก” ไป๋เยียนเอ๋อร์กะพริบตาแล้วกล่าวออกมา

“สหายไป๋ เจ้าไม่ต้องมาเล่นลิ้น เจ้ารู้ไหมว่าการแต่งงานกับตระกูลมู่ในครั้งนี้นำพาความยุ่งยากมาให้ข้าแค่ไหน! เป็นเพราะตระกูลไป๋เห็นแก่ผลประโยชน์อันน้อยนิดในการสานสัมพันธ์กับตระกูลมู่ ทำให้ข้าต้องไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินในนิกายปีศาจ และตอนนี้ข้าจำเป็นต้องไปจากนิกายเพื่อหลบฝ่ายตรงข้ามชั่วคราว” หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา

“อะไรนะ! การหมั้นนี้ทำให้สหายไปล่วงเกินผู้อื่นจนต้องไปจากนิกาย หรือว่าคนที่ท่านพูดถึงคือเกาชงที่เป็นศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณพสุธา!” ไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไป

“คุณหนูไป๋รู้ก็ดีแล้ว บางทีเกาชงอาจจะไม่สนใจตระกูลไป๋ก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าถูกเขาหมายตาไว้แล้ว และไม่รู้ว่าต้องเป็นหนังหน้าไฟไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ตาม ข้าคิดว่าก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงได้ชดใช้บุญคุณของตระกูลไป๋ไปแล้ว ตอนนี้ข้าจะไม่เสียเวลามาอ้อมค้อมอีก ขอพูดตามตรงเลยนะ ที่ข้ามาครั้งนี้ หนึ่งเพราะต้องการยกเลิกการแต่งงานกับมู่หมิงจู สองเพื่อต้องการฟื้นคืนสถานะเดิมของตนเอง ตั้งแต่นี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลมู่ของพวกเจ้าอีก ส่วนเรื่องที่พวกเจ้าอาศัยชื่อ ‘ไป๋ชงเทียน’ หาผลประโยชน์ในก่อนหน้านั้น ข้าก็ไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ที่ข้าอาศัยชื่อตระกูลไป๋ไปร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณก็แล้วกัน ใช่สิ! ตระกูลไป๋อย่าได้คิดนำเรื่องการสวมรอยมาบีบบังคับข้าอีก เรื่องเกี่ยวการสวมรอยนี้ข้าได้บอกกับทางนิกายแล้ว ดังนั้นเมื่อข้ากลับไปนิกาย ชื่อไป๋ชงเทียนนี้ก็จะหายไปจากนิกายปีศาจด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ

เมื่อไป๋เยียนเอ๋อร์ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไปจนหมดสิ้น แต่นางยังคงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“พี่หลิ่วอย่าได้โมโห เรื่องทั้งหมดสามารถพูดคุยกันได้ ตระกูลไป๋ไม่เคยคิดจะบอกเรื่องการสวมรอยของท่านให้กับทางนิกายเลย หากพี่หลิ่วไม่พอใจที่จะแต่งกับมู่หมิงจู ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมให้ท่านพ่อยกเลิกการแต่งงานนี้ แต่พี่หลิ่วประกาศตัดสัมพันธ์กับตระกูลไป๋ตรงๆ เช่นนี้ มันดูแล้งน้ำใจไปหน่อย บอกพี่หลิ่วตามตรง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการขยายอำนาจตระกูลไป๋ ถ้าหากตอนนี้ขาดหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำนิกายปีศาจอย่างพี่หลิ่วไป เกรงว่ามันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้าย และหายนะครั้งใหญ่ก็จะมาเยือน” ไป๋เยียนเอ๋อร์มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป นางกล่าวอย่างน่าสงสาร

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าก็คือข้า ตระกูลไป๋ก็คือตระกูลไป๋ เราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ถ้าตระกูลผู้ฝึกปราณในแคว้นต้าเสวียนที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนต้องเจอความยากลำบาก ข้าต้องยื่นมือเข้าไปช่วยทั้งหมดหรือ!” หลิ่วหมิงยืนกอดอกกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ไป๋เยียนเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ก็พูดอะไรไม่ออก

ถึงแม้ระดับการฝึกฝนของเขาจะไม่สูง และจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้น แต่ด้วยหน้าตาที่งดงาม ทำให้มีชื่อเสียงเล็กๆ และเป็นที่รู้จักในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณของนิกายจันทราสววรค์ แม้แต่ศิษย์ต่างนิกายก็มีไม่น้อยที่หลงใหลในความงามนาง แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มตรงหน้าที่เคยสวมรอยเป็นน้องชายของตนเอง กลับไม่หวั่นไหวกับความน่าสงสารของนางเลย ดูเหมือนว่าใจเขาแข็งราวกับเหล็ก

และชายที่ไม่สนใจความงดงามของนางนี้ ทำให้ไป๋เยียนเอ๋อร์นึกถึงคนผู้หนึ่งอย่างอดไม่ได้

คนผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจความงดงามของเธอเช่นกัน เหมือนกับว่าจะมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การฝึกฝนเท่านั้น

พอนึกถึงจุดนี้ ไป๋เยียนเอ๋อร์ก็มีสีหน้าแปลกๆ แต่หลังจากสงบสีหน้าได้แล้วก็พลันกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง

“พี่หลิ่ว ถ้าเจ้าคิดจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลไป๋ ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก แต่ถ้าข้ากับพี่หลิ่วจะทำข้อตกลงกันใหม่เพื่อแลกกับการใช้ชื่อเสียงของท่านสนับสนุนตระกูลไป๋ต่อไป มันคงไม่ใช่เรื่องยากใช่ไหม?”

“ทำข้อตกลงใหม่ ตระกูลไป๋ของพวกเจ้ามีข้อเสนออะไรอีก?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้กลับไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อืม! เรื่องนี้สำคัญมาก เอาอย่างนี้เถอะ! พี่หลิ่วรอซักพัก ข้าจะไปเชิญท่านพ่อกับอารองมาที่นี่ ให้พวกท่านคุยรายละเอียดเรื่องนี้กับพี่หลิ่วดีไหม?” ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

“เอาเถอะ! ให้ข้าได้ฟังก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

ไป๋เยียนเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ แล้วก็ลาจากไป

ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่นอกประตูอีกครั้ง ไป๋เยียนเอ๋อร์พานายท่านตระกูลไป๋ และรองนายท่านมายืนอยู่ข้างหน้าหลิ่วหมิง

“คุณชายหลิ่ว ข้ารู้สึกละอายใจเป็นอย่างยิ่งที่เพิ่งรู้ว่าการหมั้นกับตระกูลมู่นำพาความยุ่งยากมาให้ท่านถึงเพียงนี้ ถ้าคุณชายรู้สึกคับแค้นใจก็เป็นเรื่องปกติ น้องรอง นำของสิ่งนั้นออกมาก่อน เพื่อเป็นของขวัญขอโทษจากตระกูลไป๋เรา” พอนายท่านตระกูลไป๋เห็นหลิ่วหมิงก็มีท่าทีนอบน้อมเป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาแสดงท่าทีละอายใจเป็นการขอโทษ จากนั้นก็หันไปสั่งรองนายท่านตระกูลไป๋ที่อยู่ด้านข้าง

พอรองนายท่านตระกูลไป๋ได้ยิน ก็รีบประคองกล่องหยกงดงามขึ้นมา

“ก่อนหน้านั้นข้าได้บอกไปแล้ว บุญคุณระหว่างข้ากับตระกูลไป๋ถือว่าสิ้นสุดไปแล้ว ตระกูลไป๋ไม่ได้ติดค้างอะไรข้า ข้าจะรับของของตระกูลไป๋ได้อย่างไร สหายไป๋บอกว่าจะทำข้อตกลงอื่นกับข้า ตอนนี้รีบพูดมาเถอะ!” หลิ่วหมิงกวาดตามองกล่องหยกอย่างเฉยชา แล้วโบกมือก่อนที่จะกล่าวออกมา

นายท่านตระกูลไป๋เห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย รองนายท่านตระกูลไป๋ก็มีสีหน้าที่ดูไม่ได้ขึ้นมา

แต่ไป๋เยียนเอ๋อร์กลับยิ้มและกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

“ท่านพ่อ ข้าบอกท่านแต่แรกแล้วว่าพี่หลิ่วไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม ท่านบอกข้อเสนอไปตามตรงเถอะ ไม่แน่มันอาจจะทำให้พี่หลิ่วประทับใจตระกูลไป๋เรามากขึ้นก็ได้”

“เฮ่อๆ! เป็นข้าเองที่เสียมารยาท ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะขอพูดตามตรงเลยนะ ก่อนหน้านี้ลูกสาวข้าคงได้บอกสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของตระกูลไป๋เราไปคร่าวๆ แล้ว ดังนั้นพวกเราตระกูลไป๋จึงหวังว่าคุณชายจะยังคงใช้ชื่อไป๋ชงเทียนไปอีกหลายปี อย่าเพิ่งรีบใช้ชื่อจริงของตนเอง และเพื่อเป็นค่าตอบแทนในการแลกเปลี่ยนนี้ พวกเราได้เตรียมของขวัญอย่างดีให้คุณชายหลิ่วชุดหนึ่ง นี่คือรายการของขวัญ คุณชายลองดูว่าชอบหรือไม่!” ไป๋ซิงหลิวฝืนยิ้มและกล่าวออกมา จากนั้นก็หยิบกระดาษออกมาจากอกแล้วยื่นให้หลิ่วหมิง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด